ในตอนปกติที่ไม่ได้นึกถึงมันก็ไม่ได้เป็นอะไร แต่ละวันก็มักจะใช้ชีวิตอย่างมีสงบและไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนักแต่พอนึกถึงมันขึ้นมาแล้วความใกล้ชิดโดยที่ไม่ได้ตั้งใจเหล่านั้น ในเวลานี้กลับเปรียบเสมือนคมมีดที่เฉือนฟันเธอทีละครั้งเสิ่นหยินอู้เอนตัวพิงที่ตู้เซฟและหลับตาลงอย่างอ่อนแรงอย่างไรก็ตาม ถ้าเขาชอบเธอบ้างสักหน่อย เธอก็คงไม่สิ้นหวังขนาดนี้หรอก...เมื่อเธอกลับมาพร้อมกับทะเบียนสมรส ฉินเย่ก็อาบน้ำเสร็จพอดี เขาเดินออกจากห้องน้ำด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง เมื่อเขาเดินผ่านเสิ่นหยินอู้ เขาก็เห็นทะเบียนสมรสสีแดงสองใบในมือของเธอใบหน้าของเขาที่แต่เดิมก็ขุ่นมัวอยู่แล้ว หลังจากเห็นเช่นนั้นเขาก็ยืนนิ่ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองเธอด้วยสายตาที่แข็งกระด้างราวกับน้ำแข็งภายใต้สายตาแบบนี้ของเขา เสิ่นหยินอู้ที่กำลังถือทะเบียนสมรสสองฉบับอยู่ก็ไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไรหลังจากนั้นครู่หนึ่ง ฉินเย่ก็เหน็บแนม "คุณคงรอไม่ไหวแล้วจริงๆสินะ"เสิ่นหยินอู้ตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ริมฝีปากบางของเธอขยับ แต่ในที่สุดเธอก็กำทะเบียนสมรสในมือแน่น แล้วจึงลดสายตาลงต่ำแล้วฉันจะพูดอะไรได้หละ?ดูเหมือนจะไม่มีอะไรที่จะพูดออกมาได้ แล
พ่อบ้าน"……"ที่จริงแล้ว เขาสัมผัสได้ลางๆว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติระหว่างฉินเย่กับเสิ่นหยินอู้ และยังรู้ว่าฉินเย่นอนที่ห้องหนังสือเมื่อคืนนี้อีก เมื่อเขาตื่นแต่เช้า เขาก็พบว่าไฟในห้องหนังสือเปิดอยู่ เมื่อเขามองเข้าไปก็เห็นฉินเย่อยู่ข้างในดวงตาของเขามืดมนและใบหน้าของเขาก็ดูบึ้งตึง เขาถามด้วยเสียงแหบแห้ง "ทำอะไรน่ะ?"พ่อบ้านตกใจกลัวกับท่าทางของเขาขึ้นมาในทันทีจนไม่กล้าพูดอะไรออกมาหลังจากนั้น ฉินเย่ก็ไม่ทานแม้แต่อาหารเช้าด้วยซ้ำ จากนั้นก็เดินตรงไปที่โรงจอดรถด้วยสีหน้าที่เย็นชาเมื่อเห็นเสิ่นหยินอู้เดินออกไป พ่อบ้านก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆในใจ เขารู้สึกหมดคำจะพูดเสิ่นหยินอู้สวมเสื้อคลุมของเธอในขณะที่เดินออกไปข้างนอกตอนนี้ยังเช้าอยู่ ข้างนอกก็หนาวมาก และอุณหภูมิในโรงรถก็เย็นยิ่งกว่าในอุณหภูมิที่หนาวเย็นเช่นนี้ ฉินเย่สวมเสื้อเชิ้ตตัวบางๆ เขาคีบบุหรี่อยู่ในมือ และเอนตัวพิงอยู่กับรถเมื่อเสิ่นหยินอู้เข้ามาใกล้ เรียกได้เลยว่าภาพลักษณ์ของคนทั้งสองคนนั้นแตกต่างกันอย่างมากฉินเย่ที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืนดูโทรมเล็กน้อย ตรงกันข้ามกับเสิ่นหยินอู้ที่แต่งหน้าแล้ว ความแตกต่างนี้ชัดเจนมากฉินเย่ได้ย
แม้ว่าคนที่รออยู่ที่สำนักงานพลเรือนจะไม่มากนัก แต่พวกเขาก็มาทีหลัง ก็เลยยังต้องรอเมื่อคืนเสิ่นหยินอู้นอนไม่หลับ เธอรู้สึกเหนื่อยมาก จึงหาที่นั่งและนั่งลงฉินเย่เดินตามเธอไป แต่สีหน้าของเขายังคงมืดมน และเขาก็ไม่ได้นั่งลงที่ข้างๆเสิ่นหยินอู้ถึงแม้จะเข้ามาในสำนักงานพลเรือนแล้ว แต่เสิ่นหยินอู้ก็ยังคงอยู่ในอารมณ์ที่ดูสงบเธอเงยหน้าขึ้นมามองที่ฉินเย่แล้วถามว่า "คุณไม่นั่งเหรอ?" "ไม่ต้องหรอก" เสียงของฉินเย่เย็นชาจนไม่มีแม้แต่ความอบอุ่น เขาไม่มองเธอด้วยซ้ำเสิ่นหยินอู้เข้าใจดีว่าเขาคงไม่อยากที่จะสนใจเธอใช่สิ พวกเขากำลังจะหย่าร้างกัน และอีกไม่นานเขาก็จะไปครองรักอยู่ด้วยกันกับเจียงฉูฉู่ แล้วเขาจะมาสนใจเธอไปทำไม?โชคดีที่เธอไม่ได้คาดหวังว่าหลังจากหย่ากันแล้วพวกเขาจะยังคงเป็นเพื่อนกันได้ช่วงแรกๆก็ยังไม่มีอะไร แต่พอทั้งสองอยู่ตรงนี้นานขึ้น เสียงซุบซิบรอบๆก็เริ่มดังขึ้น“บรรยากาศแบบนี้…พวกเขามาหย่าสินะ?”“หย่าเหรอ? ไม่หรอกมั้ง สองคนนี้หน้าตาดีขนาดนี้จะหย่ากันได้จริงๆเหรอ?”“ฉันไม่เข้าใจเลย หน้าตาดีกันขนาดนี้ ถ้าจะหาคนที่ดีกว่าอีกฝ่ายคงจะยากใช่ไหมหละ? จะหย่ากันไปทำไมกันนะ? น่าเสียด
หลังจากพูดจบ เธอก็ก้มศีรษะลงอีกครั้ง และคาดเดาถึงเหตุผลที่ฉินเย่เปลี่ยนไปอยู่ภายในใจเห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่เขาทำหน้าบูด แต่หลังจากที่ได้ยินเรื่องซุบซิบนินทาของคนเหล่านั้น สีหน้าของเขาก็ไม่ได้บูดขนาดนั้นแล้ว และเขายังสนใจด้วยซ้ำว่าเธออยากจะทานอะไรหรือไม่?เป็นเพราะ...เขาคิดว่าเธอทำแท้ง ดังนั้นจึงรู้สึกผิดอยู่ในใจแล้วจึงเป็นแบบนี้หรือเปล่า?“คุณไม่ได้กินข้าวเช้ามาไม่ใช่เหรอ?” ฉินเย่พูดอีกครั้งเสิ่นหยินอู้พยักหน้าตอบโดยอัตโนมัติ "แต่ฉันไม่หิว"สาเหตุหลักๆคือเพราะเธอไม่มีความอยากอาหารต่างหาก“ตอนนี้คุณยังไม่หิว แล้วหลังจากนี้หละ จะไม่หิวงั้นเหรอ? หลังจากเราไปที่โรงพยาบาลแล้ว เราจะไม่มีเวลามาซื้ออาหารเช้าระหว่างทางหรอกนะ”เมื่อได้ยินดังนั้น เสิ่นหยินอู้ก็เข้าใจ เธอจึงพยักหน้า "ก็ได้ งั้นเราไปกินอาหารเช้ากันก่อนดีไหม?"“ผมจะไปซื้อเอง คุณรออยู่ที่นี่ก็พอ”หลังจากพูดจบ ฉินเย่ก็เดินออกจากสำนักงานพลเรือนไปหลังจากออกมา เขาก็ไม่รีบร้อนที่จะไปซื้ออาหารเช้า แต่กลับพิงกำแพงเพื่อสูบบุหรี่แทน เมื่อถูกลมหนาวข้างนอกพัดใส่ เขาก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาไม่น้อยเขาพิงกำแพงและหลับตาลง ขนตาของเขาปิดบั
หลังจากรับถุงอาหารมา เสิ่นหยินอู้ก็เห็นว่าสิ่งที่ฉินเย่ซื้อมาคืออาหารฟาสฟู้ด ตอนนี้เธอไม่ได้มีความอยากอาหารมากนัก ดังนั้นเธอจึงแค่เปิดมันออกมาดู ก่อนจะเก็บมันไปฉินเย่ที่ยืนอยู่ตรงนั้นรับรู้ทุกการกระทำของเธอจากหางตา“คุณไม่ชอบเหรอ?”หลังจากได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็กลับมามีสติอีกครั้ง และส่ายหัว "เปล่าหรอก ฉันแค่ยังไม่อยากกินน่ะ"หลังจากนั้นฉินเย่ก็ไม่พูดอะไรต่อ และไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็นั่งลงข้างๆเธอไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาสวมเสื้อผ้าน้อยเกินไป หรือเพราะเขาเพิ่งเข้ามาจากข้างนอก เสิ่นหยินอู้รู้สึกว่าเมื่อเขานั่งลง อุณหภูมิรอบๆตัวเธอก็ลดลงตามเสิ่นหยินอู้สังเกตเห็นว่าเขายังคงสวมเสื้อเชิ้ตบางๆตัวนั้นตัวเดียวอยู่ริมฝีปากของเธอจึงขยับ แต่เธอลังเลที่จะพูด และในที่สุดเธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาทั้งสองคนนั่งอยู่อย่างเงียบๆแม้จะอยู่ใกล้กัน แต่ก็ดูห่างไกลราวกับอยู่คนละฟากฟ้าเสิ่นหยินอู้มองดูพวกผู้หญิงเหล่านั้นที่มาพูดคุยเธอ พวกเธอต่อแถวเข้าไปพร้อมกันกับแฟนของพวกเธอที่อยู่ข้างๆ แล้วออกมาพร้อมกับหนังสือเล่มสีแดงในมือ ตอนที่พวกเขาเดินออกมา บางคู่ก้เป็นผู้ชายที่สวมกอดผู้หญิง หรือบางคู่ก็เป็นผู้ห
--ระหว่างทางไปโรงพยาบาล เสิ่นหยินอู้กัดริมฝีปากล่างและประสานนิ้วเข้าหากันเพราะความกังวล เธอตื่นตระหนกเป็นอย่างมากเธอคิดผิดเธอไม่ควรมาที่สำนักงานพลเรือนเลยเธอควรจะไปที่โรงพยาบาลทันทีที่เธอตื่นขึ้นมาไม่ เธอไม่ควรกลับมาเมื่อคืนนี้ เธอน่าจะอยู่กับคุณย่าที่โรงพยาบาลด้วยซ้ำเธอรู้ดีว่าวันนี้คุณย่าจะต้องเข้ารับการผ่าตัด แต่เธอกลับไปเพียงเพราะคำปฏิเสธของคุณย่า ทำไมเธอถึงโง่ขนาดนี้?เสิ่นหยินอู้โทษตัวเองอยู่ภายในใจอย่างต่อเนื่อง เธอเอนหลังและหลับตาลงในความทรงจำของเธอมีภาพต่างๆที่พร่ามัวแต่ก็ชัดเจนปรากฏขึ้นในหัวอย่างยุ่งเหยิงความเร็วรถนั้นเร็วมาก แต่ก็ต้องปฏิบัติตามกฎจราจร รถหยุดลงที่สี่แยกไฟจราจร คิ้วหนาๆของฉินเย่ขมวดคิ้วเข้าหากันหลังจากหยุดรถแล้ว ฉินเย่รู้สึกถึงท่าทีแปลกๆของเสิ่นหยินอู้ เขาจึงหันไปมองเธอจากนั้นก็สังเกตเห็นว่าริมฝีปากของเธอแดงก่ำฉินเย่ขมวดคิ้วและถามว่า "คุณเป็นอะไรไป?"ไม่มีการตอบสนองใดๆกลับมาเสิ่นหยินอู้ขมวดคิ้ว สีหน้าของเธอซีด ขนตาของเธอสั่นระริก และริมฝีปากของเธอก็ขบกันแน่น ราวกับว่าเธอไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูดเลยสีหน้าของฉินเย่เปลี่ยนไป และเขาก็ยื่
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าฉินเย่จะเรียกชื่อของเธออย่างไร เธอก็ดูเหมือนจะไม่ได้ยินเขาเลย ราวกับว่าเธอได้ปิดกั้นตัวเองออกไปเรียบร้อยแล้วเมื่อเห็นเธอทำท่าทางเช่นนี้ ฉินเย่ก็รู้สึกร้อนรนอยู่ภายในใจเวลาของไฟแดงหมดลงแล้ว แต่รถของเขาก็ไม่ขยับ เนื่องจากถูกรถของเขาขวางอยู่ รถด้านหลังก็เริ่มบีบแตรเพื่อเร่งเขาให้ขับออกไป ฉินเย่ฟังเสียงแตรอย่างต่อเนื่อง และทันใดนั้น เขาก็โน้มตัวไปข้างหน้ายกคางของเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แล้วจึงจูบเธอตามที่เขาคิดไว้เลย ปากของเธอก็ยังปิดแน่นสนิท ฉินเย่พยายามอย่างหนักแต่ก็ไม่สามารถรุกล้ำเข้าไปได้เขาขมวดคิ้วแล้วเอามือข้างหนึ่งจับที่เอวของเธอ จากนั้นก็ลองหยิกดูเบาๆเสิ่นหยินอู้รู้สึกจั๊กจี้แม้ว่าเสิ่นหยินอู้จะไม่กรีดร้องและหลบเขาเหมือนตามปกติ แต่ร่างกายที่แข็งกระด้างของเธอก็บ่งบอกได้ชัดว่าอย่างน้อยเธอก็มีปฏิกิริยาขึ้นมาเล็กน้อยฉินเย่ใช้ประโยชน์การตอบสนองเล็กๆน้อยๆของเธอ และเปิดปากของเธอออกมาได้สำเร็จการสัมผัสใกล้ชิดทำให้ฉินเย่ได้กลิ่นเลือดที่รุนแรง เขายังไม่ทันที่จะตำหนิเธอว่าไม่รู้จักสงวนตัว วินาทีต่อมาเขาก็ขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวดในทันที จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงครว
“อะไรของผมนะ? ทำไมไม่พูดออกมา?”“……”เสิ่นหยินอู้เม้มริมฝีปากของเธอแน่น ดูจากความสัมพันธ์ที่น่าอึดอัดของพวกเขาในตอนนี้แล้ว จะให้เธอพูดมันออกมาได้อย่างไร?“คุณไม่กล้าพูดเหรอ?” ฉินเย่พูดด้วยท่าทางที่ก้าวร้าวเล็กน้อยเสิ่นหยินอู้ลดสายตาลงอย่างกลัดกลุ้มฉินเย่หัวเราะ แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า "ยังไม่ตายหรอก แค่เกือบถูกคุณกัดจนขาดเอง"เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นทันที“มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ?”“ดูแผลในปากตัวเองสิ รู้ตัวรึยัง?”“……”ดูเหมือนจะจริง เมื่อครู่นี้เธอใช้กระจกส่องดูตัวเอง แผลของเธอเองก็หนักอยู่แล้ว แล้วฉินเย่จะขนาดไหนกันเธอไม่สามารถโต้ตอบอะไรกลับไป ได้แต่ก้มหน้าก้มตาและขอโทษเขาอีกครั้ง“ขอโทษนะ ถ้ามีครั้งหน้าอีก คุณก็ไม่ต้องสนใจฉันหรอก” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินเย่ก็ขมวดคิ้วแน่น “อะไรคือถ้ามีครั้งหน้า? เสิ่นนั่วนั่ว คุณสนุกกับการทำร้ายตัวเองรึไง? เรื่องแบบนี้อย่าให้เกิดขึ้นอีก”ถ้าวันนี้ไม่มีเขาอยู่ มันจะอันตรายแค่ไหนกัน?เสิ่นหยินอู้พึมพำว่า "ฉันเองก็ควบคุมมันไม่ได้เหมือนกัน ฉันจะรู้ได้ยังไงว่ามันจะเกิดหรือไม่เกิดขึ้นอีก?"ฉินเย่กวาดสายตามามองเธ