เสิ่นหยินอู้กำลังเตรียมตัวที่จะดื่มนม คนรับใช้กลับยกชามซุปหัวปลามา “คุณผู้หญิง เช้านี้ทานสิ่งนี้นะคะ” ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยมีการเสิร์ฟซุปในเวลาอาหารเช้าเท่าไรนัก โดยปกติแล้วจะเป็นน้ำผลไม้ นม และอื่นๆ เนื่องจาก ที่จริงแล้วเสิ่นหยินอู้เป็นคนที่ใส่ใจในจรูปร่างของเธอ ดังนั้น อาหารที่พ่อครัวที่บ้านทำให้เธอโดยส่วนใหญ่แล้วจึงเป็นอาหารที่คำนวณแคลอรี่มาดีแล้ว แต่เมื่อเห็นซุปหัวปลาในวันนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ไม่แปลกใจเลย คุณนายฉินกลับมาแล้ว พ่อครัวจึงต้องปรับสูตรอาหาร แต่นี่อาจไม่ใช่ประเด็น คงจะเป็นคุณนายฉินที่ให้คนรับใช้ยกมาให้เธอทาน อย่างที่คิด เมื่อเธออ้ำอึ้ง คุณนายฉินจึงยิ้มและพูดว่า "หนูผอมเกินไปแล้ว ทานซุปสักหน่อยเพื่อเติมเต็มร่างกายนะจ๊ะ" เสิ่นหยินอู้มองไปที่ชามซุปปลาแล้วจึงพยักหน้า "ขอบคุณนะคะคุณย่า" นานๆครั้งคงไม่เป็นไร ถ้าอ้วนก็อ้วนขึ้นอีกหน่อยจะเป็นไรไป และตอนนี้เธอกำลังตั้งครรภ์ เธอไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เหมือนเมื่อก่อน เธอจำเป็นต้องทานอาหารที่มีสารอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้นจริงๆ เมื่อนึกถึงจุดนี้ เสิ่นหยินอู้ก็หยิบช้อนขึ้นมาแล้วก้มหัวลงเพื่อตักซุปปลา เธอกำลังจะเอาซุปปล
ใครจะคิดว่าเนื่องจากอาการคลื่นไส้ของเสิ่นหยินอู้ ภายในห้องจึงตกอยู่ในความโกลาหล เสิ่นหยินอู้ซบอยู่ในอ้อมแขนของฉินเย่อย่างอ่อนแรง ภาพภายในหัวของเธอเลือนลางเล็กน้อย เจียงฉูฉู่ที่ตามพวกเขาอยู่จู่ๆก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเอ่ยปากแนะนำว่า "เย่ มันไกลเกินไปที่จะไปโรงพยาบาลนะ ทำไมคุณไม่ลองไปส่งเธอที่คลินิกของเพื่อนฉันดูหละ? ฉันเดาว่าหยินอู้น่าจะกินอะไรที่ผิดปกติเข้าไป" ” แม้ว่าภายนอกของเจียงฉูฉู่จะให้คำแนะนำอย่างสงบ แต่จริงๆแล้วภายในใจของเธอกลับรู้สึกตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก ในเวลานี้ หากฉินเย่พาเธอไปโรงพยาบาล ความลับก็จะถูกเปิดเผยอย่างแน่นอน ถ้าเธอต้องไปตรวจจริงๆ การไปที่คลินิกของเพื่อนเธอคงจะดีกว่า หากเกิดอะไรขึ้นมา เธอจะได้มีโอกาสรับมือกับมันได้ เมื่อนึกถึงจุดนี้ เจียงฉูฉู่ก็นึกขึ้นได้ทันทีว่าครั้งก่อนที่เสิ่นหยินอู้มีไข้ เธอก็ปฏิเสธที่จะไปโรงพยาบาลตลอดในระหว่างทาง ในเวลานั้น เจียงฉูฉู่คิดว่าเป็นเพราะตัวเธอ เสิ่นหยินอู้จึงจงใจโกรธฉินเย่และแกล้งทำตัวน่าสงสารเพื่อให้ได้รับความสนใจและสงสารจากฉินเย่ ในตอนนั้น ภายในใจของเจียงฉูฉู่รู้สึกเหมือนถูกเหยียดหยามเป็นอย่างมาก เธอคิดว่
หลังจากพูดจบ เจียงฉูฉู่ดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงพูดว่า "ก็เหมือนที่เย่ไม่ชอบกินของหวานนั่นแหละ" ต่อให้ไม่ชอบก็ไม่ควรรู้สึกคลื่นไส้ขนาดนี้ ฉินเย่มองเสิ่นหยินอู้ในอ้อมแขนของเขา ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึวรู้สึกว่าเธอกำลังปกปิดบางอย่างจากเขาอยู่ เมื่อเขานึกถึงรายงานที่ถูกฉีกจนขาดเป็นชิ้นๆที่พ่อบ้านเคยพูดถึงก่อนหน้านี้ สายตาของฉินเย่ก็หม่นลงเล็กน้อย แต่ก่อนที่เขาจะได้ทันคิดเรื่องนี้อย่างละเอียด เสิ่นหยินอู้ที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาก็ดิ้นไปมา "วางฉันลง คุณจะให้ฉันอีกพูดกี่ครั้ง?" ฉินเย่หรี่ตา "คุณแน่ใจนะว่าไม่อยากไปโรงพยาบาล?" เสิ่นหยินอู้หายใจเข้าลึกๆ “ฉันไม่ได้ป่วย แค่ไม่อยากกินซุปหัวปลาเท่านั้นเอง ต้องไปถึงโรงพยาบาลเลยรึไง?” ตอนนี้สีหน้าของเสิ่นหยินอู้ดูดีขึ้นมากแล้ว ริมฝีปากของเธอกลับมามีสีแดงขึ้นอีกครั้ง ดูไปดูมาก็ไม่เหมือนคนป่วยเลยจริงๆ จากนั้นเขาก็วางเสิ่นหยินอู้ลง ทันทีที่เท้าของเธอแตะพื้น เจียงฉูฉู่ก็เข้ามาพยุงมือของเสิ่นหยินอู้และพูดอย่างเป็นกังวล "เธอไม่เป็นไรนะ? ถ้าเมื่อกี้รู้สึกคลื่นไส้ งั้นเธอก็ไม่ควรทานซุปหัวปลาเพิ่มแล้ว อีกเดี๋ยวไปหาอะไรที่รสชาติไม่จั
"ใช่ค่ะคุณย่า" เพื่อไม่ให้คุณย่าสงสัย เสิ่นหยินอู้จึงต้องหาคำพูดมาพูดเพิ่ม “หนูไม่ชอบกินปลามาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ ตอนเด็กๆหนูคิดว่าปลาเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ แต่พอกินไปครั้งหนึ่งหนูก็อาเจียนออกมาอย่างรุนแรง วันนี้พอได้กลิ่นมัน ในใจหนูก็เลยหวนนึกถึงวันนั้นขึ้นมาน่ะค่ะ” หลังจากได้ยิน ท่าทีที่เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ของคุณนายฉินก็หายไปตามที่คาดไว้ เคยอาเจียนหลังจากกินปลาเข้าไปในตอนที่เป็นเด็กงั้นหรือ? ถ้าเช่นนั้นการที่จะกลายเป็นเรื่องฝังใจเมื่อโตขึ้นก็ฟังดูเป็นเรื่องปกติ แต่เธอก็ยังกังวลอยู่ “ไม่มีปัญหาอะไรจริงๆใช่ไหม? ทำไมถึงไม่ไปตรวจที่โรงพยาบาลหละ?” “ไม่ต้องหรอกค่ะคุณย่า ตอนนี้หนูสบายดีแล้ว คุณย่าดูสิคะ ตอนนี้หนูเหมือนคนที่กำลังมีปัญหาอยู่หรอคะ?” คุณนายฉินมองสำรวจเธอหลายครั้ง จากนั้นจึงพบว่าสีหน้าของเธอฟื้นตัวกลับมาแล้วจริงๆ ดูไปดูมาก็เหมือนไม่มีปัญหาอะไร เธออดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปหยิกแก้มที่อ่อนนุ่มของเสิ่นหยินอู้ "เด็กน้อยคนนี้นิ ทำไมไม่รีบบอกย่าก่อนว่าหนูไม่ชอบกินปลาหละ?" “งื้อ” เสิ่นหยินอู้พูดอย่างออดอ้อนด้วยเสียงเบาๆ “ก็คุณย่าชอบทานนี่คะ หนูเลยอยากจะลองทานดูบ
"อืม" ฉินเย่พยักหน้า "ดูแลพวกเขาให้ดีหละ" คุณนายฉินไม่ได้ออกจากโรงพยาบาลมาเป็นเวลานานแล้ว ดังนั้นหลังจากออกไปข้างนอกและได้รับแสงแดด เธอก็รู้สึกสบายมากกว่าตอนที่อยู่ในสวนดอกไม้ของโรงพยาบาล เมื่อมองดูผู้คนที่เดินไปตามถนนในบริเวณคฤหาสน์ แล้วยังมีการรีโนเวทคฤหาสน์ใหม่ เธอก็รู้สึกแปลกใหม่มาก เสิ่นหยินอู้เดินตามอยู่ที่ข้างหลัง เธอมองดูฉูฉู่เข็นคุณนายฉินและพูดคุยกับคุณนายด้วยรอยยิ้มประดุจดอกไม้ ท่าทีของเธอก็ดูอ่อนโยนมาก ต้องบอกว่าฉูฉู่เก่งมากในการแสดงภาพลักษณ์ที่อ่อนโยนและน่ารื่นรมย์ และยังเก่งมากในการทำให้คุณย่ามีความผาสุข ตลอดช่วงเช้า คุณนายฉินถูกเธอทำให้ยิ้มออกมาและหัวเราะไปหลายครั้ง เมื่อใกล้เวลาสิบเอ็ดโมง ในที่สุดคุณนายฉินก็รู้สึกอ่อนล้า เมื่อเห็นเช่นนั้น เจียงฉูฉู่ก็พูดเบาๆว่า "คุณย่าฉินเหนื่อยแล้วสินะคะ งั้นเรากลับไปพักผ่อนกันดีกว่าไหมคะ? นี่ก็จะเที่ยงแล้วพอดีเลย ถ้าคุณย่าอยากออกมาเดินเล่น พรุ่งนี้ฉูฉู่มาเป็นเพื่อนได้นะคะ” คุณนายฉินรู้สึกเหนื่อยมากแล้วจริงๆ หลังจากได้ยินเช่นนั้นเธอจึงพยักหน้า หลังจากนั้น เจียงฉูฉู่ก็เข็นคุณนายฉินไปข้างหน้า โดยมีเสิ่นหยินอู้ตามมาข้างหลัง เ
หลังจากที่กลับไปและจัดการกับคุณนายฉินเรียบร้อยแล้ว เจียงฉูฉู่ก็มองไปที่เสิ่นหยินอู้แล้วพูดว่า "ขอบคุณนะ" ระหว่างทาง เธอมองหาโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดกับคุณนายฉินอยู่เสมอ หากเสิ่นหยินอู้ต้องการขัดขวางเธอ หยินอู้ก็ย่อมมีโอกาสและความสามารถที่จะทำเช่นนั้น แต่เธอไม่ได้ทำ “เมื่อก่อนที่ฉันเข้าใจเธอผิด ที่ฉันคิดว่าเธอไม่รักษาสัญญา ฉันขอโทษนะ” จู่ๆคุณนายฉินก็หมดสติและการผ่าตัดก็ถูกเลื่อนออกไป อันที่จริงแล้วเจียงฉูฉู่ไม่เชื่อด้วยซ้ำ ความคิดแรกของเธอเมื่อเธอได้ยินเรื่องนี้ก็คือเธอไม่เชื่อ ทำไมคนที่ดูจะปกติดีถึงเป็นลมในกะทันหันได้ ในใจเธอคิดร้ายว่าหยินอู้อาจบอกคุณนายฉินไปแล้วเกี่ยวกับเรื่องที่เธอตั้งครรภ์และเรื่องของฉูฉู่ จากนั้นคุณนายจึงให้ความร่วมมือกับเธอและเลื่อนการผ่าตัดออกไป ในตอนแรกเธอก็คิดเช่นนั้นจริงๆ เจียงฉูฉู่ก็รู้ด้วยว่าเธอเป็นคนคิดร้ายมาโดยตลอด แต่มีเพียงแค่ตัวเธอเองเท่านั้นที่รู้ แต่ในตอนนี้ ดูเหมือนว่าคุณนายฉินดูเหมือนจะไม่รู้อะไรเลย และเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ได้ขัดขวางเธอในตอนที่เธอพยายามใกล้ชิดคุณนายเพื่อเอาอกเอาใจ เธอพนันถูก คนผู้นี้ไม่ใช่คนเนรคุณต่อผู้มีพระคุณ เสิ่นหยินอู
เธอต้องการให้หลินโยวโยวรีบลงมือ แม้ว่าเธอจะตั้งใจเรียนอย่างจริงจัง แต่ปัญหาทั่วไปในการรีบลงมือก็คือปัญหาต่างๆที่จะเกิดขึ้น และเสิ่นหยินอู้ต้องจัดการกับผลที่ตามมาแทนเธอ เสิ่นหยินอู้เปิดคอมพิวเตอร์ของเธอ และทันทีที่เธอติดต่อกับหลินโยวโยวได้ หลินโยวโยวก็ร้องไห้ออกมาที่ตรงนั้นอย่างรวดเร็ว “ฮือฮือ พี่หยินอู้ พี่มาได้สักทีนะ... ถ้าพี่ยังไม่มาอีก ฉันอาจจะฆ่าตัวตายไปแล้ว” เสิ่นหยินอู้ "..." “ทำไมงานถึงยากขนาดนี้นะ? เทียบกับตอนนี้ ฉันรู้สึกว่าเมื่อก่อนฉันมีความสุขมาก แล้วก็นะพี่หยินอู้ เมื่อก่อนพี่ใช้ชีวิตมายังไงเนี่ย แค่คิดก็แย่มากแล้ว” หลังจากได้ยินคำพูดเรื่อยเปื่อยของเธอแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็ขัดจังหวะเธอ “พอแล้ว ไม่ต้องกังวลแล้ว มีปัญหาก็ค่อยๆแก้ไข สุดท้ายแล้วเธอก็ต้องเผชิญหน้ากับมัน” หากทำอะไรผิดในตอนนี้ก็ยังมีเธออยู่ แต่หากหลังจากนี้ทำอะไรผิดอีก ถึงตอนนั้นก็อาจจะต้องรับบทโทษ ฉินเย่ไม่ใช่เจ้านายที่อ่อนโยนเลยสักนิด ตอนที่เขาพาเธอไปที่บริษัทเพื่อเรียนรู้สิ่งต่างๆ เขาเข้มงวดมากๆ เข้มงวดมากจนเสิ่นหยินอู้ที่โตมาด้วยกันกับเขารู้สึกว่าเขาเหมือนเป็นคนละคน สิ่งที่เธอทำผิดพลาดมากมาย
ฉินเย่!! ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้??? เสิ่นหยินอู้เกือบจะกรีดร้องออกมาจริงๆ เขาไม่ได้ต้องไปจัดการงานเหรอ? ทำไมเขาถึงมาอยู่ในห้องหนังสือ อีกทั้งยังอยู่แบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง ตอนที่เธอเข้ามา เธอก็ไม่ได้ยินเสียงของเขาเลย เธอเพิ่งจะ... พูดคำว่า ลูก ออกไปไม่ใช่เหรอ? แต่ฉินเย่เข้ามาในเวลานี้พอดี เขาได้ยินคำพูดที่สำคัญนั้นหรือไม่? หรือว่า…… สีหน้าของเสิ่นหยินอู้ซีดราวกับหิมะ เธอมองไปที่ฉินเย่ด้วยความตื่นตระหนกตกใจ เธอทำได้เพียงเม้มริมฝีปากของเธอเพื่อให้แกล้งทำเป็นสงบเสงี่ยม ฉินเย่ไม่คาดคิดว่าเธอจะมาที่ห้องหนังสือ เมื่อเห็นเธอมองเขาและทำท่าทางราวกกับเห็นผี คิ้วเข้มๆของเธอก็ขมวดเล็กน้อย ช่วงนี้เธอทำตัวเหมือนนกที่หวาดกลัวตัวหนึ่งราวกับว่าเธอกำลังปิดบังบางสิ่งจากเขาอยู่ ฉินเย่เม้มริมฝีปากบาง เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาที่เฉียบคมมองไปยังใบหน้าที่ซีดเซียวของเสิ่นหยินอู้ “เมื่อกี้ คุณคุยกับใครอยู่?” เสิ่นหยินอู้อ้ำอึ้งเล็กน้อย คำถามนี้หมายความว่าฉินเย่ไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูดอย่างชัดเจนงั้นหรือ? อย่างไรก็ตาม เสิ่นหยินอู้ก็ไม่กล้าที่จะด่วนสรุป ถ้าฉินเย่ได้ยินและจงใจถามคำถามนี้เพื
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ