"อืม" ฉินเย่พยักหน้า "ดูแลพวกเขาให้ดีหละ" คุณนายฉินไม่ได้ออกจากโรงพยาบาลมาเป็นเวลานานแล้ว ดังนั้นหลังจากออกไปข้างนอกและได้รับแสงแดด เธอก็รู้สึกสบายมากกว่าตอนที่อยู่ในสวนดอกไม้ของโรงพยาบาล เมื่อมองดูผู้คนที่เดินไปตามถนนในบริเวณคฤหาสน์ แล้วยังมีการรีโนเวทคฤหาสน์ใหม่ เธอก็รู้สึกแปลกใหม่มาก เสิ่นหยินอู้เดินตามอยู่ที่ข้างหลัง เธอมองดูฉูฉู่เข็นคุณนายฉินและพูดคุยกับคุณนายด้วยรอยยิ้มประดุจดอกไม้ ท่าทีของเธอก็ดูอ่อนโยนมาก ต้องบอกว่าฉูฉู่เก่งมากในการแสดงภาพลักษณ์ที่อ่อนโยนและน่ารื่นรมย์ และยังเก่งมากในการทำให้คุณย่ามีความผาสุข ตลอดช่วงเช้า คุณนายฉินถูกเธอทำให้ยิ้มออกมาและหัวเราะไปหลายครั้ง เมื่อใกล้เวลาสิบเอ็ดโมง ในที่สุดคุณนายฉินก็รู้สึกอ่อนล้า เมื่อเห็นเช่นนั้น เจียงฉูฉู่ก็พูดเบาๆว่า "คุณย่าฉินเหนื่อยแล้วสินะคะ งั้นเรากลับไปพักผ่อนกันดีกว่าไหมคะ? นี่ก็จะเที่ยงแล้วพอดีเลย ถ้าคุณย่าอยากออกมาเดินเล่น พรุ่งนี้ฉูฉู่มาเป็นเพื่อนได้นะคะ” คุณนายฉินรู้สึกเหนื่อยมากแล้วจริงๆ หลังจากได้ยินเช่นนั้นเธอจึงพยักหน้า หลังจากนั้น เจียงฉูฉู่ก็เข็นคุณนายฉินไปข้างหน้า โดยมีเสิ่นหยินอู้ตามมาข้างหลัง เ
หลังจากที่กลับไปและจัดการกับคุณนายฉินเรียบร้อยแล้ว เจียงฉูฉู่ก็มองไปที่เสิ่นหยินอู้แล้วพูดว่า "ขอบคุณนะ" ระหว่างทาง เธอมองหาโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดกับคุณนายฉินอยู่เสมอ หากเสิ่นหยินอู้ต้องการขัดขวางเธอ หยินอู้ก็ย่อมมีโอกาสและความสามารถที่จะทำเช่นนั้น แต่เธอไม่ได้ทำ “เมื่อก่อนที่ฉันเข้าใจเธอผิด ที่ฉันคิดว่าเธอไม่รักษาสัญญา ฉันขอโทษนะ” จู่ๆคุณนายฉินก็หมดสติและการผ่าตัดก็ถูกเลื่อนออกไป อันที่จริงแล้วเจียงฉูฉู่ไม่เชื่อด้วยซ้ำ ความคิดแรกของเธอเมื่อเธอได้ยินเรื่องนี้ก็คือเธอไม่เชื่อ ทำไมคนที่ดูจะปกติดีถึงเป็นลมในกะทันหันได้ ในใจเธอคิดร้ายว่าหยินอู้อาจบอกคุณนายฉินไปแล้วเกี่ยวกับเรื่องที่เธอตั้งครรภ์และเรื่องของฉูฉู่ จากนั้นคุณนายจึงให้ความร่วมมือกับเธอและเลื่อนการผ่าตัดออกไป ในตอนแรกเธอก็คิดเช่นนั้นจริงๆ เจียงฉูฉู่ก็รู้ด้วยว่าเธอเป็นคนคิดร้ายมาโดยตลอด แต่มีเพียงแค่ตัวเธอเองเท่านั้นที่รู้ แต่ในตอนนี้ ดูเหมือนว่าคุณนายฉินดูเหมือนจะไม่รู้อะไรเลย และเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ได้ขัดขวางเธอในตอนที่เธอพยายามใกล้ชิดคุณนายเพื่อเอาอกเอาใจ เธอพนันถูก คนผู้นี้ไม่ใช่คนเนรคุณต่อผู้มีพระคุณ เสิ่นหยินอู
เธอต้องการให้หลินโยวโยวรีบลงมือ แม้ว่าเธอจะตั้งใจเรียนอย่างจริงจัง แต่ปัญหาทั่วไปในการรีบลงมือก็คือปัญหาต่างๆที่จะเกิดขึ้น และเสิ่นหยินอู้ต้องจัดการกับผลที่ตามมาแทนเธอ เสิ่นหยินอู้เปิดคอมพิวเตอร์ของเธอ และทันทีที่เธอติดต่อกับหลินโยวโยวได้ หลินโยวโยวก็ร้องไห้ออกมาที่ตรงนั้นอย่างรวดเร็ว “ฮือฮือ พี่หยินอู้ พี่มาได้สักทีนะ... ถ้าพี่ยังไม่มาอีก ฉันอาจจะฆ่าตัวตายไปแล้ว” เสิ่นหยินอู้ "..." “ทำไมงานถึงยากขนาดนี้นะ? เทียบกับตอนนี้ ฉันรู้สึกว่าเมื่อก่อนฉันมีความสุขมาก แล้วก็นะพี่หยินอู้ เมื่อก่อนพี่ใช้ชีวิตมายังไงเนี่ย แค่คิดก็แย่มากแล้ว” หลังจากได้ยินคำพูดเรื่อยเปื่อยของเธอแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็ขัดจังหวะเธอ “พอแล้ว ไม่ต้องกังวลแล้ว มีปัญหาก็ค่อยๆแก้ไข สุดท้ายแล้วเธอก็ต้องเผชิญหน้ากับมัน” หากทำอะไรผิดในตอนนี้ก็ยังมีเธออยู่ แต่หากหลังจากนี้ทำอะไรผิดอีก ถึงตอนนั้นก็อาจจะต้องรับบทโทษ ฉินเย่ไม่ใช่เจ้านายที่อ่อนโยนเลยสักนิด ตอนที่เขาพาเธอไปที่บริษัทเพื่อเรียนรู้สิ่งต่างๆ เขาเข้มงวดมากๆ เข้มงวดมากจนเสิ่นหยินอู้ที่โตมาด้วยกันกับเขารู้สึกว่าเขาเหมือนเป็นคนละคน สิ่งที่เธอทำผิดพลาดมากมาย
ฉินเย่!! ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้??? เสิ่นหยินอู้เกือบจะกรีดร้องออกมาจริงๆ เขาไม่ได้ต้องไปจัดการงานเหรอ? ทำไมเขาถึงมาอยู่ในห้องหนังสือ อีกทั้งยังอยู่แบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง ตอนที่เธอเข้ามา เธอก็ไม่ได้ยินเสียงของเขาเลย เธอเพิ่งจะ... พูดคำว่า ลูก ออกไปไม่ใช่เหรอ? แต่ฉินเย่เข้ามาในเวลานี้พอดี เขาได้ยินคำพูดที่สำคัญนั้นหรือไม่? หรือว่า…… สีหน้าของเสิ่นหยินอู้ซีดราวกับหิมะ เธอมองไปที่ฉินเย่ด้วยความตื่นตระหนกตกใจ เธอทำได้เพียงเม้มริมฝีปากของเธอเพื่อให้แกล้งทำเป็นสงบเสงี่ยม ฉินเย่ไม่คาดคิดว่าเธอจะมาที่ห้องหนังสือ เมื่อเห็นเธอมองเขาและทำท่าทางราวกกับเห็นผี คิ้วเข้มๆของเธอก็ขมวดเล็กน้อย ช่วงนี้เธอทำตัวเหมือนนกที่หวาดกลัวตัวหนึ่งราวกับว่าเธอกำลังปิดบังบางสิ่งจากเขาอยู่ ฉินเย่เม้มริมฝีปากบาง เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาที่เฉียบคมมองไปยังใบหน้าที่ซีดเซียวของเสิ่นหยินอู้ “เมื่อกี้ คุณคุยกับใครอยู่?” เสิ่นหยินอู้อ้ำอึ้งเล็กน้อย คำถามนี้หมายความว่าฉินเย่ไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูดอย่างชัดเจนงั้นหรือ? อย่างไรก็ตาม เสิ่นหยินอู้ก็ไม่กล้าที่จะด่วนสรุป ถ้าฉินเย่ได้ยินและจงใจถามคำถามนี้เพื
คางของเธอถูกฉินเย่จับไว้ เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า "คุณสนใจผมเหรอ" "ตลกดีนะ" เสิ่นหยินอู้ยักไหล่ "ใครสนใจคุณกัน? คุณอยากทำยังไงก็ทำตามที่คุณต้องการเถอะ" ฉินเย่ยื่นมือไปที่เธอแล้วพูดด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก "ได้ งั้นก็เอาประวัติการโทรออกมาโชว์สิ" เสิ่นหยินอู้ "ฉินเย่ คุณเป็นบ้าหรอ?" “คุณไม่ได้บอกว่าผมอยากทำยังไงก็ทำตามที่ผมต้องการงั้นเหรอ?” “ฉันบอกว่าคุณคิดจะทำอะไรก็ทำ ไม่ใช่คุณจะทำอะไรกับฉันก็ทำกับฉันได้ คุณช่วยทำความเข้าใจในสิ่งที่ฉันพูดหน่อยได้ไหม?” “ทำไมหละ? คุณไม่ได้โทรคุยกับเธอเหรอ? แม้แต่ประวัติการโทรก็เอาให้ดูไม่ได้งั้นเหรอ? หรือจะบอกว่าคุณคุยกับคนอื่นหละ?” “……” ฉินเย่อ "ใช่พี่หนิงชวนของคุณคนนั้นรึเปล่า?" “……” เสิ่นหยินอู้เข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงต้องการทดสอบเธอ และทำไมเขาถึงต้องพูดจาเหน็บแนมเธอเช่นนี้ ที่แท้เขาก็ได้ยินแค่เสียงเธอพูดเท่านั้น แต่เขาไม่ได้ยินเนื้อหาที่ชัดเจนเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นเมื่อเขาเห็นท่าทางตื่นตระหนกของเธอ เขาจึงเข้าใจผิดว่าเธอกำลังคุยกับเจียงหนิงชวน ไม่ใช่หลินโยวโยว เจียงหนิงชวน... นี่เป็นครั้งที่สามที่ฉินเย่เป็นบ้าไปเพราะเขา และเ
เสิ่นหยินอู้เปิดปากเล็กๆของเธอและพ่นคำพูดออกมาอย่างต่อเนื่อง ทุกประโยคที่ออกมาจากปากของเธอ ฉินเย่พบว่าเขาไม่สามารถปฏิเสธมันได้เลย เขาเคยเห็นฝีปากเช่นนั้นของเสิ่นหยินอู้มาก่อน ครั้งแรกคือที่เขาพาเธอไปเจรจาต่อรองในที่ทำงาน เนื่องจากเธอไม่เคยสัมผัสกับงานระดับนี้มาก่อน อีกทั้งในตอนนั้นเธอก็ยังอายุน้อยอยู่ มันจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เธอจะมีอาการตื่นเวทีบ้าง แต่เมื่อจำนวนครั้งที่เธอสัมผัสกับมันเพิ่มขึ้น เธอก็มีประสบการณ์ที่จะรับมือกับมันมากขึ้นเรื่อยๆ แค่เธอเปิดปาก เธอก็สามารถควบคุมทุกคนไว้ได้ ตรรกะและความคิดของเธอล้วนชัดเจนมากเพียงพอ สิ่งที่เธอพูดทุกครั้งนั้นเพียงพอที่จะโค่นล้มอีกฝ่ายได้ เช่นเดียวกับตอนนี้ เธอกำลังใช้วีธีนี้ในการปฏิบัติต่อเขา และฉินเย่กลับพบว่าตัวเขาพูดอะไรไม่ได้เลยจริงๆ มันเป็นเรื่องจริงที่ฉูฉู่มาที่บ้านเขา แล้วยังสวมเสื้อผ้าของเธออีก เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้พูดอะไร เสิ่นหยินอู้แสยะยิ้มออกมาที่มุมปากและเย้ยหยัน "ทำไมคุณถึงไม่พูดหละ? ฉินเย่ คุณลองคิดดูนะ ฉันพาผู้ชายคนอื่นมาที่บ้าน แล้วก็ให้ชายคนนั้นสวมเสื้อผ้าของคุณ” ฉินเย่ "....." เพียงแค่ได้ยินสิ่งที่เสิ่นห
ลุงเยี่ยน "....." “เอ่อ คือฉันก็แค่เดาไปเรื่อยน่ะ ซุปปลาอันนั้นที่ลุงเยี่ยนต้มตอนเช้าอร่อยมาก ตอนฉันยกออกมาก็ไม่ได้กลิ่นคาวเลยสักนิด แต่คุณผู้หญิงแค่ได้กลิ่นนิดเดียวก็อาเจียนออกมารุนแรงขนาดนั้น พี่สะใภ้ของฉันก็เป็นแบบนี้ตอนที่เธอท้อง ได้กลิ่นคาวนิดเดียวคือไม่ได้เลย เธออ่อนไหวกว่าเรามาก ไม่ใช่แค่นี้นะ รสชาติของอาหารที่ชอบก็เปลี่ยนไปมากเช่นกัน" ยิ่งลุงเยี่ยนฟังมากเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกตกใจมากขึ้นเท่านั้น เพราะเขารู้สึกว่าสิ่งที่บุคคลคนนี้พูดนั้นค่อนข้างสมเหตุสมผล หากคุณผู้หญิงท้องจริงๆ เขาคงต้องปรับปรุงสูตรอาหารให้ดีขึ้น! ลุงเยี่ยนเก็บประเด็นสำคัญนี้ไปคิดอย่างรวดเร็ว - เสิ่นหยินอู้กินไดฟูกุไปสองชิ้นและพัฟไอศกรีมไปอีกหลายชิ้น และตบท้องของเธอเบาๆด้วยความพึงพอใจ ทำไมเมื่อก่อนไม่เคยรู้สึกว่าขนมเหล่านี้อร่อยมากขนาดนี้นะ? ดูเหมือนว่าเจ้าตัวเล็กในท้องของเธอคงจะเป็นแมวตัวน้อยจอมตะกละสินะ “เจ้าเด็กจอมตะกละ” เสิ่นหยินอู้สะกิดท้องของเธอเบาๆ แล้วพูดเสียงเบาๆด้วยความรัก ลูกของเธออายุยังไม่ถึงหนึ่งเดือน ท้องของเธอจึงยังแบนอยู่ ซึ่งดูไม่ออกเลยสักนิด และโดยธรรมชาติแล้วก็ย่อมไม่สามารถตอ
สิ่งที่ลุงเยี่ยนพูดเมื่อครู่นี้มีความหมายกว้างพอสมควร เสิ่นหยินอู้ได้หยินเช่นนั้นก็รู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก หรือว่าลุงเยี่ยนอาจจะพบเบาะแสอะไรบางอย่างในอาหารของเธอ? เมื่อลุงเยี่ยนเห็นสีหน้าที่ตกตะลึงของเสิ่นหยินอู้และถูมือของเธอด้วยท่าทางที่ทำอะไรไม่ถูก เขาก็ยิ้มอย่างจริงใจมาก “จู่ๆรสชาติอาหารที่คุณผู้หญิงชอบก็เปลี่ยนไป ผมก็เลยปรับเปลี่ยนรสชาติตามที่คุณผู้หญิงน่าจะชอบน่ะครับ ทำไมเหรอครับคุณหญิง มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ?” รสชาติอาหารที่ชอบเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก.... หากคนอื่นได้ยินคำพูดแบบนี้เข้า มันก็คงจะดูน่าสงสัย เสิ่นหยินอู้เม้มริมฝีปากแล้วมองไปที่ลุงเยี่ยนด้วยสีหน้าที่จริงจังและกระซิบว่า "ลุงเยี่ยนคะ รสชาติอาหารที่ฉันชอบเปลี่ยนไปมากตรงไหนคะ? ฉันแค่กินของหวานในตอนเช้าเพิ่มมานิดหน่อยเองนะคะ" ลุงเยี่ยนสับสนกับสิ่งที่เธอพูด เขาจับที่ท้ายทอยของตัวเองและรู้สึกว่าเธอพูดถูก เธอแค่กินของหวานเพิ่มไม่กี่อย่างเท่านั้นเอง แล้วทำไมเขาจึงรู้สึกว่ารสชาติอาหารที่คุณผู้หญิงชอบนั้นเปลี่ยนไปมากกันนะ? เมื่อคิดเช่นนั้น ลุงเยี่ยนก็รู้สึกเสียหน้าขึ้นมาเล็กน้อยในทันที “ขอโทษครับคุณผู้หญิง บาง
แม้ว่าในที่สุดเขาก็พบเธอ แต่ใครจะกล้ารับประกันกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นได้? "พอได้แล้ว" เมื่อเห็นเธอกัดริมฝีปากล่างและคิดจะพูดอะไรอื่นอีก ฉินเย่ก็เอามือใหญ่โอบไปที่เอวบางของเธอ "ไม่ต้องคิดแล้ว ในเมื่อผมเลือกที่จะอยู่ นั่นก็หมายความว่าผมมั่นใจ" “แต่... เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่คุณควรทำตั้งแต่แรกนะ” “นั่วนั่ว” ฉินเย่เรียกชื่อเธอด้วยเสียงแผ่วเบา “การจะทำอะไรสักอย่างน่ะ ไม่มีคำว่าควรหรือไม่ควร มีแต่เต็มหรือไม่เต็มใจเท่านั้นแหละ” “ถ้าคุณรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ผมจะอยู่ที่นี่จริงๆ งั้นหลังจากที่ผมกลับไปที่จีนแล้วก็ลองคิดเรื่องที่จะเปลี่ยนสถานะให้ผมดูดีกว่าไหม?” เสิ่นหยินอู้เข้าใจในทันทีว่าเขาหมายถึงเรื่องการเรียกชื่อ เขาต้องการให้เด็กทั้งสองหยุดเรียกเขาว่าลุงเย่มู่และเรียกเขาว่าพ่อแทน หรือจะบอกว่า ที่เขาทำมามากขนาดนั้นก็เพียงเพื่อความปรารถนาเล็กๆน้อยๆเช่นนี้งั้นหรอ? เมื่อเธอคิดได้เช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็นิ่งไป แล้วพูดว่า "คุณจะไม่บอกพวกเขางั้นหรอ?" ริมฝีปากของฉินเย่โค้งขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบกลับคำพูดของเธอ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดเบาๆว่า: "ครั้งนี้ ผมจะไม่ไปเจอพวกเข
คำพูดทางจิตวิทยาเช่นนี้... ถ้าเขาบอกว่าเขาชอบลุงโม่ไป๋มากกว่า ถึงตอนนั้น... เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นซือเหนียนก็พูดว่า: "ลุงโม่ไป๋อยู่กับพวกเรามานานกว่า" เมื่อได้ยิน ฉินเย่ก็กลั้นหายใจ "ถ้างั้น……" “แต่ลุงเย่มู่มาดูไลฟ์สดของเราบ่อยๆแล้วก็ให้รางวัลเราตลอดเลยด้วย” คำพูดประโยคหลังทำให้หัวใจที่กำลังจมดิ่งลงไปของฉินเย่ลอยกลับขึ้นมาอีกครั้ง เดิมทีเขาคิดว่าตามความคิดของซือเหนียน เขาคงจะหมดโอกาสแล้ว แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าคำพูดของซือเหนียนจะเปลี่ยนไป ซึ่งมันไม่ต่างกับเป็นการทำให้หัวใจของฉินเย่ลุกเป็นไฟ "แล้วไงต่อ?" ฉินเย่ยังคงรู้สึกประหม่ามากในขณะที่เขาถามคำถามนี้ออกมา เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะสนใจความคิดของเด็กคนหนึ่งมากขนาดนี้ เพราะกลัวว่าเด็กคนนี้จะไม่เลือกเขาแต่ไปเลือกคนอื่นแทน "ก็……"เสิ่นซือเหนียนจงใจพูดเสียงยาว เมื่อเห็นว่าการหายใจของฉินเย่ดูเหมือนจะติดๆขัดๆขึ้นมา เขาก็คิดว่ามันค่อนข้างน่าขันเล็กน้อย เขาจงใจเอียงศีรษะแล้วพูดว่า: "ลุงเย่มู่กับลุงโม่ไป๋เสมอกันครับ" เสมอกัน? ฉินเย่ตกตะลึง “เสมอกันงั้นเหรอ?” “ลุงเย่มู่ หรือว่าลุงคิดว่าลุงจะแพ้ลุงโม่ไป๋เหรอครั
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ
ฉินเย่สัญญาว่าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้เธอ รวมถึงอาการบาดเจ็บของผู้ช่วยเฉินด้วย คนของเขาสามารถจัดการเรื่องอะไรต่างๆได้อย่างรวดเร็วมาก ในวันถัดมา เสิ่นหยินอู้ก็ได้รับข่าวคราวล่าสุดของพวกโม่ไป๋ เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ยังไม่มีร่องรอยของผู้ช่วยเฉินเลย “ไร้ร่องรอยงั้นเหรอ?” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้ได้ยินเช่นนั้น เธอก็มีลางสังหรณ์แย่ๆขึ้นมาทันที เมื่อตอนที่เธอยังอยู่ที่บ้านของโม่ไป๋ ผู้ช่วยเฉินก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาหลายวัน จากนั้นเมื่อเธอถามถึงเขา เขาจึงปรากฏตัวขึ้น แต่เมื่อเขาปรากฏตัว เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งสำคัญคืออาการบาดเจ็บของเขาหนักแค่ไหน เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถรับรู้ได้เลย เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะถอดเสื้อของเขาออกมาเพื่อดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บแค่ไหน ต่อมาเขาปล่อยเธอและพาเธอออกมา หลังจากที่เขากลับไป โม่ไป๋ก็คงจะยิ่งไม่เกรงใจเขามากขึ้น ตอนนี้... ไม่รู้เลยว่าเขาจะเป็นเช่นไร นอกจากนี้ โม่ไป๋ยังได้รับบาดเจ็บ เขาคงจะโกรธมากและระบายความโกรธทั้งหมดที่มีใส่ผู้ช่วยเฉินหรือไม่? และที่นี่คือที่ต่างประเทศ ถ้าหากว่า... เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ
คาดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายจะมีด้านนี้เหมือนกัน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันไปมองเขา “ฉันไม่ได้อึดอัด แต่ตอนนี้คุณบาดเจ็บอยู่ คุณไม่ได้ต้องพักผ่อนเหรอ?” "อืม" ฉินเย่พยักหน้า: "ผมอยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนผม" เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจ: "เมื่อคืนนี้ฉันอยู่กับคุณทั้งคืนไปแล้วไม่ใช่เหรอ?" เขาคงจะไม่ได้คิดที่จะให้เธออยู่กับเขาไปตลอดใช่ไหม? เธอยังต้องไปดูแลลูกๆ “นั่วนั่ว” เขาดึงเธอเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: "ผมเป็นคนป่วย ต้องการคนอยู่ด้วยในระยะยาว" เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ขัดขืน ฉินเย่ก็ดึงเธอขึ้นไปนั่งบนตักเขาแล้วเอามือพยุงไว้ที่เอวของเธอ ก่อนที่เธอจะทันได้โต้ตอบ เธอก็ตกเข้าไปในอ้อมแขนของเขาแล้ว ฉินเย่ก้มศีรษะลงและโน้มตัวเอาหน้าลงไปซุกไว้ที่ซอกคอของเธอ เขาสูดดมกลิ่นของเธอด้วยความละโมบ ลมหายใจอันร้อนรุ่มที่ออกมาทั้งหมดถูกปล่อยออกมาที่ซอกคอของเสิ่นหยินอู้ เธอรู้สึกถึงมันได้อย่างรวดเร็วและกระตุกหลายครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าฉินเย่จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาประทับริมฝีปากบางที่นุ่มนิ่มของเขาลงไปบนซอกคอของเธอ เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น ในที่สุดเสิ่นหยินอ
เขาคว้าโทรศัพท์ไปทั้งเครื่อง เสิ่นหยินอู้ไม่ได้จับโทรศัพท์เลย เธอไม่กล้าแย่งมันคืนมาเพราะกลัวว่าระหว่างการแย่งชิงโทรศัพท์กันจะทำให้บาดแผลของเขาฉีกกว้างขึ้น “บทลงโทษอะไรกัน? ต่อให้คุณจะพูดไม่เหมาะสม แต่ก็มันไม่เกี่ยวอะไรกับบาดแผลของคุณเลย” น่าเสียดายที่ไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไร ฉินเย่ก็เหมือนจะไม่ได้ยินเธอ ราวกับว่าเขายินยอมที่จะรับบทลงโทษของตัวเอง เมื่อเห็นท่าทางที่นิ่งเฉยของเขา เสิ่นหยินอู้ก็พูดได้เพียงว่า: "ต่อให้คุณจะลงโทษตัวเอง แต่ก็ใช้วิธีอื่นก็ได้" วิธีอื่นเหรอ? ในที่สุดฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองเธอ “แล้วคุณว่า ต้องลงโทษแบบไหนล่ะ?”เสิ่นหยินอู้คิดอย่างจริงจังอยู่สักพัก "วิธีลงโทษคุณน่ะมี แต่ไม่ใช่ตอนนี้ รอหลังจากที่แผลคุณหายดีแล้วก่อนเถอะ" “งั้นหลังจากลงโทษแล้ว คุณจะยกโทษให้ผมได้ไหม?” “เรื่องนี้ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีนะ” คำพูดที่เขาพูดในวันนี้มันทำให้เธอโกรธมากจริงๆ เมื่อเห็นเช่นนั้น สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไรอีก “เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน ฉันจะโทรตามคุณหมอมาทำแผลให้คุณใหม่” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดฉินเย่ก็ยื่นโทรศัพท์ให้เธอหลังจ
รวมถึงโม่ไป๋ด้วย การที่เขาลักพาตัวเธอไปอย่างกะทันหันก็เป็นสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงเช่นกัน แต่สิ่งที่ฉินเย่พูดในตอนนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ตื่นตระหนกขึ้นมา แต่ในไม่ช้าเธอก็สงบลง “เรื่องนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นเลยนะ มันไม่เหมาะสมที่คุณที่จะยกตัวอย่างแบบนี้ขึ้นมา” คำตอบของเธอทำให้สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย “เป็นเพราะผมยกตัวอย่างที่ไม่เหมาะสมหรือเพราะคุณไม่สามารถตอบคำถามของผมได้เลย หรือจะบอกว่าคำตอบของคุณก็เหมือนกับที่ผมคิดไว้” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เม้มริมฝีปาก เธอพยายามจินตนาการถึงภาพนี้ในหัว หากฉินเย่ลักพาตัวเธอ และให้เธอกับลูกๆอยู่ด้วยกันกับเขาไปตลอดชีวิตเท่านั้น ไม่ได้ ต่อให้จะเป็นเขา แต่เธอก็รับไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าพวกเขาจะสนิทสนมเพียงใด เธอก็ไม่สามารถยอมรับเรื่องที่พวกเขาทำผิดกฎหมายได้ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่สนใจว่าคำพูดถัดไปจะทำร้ายจิตใจของฉินเย่หรือไม่ เธอพูดออกมาตรงๆ “ใช่ คุณพูดถูก ถ้าคุณลักพาตัวฉัน ฉันก็จะไม่อยู่กับคุณ” ดวงตาของฉินเย่มืดลง “แต่ในอีกความหมายหนึ่ง การที่ฉันไม่อยู่กับคุณมันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไปอยู่กับเขา ถ้าฉันจะอยู่กับคุณมัน