เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นมามองเขาทันทีโดยอัตโนมัติเมื่อต้องเผชิญหน้ากับดวงตาสีดำเข้มที่ดูมืดมนของเขา เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกว่ากำลังถูกเขาจ้องมองทะลุเข้ามาในร้อนตัวของเธอ เธอจึงลากสายตามองไปทางอื่นและตอบอย่างไม่สนใจว่า "ก็ใช่ไง""จริงเหรอ?"ฉินเย่หรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วจ้องมองดวงตาของเธอที่ซ่อนอยู่ภายใต้แว่นตา "แล้วทำไมถึงมีรอยคล้ำที่ใต้ตาได้หละ?"หลังจากพูดเช่นนั้น ฉินเย่ก็ดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้ "ไม่แปลกใจเลยที่วันนี้คุณสวมแว่นตา"“….”เสิ่นหยินอู้ดึงมือของเธอกลับและพูดอย่างไม่ใส่ใจ "ฉันเช็ดหมดแล้ว แต่คุณยังมีบาดแผลอยู่ ทางที่ดีคุณควรซื้อยามาทาทีหลัง ไปหาคุณย่ากันเถอะ"เมื่อพูดแบนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันกลับและก้าวไปข้างหน้า ฉินเย่คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเดินตามเธอไป “ตาของคุณมีรอยเลือดสีแดง” “มันหมายความว่าดวงตาของคุณเหนื่อยล้า เมื่อคืนคุณไม่ได้นอนใช่ไหม?”หลังจากเขาพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับมาและพูดอย่างเหลือทน "ฉินเย่ พอได้แล้ว"หลังจากพูดเช่นนั้น เธอก็เดินกระแทกรองเท้าส้นสูงเสียงดังแล้วเดินไปข้างหน้าหลังจากถามคุณหมอแล้วจึงทราบว่าคุณย่
เจียงฉูฉู่โทรมาหาเขาในเวลานี้ก็เพื่อที่จะถามเขาว่าเขาหย่าร้างเรียบร้อยแล้วหรือไม่งั้นหรอ?- ที่นอกห้องผู้ป่วย ฉินเย่จงใจเดินออกไปไกลๆก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา "เย่?" เสียงของเจียงฉูฉู่ดังมาจากปลายสาย แม้ว่าฉินเย่จะอารมณ์ไม่ดี แต่เขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะปรับอารมณ์ของตัวเองให้ดีขึ้นเมื่อต้องพูดกับเจียงฉูฉู่ "อืม ทำไมเช้าขนาดนี้?" เจียงฉูฉู่พูดอย่างเป็นกังวลจากปลายสายว่า "จริงๆแล้วฉันตื่นมานานมากแล้วหละ เมื่อคืนก็ไม่ค่อยได้นอน ฉันกังวลมากนะ คุณย่าเป็นยังไงบ้าง? เข้าห้องผ่าตัดแล้วรึยัง? เย่ ฉันรู้ว่ามันอาจจะไม่ค่อยดีที่จะขออะไรในตอนนี้ แต่ฉันก็เป็นห่วงคุณย่า ฉันขอ... ไปดูด้วยได้ไหม? สบายใจได้ ฉันจะอยู่ข้างนอกและไม่ให้คุณย่าเห็นฉันอย่างแน่นอน ทันทีที่คุณย่าฟื้น ฉันจะรีบออกไปทันที และจะไม่เข้าไปเด็ดขาด” ท่าทีที่อ่อนน้อมถ่อมตนของเธอทำให้ฉินเย่ขมวดคิ้ว เธอเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเขาไว้แท้ๆ และเธอไม่ควรได้รับการปฏิบัติเช่นนี้เลย ฉินเย่ต้องการที่จะตอบตกลงกับเธอ แต่ในท้ายที่สุด เขาก็ต้องหยุดการกระทำของเขาเอาไว้เพราะอาการป่วยของคุณย่า “ฉูฉู่ คุณย่ายังไม่เข้าห้องผ่าตัด”
น้อยครั้งที่เจียงฉูฉู่จะใส่อารมณ์ เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คน เธอมักจะอ่อนโยนและเป็นมิตรอยู่เสมอ เพราะเธอหน้าตาสะสวยบวกกับนิสัยดี เธอจึงเป็นเทพธิดาในสายตาของทุกคนมาโดยตลอด ดังนั้น เมื่อจู่ๆเธอก็โกรธขึ้นมา ทุกคนก็ตกตะลึงและมองดูเธอด้วยสีหน้าที่แตกต่างกัน บริเวณรอบๆนั้นก็เงียบไปชั่วขณะ ภายใต้สายตาที่จับจ้องมาของทุกคนและในสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ จู่ๆเจียงฉูฉู่ก็เรียกสติกลับคืนมาได้และตระหนักได้ว่าเธอเพิ่งทำอะไรลงไปเมื่อครู่นี้ ริมฝีปากสีแดงของเธอขยับ และสุดท้ายเธอก็ทำได้เพียงเปลี่ยนไปพูดว่า "ฉันขอโทษ เมื่อกี้ฉันอารมณ์ไม่ดีก็เลยควบคุมอารมณ์ไม่ได้น่ะ ฉันขอโทษนะ" เพื่อรักษาภาพเทพธิดาที่อยู่ในใจของทุกคนไว้ เจียงฉูฉู่จึงทำได้เพียงขอโทษพวกเขาอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน ดวงตาของเธอก็แดงก่ำ และน้ำตาของเธอที่เหมือนไข่มุกเม็ดใหญ่ๆก็ไหลลงมาอย่างไม่ขาดสาย ในตอนแรก ทุกคนต่างตกตะลึงกับคำพูดนั้นของเธอ แต่หลังจากได้ยินคำขอโทษอย่างต่อเนื่องและน้ำตาของเธอ พวกเขาทั้งหมดก็รู้สึกสงสารขึ้นมา “ฉูฉู่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ อย่าร้องไห้เลยนะ” "ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เธอบอกพวกเราได้นะ พวกเราจะช่วยเธอเอง" “ใช
“ฉูฉู่ ไม่ต้องกังวลนะ เรื่องนี้น่ะ พวกเราจะทวงความยุติธรรมกลับคืนมาให้กับเธอย่างแน่นอน” “พวกเธออย่าเป็นแบบนี้สิ…” เจียงฉูฉู่มองไปยังเพื่อนๆที่อยู่ตรงหน้าเธอด้วยดวงตาสีแดงก่ำ และพูดเบาๆว่า "ฉันรู้ว่าพวกเธอหวังดีกับฉัน แต่ตอนนี้หยินอู้ยังดูแลคุณย่าของเย่อยู่ที่โรงพยาบาล เธอคงหวังดีแหละ” ทุกคนฟังที่ฉูฉู่พูด “จริงหรอ? งั้นรอจนกว่ายัยนั่นจะดูแลคุณย่าเสร็จ ถึงตอนนั้นพวกเราจะสอนบทเรียนให้กับมันเพื่อระบายความโกรธให้กับเธออย่างแน่นอน” เจียงฉูฉู่ทำอะไรไม่ถูกเป็นอย่างมาก "พวกเธอไม่ต้องทำเรื่องที่น่าอับอายแบบนี้แทนฉันหรอก รอให้ฉันไปคุยกับเธอเองในภายหลังจะดีกว่านะ" หลังจากพูดจบ เจียงฉูฉู่ก็เช็ดน้ำตาของเธอ จากนั้นก็ส่งรอบยิ้มที่ดูฝืนๆให้กับทุกคน “เอาหละ พวกเรามาจัดการมื้อเย็นของวันนี้กันดีกว่า โชคดีที่ฉันเตรียมมาเยอะ ถ้าไม่พอ ฉันจะเรียกคนมาส่งเพิ่ม” "ฉูฉู่……" “เรื่องเมื่อกี้น่ะไม่ต้องพูดถึงแล้ว วันนี้เราจะไม่กลับบ้านจนกว่าจะเมา ลืมเรื่องแย่ๆไปซะ” เจียงฉูฉู่เปิดขวดไวน์แดง จากนั้นก็หันไปหยิบถ้วยออกมาจากตู้ไวน์ เพื่อนๆต่างมองดูเธอ แล้วก็หันไปมองหน้ากันและฝังความโกรธแค้นเอาไว้ภายในใจ
การดูแลของเขาที่มีต่อเธออาจเนื่องมาจากมิตรภาพที่พวกเขามีมาตั้งแต่เด็กจนโต หรืออาจเป็นเพราะทั้งสองครอบครัวคบกันมานานหลายชั่วอายุคน เขาจึงมองเธอเป็นเหมือนน้องสาวของเขา ดังนั้น ไม่ว่าจะได้แต่งงานกันหรือไม่ เขาก็จะใจดีกับเธอเช่นนี้เสมอ ที่ตลกคือ เธอกลับตกหลุมรักเขาทั้งๆที่เป็นแบบนี้ เสิ่นหยินอู้หลับตาลงโดยหัวเราะเยาะเย้ยให้แก่ตัวเอง และไม่มองที่ฉินเย่อีกต่อไป คุณนายฉินตื่นขึ้นมาตอนสองทุ่ม ทันทีที่เธอตื่นขึ้นมา เสิ่นหยินอู้ก็นอนเท้าคางอยู่ที่ข้างเตียงของเธอ ทั้งคู่หันหน้าประสานสายตากันและดูประหม่าอย่างมาก “คุณย่า ตื่นแล้วหรอคะ รู้สึกยังไงบ้างคะ? ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าคะ? หิวไหมคะ?” คุณนายฉินมองดูใบหน้าขาวเนียนเล็กๆที่อยู่ตรงหน้าเธอ ด้วยความเป็นห่วงหยินอู้ ดวงตาของเธอจึงเบิกกว้างขึ้นด้วยความประหม่า เธออดไม่ได้ที่จะยกมุมริมฝีปากขึ้นแล้วส่ายหัวเบาๆ สาวน้อยคนนี้ทำให้เธอมีความสุขจริงๆ เมื่อเสิ่นหยินอู้เห็นเธอส่ายหัวและไม่พูดอะไร เสิ่นหยินอู้ก็เลียริมฝีปากของเธอด้วยความประหม่า แล้วจึงยื่นมือไปด้านหน้าของคุณนายฉินเพื่อทำท่าทาง “คุณย่าคะ มองหนูนะ นี่กี่นิ้วคะ?” คุณนายฉินเห็นเธ
“กลับไปเถอะ พาหยินอู้กลับไปพักผ่อน ที่นี่มีพยาบาลแค่พยาบาลมาดูแลก็พอแล้ว” เธอเพิ่งตื่น แต่เธอก็ต่อต้านการมาอยู่เป็นเพื่อนของพวกเขาเช่นนี้ ซึ่งนั่นทำให้เสิ่นหยินอู้สับสน หลังจากได้ยินคำพูดของคุณย่า ฉินเย่ก็ไม่ขยับตัว เขาเพียงเม้มริมฝีปากบางของเขาแล้วนั่งลงตรงนั้น ใบหน้าอันหล่อเหลาแสดงอารมณ์ที่อึมครึมออกมา “ฉินเย่ คุณไม่ฟังที่ย่าพูดเลยหรอ?” ฉินเย่ขมวดคิ้ว เสิ่นหยินอู้รีบมาขวางเขาไว้ที่ด้านหน้า และพูดเบาๆว่า "คุณย่าคะ คุณย่ากำลังกังวลอะไรอยู่ใช่ไหมคะ? บอกพวกเราได้ไหมคะ?" หลังจากที่เธอหมดสติไป การที่เธอพูดคำพูดดังกล่าวทำให้เสิ่นหยินอู้เป็นกังวลมากยิ่งขึ้น “ย่าไม่ได้กังวลอะไร ย่าแค่รู้สึกว่าย่าแก่ขึ้น และสภาพจิตใจของย่าก็ไม่ได้ดีเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ย่าแค่ไม่อยากรบกวนพวกหนูให้ต้องมาหาย่าตลอดเวลา” คุณนายฉินถอนหายใจ ท่าทีของเธอที่มีต่อเสิ่นหยินอู้นั้นยังคงอ่อนโยนมาก "หยินอู้ ที่จริงแล้วสำหรับย่าน่ะ มันไม่สำคัญหรอกว่าจะได้รับการผ่าตัดหรือไม่" เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเสิ่นหยินอู้ก็เปลี่ยนไปอย่างมาก “ทำไมมันจะไม่สำคัญล่ะคะ? คุณย่า มันไม่สำคัญตรงไหนกันคะ? สภาพร่างกายของคุณย่า
หลังจากออกจากห้องผู้ป่วย ฉินเย่ก็พาเธอออกไป ต้องใช้แรงอย่างมากในการที่จะสลัดมือของเขาออกไปได้ “ฉินเย่ คุณทำอะไรน่ะ?” ฉินเย่จ้องมองเธอด้วยสายตาที่อ่อนล้า "วันนี้เรากลับกันก่อนเถอะ" เสิ่นหยินอู้ขมวดคิ้ว “คุณไม่เห็นหรอว่าท่าทีของคุณย่าเมื่อกี้เป็นยังไง? เธออยากออกไปจากโรงพยาบาล เธอไม่ต้องการอยู่ที่นี่” หลังจากที่คิดได้เมื่อครู้นี้ เสิ่นหยินอู้เดาว่าคุณย่าฉิน กังวลว่าการกลับบ้านจะสร้างปัญหาให้กับญาติของเธอ ดังนั้นเธอจึงอยู่ได้แค่ที่โรงพยาบาลเท่านั้น เธออยากกลับไป แต่เธอไม่กล้า เสิ่นหยินอู้รู้สึกหดหู่ใจเป็นอย่างมาก เธอมาเยี่ยมคุณย่าทุกสุดสัปดาห์ แต่เธอไม่เคยสังเกตเห็นถึงอารมณ์ของคุณย่าเลย หากเธอรู้เร็วกว่านี้ เธอคงจะพาคุณย่ากลับบ้านไปดูแลได้เร็วกว่านี้ ก่อนการผ่าตัดในวันนี้ คุณย่าก็คงจะไม่ต้องเป็นลมไปสินะ? “ผมรู้” เสียงของฉินเย่อเบาลง “แต่คุณก็เห็นแล้วหนิว่าอารมณ์ของคุณย่าไม่ดี แถมยังโกรธผมด้วย” เมื่อนึกถึงบางอย่างขึ้นได้ ฉินเย่ก็เสริม "แต่ไม่ได้โกรธคุณ" เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็อึ้งไปครู่หนึ่ง อันที่จริง เมื่อครู่นี้ที่คุณย่าพูดคำพูดเชิงลบเหล่านั้น ทั้งหมดล้ว
ดังนั้นการเก็บกวาดมันจึงไม่ได้ยุ่งยาก หลังจากที่เสิ่นหยินอู้อธิบายเสร็จ เธอก็วางสายไป ในขณะเดียวกันโทรศัพท์ของฉินเย่ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือที่ไพเราะดังขึ้นในรถที่ปิดอยู่ ซึ่งค่อนข้างกะทันหันเล็กน้อย เดิมทีเสิ่นหยินอู้มีรอยยิ้มที่ริมฝีปากของเธอ แต่หลังจากได้ยินเสียงเรียกเข้านี้ เธอก็ชะงักไปชั่วคราว จากนั้นรอยยิ้มบนริมฝีปากของเธอก็ค่อยๆจางหายไป เธอเอนหลังพิงที่นั่งแล้วหันมองออกไปนอกหน้าต่าง นอกจากเสียงเรียกเข้าในรถแล้ว มันก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีก ทันใดนั้นบรรยากาศก็เปลี่ยนไป และฉินเย่ก็สังเกตเห็นมันเช่นกัน เขาใช้หางตามองไปที่เสิ่นหยินอู้แล้วพูดว่า "เสิ่นนั่วนั่ว ช่วยผมรับโทรศัพท์หน่อย" เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วจึงปฏิเสธเขา "คุณก็รับเองสิ" "ผมกำลังขับรถอยู่" “คุณก็จอดรถไว้ข้างถนนแล้วค่อยรับก็ได้หนิ” ฉินเย่โกรธกับคำพูดของเธอ "มันยากขนาดนั้นเลยเหรอที่คุณจะรับสายแทนผม?" "ก็ไม่หรอก" อย่างไรเสียมันเป็นเช่นนี้ไปแล้ว เสิ่นหยินอู้ไม่สนใจและพูดออกมาตรงๆ "แต่ฉันไม่อยากช่วยคุณ" เมื่อเห็นท่าทางที่เย่อหยิ่งจองหองของเธอ ฉินเ
แม้ว่าในที่สุดเขาก็พบเธอ แต่ใครจะกล้ารับประกันกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นได้? "พอได้แล้ว" เมื่อเห็นเธอกัดริมฝีปากล่างและคิดจะพูดอะไรอื่นอีก ฉินเย่ก็เอามือใหญ่โอบไปที่เอวบางของเธอ "ไม่ต้องคิดแล้ว ในเมื่อผมเลือกที่จะอยู่ นั่นก็หมายความว่าผมมั่นใจ" “แต่... เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่คุณควรทำตั้งแต่แรกนะ” “นั่วนั่ว” ฉินเย่เรียกชื่อเธอด้วยเสียงแผ่วเบา “การจะทำอะไรสักอย่างน่ะ ไม่มีคำว่าควรหรือไม่ควร มีแต่เต็มหรือไม่เต็มใจเท่านั้นแหละ” “ถ้าคุณรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ผมจะอยู่ที่นี่จริงๆ งั้นหลังจากที่ผมกลับไปที่จีนแล้วก็ลองคิดเรื่องที่จะเปลี่ยนสถานะให้ผมดูดีกว่าไหม?” เสิ่นหยินอู้เข้าใจในทันทีว่าเขาหมายถึงเรื่องการเรียกชื่อ เขาต้องการให้เด็กทั้งสองหยุดเรียกเขาว่าลุงเย่มู่และเรียกเขาว่าพ่อแทน หรือจะบอกว่า ที่เขาทำมามากขนาดนั้นก็เพียงเพื่อความปรารถนาเล็กๆน้อยๆเช่นนี้งั้นหรอ? เมื่อเธอคิดได้เช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็นิ่งไป แล้วพูดว่า "คุณจะไม่บอกพวกเขางั้นหรอ?" ริมฝีปากของฉินเย่โค้งขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบกลับคำพูดของเธอ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดเบาๆว่า: "ครั้งนี้ ผมจะไม่ไปเจอพวกเข
คำพูดทางจิตวิทยาเช่นนี้... ถ้าเขาบอกว่าเขาชอบลุงโม่ไป๋มากกว่า ถึงตอนนั้น... เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นซือเหนียนก็พูดว่า: "ลุงโม่ไป๋อยู่กับพวกเรามานานกว่า" เมื่อได้ยิน ฉินเย่ก็กลั้นหายใจ "ถ้างั้น……" “แต่ลุงเย่มู่มาดูไลฟ์สดของเราบ่อยๆแล้วก็ให้รางวัลเราตลอดเลยด้วย” คำพูดประโยคหลังทำให้หัวใจที่กำลังจมดิ่งลงไปของฉินเย่ลอยกลับขึ้นมาอีกครั้ง เดิมทีเขาคิดว่าตามความคิดของซือเหนียน เขาคงจะหมดโอกาสแล้ว แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าคำพูดของซือเหนียนจะเปลี่ยนไป ซึ่งมันไม่ต่างกับเป็นการทำให้หัวใจของฉินเย่ลุกเป็นไฟ "แล้วไงต่อ?" ฉินเย่ยังคงรู้สึกประหม่ามากในขณะที่เขาถามคำถามนี้ออกมา เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะสนใจความคิดของเด็กคนหนึ่งมากขนาดนี้ เพราะกลัวว่าเด็กคนนี้จะไม่เลือกเขาแต่ไปเลือกคนอื่นแทน "ก็……"เสิ่นซือเหนียนจงใจพูดเสียงยาว เมื่อเห็นว่าการหายใจของฉินเย่ดูเหมือนจะติดๆขัดๆขึ้นมา เขาก็คิดว่ามันค่อนข้างน่าขันเล็กน้อย เขาจงใจเอียงศีรษะแล้วพูดว่า: "ลุงเย่มู่กับลุงโม่ไป๋เสมอกันครับ" เสมอกัน? ฉินเย่ตกตะลึง “เสมอกันงั้นเหรอ?” “ลุงเย่มู่ หรือว่าลุงคิดว่าลุงจะแพ้ลุงโม่ไป๋เหรอครั
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ
ฉินเย่สัญญาว่าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้เธอ รวมถึงอาการบาดเจ็บของผู้ช่วยเฉินด้วย คนของเขาสามารถจัดการเรื่องอะไรต่างๆได้อย่างรวดเร็วมาก ในวันถัดมา เสิ่นหยินอู้ก็ได้รับข่าวคราวล่าสุดของพวกโม่ไป๋ เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ยังไม่มีร่องรอยของผู้ช่วยเฉินเลย “ไร้ร่องรอยงั้นเหรอ?” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้ได้ยินเช่นนั้น เธอก็มีลางสังหรณ์แย่ๆขึ้นมาทันที เมื่อตอนที่เธอยังอยู่ที่บ้านของโม่ไป๋ ผู้ช่วยเฉินก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาหลายวัน จากนั้นเมื่อเธอถามถึงเขา เขาจึงปรากฏตัวขึ้น แต่เมื่อเขาปรากฏตัว เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งสำคัญคืออาการบาดเจ็บของเขาหนักแค่ไหน เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถรับรู้ได้เลย เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะถอดเสื้อของเขาออกมาเพื่อดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บแค่ไหน ต่อมาเขาปล่อยเธอและพาเธอออกมา หลังจากที่เขากลับไป โม่ไป๋ก็คงจะยิ่งไม่เกรงใจเขามากขึ้น ตอนนี้... ไม่รู้เลยว่าเขาจะเป็นเช่นไร นอกจากนี้ โม่ไป๋ยังได้รับบาดเจ็บ เขาคงจะโกรธมากและระบายความโกรธทั้งหมดที่มีใส่ผู้ช่วยเฉินหรือไม่? และที่นี่คือที่ต่างประเทศ ถ้าหากว่า... เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ
คาดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายจะมีด้านนี้เหมือนกัน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันไปมองเขา “ฉันไม่ได้อึดอัด แต่ตอนนี้คุณบาดเจ็บอยู่ คุณไม่ได้ต้องพักผ่อนเหรอ?” "อืม" ฉินเย่พยักหน้า: "ผมอยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนผม" เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจ: "เมื่อคืนนี้ฉันอยู่กับคุณทั้งคืนไปแล้วไม่ใช่เหรอ?" เขาคงจะไม่ได้คิดที่จะให้เธออยู่กับเขาไปตลอดใช่ไหม? เธอยังต้องไปดูแลลูกๆ “นั่วนั่ว” เขาดึงเธอเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: "ผมเป็นคนป่วย ต้องการคนอยู่ด้วยในระยะยาว" เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ขัดขืน ฉินเย่ก็ดึงเธอขึ้นไปนั่งบนตักเขาแล้วเอามือพยุงไว้ที่เอวของเธอ ก่อนที่เธอจะทันได้โต้ตอบ เธอก็ตกเข้าไปในอ้อมแขนของเขาแล้ว ฉินเย่ก้มศีรษะลงและโน้มตัวเอาหน้าลงไปซุกไว้ที่ซอกคอของเธอ เขาสูดดมกลิ่นของเธอด้วยความละโมบ ลมหายใจอันร้อนรุ่มที่ออกมาทั้งหมดถูกปล่อยออกมาที่ซอกคอของเสิ่นหยินอู้ เธอรู้สึกถึงมันได้อย่างรวดเร็วและกระตุกหลายครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าฉินเย่จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาประทับริมฝีปากบางที่นุ่มนิ่มของเขาลงไปบนซอกคอของเธอ เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น ในที่สุดเสิ่นหยินอ
เขาคว้าโทรศัพท์ไปทั้งเครื่อง เสิ่นหยินอู้ไม่ได้จับโทรศัพท์เลย เธอไม่กล้าแย่งมันคืนมาเพราะกลัวว่าระหว่างการแย่งชิงโทรศัพท์กันจะทำให้บาดแผลของเขาฉีกกว้างขึ้น “บทลงโทษอะไรกัน? ต่อให้คุณจะพูดไม่เหมาะสม แต่ก็มันไม่เกี่ยวอะไรกับบาดแผลของคุณเลย” น่าเสียดายที่ไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไร ฉินเย่ก็เหมือนจะไม่ได้ยินเธอ ราวกับว่าเขายินยอมที่จะรับบทลงโทษของตัวเอง เมื่อเห็นท่าทางที่นิ่งเฉยของเขา เสิ่นหยินอู้ก็พูดได้เพียงว่า: "ต่อให้คุณจะลงโทษตัวเอง แต่ก็ใช้วิธีอื่นก็ได้" วิธีอื่นเหรอ? ในที่สุดฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองเธอ “แล้วคุณว่า ต้องลงโทษแบบไหนล่ะ?”เสิ่นหยินอู้คิดอย่างจริงจังอยู่สักพัก "วิธีลงโทษคุณน่ะมี แต่ไม่ใช่ตอนนี้ รอหลังจากที่แผลคุณหายดีแล้วก่อนเถอะ" “งั้นหลังจากลงโทษแล้ว คุณจะยกโทษให้ผมได้ไหม?” “เรื่องนี้ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีนะ” คำพูดที่เขาพูดในวันนี้มันทำให้เธอโกรธมากจริงๆ เมื่อเห็นเช่นนั้น สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไรอีก “เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน ฉันจะโทรตามคุณหมอมาทำแผลให้คุณใหม่” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดฉินเย่ก็ยื่นโทรศัพท์ให้เธอหลังจ
รวมถึงโม่ไป๋ด้วย การที่เขาลักพาตัวเธอไปอย่างกะทันหันก็เป็นสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงเช่นกัน แต่สิ่งที่ฉินเย่พูดในตอนนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ตื่นตระหนกขึ้นมา แต่ในไม่ช้าเธอก็สงบลง “เรื่องนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นเลยนะ มันไม่เหมาะสมที่คุณที่จะยกตัวอย่างแบบนี้ขึ้นมา” คำตอบของเธอทำให้สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย “เป็นเพราะผมยกตัวอย่างที่ไม่เหมาะสมหรือเพราะคุณไม่สามารถตอบคำถามของผมได้เลย หรือจะบอกว่าคำตอบของคุณก็เหมือนกับที่ผมคิดไว้” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เม้มริมฝีปาก เธอพยายามจินตนาการถึงภาพนี้ในหัว หากฉินเย่ลักพาตัวเธอ และให้เธอกับลูกๆอยู่ด้วยกันกับเขาไปตลอดชีวิตเท่านั้น ไม่ได้ ต่อให้จะเป็นเขา แต่เธอก็รับไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าพวกเขาจะสนิทสนมเพียงใด เธอก็ไม่สามารถยอมรับเรื่องที่พวกเขาทำผิดกฎหมายได้ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่สนใจว่าคำพูดถัดไปจะทำร้ายจิตใจของฉินเย่หรือไม่ เธอพูดออกมาตรงๆ “ใช่ คุณพูดถูก ถ้าคุณลักพาตัวฉัน ฉันก็จะไม่อยู่กับคุณ” ดวงตาของฉินเย่มืดลง “แต่ในอีกความหมายหนึ่ง การที่ฉันไม่อยู่กับคุณมันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไปอยู่กับเขา ถ้าฉันจะอยู่กับคุณมัน