ตามที่คิดไว้ ไม่นานหลังจากนั้น ฉินเย่ก็ถูกคำพูดและน้ำเสียงที่อ่อนโยนของคุณแม่จัดการ “โอเค คืนนี้ผมกับหยินอู้จะไปรับคุณย่ากลับบ้าน พ่อกับแม่ไม่จำเป็นต้องไปที่โรงพยาบาลแล้ว กลับบ้านเถอะครับ” “รับคุณย่ากลับบ้านหรอ?” เมื่อได้ฟังที่ฉินเย่พูด คุณแม่ฉินก็ดูเหมือนจะมีความรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา จึงถามกลับไปว่า“ตอนนี้หยินอู้อยู่ข้างๆลูกไหม?” ฉินเย่ไม่ได้ตอบกลับไปว่าหยินอู้อยู่หรือไม่อยู่ แต่เขากลับชายตาไปมอง และใช้สายตาบอกใบ้ว่าหยินอู้อยู่ข้างๆเขา อย่างไรเสีย โทรศัพท์ได้ถูกเปิดลำโพงไว้ หยินอู้จึงได้ยินทุกๆอย่างที่ทั้งสองคนคุยกัน ดังนั้นหยินอู้จึงเรียกคุณแม่ฉินเพื่อเป็นการทักทาย“คุณแม่” เมื่อได้ยินเช่นนั้น คุณแม่ฉินก็หัวเราะออกมาอย่างอ่อนโยน“ที่แท้ ยัยหนูน้อยของแม่ก็อยู่ด้วยนี่เอง เรื่องที่ต้องดูแลคุณย่าหนูคงเหนื่อยแย่เลย”“ไม่เหนื่อยเลยค่ะ ขอบคุณคุณแม่ที่เป็นห่วงนะคะ” ถึงแม้คุณแม่ฉินจะไม่ได้ดีกับหยินอู้เท่าคุณนายฉิน แต่เธอก็รักษามารยาทที่ควรมีต่อหยินอู้ได้อย่างดีเยี่ยม คุณแม่ฉินไม่เคยใช้คำพูดที่รุนแรงกับหยินอู้เลย ตอนที่ได้ยินว่าทั้งสองคนจะแต่งงาน เธอก็ได้แต่ประหลาดใจเล็กน้อย“น
เสิ่นหยินอู้มองไปรอบๆ และค่อนข้างพอใจ "เอาต้นไม้สีเขียวมาวางเพิ่มสักหน่อย เปลี่ยนสีของผ้าม่านให้ดูหรูหราขึ้นอีกนิด แล้วก็ช่วยจุดกำยานที่ช่วยให้นอนหลับสบายขึ้นด้วยนะคะ" คนรับใช้ตอบตกลง หนึ่งชั่วโมงกว่าต่อมา ทั้งสองคนออกเดินทางเพื่อไปรับคุณนายฉินกลับจากโรงพยาบาล เมื่อหลานชายและหลานสะใภ้บอกเธอว่าพวกเขาจะไปรับเธอกลับมาอยู่ที่บ้าน ในช่วงที่รอพวกเขามาสองชั่วโมงนี้ อารมณ์ของคุณนายฉินก็ทั้งรู้สึกมีความสุขและหดหู่ ความสุขก็คือ ในที่สุดเธอก็สามารถออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว ที่หดหู่คือสภาพที่เธอเป็นอยู่ในตอนนี้ดูเหมือนว่าการกลับไปจะเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้พวกเขา ไม่ว่าภายในบ้านจะเพียบพร้อมเพียงใด นั่นก็ไม่ใช่โรงพยาบาล พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะต้องมาคิดเกี่ยวกับตัวเธอเองมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม เธอสับสนอยู่ไม่นาน จากนั้นก็ได้ยินเสียงของพยาบาลดังเข้ามา “คุณนายคะ คุณผู้ชายฉินและคุณหญิงมารับแล้วค่ะ” หลังจากได้ยินเช่นนั้น คุณนายฉินก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาในทันที แต่พยาบาลทั้งสองกลับดีใจมาก และพูดด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มว่า "คุณนายคะ พวกเราได้เก็บของทุกอย่างไว้ให้คุณนายเรียบร้อยแล้วค่ะ" คุณ
หัวใจของเสิ่นหยินอู้เต้นรัว ในชั่วขณะนั้น เธอไม่รู้ว่าจะตอบคุณย่าฉินอย่างไร เธอกวาดสายตาไปมองไปที่ฉินเย่ พวกเขาที่อยู่แถวหลังยังมองเห็นเจียงฉูฉู่ได้ ไม่ต้องพูดถึงฉินเย่ที่ขับรถอยู่ข้างหน้า ยิ่งไปกว่านั้นเจียงฉูฉู่ยังคงเป็นคนที่เขาชอบ ดังนั้นเขาจึงควรสนใจเธอมากกว่านี้ อย่างที่คิด ฉินเย่ชะลอรถในเสี้ยววิ จากนั้นก็หยุดรถที่หน้าประตูคฤหาสน์ ทันทีที่รถหยุด เจียงฉูฉู่ก็ถือกระเป๋าไว้ในมือแล้วเดินอ้อมไปทางฝั่งที่นั่งคนขับ เธอยื่นมือเล็กๆออกมาแล้วเคาะกระจกรถ กระจกรถถูกเปิดออก เจียงฉูฉู่ส่งยิ้มที่แสนหวานให้ เสียงของเธออ่อนโยนมาก “เย่ คุณกลับมาแล้วหรอ คุณย่าเป็นยังไงบ้าง? ขอโทษนะ ถึงคุณบอกฉันว่าไม่ต้องเป็นห่วง แต่ฉันก็ยังอยากแวะมาถามด้วยตัวเอง” หลังจากพูดจบ เจียงฉูฉู่ก็ลากสายตาไปมองที่ด้านหลังเพราะเธอไม่เห็นเสิ่นหยินอู้จากฝั่งที่นั่งข้างๆคนขับ เธอเดาว่าถ้าหยินอู้อยู่ เธอจะต้องอยู่ที่เบาะหลังอย่างแน่นอน ภายในใจของเธอยังคงรู้สึกภาคภูมิใจ ขณะที่กำลังคิดว่าเย่คงจะไม่ให้ใครนั่งข้างๆที่นั่งคนขับเพราะจะเก็บมันไว้ให้เธอ เธอก็เห็นคนสองคนนั่งอยู่ที่เบาะหลัง คนหนึ่งคือเสิ่นหยินอู้ และอีกค
แต่ถ้าจะให้เขาพูด เสิ่นหยินอู้กลัวว่าเขาจะมีพิรุธ ดังนั้น เสิ่นหยินอู้จึงเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อนว่า "ตอนนี้ยังไม่ดึกมากหรอก เธอขึ้นมาบนรถก่อนเถอะ วันนี้คุณย่ากลับบ้านมาพอดี เข้าไปนั่งคุยกันข้างในสักพัก เดี๋ยวฉันจะให้คนขับรถขับไปส่งเธอทีหลัง” เธอเชิญชวนเจียงฉูฉู่ด้วยน้ำเสียงที่สงบ เจียงฉูฉู่มองไปที่เสิ่นหยินอู้ เห็นได้ชัดว่าเธอไม่คาดคิดว่าหยินอู้จะเป็นฝ่ายที่เอ่ยปากออกมาก่อน แต่ในไม่ช้าเธอก็เข้าใจและพยักหน้า “หยินอู้ ขอบใจนะ” หลังจากพูดจบ เจียงฉูฉู่ก็เดินอ้อมไปที่ที่นั่งด้านหลังแล้วเปิดประตูรถ พวกเธอทั้งหมดผอมมาก ดังนั้นมันจึงไม่เป็นปัญหาสำหรับผู้หญิงสามคนในการนั่งด้วยกันที่เบาะหลังรถ เสิ่นหยินอู้นั่งข้างคุณนายฉินมาโดยตลอดตั้งแต่เธอขึ้นรถมา ดังนั้นเมื่อเธอนั่งตรงกลาง พื้นที่ข้างๆจึงมีที่เหลืออยู่มาก หลังจากขึ้นรถแล้ว เจียงฉูฉู่ก็ทักทายคุณนายฉินอย่างอบอุ่น เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ไปนั่งตรงที่นั่งข้างๆคนขับ โชคดีที่เจียงฉูฉู่ก็ฉลาดพอตัวเช่นกัน “ฉูฉู่ ย่าขอบใจที่หนูตั้งใจถ่อมาถึงที่นี่เพื่อหญิงแก่ๆแบบย่านะจ๊ะ” คุณนายฉินสุภาพกับเธอมาก และทั้งสอง
หลังจากที่การแสดงสิ้นสุดลง ทุกคนก็เข้าไปข้างใน พ่อบ้านยังขอให้พ่อครัวเตรียมอาหารให้คุณนายฉินไว้อีกด้วย แน่นอนว่าเขาปฏิบัติตามมาตรฐานอย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ตาม เนื่องจากตอนนี้ก็ดึกแล้ว คุณนายฉินจึงควบคุมปริมาณการกิน หลังจากทานไปได้สองสามคำ เธอก็วางช้อนลง “ขอบคุณทุกคนที่ตั้งใจทำทุกอย่างในวันนี้นะ” หลังจากนั้น คุณนายฉินก็เตรียมตัวที่จะไปอาบน้ำ เสิ่นหยินอู้ต้องการไปช่วย แต่ก็ถูกคุณนายฉินตีไปที่มือของเธอเบาๆ “จะช่วยทำไม ก็แค่อาบน้ำเอง ย่าไม่ใช่คนที่ขยับตัวเองไม่ได้ซะหน่อย” เสิ่นหยินอู้ต้องการพูดอะไรบางอย่างอีก แต่คุณนายฉินก็หันไปมองเจียงฉูฉู่แล้วพูดเบาๆว่า "ฉูฉู่ นี่ก็ดึกแล้ว คืนนี้หนูพักที่นี่ดีกว่าไหม? ย่าจะได้ให้หยินอู้บอกให้คนรับใช้ทำความสะอาดห้องรับแขกให้ " เจียงฉูฉู่ที่ยังคงรับประทานอาหารอย่างเหม่อลอย เมื่อจู่ๆเธอก็ถูกเรียกชื่อ เธอก็ส่ายหัวในทันทีและพูดว่า "ไม่ดีกว่าค่ะคุณย่าฉิน มันไม่เหมาะสำหรับหนูที่จะพักที่นี่หรอกค่ะ" คุณนายฉิน "มีอะไรไม่เหมาะสมงั้นเหรอ? ยังไงซะที่นี่ก็มีห้องให้พักตั้งมากมาย เรื่องทำความสะอาดน่ะไม่ได้ยากอะไรหรอก อีกอย่าง หนูก็เป็นถึงผู้มีพระคุณของตร
เจียงฉูฉู่มองไปที่ฉินเย่ด้วยสีหน้าสมเพชเล็กน้อย "เย่ เมื่อกี้ฉันพูดอะไรผิดหรือเปล่า? ฉันขอโทษ ฉันไม่รู้ว่าเธอจะโกรธ ฉันว่าฉันกลับไปน่าจะดีกว่า" หลังจากพูดจบ เจียงฉูฉู่ก็ลุกขึ้นยืนและรีบเดินออกไปทางด้านนอกอย่างรีบร้อน เมื่อเดินผ่านฉินเย่ แขนของเธอก็ถูกดึงฉินเย่ดึงไว้ เขาขมวดคิ้วและพูดว่า "ผมให้คุณอยู่ที่นี่ คุณก็อยู่ที่นี่สิ คุณไม่ต้องไปสนใจในสิ่งที่เธอพูดหรอก" "แต่……" “คุณผู้ชายครับ ห้องของคุณหนูเจียงเก็บกวาดเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ” จู่ๆพ่อบ้านก็เข้ามาและขัดจังหวะ ว่าไงนะ? เก็บกวาดเสร็จแล้วเหรอ? เจียงฉูฉู่มองไปที่พ่อบ้านคนนั้นด้วยความประหลาดใจ เมื่อครู่นี้พวกเขาออกไปได้เพียงไม่กี่นาที พวกเขาทำความสะอาดเสร็จอย่างรวดเร็วเช่นนี้ได้อย่างไร? ได้เก็บกวาดอย่างเรียบร้อยดีจริงๆหรือ? "อืม" ตอนนี้ฉินเย่ไม่มีอารมณ์ที่จะมาสนใจเรื่องนี้ เขาก้มหัวลงแล้วพูดกับเจียงฉูฉู่ว่า "คุณตามพ่อบ้านไปที่ห้อง นี่มันก็ดึกมากแล้ว จะได้พักผ่อนไวๆ" หลังจากพูดจบ ฉินเย่ก็เดินก้าวยาวๆตามไปในทิศทางที่เสิ่นหยินอู้จากไป "เย่……" แม้เจียงฉูฉู่จะตะโกนเรียกเขา เขาก็ไม่ได้ยิน และทิ้งเธอไว้ข้างหลังอย่างไม่แยแส
ในสภาพอากาศเช่นนี้ ต่อให้จะมีเสื้อคลุมหนาๆสวมอยู่บนตัวของเธอ เธอก็สัมผัสได้ถึงความเย็นที่แผ่ออกมาจากผนังห้องน้ำ บนไหล่ของเธอมีมือของฉินเย่กดไว้อยู่ มือของเขาทั้งหนักและทรงพลัง เขาจับเธอไว้แน่น ทำให้เธอไม่สามารถขยับหนีไปไหนได้ เสิ่นหยินอู้พยายามดิ้นรนอยู่หลายครั้ง แต่ก็ยังไม่สามารถหลุดพ้นจากมือของฉินเย่ได้ และเธอก็เหนื่อยจนหายใจหอบออกมา เธอเงยหน้าขึ้นและจ้องไปยังคนที่อยู่ตรงหน้าที่จับเธอไว้อยู่ จากนั้นก็หอบออกมาอย่างเย็นชา "นี่คุณกำลังทำอะไรบ้าอยู่? โดนฉันพูดแทงใจดำไปก็เลยโกรธจนเป็นบ้าแบบนี้ขึ้นมารึไง?" ฉินเย่จ้องเธอด้วยสีหน้าอึมครึม ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้ามีดวงตาที่สว่างไสวคู่หนึ่งซึ่งเปล่งประกายมากยิ่งขึ้นภายใต้แสงไฟที่สอดส่องลงมาในห้องน้ำ มันสวยงดงามจับใจราวกับว่าเป็นเศษเสี้ยวของแสงดาว จมูกของเธอโด่งมากและริมฝีปากสีชมพูของเธอเต็มไปด้วยความแวววาวมีเสน่ห์ที่ทำให้ผู้คนหลงใหล แต่ปากที่สวยงามเช่นนี้กลับพูดคำพูดที่แทงใจเป็นอย่างมากออกมา มันแทงใจเสียจนสร้างความเจ็บปวดในหัวใจ ความเจ็บปวดนั้นเจ็บปวดมากจนคนที่ฟังคนอดไม่ได้ที่จะอุดปากเล็กๆของเธอไว้ เพื่อที่จะทำให้เธอพูดออกมาไม่ได้อี
“เข้าใจผิด?” สิ่งที่เธอเห็นด้วยตาของเธอเอง เขากล้าที่จะบอกว่ามันเป็นความเข้าใจผิดงั้นเหรอ? ฉินเย่มองไปยังผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขาและรู้ได้ในทันทีว่าอารมณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของเธอนั้นคงเป็นเพราะเธอเข้าใจผิดว่าเขากับเจียงฉูฉู่ไปค้างคืนด้วยกันข้างนอก จากนั้นภายในอกของเขาก็ไม่ได้รู้สึกหนักใจมากเช่นนั้นอีกต่อไป สีหน้าของเขาดูอ่อนโยนขึ้นมามาก ไม่ดูแย่เหมือนเมื่อครู่ เขาเม้มริมฝีปากบางๆแล้วอธิบายว่า "เรื่องมันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิดนะ ในคืนนั้น..." เขากำลังจะอธิบายให้เสิ่นหยินอู้ฟังเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น แต่เสิ่นหยินอู้กลับรีบขัดจังหวะเขาหลังจากได้ยินว่าเขากำลังจะพูดเกี่ยวกับคืนนั้น “เกิดอะไรขึ้นในคืนนั้น ฉันไม่ได้สนใจเลยสักนิด คุณไม่จำเป็นต้องมาบอกฉันหรอก” มาพูดอะไรว่าไม่ได้ค้างคืนกับเจียงฉูฉู่ แล้วก็ไม่ใช่อย่างที่เธอคิด เขาคิดว่าเธอเขาจะหลอกเธอได้เพราะเธอไม่ได้ไปเห็นด้วยตาของตัวเองงั้นเหรอ? น่าเสียดายที่เขาต้องผิดหวัง เธอไปที่นั่นและเห็นเจียงฉูฉู่ไปรับเขาและจากไปด้วยตาของเธอเอง เขาไม่ได้กลับบ้านทั้งคืน และในวันถัดมาก็ไปโรงพยาบาลสาย แม้แต่ผีสางเทวดาก็ยังรู้
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ