ฉินเย่ขมวดคิ้วด้วย ภายในดวงตาสีดำของเขามีแสงแห่งความเย็นชาฉายอยู่ ความกดดันที่ออกมาจากร่างเขานั้นรุนแรงมากจนเสิ่นหยินอู้คิดว่าเขากำลังจะทำอะไรบางอย่างอีกครั้ง เขาหันกลับและเดินออกไป ในขณะที่เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอก็ยกมุมปากขึ้นอย่างเย้ยหยัน เจียงฉูฉู่ยืนรออยู่ด้านนอกประตู นิ้วทั้งสิบของเธอประสานกันแน่น หากเมื่อครู่นี้เธอได้ยินไม่ผิด เสียงของฉินเย่นั้นดูหงุดหงิดมาก เขาหงุดหงิดมากจนดูเหมือนว่าเรื่องสำคัญของเขาถูกขัดจังหวะกะทันหัน ท่าทางเช่นนี้ทำให้เจียงฉูฉู่หวาดกลัวอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าเธอจะบอกว่าเป็นเธอไปตั้งนานแล้ว ฉินเย่ก็ยังไม่มาเปิดประตู ภายในใจของเจียงฉูฉู่จึงคาดเดาอะไรไม่ได้ เขากำลังทำอะไรอยู่ในห้องกันนะ และทำไมนานขนาดนี้ถึงยังไม่มาเปิดประตูอีก? จิตใจของเจียงฉูฉู่เริ่มอยู่ไม่เป็นสุขและในที่สุดประตูตรงหน้าเธอก็เปิดออกเธอเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปที่ฉินเย่อย่างจริงจังในทันที อืม เสื้อผ้าของเขายังเหมือนเดิมกับตอนก่อนขึ้นไปที่ชั้นบน ยังไม่ได้ถอดแจ็กเก็ต แต่ดูเหมือนว่าจะมีรอยยับเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย เจียงฉูฉู่บอกตัวเองในใจอย่างรวดเร็วว่าเป็นเรื่อง
มีเพียงพวกเธอสองคนเท่านั้นที่อยู่บริเวณตู่เสื้อผ้าและชั้นวางของขนาดใหญ่ เจียงฉูฉู่มองไปที่เธอและไม่รีบร้อนในการเลือกเสื้อผ้า เมื่อเห็นฉูฉู่จ้องมองเธอตลอด เสิ่นหยินอู้เดาว่าเธอมีอะไรบางอย่างจะพูด แต่เจียงฉูฉู่ไม่ได้ริเริ่มที่จะพูดก่อน ดังนั้นเธอจึงรอ อย่างที่คิด ไม่กี่วินาทีต่อมา เจียงฉูฉู่ไม่สามารถยับยั้งตัวเองได้และพูดด้วยเสียงเบาๆว่า "เสิ่นหยินอู้ เธอผิดสัญญา" หลังจากได้ เสิ่นหยินอู้ก็ชะงักไปชั่วคราว “ฉันไปผิดสัญญาตอนไหน??” เจียงฉูฉู่จ้องไปที่ริมฝีปากสีแดงของเธออย่างไม่ลดละ “เธอขึ้นมาข้างบน เธอมีสีลิปสติก” เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าสิ่งที่เธอหมายถึงคือสีลิปสติกของเธอได้หายไปแล้ว เรื่องมันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ ดูเหมือนเธอก็ไม่มีอะไรจะปฏิเสธได้เช่นกัน “งั้น เธอก็ผิดสัญญาสินะ เสิ่นหยินอู้ เธอไว้ใจไม่ได้เลยจริงๆ” "ไม่" เสิ่นหยินอู้ส่ายหัว "ฉันไว้ใจได้มาก ถ้าไม่ใช่เพราะคุณย่า ฉันคงไม่เข้าหาเขาก่อน"เจียงฉูฉู่รู้สึกแทงใจมากกับคำพูดเหล่านี้ และเธอก็ยิ้มออกมาด้วยความดูถูกในทันที "เธอหมายความว่าเย่เป็นคนที่เข้าหาเธอก่อนรึไง?" เสิ่นหยิน
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็จ้องมองไปที่เขา "เกี่ยวอะไรกับคุณหละ?" "……"“คุณมาที่นี่แค่สองสามนาทีก็มาถามฉันแล้ว กลัวว่าฉันจะไปรังแกเธอเหรอ?” เสิ่นหยินอู้ถามอย่างติดตลก ฉินเย่ขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจ “ผมไม่ได้หมายถึงอะไรแบบนั้น” “แล้วหมายความว่ายังไง? เรื่องระหว่างผู้หญิงก็ต้องรายงานให้คุณรู้ด้วยเหรอ?” ฉินเย่มองออกว่าเธอไม่ได้มีอารมณ์ที่ดีต่อเขาในตอนนี้ ซึ่งแตกต่างจากเมื่อก่อนมาก นอกเหนือจากการที่ต้องแสดงต่อหน้าคุณย่าแล้ว เธอทำกับเขาเหมือนกับคนแปลก ซึ่งนั่นทำให้ฉินเย่ไม่มีความสุขเป็นอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่เคยมีความสัมพันธ์แบบนี้มาก่อน พวกเขาเข้ากันได้ดีมากแท้ๆ เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้พูดอะไร เสิ่นหยินอู้ก็หยิบเสื้อผ้าเพื่อไปอาบน้ำ หลังจากอาบน้ำเสร็จ เธอก็ตรงไปที่เตียงเพื่อพักผ่อน กระบวนการทั้งหมดนี้เหมือนกับว่าฉินเย่ไม่มีตัวตนอยู่ ฉินเย่ที่ถูกเมินจึงไปอาบน้ำด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง จากนั้นจึงเข้านอนด้วยใบหน้าที่บึ้งตึง แม้ว่าทั้งสองจะนอนบนเตียงเดียวกัน แต่ตรงกลางเตียงขนาดใหญ่ก็มีหมอนข้างวางอยู่ เช่นเดียวกับแม่น้ำฉู่และอาณาจักรฮั่น แม้จะมีเรื่องราวท
เสิ่นหยินอู้กำลังเตรียมตัวที่จะดื่มนม คนรับใช้กลับยกชามซุปหัวปลามา “คุณผู้หญิง เช้านี้ทานสิ่งนี้นะคะ” ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยมีการเสิร์ฟซุปในเวลาอาหารเช้าเท่าไรนัก โดยปกติแล้วจะเป็นน้ำผลไม้ นม และอื่นๆ เนื่องจาก ที่จริงแล้วเสิ่นหยินอู้เป็นคนที่ใส่ใจในจรูปร่างของเธอ ดังนั้น อาหารที่พ่อครัวที่บ้านทำให้เธอโดยส่วนใหญ่แล้วจึงเป็นอาหารที่คำนวณแคลอรี่มาดีแล้ว แต่เมื่อเห็นซุปหัวปลาในวันนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ไม่แปลกใจเลย คุณนายฉินกลับมาแล้ว พ่อครัวจึงต้องปรับสูตรอาหาร แต่นี่อาจไม่ใช่ประเด็น คงจะเป็นคุณนายฉินที่ให้คนรับใช้ยกมาให้เธอทาน อย่างที่คิด เมื่อเธออ้ำอึ้ง คุณนายฉินจึงยิ้มและพูดว่า "หนูผอมเกินไปแล้ว ทานซุปสักหน่อยเพื่อเติมเต็มร่างกายนะจ๊ะ" เสิ่นหยินอู้มองไปที่ชามซุปปลาแล้วจึงพยักหน้า "ขอบคุณนะคะคุณย่า" นานๆครั้งคงไม่เป็นไร ถ้าอ้วนก็อ้วนขึ้นอีกหน่อยจะเป็นไรไป และตอนนี้เธอกำลังตั้งครรภ์ เธอไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เหมือนเมื่อก่อน เธอจำเป็นต้องทานอาหารที่มีสารอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้นจริงๆ เมื่อนึกถึงจุดนี้ เสิ่นหยินอู้ก็หยิบช้อนขึ้นมาแล้วก้มหัวลงเพื่อตักซุปปลา เธอกำลังจะเอาซุปปล
ใครจะคิดว่าเนื่องจากอาการคลื่นไส้ของเสิ่นหยินอู้ ภายในห้องจึงตกอยู่ในความโกลาหล เสิ่นหยินอู้ซบอยู่ในอ้อมแขนของฉินเย่อย่างอ่อนแรง ภาพภายในหัวของเธอเลือนลางเล็กน้อย เจียงฉูฉู่ที่ตามพวกเขาอยู่จู่ๆก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเอ่ยปากแนะนำว่า "เย่ มันไกลเกินไปที่จะไปโรงพยาบาลนะ ทำไมคุณไม่ลองไปส่งเธอที่คลินิกของเพื่อนฉันดูหละ? ฉันเดาว่าหยินอู้น่าจะกินอะไรที่ผิดปกติเข้าไป" ” แม้ว่าภายนอกของเจียงฉูฉู่จะให้คำแนะนำอย่างสงบ แต่จริงๆแล้วภายในใจของเธอกลับรู้สึกตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก ในเวลานี้ หากฉินเย่พาเธอไปโรงพยาบาล ความลับก็จะถูกเปิดเผยอย่างแน่นอน ถ้าเธอต้องไปตรวจจริงๆ การไปที่คลินิกของเพื่อนเธอคงจะดีกว่า หากเกิดอะไรขึ้นมา เธอจะได้มีโอกาสรับมือกับมันได้ เมื่อนึกถึงจุดนี้ เจียงฉูฉู่ก็นึกขึ้นได้ทันทีว่าครั้งก่อนที่เสิ่นหยินอู้มีไข้ เธอก็ปฏิเสธที่จะไปโรงพยาบาลตลอดในระหว่างทาง ในเวลานั้น เจียงฉูฉู่คิดว่าเป็นเพราะตัวเธอ เสิ่นหยินอู้จึงจงใจโกรธฉินเย่และแกล้งทำตัวน่าสงสารเพื่อให้ได้รับความสนใจและสงสารจากฉินเย่ ในตอนนั้น ภายในใจของเจียงฉูฉู่รู้สึกเหมือนถูกเหยียดหยามเป็นอย่างมาก เธอคิดว่
หลังจากพูดจบ เจียงฉูฉู่ดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงพูดว่า "ก็เหมือนที่เย่ไม่ชอบกินของหวานนั่นแหละ" ต่อให้ไม่ชอบก็ไม่ควรรู้สึกคลื่นไส้ขนาดนี้ ฉินเย่มองเสิ่นหยินอู้ในอ้อมแขนของเขา ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึวรู้สึกว่าเธอกำลังปกปิดบางอย่างจากเขาอยู่ เมื่อเขานึกถึงรายงานที่ถูกฉีกจนขาดเป็นชิ้นๆที่พ่อบ้านเคยพูดถึงก่อนหน้านี้ สายตาของฉินเย่ก็หม่นลงเล็กน้อย แต่ก่อนที่เขาจะได้ทันคิดเรื่องนี้อย่างละเอียด เสิ่นหยินอู้ที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาก็ดิ้นไปมา "วางฉันลง คุณจะให้ฉันอีกพูดกี่ครั้ง?" ฉินเย่หรี่ตา "คุณแน่ใจนะว่าไม่อยากไปโรงพยาบาล?" เสิ่นหยินอู้หายใจเข้าลึกๆ “ฉันไม่ได้ป่วย แค่ไม่อยากกินซุปหัวปลาเท่านั้นเอง ต้องไปถึงโรงพยาบาลเลยรึไง?” ตอนนี้สีหน้าของเสิ่นหยินอู้ดูดีขึ้นมากแล้ว ริมฝีปากของเธอกลับมามีสีแดงขึ้นอีกครั้ง ดูไปดูมาก็ไม่เหมือนคนป่วยเลยจริงๆ จากนั้นเขาก็วางเสิ่นหยินอู้ลง ทันทีที่เท้าของเธอแตะพื้น เจียงฉูฉู่ก็เข้ามาพยุงมือของเสิ่นหยินอู้และพูดอย่างเป็นกังวล "เธอไม่เป็นไรนะ? ถ้าเมื่อกี้รู้สึกคลื่นไส้ งั้นเธอก็ไม่ควรทานซุปหัวปลาเพิ่มแล้ว อีกเดี๋ยวไปหาอะไรที่รสชาติไม่จั
"ใช่ค่ะคุณย่า" เพื่อไม่ให้คุณย่าสงสัย เสิ่นหยินอู้จึงต้องหาคำพูดมาพูดเพิ่ม “หนูไม่ชอบกินปลามาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ ตอนเด็กๆหนูคิดว่าปลาเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ แต่พอกินไปครั้งหนึ่งหนูก็อาเจียนออกมาอย่างรุนแรง วันนี้พอได้กลิ่นมัน ในใจหนูก็เลยหวนนึกถึงวันนั้นขึ้นมาน่ะค่ะ” หลังจากได้ยิน ท่าทีที่เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ของคุณนายฉินก็หายไปตามที่คาดไว้ เคยอาเจียนหลังจากกินปลาเข้าไปในตอนที่เป็นเด็กงั้นหรือ? ถ้าเช่นนั้นการที่จะกลายเป็นเรื่องฝังใจเมื่อโตขึ้นก็ฟังดูเป็นเรื่องปกติ แต่เธอก็ยังกังวลอยู่ “ไม่มีปัญหาอะไรจริงๆใช่ไหม? ทำไมถึงไม่ไปตรวจที่โรงพยาบาลหละ?” “ไม่ต้องหรอกค่ะคุณย่า ตอนนี้หนูสบายดีแล้ว คุณย่าดูสิคะ ตอนนี้หนูเหมือนคนที่กำลังมีปัญหาอยู่หรอคะ?” คุณนายฉินมองสำรวจเธอหลายครั้ง จากนั้นจึงพบว่าสีหน้าของเธอฟื้นตัวกลับมาแล้วจริงๆ ดูไปดูมาก็เหมือนไม่มีปัญหาอะไร เธออดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปหยิกแก้มที่อ่อนนุ่มของเสิ่นหยินอู้ "เด็กน้อยคนนี้นิ ทำไมไม่รีบบอกย่าก่อนว่าหนูไม่ชอบกินปลาหละ?" “งื้อ” เสิ่นหยินอู้พูดอย่างออดอ้อนด้วยเสียงเบาๆ “ก็คุณย่าชอบทานนี่คะ หนูเลยอยากจะลองทานดูบ
"อืม" ฉินเย่พยักหน้า "ดูแลพวกเขาให้ดีหละ" คุณนายฉินไม่ได้ออกจากโรงพยาบาลมาเป็นเวลานานแล้ว ดังนั้นหลังจากออกไปข้างนอกและได้รับแสงแดด เธอก็รู้สึกสบายมากกว่าตอนที่อยู่ในสวนดอกไม้ของโรงพยาบาล เมื่อมองดูผู้คนที่เดินไปตามถนนในบริเวณคฤหาสน์ แล้วยังมีการรีโนเวทคฤหาสน์ใหม่ เธอก็รู้สึกแปลกใหม่มาก เสิ่นหยินอู้เดินตามอยู่ที่ข้างหลัง เธอมองดูฉูฉู่เข็นคุณนายฉินและพูดคุยกับคุณนายด้วยรอยยิ้มประดุจดอกไม้ ท่าทีของเธอก็ดูอ่อนโยนมาก ต้องบอกว่าฉูฉู่เก่งมากในการแสดงภาพลักษณ์ที่อ่อนโยนและน่ารื่นรมย์ และยังเก่งมากในการทำให้คุณย่ามีความผาสุข ตลอดช่วงเช้า คุณนายฉินถูกเธอทำให้ยิ้มออกมาและหัวเราะไปหลายครั้ง เมื่อใกล้เวลาสิบเอ็ดโมง ในที่สุดคุณนายฉินก็รู้สึกอ่อนล้า เมื่อเห็นเช่นนั้น เจียงฉูฉู่ก็พูดเบาๆว่า "คุณย่าฉินเหนื่อยแล้วสินะคะ งั้นเรากลับไปพักผ่อนกันดีกว่าไหมคะ? นี่ก็จะเที่ยงแล้วพอดีเลย ถ้าคุณย่าอยากออกมาเดินเล่น พรุ่งนี้ฉูฉู่มาเป็นเพื่อนได้นะคะ” คุณนายฉินรู้สึกเหนื่อยมากแล้วจริงๆ หลังจากได้ยินเช่นนั้นเธอจึงพยักหน้า หลังจากนั้น เจียงฉูฉู่ก็เข็นคุณนายฉินไปข้างหน้า โดยมีเสิ่นหยินอู้ตามมาข้างหลัง เ