หลังจากได้ยินเช่นนั้น เจียงฉูฉู่ก็ยืนอ้ำอึ้งอยู่กับที่ เธอคิดว่าเธอได้ยินผิดไป "อะไรนะคะ?"จะให้เธอทำอาหารมาอีกหลายๆกล่องงั้นเหรอ?หลี่ผิงจุนยิ้ม เผยให้เห็นฟันขาวเรียงกันเป็นแถว เขายิ้มอย่างสดใส "คุณสบายใจได้ พวกเราจะไม่ให้คุณทำโดยเปล่าประโยชน์หรอกครับ คุณบอกมาได้เลยว่าอยากคิดราคาเท่าไหร่" เสิ่นหยินอู้ "......"เธอมองไปที่ผู้ช่วยของฉินเย่ หลี่ผิงจุนอย่างไร้คำพูด ในชั่วขณะ เธอไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าเขาต้องการประจบประแจงกับเจียงฉูฉู่หรือต้องการอย่างอื่นกันแน่ ทำไมจึงดูแปลกๆขนาดนั้นนะ?แต่สำหรับเจียงฉูฉู่ สีหน้าของเธอในเวลานี้แย่เกินกว่าจะสามารถอธิบายได้เลยว่าเป็นอย่างไรอยากได้เท่าไรให้บอกมางั้นเหรอ?พวกเขาเห็นเธอเป็นอะไรกัน? พี่เลี้ยงเด็ก? หรือป้าที่ทำอาหารงั้นเหรอ?เจียงฉูฉู่คิดว่าเขาเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ดีแล้ว แต่เธอไม่คาดคิดว่าเขาจะกำเริบเสิบสานแบบนี้ ไม่ใช่ว่านี่คือการเยาะเย้ยเธอหรอกเหรอ? แต่สิ่งที่แย่ที่สุดคือ เธอไม่สามารถมีอาการชักสีหน้าใดๆได้เลย เพราะเธอยังไม่ได้เป็นนายหญิงของฉินกรุ๊ปรอยยิ้มของเจียงฉูฉู่ดูแย่มาก แต่เธอก็ยังพยายามอย่างเต็มที่ที่จะรักษารอยยิ้มนั้น
เมื่อเจียงฉูฉู่ ออกมาจากห้องทำงานของเสิ่นหยินอู้ สีหน้าของเธอก็ดูแย่เป็นอย่างมากมือที่ห้อยอยู่ข้างกระโปรงก็สั่นเล็กน้อยเธอไม่คิดเลยว่า คนที่เป็นเพียงแค่ผู้ช่วยคนนึงจะกล้ามาเยาะเย้ยเธอแบบนี้แม้ว่าเธอจะไม่ได้มีปากเสียงเขาข้างในห้อง แต่เจียงฉูฉู่ก็รู้สึกว่าเธอไม่สามารถกลืนลมหายใจนี้ลงไปได้ทันทีที่เธอเข้าไปในห้องทำงาน เจียงฉูฉู่ก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อครู่นี่ เมื่อเธอพูด น้ำเสียงของเธอก็ไม่ได้แสดงออกถึงความขุ่นเคืองเลยแม้แต่น้อย เธอแค่หวังว่าฉินเย่จะรู้สึกสงสารเธอหลังจากได้ยินเธอเล่าใครจะรู้ว่าหลังจากที่เธอพูดจบ ฉินเย่ก็ไม่ได้ตอบสนองอะไรเลยเป็นเวลาเนิ่นนาน"เย่?"เจียงฉูฉู่มองเขาอย่างสงสัย จากนั้นก็ตระหนักได้ว่า แม้ฉินเย่กำลังจ้องมองสมุดบันทึกตรงหน้าเขาอยู่ แต่สายตาของเขากลับฟุ้งซ่าน ราวกับว่าเขาจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองเจียงฉูฉู่ทำได้แค่เรียกเขาอีกสองสามครั้งอย่างช่วยไม่ได้ ทันใดนั้น ฉินเย่ก็กลับมามีสติอีกครั้ง และมองเธอพร้อมกับขมวดคิ้ว "คุณกลับมาแล้วเหรอ?"เจียงฉูฉู่"..."เธอกลับมานานมากแล้วไม่ใช่เหรอ?นี่ฉันคุยกับเขามานานแล้วแต่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำ?ใ
ทำไมจึงมีรอยฟันอยู่บนแขนของเขา? มันคงไม่ใช่ผู้ชายกัดหรอกใช่ไหม?งั้นก็เหลือความเป็นไปได้เพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น...สีหน้าของเจียงฉูฉู่ซีดลงทันที เธอไม่คาดคิดเลยว่าเสิ่นหยินอู้จะไม่รักษาสัญญา! --วันถัดมาเจียงฉูฉู่ใช้ข้ออ้างในการไปส่งอาหารให้เสิ่นหยินอู้เพื่อมากล่าวหาเธอเมื่อตอนที่ไม่มีใครอยู่ด้วย “เสิ่นหยินอู้ นี่คือวิธีที่เธอตอบแทนฉันงั้นเหรอ?”เสิ่นหยินอู้คิดว่าวันนี้เธอจะมาแสดงละครอะไรอีก แต่เสิ่นหยินอู้ที่จู่ๆกลับได้ยินข้อกล่าวหานั้นก็ได้มองไปยังเธอเธอขมวดคิ้ว “หมายความว่าอะไร?”“แกล้งทำเป็นไม่รู้เหรอ?” เจียงฉูฉู่กัดฟันและมือของเธอก็จับกล่องอาหารเอาไว้แน่น แม้ว่าจะเต็มไปด้วยความโกรธ แต่เธอก็ยังคงลดเสียงลงให้เบา "ข้อที่สามของข้อตกลงที่เราตกลงกันก่อนหน้านี้คือ ก่อนการหย่าร้าง เธอจะไม่สามารถมีพฤติกรรมใกล้ชิดกับฉินเย่ได้อีก ยังจำข้อตกลงนี้ได้ไหม?”เสิ่นหยินอู้เม้มริมฝีปาก "จำได้ ทำไมเหรอ?" “แล้วเธอทำได้รึเปล่า? "ทำได้"เสินหยินอู้พยักหน้า "ยกเว้นเวลาที่ต้องร่วมมือกันเมื่ออยู่ต่อหน้าคุณย่า ในเวลาอื่นๆ เขากับฉันก็ไม่ได้มีพฤติกรรมใกล้ชิดกัน"เธอคิดว่าเธอทำมันได้ด
“หรือว่าเธอไม่เชื่อใจในตัวเขาจริงๆ?”เสิ่นหยินอู้ยกริมฝีปากขึ้นและยิ้มเบาๆ "ฉันไม่ได้กังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของฉันเลย แล้วเธอจะมากังวลอะไรหละ?"เมื่อเห็นว่าเธอยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น เสิ่นหยินอู้พูดได้เพียงว่า "วางใจเถอะ คุณย่าจะได้รับการผ่าตัดในอีกไม่กี่วันนี้ ถ้าเธออดทนอีกสักหน่อย เธอก็จะได้สิ่งที่ต้องการในไม่ช้า ขอแค่การผ่าตัดของคุณย่าประสบความสำเร็จ ฉันจะไปจากที่นี่และไม่กลับมาอีกภายในห้าปี”หลังจากได้เธอเตือนสติ เจียงฉูฉู่ก็ค่อยๆสงบลงใช่ เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่วันเท่านั้น ไม่ว่าตอนนี้จะเกิดอะไรขึ้น ทุกอย่างก็จะจบลงในอีกไม่กี่วันข้างหน้าเรื่องตลกระหว่างเธอกับฉินเย่ก็จะจบลงเช่นกันเมื่อถึงเวลานั้นเธอก็จะไม่ต้องสงสัยอะไรเหมือนตอนนี้อีก“ได้ งั้นฉันจะเชื่อเธอไปก่อนแล้วกัน เมื่อถึงเวลานั้น ฉันหวังว่าเธอจะรักษาคำพูดก็แล้วกัน”หลังจากที่เจียงฉูฉู่เดินจากไป ภายในห้องก็เงียบลงเสิ่นหยินอู้ลดสายตาลงและเอามือลูบที่ท้องของตัวเองเบาๆ “ที่รัก ผ่านทุกอย่างไปด้วยดีกับแม่นะ เมื่อถึงเวลา แม่จะพาลูกไปอยู่ต่างประเทศและคุณตาของลูกก็จะอยู่ที่นั่นด้วยเหมือนกัน คุณตาของลูกคงจะชอบลู
"โอเค"เสิ่นหยินอู้ไม่ได้ปฏิเสธ ขณะที่เธอหันกลับไปเพื่อหยิบเสื้อผ้าที่จะเปลี่ยน เธอก็คิดเกี่ยวกับเรื่องที่จะพูด สุดท้ายก็หันกลับมาและถามว่า"ฉันมีคำถามอยากถามคุณ"ฉินเย่ถอดเสื้อคลุมของเขาออกแล้ว และตอนนี้เขากำลังถอดเน็คไทของเขาออก เมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาหยุดการกระทำของเขาลงและจ้องมองเธอด้วยดวงตาสีเข้มของเขา "ว่าไง"“พรุ่งนี้เราควรไปรับใบหย่าก่อนที่คุณย่าผ่าตัดหรือหลังคุณย่าผ่าตัดดี?”ทันทีที่พูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกถึงออร่าที่ออกมาจากร่างกายของฉินเย่ที่เย็นยะเยือกในทันทีจากนั้นเขาก็จ้องมองเธอด้วยสายตาที่น่ากลัวและดุดันสายตาแบบนี้...เสิ่นหยินอู้หวาดกลัวอย่างอธิบายไม่ถูกกับการจ้องมองของเขา และความรู้สึกอันเย็นยะเยือกก็แผ่มาที่บริเวณหลังของเธอ ทันใดนั้นเธอก็ตระหนักได้ว่าไม่ควรถามคำถามนี้ในเวลานี้เลยคุณย่าจะต้องเข้ารับการผ่าตัดในวันพรุ่งนี้ และตอนนี้ฉินเย่คงมีอารมณ์ที่ไม่มั่นคงอยู่ หลังจากคิดถึงเรื่องนี้แล้ว เสิ่นหยินอู้ก็ขอโทษเขา“ขอโทษที ฉันไม่ควรพูดถึงมันในเวลานี้ ฉันควรรอจนกว่าการผ่าตัดของคุณย่าจะเสร็จ คุณรีบไปพักผ่อนแล้วกัน”หลังจากพูดอย่างนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันหลั
ในตอนปกติที่ไม่ได้นึกถึงมันก็ไม่ได้เป็นอะไร แต่ละวันก็มักจะใช้ชีวิตอย่างมีสงบและไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนักแต่พอนึกถึงมันขึ้นมาแล้วความใกล้ชิดโดยที่ไม่ได้ตั้งใจเหล่านั้น ในเวลานี้กลับเปรียบเสมือนคมมีดที่เฉือนฟันเธอทีละครั้งเสิ่นหยินอู้เอนตัวพิงที่ตู้เซฟและหลับตาลงอย่างอ่อนแรงอย่างไรก็ตาม ถ้าเขาชอบเธอบ้างสักหน่อย เธอก็คงไม่สิ้นหวังขนาดนี้หรอก...เมื่อเธอกลับมาพร้อมกับทะเบียนสมรส ฉินเย่ก็อาบน้ำเสร็จพอดี เขาเดินออกจากห้องน้ำด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง เมื่อเขาเดินผ่านเสิ่นหยินอู้ เขาก็เห็นทะเบียนสมรสสีแดงสองใบในมือของเธอใบหน้าของเขาที่แต่เดิมก็ขุ่นมัวอยู่แล้ว หลังจากเห็นเช่นนั้นเขาก็ยืนนิ่ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองเธอด้วยสายตาที่แข็งกระด้างราวกับน้ำแข็งภายใต้สายตาแบบนี้ของเขา เสิ่นหยินอู้ที่กำลังถือทะเบียนสมรสสองฉบับอยู่ก็ไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไรหลังจากนั้นครู่หนึ่ง ฉินเย่ก็เหน็บแนม "คุณคงรอไม่ไหวแล้วจริงๆสินะ"เสิ่นหยินอู้ตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ริมฝีปากบางของเธอขยับ แต่ในที่สุดเธอก็กำทะเบียนสมรสในมือแน่น แล้วจึงลดสายตาลงต่ำแล้วฉันจะพูดอะไรได้หละ?ดูเหมือนจะไม่มีอะไรที่จะพูดออกมาได้ แล
พ่อบ้าน"……"ที่จริงแล้ว เขาสัมผัสได้ลางๆว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติระหว่างฉินเย่กับเสิ่นหยินอู้ และยังรู้ว่าฉินเย่นอนที่ห้องหนังสือเมื่อคืนนี้อีก เมื่อเขาตื่นแต่เช้า เขาก็พบว่าไฟในห้องหนังสือเปิดอยู่ เมื่อเขามองเข้าไปก็เห็นฉินเย่อยู่ข้างในดวงตาของเขามืดมนและใบหน้าของเขาก็ดูบึ้งตึง เขาถามด้วยเสียงแหบแห้ง "ทำอะไรน่ะ?"พ่อบ้านตกใจกลัวกับท่าทางของเขาขึ้นมาในทันทีจนไม่กล้าพูดอะไรออกมาหลังจากนั้น ฉินเย่ก็ไม่ทานแม้แต่อาหารเช้าด้วยซ้ำ จากนั้นก็เดินตรงไปที่โรงจอดรถด้วยสีหน้าที่เย็นชาเมื่อเห็นเสิ่นหยินอู้เดินออกไป พ่อบ้านก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆในใจ เขารู้สึกหมดคำจะพูดเสิ่นหยินอู้สวมเสื้อคลุมของเธอในขณะที่เดินออกไปข้างนอกตอนนี้ยังเช้าอยู่ ข้างนอกก็หนาวมาก และอุณหภูมิในโรงรถก็เย็นยิ่งกว่าในอุณหภูมิที่หนาวเย็นเช่นนี้ ฉินเย่สวมเสื้อเชิ้ตตัวบางๆ เขาคีบบุหรี่อยู่ในมือ และเอนตัวพิงอยู่กับรถเมื่อเสิ่นหยินอู้เข้ามาใกล้ เรียกได้เลยว่าภาพลักษณ์ของคนทั้งสองคนนั้นแตกต่างกันอย่างมากฉินเย่ที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืนดูโทรมเล็กน้อย ตรงกันข้ามกับเสิ่นหยินอู้ที่แต่งหน้าแล้ว ความแตกต่างนี้ชัดเจนมากฉินเย่ได้ย
แม้ว่าคนที่รออยู่ที่สำนักงานพลเรือนจะไม่มากนัก แต่พวกเขาก็มาทีหลัง ก็เลยยังต้องรอเมื่อคืนเสิ่นหยินอู้นอนไม่หลับ เธอรู้สึกเหนื่อยมาก จึงหาที่นั่งและนั่งลงฉินเย่เดินตามเธอไป แต่สีหน้าของเขายังคงมืดมน และเขาก็ไม่ได้นั่งลงที่ข้างๆเสิ่นหยินอู้ถึงแม้จะเข้ามาในสำนักงานพลเรือนแล้ว แต่เสิ่นหยินอู้ก็ยังคงอยู่ในอารมณ์ที่ดูสงบเธอเงยหน้าขึ้นมามองที่ฉินเย่แล้วถามว่า "คุณไม่นั่งเหรอ?" "ไม่ต้องหรอก" เสียงของฉินเย่เย็นชาจนไม่มีแม้แต่ความอบอุ่น เขาไม่มองเธอด้วยซ้ำเสิ่นหยินอู้เข้าใจดีว่าเขาคงไม่อยากที่จะสนใจเธอใช่สิ พวกเขากำลังจะหย่าร้างกัน และอีกไม่นานเขาก็จะไปครองรักอยู่ด้วยกันกับเจียงฉูฉู่ แล้วเขาจะมาสนใจเธอไปทำไม?โชคดีที่เธอไม่ได้คาดหวังว่าหลังจากหย่ากันแล้วพวกเขาจะยังคงเป็นเพื่อนกันได้ช่วงแรกๆก็ยังไม่มีอะไร แต่พอทั้งสองอยู่ตรงนี้นานขึ้น เสียงซุบซิบรอบๆก็เริ่มดังขึ้น“บรรยากาศแบบนี้…พวกเขามาหย่าสินะ?”“หย่าเหรอ? ไม่หรอกมั้ง สองคนนี้หน้าตาดีขนาดนี้จะหย่ากันได้จริงๆเหรอ?”“ฉันไม่เข้าใจเลย หน้าตาดีกันขนาดนี้ ถ้าจะหาคนที่ดีกว่าอีกฝ่ายคงจะยากใช่ไหมหละ? จะหย่ากันไปทำไมกันนะ? น่าเสียด
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ