--ระหว่างทางไปโรงพยาบาล เสิ่นหยินอู้กัดริมฝีปากล่างและประสานนิ้วเข้าหากันเพราะความกังวล เธอตื่นตระหนกเป็นอย่างมากเธอคิดผิดเธอไม่ควรมาที่สำนักงานพลเรือนเลยเธอควรจะไปที่โรงพยาบาลทันทีที่เธอตื่นขึ้นมาไม่ เธอไม่ควรกลับมาเมื่อคืนนี้ เธอน่าจะอยู่กับคุณย่าที่โรงพยาบาลด้วยซ้ำเธอรู้ดีว่าวันนี้คุณย่าจะต้องเข้ารับการผ่าตัด แต่เธอกลับไปเพียงเพราะคำปฏิเสธของคุณย่า ทำไมเธอถึงโง่ขนาดนี้?เสิ่นหยินอู้โทษตัวเองอยู่ภายในใจอย่างต่อเนื่อง เธอเอนหลังและหลับตาลงในความทรงจำของเธอมีภาพต่างๆที่พร่ามัวแต่ก็ชัดเจนปรากฏขึ้นในหัวอย่างยุ่งเหยิงความเร็วรถนั้นเร็วมาก แต่ก็ต้องปฏิบัติตามกฎจราจร รถหยุดลงที่สี่แยกไฟจราจร คิ้วหนาๆของฉินเย่ขมวดคิ้วเข้าหากันหลังจากหยุดรถแล้ว ฉินเย่รู้สึกถึงท่าทีแปลกๆของเสิ่นหยินอู้ เขาจึงหันไปมองเธอจากนั้นก็สังเกตเห็นว่าริมฝีปากของเธอแดงก่ำฉินเย่ขมวดคิ้วและถามว่า "คุณเป็นอะไรไป?"ไม่มีการตอบสนองใดๆกลับมาเสิ่นหยินอู้ขมวดคิ้ว สีหน้าของเธอซีด ขนตาของเธอสั่นระริก และริมฝีปากของเธอก็ขบกันแน่น ราวกับว่าเธอไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูดเลยสีหน้าของฉินเย่เปลี่ยนไป และเขาก็ยื่
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าฉินเย่จะเรียกชื่อของเธออย่างไร เธอก็ดูเหมือนจะไม่ได้ยินเขาเลย ราวกับว่าเธอได้ปิดกั้นตัวเองออกไปเรียบร้อยแล้วเมื่อเห็นเธอทำท่าทางเช่นนี้ ฉินเย่ก็รู้สึกร้อนรนอยู่ภายในใจเวลาของไฟแดงหมดลงแล้ว แต่รถของเขาก็ไม่ขยับ เนื่องจากถูกรถของเขาขวางอยู่ รถด้านหลังก็เริ่มบีบแตรเพื่อเร่งเขาให้ขับออกไป ฉินเย่ฟังเสียงแตรอย่างต่อเนื่อง และทันใดนั้น เขาก็โน้มตัวไปข้างหน้ายกคางของเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แล้วจึงจูบเธอตามที่เขาคิดไว้เลย ปากของเธอก็ยังปิดแน่นสนิท ฉินเย่พยายามอย่างหนักแต่ก็ไม่สามารถรุกล้ำเข้าไปได้เขาขมวดคิ้วแล้วเอามือข้างหนึ่งจับที่เอวของเธอ จากนั้นก็ลองหยิกดูเบาๆเสิ่นหยินอู้รู้สึกจั๊กจี้แม้ว่าเสิ่นหยินอู้จะไม่กรีดร้องและหลบเขาเหมือนตามปกติ แต่ร่างกายที่แข็งกระด้างของเธอก็บ่งบอกได้ชัดว่าอย่างน้อยเธอก็มีปฏิกิริยาขึ้นมาเล็กน้อยฉินเย่ใช้ประโยชน์การตอบสนองเล็กๆน้อยๆของเธอ และเปิดปากของเธอออกมาได้สำเร็จการสัมผัสใกล้ชิดทำให้ฉินเย่ได้กลิ่นเลือดที่รุนแรง เขายังไม่ทันที่จะตำหนิเธอว่าไม่รู้จักสงวนตัว วินาทีต่อมาเขาก็ขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวดในทันที จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงครว
“อะไรของผมนะ? ทำไมไม่พูดออกมา?”“……”เสิ่นหยินอู้เม้มริมฝีปากของเธอแน่น ดูจากความสัมพันธ์ที่น่าอึดอัดของพวกเขาในตอนนี้แล้ว จะให้เธอพูดมันออกมาได้อย่างไร?“คุณไม่กล้าพูดเหรอ?” ฉินเย่พูดด้วยท่าทางที่ก้าวร้าวเล็กน้อยเสิ่นหยินอู้ลดสายตาลงอย่างกลัดกลุ้มฉินเย่หัวเราะ แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า "ยังไม่ตายหรอก แค่เกือบถูกคุณกัดจนขาดเอง"เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นทันที“มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ?”“ดูแผลในปากตัวเองสิ รู้ตัวรึยัง?”“……”ดูเหมือนจะจริง เมื่อครู่นี้เธอใช้กระจกส่องดูตัวเอง แผลของเธอเองก็หนักอยู่แล้ว แล้วฉินเย่จะขนาดไหนกันเธอไม่สามารถโต้ตอบอะไรกลับไป ได้แต่ก้มหน้าก้มตาและขอโทษเขาอีกครั้ง“ขอโทษนะ ถ้ามีครั้งหน้าอีก คุณก็ไม่ต้องสนใจฉันหรอก” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินเย่ก็ขมวดคิ้วแน่น “อะไรคือถ้ามีครั้งหน้า? เสิ่นนั่วนั่ว คุณสนุกกับการทำร้ายตัวเองรึไง? เรื่องแบบนี้อย่าให้เกิดขึ้นอีก”ถ้าวันนี้ไม่มีเขาอยู่ มันจะอันตรายแค่ไหนกัน?เสิ่นหยินอู้พึมพำว่า "ฉันเองก็ควบคุมมันไม่ได้เหมือนกัน ฉันจะรู้ได้ยังไงว่ามันจะเกิดหรือไม่เกิดขึ้นอีก?"ฉินเย่กวาดสายตามามองเธ
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นมามองเขาทันทีโดยอัตโนมัติเมื่อต้องเผชิญหน้ากับดวงตาสีดำเข้มที่ดูมืดมนของเขา เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกว่ากำลังถูกเขาจ้องมองทะลุเข้ามาในร้อนตัวของเธอ เธอจึงลากสายตามองไปทางอื่นและตอบอย่างไม่สนใจว่า "ก็ใช่ไง""จริงเหรอ?"ฉินเย่หรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วจ้องมองดวงตาของเธอที่ซ่อนอยู่ภายใต้แว่นตา "แล้วทำไมถึงมีรอยคล้ำที่ใต้ตาได้หละ?"หลังจากพูดเช่นนั้น ฉินเย่ก็ดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้ "ไม่แปลกใจเลยที่วันนี้คุณสวมแว่นตา"“….”เสิ่นหยินอู้ดึงมือของเธอกลับและพูดอย่างไม่ใส่ใจ "ฉันเช็ดหมดแล้ว แต่คุณยังมีบาดแผลอยู่ ทางที่ดีคุณควรซื้อยามาทาทีหลัง ไปหาคุณย่ากันเถอะ"เมื่อพูดแบนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันกลับและก้าวไปข้างหน้า ฉินเย่คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเดินตามเธอไป “ตาของคุณมีรอยเลือดสีแดง” “มันหมายความว่าดวงตาของคุณเหนื่อยล้า เมื่อคืนคุณไม่ได้นอนใช่ไหม?”หลังจากเขาพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับมาและพูดอย่างเหลือทน "ฉินเย่ พอได้แล้ว"หลังจากพูดเช่นนั้น เธอก็เดินกระแทกรองเท้าส้นสูงเสียงดังแล้วเดินไปข้างหน้าหลังจากถามคุณหมอแล้วจึงทราบว่าคุณย่
เจียงฉูฉู่โทรมาหาเขาในเวลานี้ก็เพื่อที่จะถามเขาว่าเขาหย่าร้างเรียบร้อยแล้วหรือไม่งั้นหรอ?- ที่นอกห้องผู้ป่วย ฉินเย่จงใจเดินออกไปไกลๆก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา "เย่?" เสียงของเจียงฉูฉู่ดังมาจากปลายสาย แม้ว่าฉินเย่จะอารมณ์ไม่ดี แต่เขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะปรับอารมณ์ของตัวเองให้ดีขึ้นเมื่อต้องพูดกับเจียงฉูฉู่ "อืม ทำไมเช้าขนาดนี้?" เจียงฉูฉู่พูดอย่างเป็นกังวลจากปลายสายว่า "จริงๆแล้วฉันตื่นมานานมากแล้วหละ เมื่อคืนก็ไม่ค่อยได้นอน ฉันกังวลมากนะ คุณย่าเป็นยังไงบ้าง? เข้าห้องผ่าตัดแล้วรึยัง? เย่ ฉันรู้ว่ามันอาจจะไม่ค่อยดีที่จะขออะไรในตอนนี้ แต่ฉันก็เป็นห่วงคุณย่า ฉันขอ... ไปดูด้วยได้ไหม? สบายใจได้ ฉันจะอยู่ข้างนอกและไม่ให้คุณย่าเห็นฉันอย่างแน่นอน ทันทีที่คุณย่าฟื้น ฉันจะรีบออกไปทันที และจะไม่เข้าไปเด็ดขาด” ท่าทีที่อ่อนน้อมถ่อมตนของเธอทำให้ฉินเย่ขมวดคิ้ว เธอเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเขาไว้แท้ๆ และเธอไม่ควรได้รับการปฏิบัติเช่นนี้เลย ฉินเย่ต้องการที่จะตอบตกลงกับเธอ แต่ในท้ายที่สุด เขาก็ต้องหยุดการกระทำของเขาเอาไว้เพราะอาการป่วยของคุณย่า “ฉูฉู่ คุณย่ายังไม่เข้าห้องผ่าตัด”
น้อยครั้งที่เจียงฉูฉู่จะใส่อารมณ์ เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คน เธอมักจะอ่อนโยนและเป็นมิตรอยู่เสมอ เพราะเธอหน้าตาสะสวยบวกกับนิสัยดี เธอจึงเป็นเทพธิดาในสายตาของทุกคนมาโดยตลอด ดังนั้น เมื่อจู่ๆเธอก็โกรธขึ้นมา ทุกคนก็ตกตะลึงและมองดูเธอด้วยสีหน้าที่แตกต่างกัน บริเวณรอบๆนั้นก็เงียบไปชั่วขณะ ภายใต้สายตาที่จับจ้องมาของทุกคนและในสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ จู่ๆเจียงฉูฉู่ก็เรียกสติกลับคืนมาได้และตระหนักได้ว่าเธอเพิ่งทำอะไรลงไปเมื่อครู่นี้ ริมฝีปากสีแดงของเธอขยับ และสุดท้ายเธอก็ทำได้เพียงเปลี่ยนไปพูดว่า "ฉันขอโทษ เมื่อกี้ฉันอารมณ์ไม่ดีก็เลยควบคุมอารมณ์ไม่ได้น่ะ ฉันขอโทษนะ" เพื่อรักษาภาพเทพธิดาที่อยู่ในใจของทุกคนไว้ เจียงฉูฉู่จึงทำได้เพียงขอโทษพวกเขาอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน ดวงตาของเธอก็แดงก่ำ และน้ำตาของเธอที่เหมือนไข่มุกเม็ดใหญ่ๆก็ไหลลงมาอย่างไม่ขาดสาย ในตอนแรก ทุกคนต่างตกตะลึงกับคำพูดนั้นของเธอ แต่หลังจากได้ยินคำขอโทษอย่างต่อเนื่องและน้ำตาของเธอ พวกเขาทั้งหมดก็รู้สึกสงสารขึ้นมา “ฉูฉู่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ อย่าร้องไห้เลยนะ” "ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เธอบอกพวกเราได้นะ พวกเราจะช่วยเธอเอง" “ใช
“ฉูฉู่ ไม่ต้องกังวลนะ เรื่องนี้น่ะ พวกเราจะทวงความยุติธรรมกลับคืนมาให้กับเธอย่างแน่นอน” “พวกเธออย่าเป็นแบบนี้สิ…” เจียงฉูฉู่มองไปยังเพื่อนๆที่อยู่ตรงหน้าเธอด้วยดวงตาสีแดงก่ำ และพูดเบาๆว่า "ฉันรู้ว่าพวกเธอหวังดีกับฉัน แต่ตอนนี้หยินอู้ยังดูแลคุณย่าของเย่อยู่ที่โรงพยาบาล เธอคงหวังดีแหละ” ทุกคนฟังที่ฉูฉู่พูด “จริงหรอ? งั้นรอจนกว่ายัยนั่นจะดูแลคุณย่าเสร็จ ถึงตอนนั้นพวกเราจะสอนบทเรียนให้กับมันเพื่อระบายความโกรธให้กับเธออย่างแน่นอน” เจียงฉูฉู่ทำอะไรไม่ถูกเป็นอย่างมาก "พวกเธอไม่ต้องทำเรื่องที่น่าอับอายแบบนี้แทนฉันหรอก รอให้ฉันไปคุยกับเธอเองในภายหลังจะดีกว่านะ" หลังจากพูดจบ เจียงฉูฉู่ก็เช็ดน้ำตาของเธอ จากนั้นก็ส่งรอบยิ้มที่ดูฝืนๆให้กับทุกคน “เอาหละ พวกเรามาจัดการมื้อเย็นของวันนี้กันดีกว่า โชคดีที่ฉันเตรียมมาเยอะ ถ้าไม่พอ ฉันจะเรียกคนมาส่งเพิ่ม” "ฉูฉู่……" “เรื่องเมื่อกี้น่ะไม่ต้องพูดถึงแล้ว วันนี้เราจะไม่กลับบ้านจนกว่าจะเมา ลืมเรื่องแย่ๆไปซะ” เจียงฉูฉู่เปิดขวดไวน์แดง จากนั้นก็หันไปหยิบถ้วยออกมาจากตู้ไวน์ เพื่อนๆต่างมองดูเธอ แล้วก็หันไปมองหน้ากันและฝังความโกรธแค้นเอาไว้ภายในใจ
การดูแลของเขาที่มีต่อเธออาจเนื่องมาจากมิตรภาพที่พวกเขามีมาตั้งแต่เด็กจนโต หรืออาจเป็นเพราะทั้งสองครอบครัวคบกันมานานหลายชั่วอายุคน เขาจึงมองเธอเป็นเหมือนน้องสาวของเขา ดังนั้น ไม่ว่าจะได้แต่งงานกันหรือไม่ เขาก็จะใจดีกับเธอเช่นนี้เสมอ ที่ตลกคือ เธอกลับตกหลุมรักเขาทั้งๆที่เป็นแบบนี้ เสิ่นหยินอู้หลับตาลงโดยหัวเราะเยาะเย้ยให้แก่ตัวเอง และไม่มองที่ฉินเย่อีกต่อไป คุณนายฉินตื่นขึ้นมาตอนสองทุ่ม ทันทีที่เธอตื่นขึ้นมา เสิ่นหยินอู้ก็นอนเท้าคางอยู่ที่ข้างเตียงของเธอ ทั้งคู่หันหน้าประสานสายตากันและดูประหม่าอย่างมาก “คุณย่า ตื่นแล้วหรอคะ รู้สึกยังไงบ้างคะ? ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าคะ? หิวไหมคะ?” คุณนายฉินมองดูใบหน้าขาวเนียนเล็กๆที่อยู่ตรงหน้าเธอ ด้วยความเป็นห่วงหยินอู้ ดวงตาของเธอจึงเบิกกว้างขึ้นด้วยความประหม่า เธออดไม่ได้ที่จะยกมุมริมฝีปากขึ้นแล้วส่ายหัวเบาๆ สาวน้อยคนนี้ทำให้เธอมีความสุขจริงๆ เมื่อเสิ่นหยินอู้เห็นเธอส่ายหัวและไม่พูดอะไร เสิ่นหยินอู้ก็เลียริมฝีปากของเธอด้วยความประหม่า แล้วจึงยื่นมือไปด้านหน้าของคุณนายฉินเพื่อทำท่าทาง “คุณย่าคะ มองหนูนะ นี่กี่นิ้วคะ?” คุณนายฉินเห็นเธ