หลังจากพูดจบ เจียงฉูฉู่ดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงพูดว่า "ก็เหมือนที่เย่ไม่ชอบกินของหวานนั่นแหละ" ต่อให้ไม่ชอบก็ไม่ควรรู้สึกคลื่นไส้ขนาดนี้ ฉินเย่มองเสิ่นหยินอู้ในอ้อมแขนของเขา ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึวรู้สึกว่าเธอกำลังปกปิดบางอย่างจากเขาอยู่ เมื่อเขานึกถึงรายงานที่ถูกฉีกจนขาดเป็นชิ้นๆที่พ่อบ้านเคยพูดถึงก่อนหน้านี้ สายตาของฉินเย่ก็หม่นลงเล็กน้อย แต่ก่อนที่เขาจะได้ทันคิดเรื่องนี้อย่างละเอียด เสิ่นหยินอู้ที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาก็ดิ้นไปมา "วางฉันลง คุณจะให้ฉันอีกพูดกี่ครั้ง?" ฉินเย่หรี่ตา "คุณแน่ใจนะว่าไม่อยากไปโรงพยาบาล?" เสิ่นหยินอู้หายใจเข้าลึกๆ “ฉันไม่ได้ป่วย แค่ไม่อยากกินซุปหัวปลาเท่านั้นเอง ต้องไปถึงโรงพยาบาลเลยรึไง?” ตอนนี้สีหน้าของเสิ่นหยินอู้ดูดีขึ้นมากแล้ว ริมฝีปากของเธอกลับมามีสีแดงขึ้นอีกครั้ง ดูไปดูมาก็ไม่เหมือนคนป่วยเลยจริงๆ จากนั้นเขาก็วางเสิ่นหยินอู้ลง ทันทีที่เท้าของเธอแตะพื้น เจียงฉูฉู่ก็เข้ามาพยุงมือของเสิ่นหยินอู้และพูดอย่างเป็นกังวล "เธอไม่เป็นไรนะ? ถ้าเมื่อกี้รู้สึกคลื่นไส้ งั้นเธอก็ไม่ควรทานซุปหัวปลาเพิ่มแล้ว อีกเดี๋ยวไปหาอะไรที่รสชาติไม่จั
"ใช่ค่ะคุณย่า" เพื่อไม่ให้คุณย่าสงสัย เสิ่นหยินอู้จึงต้องหาคำพูดมาพูดเพิ่ม “หนูไม่ชอบกินปลามาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ ตอนเด็กๆหนูคิดว่าปลาเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ แต่พอกินไปครั้งหนึ่งหนูก็อาเจียนออกมาอย่างรุนแรง วันนี้พอได้กลิ่นมัน ในใจหนูก็เลยหวนนึกถึงวันนั้นขึ้นมาน่ะค่ะ” หลังจากได้ยิน ท่าทีที่เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ของคุณนายฉินก็หายไปตามที่คาดไว้ เคยอาเจียนหลังจากกินปลาเข้าไปในตอนที่เป็นเด็กงั้นหรือ? ถ้าเช่นนั้นการที่จะกลายเป็นเรื่องฝังใจเมื่อโตขึ้นก็ฟังดูเป็นเรื่องปกติ แต่เธอก็ยังกังวลอยู่ “ไม่มีปัญหาอะไรจริงๆใช่ไหม? ทำไมถึงไม่ไปตรวจที่โรงพยาบาลหละ?” “ไม่ต้องหรอกค่ะคุณย่า ตอนนี้หนูสบายดีแล้ว คุณย่าดูสิคะ ตอนนี้หนูเหมือนคนที่กำลังมีปัญหาอยู่หรอคะ?” คุณนายฉินมองสำรวจเธอหลายครั้ง จากนั้นจึงพบว่าสีหน้าของเธอฟื้นตัวกลับมาแล้วจริงๆ ดูไปดูมาก็เหมือนไม่มีปัญหาอะไร เธออดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปหยิกแก้มที่อ่อนนุ่มของเสิ่นหยินอู้ "เด็กน้อยคนนี้นิ ทำไมไม่รีบบอกย่าก่อนว่าหนูไม่ชอบกินปลาหละ?" “งื้อ” เสิ่นหยินอู้พูดอย่างออดอ้อนด้วยเสียงเบาๆ “ก็คุณย่าชอบทานนี่คะ หนูเลยอยากจะลองทานดูบ
"อืม" ฉินเย่พยักหน้า "ดูแลพวกเขาให้ดีหละ" คุณนายฉินไม่ได้ออกจากโรงพยาบาลมาเป็นเวลานานแล้ว ดังนั้นหลังจากออกไปข้างนอกและได้รับแสงแดด เธอก็รู้สึกสบายมากกว่าตอนที่อยู่ในสวนดอกไม้ของโรงพยาบาล เมื่อมองดูผู้คนที่เดินไปตามถนนในบริเวณคฤหาสน์ แล้วยังมีการรีโนเวทคฤหาสน์ใหม่ เธอก็รู้สึกแปลกใหม่มาก เสิ่นหยินอู้เดินตามอยู่ที่ข้างหลัง เธอมองดูฉูฉู่เข็นคุณนายฉินและพูดคุยกับคุณนายด้วยรอยยิ้มประดุจดอกไม้ ท่าทีของเธอก็ดูอ่อนโยนมาก ต้องบอกว่าฉูฉู่เก่งมากในการแสดงภาพลักษณ์ที่อ่อนโยนและน่ารื่นรมย์ และยังเก่งมากในการทำให้คุณย่ามีความผาสุข ตลอดช่วงเช้า คุณนายฉินถูกเธอทำให้ยิ้มออกมาและหัวเราะไปหลายครั้ง เมื่อใกล้เวลาสิบเอ็ดโมง ในที่สุดคุณนายฉินก็รู้สึกอ่อนล้า เมื่อเห็นเช่นนั้น เจียงฉูฉู่ก็พูดเบาๆว่า "คุณย่าฉินเหนื่อยแล้วสินะคะ งั้นเรากลับไปพักผ่อนกันดีกว่าไหมคะ? นี่ก็จะเที่ยงแล้วพอดีเลย ถ้าคุณย่าอยากออกมาเดินเล่น พรุ่งนี้ฉูฉู่มาเป็นเพื่อนได้นะคะ” คุณนายฉินรู้สึกเหนื่อยมากแล้วจริงๆ หลังจากได้ยินเช่นนั้นเธอจึงพยักหน้า หลังจากนั้น เจียงฉูฉู่ก็เข็นคุณนายฉินไปข้างหน้า โดยมีเสิ่นหยินอู้ตามมาข้างหลัง เ
หลังจากที่กลับไปและจัดการกับคุณนายฉินเรียบร้อยแล้ว เจียงฉูฉู่ก็มองไปที่เสิ่นหยินอู้แล้วพูดว่า "ขอบคุณนะ" ระหว่างทาง เธอมองหาโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดกับคุณนายฉินอยู่เสมอ หากเสิ่นหยินอู้ต้องการขัดขวางเธอ หยินอู้ก็ย่อมมีโอกาสและความสามารถที่จะทำเช่นนั้น แต่เธอไม่ได้ทำ “เมื่อก่อนที่ฉันเข้าใจเธอผิด ที่ฉันคิดว่าเธอไม่รักษาสัญญา ฉันขอโทษนะ” จู่ๆคุณนายฉินก็หมดสติและการผ่าตัดก็ถูกเลื่อนออกไป อันที่จริงแล้วเจียงฉูฉู่ไม่เชื่อด้วยซ้ำ ความคิดแรกของเธอเมื่อเธอได้ยินเรื่องนี้ก็คือเธอไม่เชื่อ ทำไมคนที่ดูจะปกติดีถึงเป็นลมในกะทันหันได้ ในใจเธอคิดร้ายว่าหยินอู้อาจบอกคุณนายฉินไปแล้วเกี่ยวกับเรื่องที่เธอตั้งครรภ์และเรื่องของฉูฉู่ จากนั้นคุณนายจึงให้ความร่วมมือกับเธอและเลื่อนการผ่าตัดออกไป ในตอนแรกเธอก็คิดเช่นนั้นจริงๆ เจียงฉูฉู่ก็รู้ด้วยว่าเธอเป็นคนคิดร้ายมาโดยตลอด แต่มีเพียงแค่ตัวเธอเองเท่านั้นที่รู้ แต่ในตอนนี้ ดูเหมือนว่าคุณนายฉินดูเหมือนจะไม่รู้อะไรเลย และเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ได้ขัดขวางเธอในตอนที่เธอพยายามใกล้ชิดคุณนายเพื่อเอาอกเอาใจ เธอพนันถูก คนผู้นี้ไม่ใช่คนเนรคุณต่อผู้มีพระคุณ เสิ่นหยินอู
เธอต้องการให้หลินโยวโยวรีบลงมือ แม้ว่าเธอจะตั้งใจเรียนอย่างจริงจัง แต่ปัญหาทั่วไปในการรีบลงมือก็คือปัญหาต่างๆที่จะเกิดขึ้น และเสิ่นหยินอู้ต้องจัดการกับผลที่ตามมาแทนเธอ เสิ่นหยินอู้เปิดคอมพิวเตอร์ของเธอ และทันทีที่เธอติดต่อกับหลินโยวโยวได้ หลินโยวโยวก็ร้องไห้ออกมาที่ตรงนั้นอย่างรวดเร็ว “ฮือฮือ พี่หยินอู้ พี่มาได้สักทีนะ... ถ้าพี่ยังไม่มาอีก ฉันอาจจะฆ่าตัวตายไปแล้ว” เสิ่นหยินอู้ "..." “ทำไมงานถึงยากขนาดนี้นะ? เทียบกับตอนนี้ ฉันรู้สึกว่าเมื่อก่อนฉันมีความสุขมาก แล้วก็นะพี่หยินอู้ เมื่อก่อนพี่ใช้ชีวิตมายังไงเนี่ย แค่คิดก็แย่มากแล้ว” หลังจากได้ยินคำพูดเรื่อยเปื่อยของเธอแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็ขัดจังหวะเธอ “พอแล้ว ไม่ต้องกังวลแล้ว มีปัญหาก็ค่อยๆแก้ไข สุดท้ายแล้วเธอก็ต้องเผชิญหน้ากับมัน” หากทำอะไรผิดในตอนนี้ก็ยังมีเธออยู่ แต่หากหลังจากนี้ทำอะไรผิดอีก ถึงตอนนั้นก็อาจจะต้องรับบทโทษ ฉินเย่ไม่ใช่เจ้านายที่อ่อนโยนเลยสักนิด ตอนที่เขาพาเธอไปที่บริษัทเพื่อเรียนรู้สิ่งต่างๆ เขาเข้มงวดมากๆ เข้มงวดมากจนเสิ่นหยินอู้ที่โตมาด้วยกันกับเขารู้สึกว่าเขาเหมือนเป็นคนละคน สิ่งที่เธอทำผิดพลาดมากมาย
ฉินเย่!! ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้??? เสิ่นหยินอู้เกือบจะกรีดร้องออกมาจริงๆ เขาไม่ได้ต้องไปจัดการงานเหรอ? ทำไมเขาถึงมาอยู่ในห้องหนังสือ อีกทั้งยังอยู่แบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง ตอนที่เธอเข้ามา เธอก็ไม่ได้ยินเสียงของเขาเลย เธอเพิ่งจะ... พูดคำว่า ลูก ออกไปไม่ใช่เหรอ? แต่ฉินเย่เข้ามาในเวลานี้พอดี เขาได้ยินคำพูดที่สำคัญนั้นหรือไม่? หรือว่า…… สีหน้าของเสิ่นหยินอู้ซีดราวกับหิมะ เธอมองไปที่ฉินเย่ด้วยความตื่นตระหนกตกใจ เธอทำได้เพียงเม้มริมฝีปากของเธอเพื่อให้แกล้งทำเป็นสงบเสงี่ยม ฉินเย่ไม่คาดคิดว่าเธอจะมาที่ห้องหนังสือ เมื่อเห็นเธอมองเขาและทำท่าทางราวกกับเห็นผี คิ้วเข้มๆของเธอก็ขมวดเล็กน้อย ช่วงนี้เธอทำตัวเหมือนนกที่หวาดกลัวตัวหนึ่งราวกับว่าเธอกำลังปิดบังบางสิ่งจากเขาอยู่ ฉินเย่เม้มริมฝีปากบาง เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาที่เฉียบคมมองไปยังใบหน้าที่ซีดเซียวของเสิ่นหยินอู้ “เมื่อกี้ คุณคุยกับใครอยู่?” เสิ่นหยินอู้อ้ำอึ้งเล็กน้อย คำถามนี้หมายความว่าฉินเย่ไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูดอย่างชัดเจนงั้นหรือ? อย่างไรก็ตาม เสิ่นหยินอู้ก็ไม่กล้าที่จะด่วนสรุป ถ้าฉินเย่ได้ยินและจงใจถามคำถามนี้เพื
คางของเธอถูกฉินเย่จับไว้ เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า "คุณสนใจผมเหรอ" "ตลกดีนะ" เสิ่นหยินอู้ยักไหล่ "ใครสนใจคุณกัน? คุณอยากทำยังไงก็ทำตามที่คุณต้องการเถอะ" ฉินเย่ยื่นมือไปที่เธอแล้วพูดด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก "ได้ งั้นก็เอาประวัติการโทรออกมาโชว์สิ" เสิ่นหยินอู้ "ฉินเย่ คุณเป็นบ้าหรอ?" “คุณไม่ได้บอกว่าผมอยากทำยังไงก็ทำตามที่ผมต้องการงั้นเหรอ?” “ฉันบอกว่าคุณคิดจะทำอะไรก็ทำ ไม่ใช่คุณจะทำอะไรกับฉันก็ทำกับฉันได้ คุณช่วยทำความเข้าใจในสิ่งที่ฉันพูดหน่อยได้ไหม?” “ทำไมหละ? คุณไม่ได้โทรคุยกับเธอเหรอ? แม้แต่ประวัติการโทรก็เอาให้ดูไม่ได้งั้นเหรอ? หรือจะบอกว่าคุณคุยกับคนอื่นหละ?” “……” ฉินเย่อ "ใช่พี่หนิงชวนของคุณคนนั้นรึเปล่า?" “……” เสิ่นหยินอู้เข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงต้องการทดสอบเธอ และทำไมเขาถึงต้องพูดจาเหน็บแนมเธอเช่นนี้ ที่แท้เขาก็ได้ยินแค่เสียงเธอพูดเท่านั้น แต่เขาไม่ได้ยินเนื้อหาที่ชัดเจนเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นเมื่อเขาเห็นท่าทางตื่นตระหนกของเธอ เขาจึงเข้าใจผิดว่าเธอกำลังคุยกับเจียงหนิงชวน ไม่ใช่หลินโยวโยว เจียงหนิงชวน... นี่เป็นครั้งที่สามที่ฉินเย่เป็นบ้าไปเพราะเขา และเ
เสิ่นหยินอู้เปิดปากเล็กๆของเธอและพ่นคำพูดออกมาอย่างต่อเนื่อง ทุกประโยคที่ออกมาจากปากของเธอ ฉินเย่พบว่าเขาไม่สามารถปฏิเสธมันได้เลย เขาเคยเห็นฝีปากเช่นนั้นของเสิ่นหยินอู้มาก่อน ครั้งแรกคือที่เขาพาเธอไปเจรจาต่อรองในที่ทำงาน เนื่องจากเธอไม่เคยสัมผัสกับงานระดับนี้มาก่อน อีกทั้งในตอนนั้นเธอก็ยังอายุน้อยอยู่ มันจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เธอจะมีอาการตื่นเวทีบ้าง แต่เมื่อจำนวนครั้งที่เธอสัมผัสกับมันเพิ่มขึ้น เธอก็มีประสบการณ์ที่จะรับมือกับมันมากขึ้นเรื่อยๆ แค่เธอเปิดปาก เธอก็สามารถควบคุมทุกคนไว้ได้ ตรรกะและความคิดของเธอล้วนชัดเจนมากเพียงพอ สิ่งที่เธอพูดทุกครั้งนั้นเพียงพอที่จะโค่นล้มอีกฝ่ายได้ เช่นเดียวกับตอนนี้ เธอกำลังใช้วีธีนี้ในการปฏิบัติต่อเขา และฉินเย่กลับพบว่าตัวเขาพูดอะไรไม่ได้เลยจริงๆ มันเป็นเรื่องจริงที่ฉูฉู่มาที่บ้านเขา แล้วยังสวมเสื้อผ้าของเธออีก เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้พูดอะไร เสิ่นหยินอู้แสยะยิ้มออกมาที่มุมปากและเย้ยหยัน "ทำไมคุณถึงไม่พูดหละ? ฉินเย่ คุณลองคิดดูนะ ฉันพาผู้ชายคนอื่นมาที่บ้าน แล้วก็ให้ชายคนนั้นสวมเสื้อผ้าของคุณ” ฉินเย่ "....." เพียงแค่ได้ยินสิ่งที่เสิ่นห