อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าฉินเย่จะเรียกชื่อของเธออย่างไร เธอก็ดูเหมือนจะไม่ได้ยินเขาเลย ราวกับว่าเธอได้ปิดกั้นตัวเองออกไปเรียบร้อยแล้วเมื่อเห็นเธอทำท่าทางเช่นนี้ ฉินเย่ก็รู้สึกร้อนรนอยู่ภายในใจเวลาของไฟแดงหมดลงแล้ว แต่รถของเขาก็ไม่ขยับ เนื่องจากถูกรถของเขาขวางอยู่ รถด้านหลังก็เริ่มบีบแตรเพื่อเร่งเขาให้ขับออกไป ฉินเย่ฟังเสียงแตรอย่างต่อเนื่อง และทันใดนั้น เขาก็โน้มตัวไปข้างหน้ายกคางของเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แล้วจึงจูบเธอตามที่เขาคิดไว้เลย ปากของเธอก็ยังปิดแน่นสนิท ฉินเย่พยายามอย่างหนักแต่ก็ไม่สามารถรุกล้ำเข้าไปได้เขาขมวดคิ้วแล้วเอามือข้างหนึ่งจับที่เอวของเธอ จากนั้นก็ลองหยิกดูเบาๆเสิ่นหยินอู้รู้สึกจั๊กจี้แม้ว่าเสิ่นหยินอู้จะไม่กรีดร้องและหลบเขาเหมือนตามปกติ แต่ร่างกายที่แข็งกระด้างของเธอก็บ่งบอกได้ชัดว่าอย่างน้อยเธอก็มีปฏิกิริยาขึ้นมาเล็กน้อยฉินเย่ใช้ประโยชน์การตอบสนองเล็กๆน้อยๆของเธอ และเปิดปากของเธอออกมาได้สำเร็จการสัมผัสใกล้ชิดทำให้ฉินเย่ได้กลิ่นเลือดที่รุนแรง เขายังไม่ทันที่จะตำหนิเธอว่าไม่รู้จักสงวนตัว วินาทีต่อมาเขาก็ขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวดในทันที จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงครว
“อะไรของผมนะ? ทำไมไม่พูดออกมา?”“……”เสิ่นหยินอู้เม้มริมฝีปากของเธอแน่น ดูจากความสัมพันธ์ที่น่าอึดอัดของพวกเขาในตอนนี้แล้ว จะให้เธอพูดมันออกมาได้อย่างไร?“คุณไม่กล้าพูดเหรอ?” ฉินเย่พูดด้วยท่าทางที่ก้าวร้าวเล็กน้อยเสิ่นหยินอู้ลดสายตาลงอย่างกลัดกลุ้มฉินเย่หัวเราะ แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า "ยังไม่ตายหรอก แค่เกือบถูกคุณกัดจนขาดเอง"เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นทันที“มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ?”“ดูแผลในปากตัวเองสิ รู้ตัวรึยัง?”“……”ดูเหมือนจะจริง เมื่อครู่นี้เธอใช้กระจกส่องดูตัวเอง แผลของเธอเองก็หนักอยู่แล้ว แล้วฉินเย่จะขนาดไหนกันเธอไม่สามารถโต้ตอบอะไรกลับไป ได้แต่ก้มหน้าก้มตาและขอโทษเขาอีกครั้ง“ขอโทษนะ ถ้ามีครั้งหน้าอีก คุณก็ไม่ต้องสนใจฉันหรอก” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินเย่ก็ขมวดคิ้วแน่น “อะไรคือถ้ามีครั้งหน้า? เสิ่นนั่วนั่ว คุณสนุกกับการทำร้ายตัวเองรึไง? เรื่องแบบนี้อย่าให้เกิดขึ้นอีก”ถ้าวันนี้ไม่มีเขาอยู่ มันจะอันตรายแค่ไหนกัน?เสิ่นหยินอู้พึมพำว่า "ฉันเองก็ควบคุมมันไม่ได้เหมือนกัน ฉันจะรู้ได้ยังไงว่ามันจะเกิดหรือไม่เกิดขึ้นอีก?"ฉินเย่กวาดสายตามามองเธ
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นมามองเขาทันทีโดยอัตโนมัติเมื่อต้องเผชิญหน้ากับดวงตาสีดำเข้มที่ดูมืดมนของเขา เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกว่ากำลังถูกเขาจ้องมองทะลุเข้ามาในร้อนตัวของเธอ เธอจึงลากสายตามองไปทางอื่นและตอบอย่างไม่สนใจว่า "ก็ใช่ไง""จริงเหรอ?"ฉินเย่หรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วจ้องมองดวงตาของเธอที่ซ่อนอยู่ภายใต้แว่นตา "แล้วทำไมถึงมีรอยคล้ำที่ใต้ตาได้หละ?"หลังจากพูดเช่นนั้น ฉินเย่ก็ดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้ "ไม่แปลกใจเลยที่วันนี้คุณสวมแว่นตา"“….”เสิ่นหยินอู้ดึงมือของเธอกลับและพูดอย่างไม่ใส่ใจ "ฉันเช็ดหมดแล้ว แต่คุณยังมีบาดแผลอยู่ ทางที่ดีคุณควรซื้อยามาทาทีหลัง ไปหาคุณย่ากันเถอะ"เมื่อพูดแบนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันกลับและก้าวไปข้างหน้า ฉินเย่คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเดินตามเธอไป “ตาของคุณมีรอยเลือดสีแดง” “มันหมายความว่าดวงตาของคุณเหนื่อยล้า เมื่อคืนคุณไม่ได้นอนใช่ไหม?”หลังจากเขาพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับมาและพูดอย่างเหลือทน "ฉินเย่ พอได้แล้ว"หลังจากพูดเช่นนั้น เธอก็เดินกระแทกรองเท้าส้นสูงเสียงดังแล้วเดินไปข้างหน้าหลังจากถามคุณหมอแล้วจึงทราบว่าคุณย่
เจียงฉูฉู่โทรมาหาเขาในเวลานี้ก็เพื่อที่จะถามเขาว่าเขาหย่าร้างเรียบร้อยแล้วหรือไม่งั้นหรอ?- ที่นอกห้องผู้ป่วย ฉินเย่จงใจเดินออกไปไกลๆก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา "เย่?" เสียงของเจียงฉูฉู่ดังมาจากปลายสาย แม้ว่าฉินเย่จะอารมณ์ไม่ดี แต่เขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะปรับอารมณ์ของตัวเองให้ดีขึ้นเมื่อต้องพูดกับเจียงฉูฉู่ "อืม ทำไมเช้าขนาดนี้?" เจียงฉูฉู่พูดอย่างเป็นกังวลจากปลายสายว่า "จริงๆแล้วฉันตื่นมานานมากแล้วหละ เมื่อคืนก็ไม่ค่อยได้นอน ฉันกังวลมากนะ คุณย่าเป็นยังไงบ้าง? เข้าห้องผ่าตัดแล้วรึยัง? เย่ ฉันรู้ว่ามันอาจจะไม่ค่อยดีที่จะขออะไรในตอนนี้ แต่ฉันก็เป็นห่วงคุณย่า ฉันขอ... ไปดูด้วยได้ไหม? สบายใจได้ ฉันจะอยู่ข้างนอกและไม่ให้คุณย่าเห็นฉันอย่างแน่นอน ทันทีที่คุณย่าฟื้น ฉันจะรีบออกไปทันที และจะไม่เข้าไปเด็ดขาด” ท่าทีที่อ่อนน้อมถ่อมตนของเธอทำให้ฉินเย่ขมวดคิ้ว เธอเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเขาไว้แท้ๆ และเธอไม่ควรได้รับการปฏิบัติเช่นนี้เลย ฉินเย่ต้องการที่จะตอบตกลงกับเธอ แต่ในท้ายที่สุด เขาก็ต้องหยุดการกระทำของเขาเอาไว้เพราะอาการป่วยของคุณย่า “ฉูฉู่ คุณย่ายังไม่เข้าห้องผ่าตัด”
น้อยครั้งที่เจียงฉูฉู่จะใส่อารมณ์ เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คน เธอมักจะอ่อนโยนและเป็นมิตรอยู่เสมอ เพราะเธอหน้าตาสะสวยบวกกับนิสัยดี เธอจึงเป็นเทพธิดาในสายตาของทุกคนมาโดยตลอด ดังนั้น เมื่อจู่ๆเธอก็โกรธขึ้นมา ทุกคนก็ตกตะลึงและมองดูเธอด้วยสีหน้าที่แตกต่างกัน บริเวณรอบๆนั้นก็เงียบไปชั่วขณะ ภายใต้สายตาที่จับจ้องมาของทุกคนและในสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ จู่ๆเจียงฉูฉู่ก็เรียกสติกลับคืนมาได้และตระหนักได้ว่าเธอเพิ่งทำอะไรลงไปเมื่อครู่นี้ ริมฝีปากสีแดงของเธอขยับ และสุดท้ายเธอก็ทำได้เพียงเปลี่ยนไปพูดว่า "ฉันขอโทษ เมื่อกี้ฉันอารมณ์ไม่ดีก็เลยควบคุมอารมณ์ไม่ได้น่ะ ฉันขอโทษนะ" เพื่อรักษาภาพเทพธิดาที่อยู่ในใจของทุกคนไว้ เจียงฉูฉู่จึงทำได้เพียงขอโทษพวกเขาอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน ดวงตาของเธอก็แดงก่ำ และน้ำตาของเธอที่เหมือนไข่มุกเม็ดใหญ่ๆก็ไหลลงมาอย่างไม่ขาดสาย ในตอนแรก ทุกคนต่างตกตะลึงกับคำพูดนั้นของเธอ แต่หลังจากได้ยินคำขอโทษอย่างต่อเนื่องและน้ำตาของเธอ พวกเขาทั้งหมดก็รู้สึกสงสารขึ้นมา “ฉูฉู่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ อย่าร้องไห้เลยนะ” "ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เธอบอกพวกเราได้นะ พวกเราจะช่วยเธอเอง" “ใช
“ฉูฉู่ ไม่ต้องกังวลนะ เรื่องนี้น่ะ พวกเราจะทวงความยุติธรรมกลับคืนมาให้กับเธอย่างแน่นอน” “พวกเธออย่าเป็นแบบนี้สิ…” เจียงฉูฉู่มองไปยังเพื่อนๆที่อยู่ตรงหน้าเธอด้วยดวงตาสีแดงก่ำ และพูดเบาๆว่า "ฉันรู้ว่าพวกเธอหวังดีกับฉัน แต่ตอนนี้หยินอู้ยังดูแลคุณย่าของเย่อยู่ที่โรงพยาบาล เธอคงหวังดีแหละ” ทุกคนฟังที่ฉูฉู่พูด “จริงหรอ? งั้นรอจนกว่ายัยนั่นจะดูแลคุณย่าเสร็จ ถึงตอนนั้นพวกเราจะสอนบทเรียนให้กับมันเพื่อระบายความโกรธให้กับเธออย่างแน่นอน” เจียงฉูฉู่ทำอะไรไม่ถูกเป็นอย่างมาก "พวกเธอไม่ต้องทำเรื่องที่น่าอับอายแบบนี้แทนฉันหรอก รอให้ฉันไปคุยกับเธอเองในภายหลังจะดีกว่านะ" หลังจากพูดจบ เจียงฉูฉู่ก็เช็ดน้ำตาของเธอ จากนั้นก็ส่งรอบยิ้มที่ดูฝืนๆให้กับทุกคน “เอาหละ พวกเรามาจัดการมื้อเย็นของวันนี้กันดีกว่า โชคดีที่ฉันเตรียมมาเยอะ ถ้าไม่พอ ฉันจะเรียกคนมาส่งเพิ่ม” "ฉูฉู่……" “เรื่องเมื่อกี้น่ะไม่ต้องพูดถึงแล้ว วันนี้เราจะไม่กลับบ้านจนกว่าจะเมา ลืมเรื่องแย่ๆไปซะ” เจียงฉูฉู่เปิดขวดไวน์แดง จากนั้นก็หันไปหยิบถ้วยออกมาจากตู้ไวน์ เพื่อนๆต่างมองดูเธอ แล้วก็หันไปมองหน้ากันและฝังความโกรธแค้นเอาไว้ภายในใจ
การดูแลของเขาที่มีต่อเธออาจเนื่องมาจากมิตรภาพที่พวกเขามีมาตั้งแต่เด็กจนโต หรืออาจเป็นเพราะทั้งสองครอบครัวคบกันมานานหลายชั่วอายุคน เขาจึงมองเธอเป็นเหมือนน้องสาวของเขา ดังนั้น ไม่ว่าจะได้แต่งงานกันหรือไม่ เขาก็จะใจดีกับเธอเช่นนี้เสมอ ที่ตลกคือ เธอกลับตกหลุมรักเขาทั้งๆที่เป็นแบบนี้ เสิ่นหยินอู้หลับตาลงโดยหัวเราะเยาะเย้ยให้แก่ตัวเอง และไม่มองที่ฉินเย่อีกต่อไป คุณนายฉินตื่นขึ้นมาตอนสองทุ่ม ทันทีที่เธอตื่นขึ้นมา เสิ่นหยินอู้ก็นอนเท้าคางอยู่ที่ข้างเตียงของเธอ ทั้งคู่หันหน้าประสานสายตากันและดูประหม่าอย่างมาก “คุณย่า ตื่นแล้วหรอคะ รู้สึกยังไงบ้างคะ? ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าคะ? หิวไหมคะ?” คุณนายฉินมองดูใบหน้าขาวเนียนเล็กๆที่อยู่ตรงหน้าเธอ ด้วยความเป็นห่วงหยินอู้ ดวงตาของเธอจึงเบิกกว้างขึ้นด้วยความประหม่า เธออดไม่ได้ที่จะยกมุมริมฝีปากขึ้นแล้วส่ายหัวเบาๆ สาวน้อยคนนี้ทำให้เธอมีความสุขจริงๆ เมื่อเสิ่นหยินอู้เห็นเธอส่ายหัวและไม่พูดอะไร เสิ่นหยินอู้ก็เลียริมฝีปากของเธอด้วยความประหม่า แล้วจึงยื่นมือไปด้านหน้าของคุณนายฉินเพื่อทำท่าทาง “คุณย่าคะ มองหนูนะ นี่กี่นิ้วคะ?” คุณนายฉินเห็นเธ
“กลับไปเถอะ พาหยินอู้กลับไปพักผ่อน ที่นี่มีพยาบาลแค่พยาบาลมาดูแลก็พอแล้ว” เธอเพิ่งตื่น แต่เธอก็ต่อต้านการมาอยู่เป็นเพื่อนของพวกเขาเช่นนี้ ซึ่งนั่นทำให้เสิ่นหยินอู้สับสน หลังจากได้ยินคำพูดของคุณย่า ฉินเย่ก็ไม่ขยับตัว เขาเพียงเม้มริมฝีปากบางของเขาแล้วนั่งลงตรงนั้น ใบหน้าอันหล่อเหลาแสดงอารมณ์ที่อึมครึมออกมา “ฉินเย่ คุณไม่ฟังที่ย่าพูดเลยหรอ?” ฉินเย่ขมวดคิ้ว เสิ่นหยินอู้รีบมาขวางเขาไว้ที่ด้านหน้า และพูดเบาๆว่า "คุณย่าคะ คุณย่ากำลังกังวลอะไรอยู่ใช่ไหมคะ? บอกพวกเราได้ไหมคะ?" หลังจากที่เธอหมดสติไป การที่เธอพูดคำพูดดังกล่าวทำให้เสิ่นหยินอู้เป็นกังวลมากยิ่งขึ้น “ย่าไม่ได้กังวลอะไร ย่าแค่รู้สึกว่าย่าแก่ขึ้น และสภาพจิตใจของย่าก็ไม่ได้ดีเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ย่าแค่ไม่อยากรบกวนพวกหนูให้ต้องมาหาย่าตลอดเวลา” คุณนายฉินถอนหายใจ ท่าทีของเธอที่มีต่อเสิ่นหยินอู้นั้นยังคงอ่อนโยนมาก "หยินอู้ ที่จริงแล้วสำหรับย่าน่ะ มันไม่สำคัญหรอกว่าจะได้รับการผ่าตัดหรือไม่" เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเสิ่นหยินอู้ก็เปลี่ยนไปอย่างมาก “ทำไมมันจะไม่สำคัญล่ะคะ? คุณย่า มันไม่สำคัญตรงไหนกันคะ? สภาพร่างกายของคุณย่า
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ