แม้ว่าเธอจะปฏิเสธไปแล้วครั้งหนึ่งเมื่อวานนี้ แต่วันนี้เจียงฉูฉู่ก็ยังมาส่งอาหารให้เธออีก ท่าทีที่พากเพียรอดทนที่จะเป็นคนดีของเธอนั้นทำให้เสินหยินอู้หัวเราะอยู่ในใจของเธอแม้ว่าจะขี้เกียจเกินกว่าจะเปิดเผยความจริง เสินหยินอู้ก็ไม่แม้แต่จะอยากเสวนากับเธอด้วยซ้ำ“หยินอู้ ร่างกายเธอคงอ่อนแอมากหลังจากป่วยหนัก วันนี้ฉันตั้งใจทำซุปไก่มาเลยนะ จะไม่ทานสักหน่อยหรอ?”เสินหยินอู้จับคางของเธอ และมองไปที่เจียงฉูฉู่ที่อยู่ตรงหน้าเธออย่างแน่วแน่เห็นได้ชัดว่าไม่มีคนนอกอยู่ที่นี่ แต่เธอยังคงแสร้งทำเป็นคนเรียบร้อยและคนดี เมื่อเสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้น เธอก็รู้สึกเหนื่อยแทนฉูฉู่เธอเพียงวางปากกาที่หมุนอยู่ในมือของเธอลง แล้วมองไปที่เจียงฉูฉู่อย่างแน่วแน่“เธอทำแบบนี้ไม่เหนื่อยหรอ?”ที่เสินหยินอู้ถามนั้นหมายความว่าเธอไม่เหนื่อยเลยเหรอที่ต้องแกล้งทำตัวเป็นคนดีแบบนี้?ดูเหมือนเจียงฉูฉู่จะไม่เข้าใจ จากนั้นเธอก็เปลี่ยนเรื่อง "การที่ได้ทำอาหารให้คนที่ชอบด้วยมือของฉันเองและดูเขาทานจนหมดน่ะ มันเป็นเรื่องที่ทำให้มีความสุขมาก ฉันจะรู้สึกเหนื่อยได้ยังไงหละ?"เมื่อพูดถึงตรงนี้ ดูเหมือนว่าเจียงฉูฉู่จะยังไม่สามา
หลังจากได้ยินเช่นนั้น เจียงฉูฉู่ก็ยืนอ้ำอึ้งอยู่กับที่ เธอคิดว่าเธอได้ยินผิดไป "อะไรนะคะ?"จะให้เธอทำอาหารมาอีกหลายๆกล่องงั้นเหรอ?หลี่ผิงจุนยิ้ม เผยให้เห็นฟันขาวเรียงกันเป็นแถว เขายิ้มอย่างสดใส "คุณสบายใจได้ พวกเราจะไม่ให้คุณทำโดยเปล่าประโยชน์หรอกครับ คุณบอกมาได้เลยว่าอยากคิดราคาเท่าไหร่" เสิ่นหยินอู้ "......"เธอมองไปที่ผู้ช่วยของฉินเย่ หลี่ผิงจุนอย่างไร้คำพูด ในชั่วขณะ เธอไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าเขาต้องการประจบประแจงกับเจียงฉูฉู่หรือต้องการอย่างอื่นกันแน่ ทำไมจึงดูแปลกๆขนาดนั้นนะ?แต่สำหรับเจียงฉูฉู่ สีหน้าของเธอในเวลานี้แย่เกินกว่าจะสามารถอธิบายได้เลยว่าเป็นอย่างไรอยากได้เท่าไรให้บอกมางั้นเหรอ?พวกเขาเห็นเธอเป็นอะไรกัน? พี่เลี้ยงเด็ก? หรือป้าที่ทำอาหารงั้นเหรอ?เจียงฉูฉู่คิดว่าเขาเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ดีแล้ว แต่เธอไม่คาดคิดว่าเขาจะกำเริบเสิบสานแบบนี้ ไม่ใช่ว่านี่คือการเยาะเย้ยเธอหรอกเหรอ? แต่สิ่งที่แย่ที่สุดคือ เธอไม่สามารถมีอาการชักสีหน้าใดๆได้เลย เพราะเธอยังไม่ได้เป็นนายหญิงของฉินกรุ๊ปรอยยิ้มของเจียงฉูฉู่ดูแย่มาก แต่เธอก็ยังพยายามอย่างเต็มที่ที่จะรักษารอยยิ้มนั้น
เมื่อเจียงฉูฉู่ ออกมาจากห้องทำงานของเสิ่นหยินอู้ สีหน้าของเธอก็ดูแย่เป็นอย่างมากมือที่ห้อยอยู่ข้างกระโปรงก็สั่นเล็กน้อยเธอไม่คิดเลยว่า คนที่เป็นเพียงแค่ผู้ช่วยคนนึงจะกล้ามาเยาะเย้ยเธอแบบนี้แม้ว่าเธอจะไม่ได้มีปากเสียงเขาข้างในห้อง แต่เจียงฉูฉู่ก็รู้สึกว่าเธอไม่สามารถกลืนลมหายใจนี้ลงไปได้ทันทีที่เธอเข้าไปในห้องทำงาน เจียงฉูฉู่ก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อครู่นี่ เมื่อเธอพูด น้ำเสียงของเธอก็ไม่ได้แสดงออกถึงความขุ่นเคืองเลยแม้แต่น้อย เธอแค่หวังว่าฉินเย่จะรู้สึกสงสารเธอหลังจากได้ยินเธอเล่าใครจะรู้ว่าหลังจากที่เธอพูดจบ ฉินเย่ก็ไม่ได้ตอบสนองอะไรเลยเป็นเวลาเนิ่นนาน"เย่?"เจียงฉูฉู่มองเขาอย่างสงสัย จากนั้นก็ตระหนักได้ว่า แม้ฉินเย่กำลังจ้องมองสมุดบันทึกตรงหน้าเขาอยู่ แต่สายตาของเขากลับฟุ้งซ่าน ราวกับว่าเขาจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองเจียงฉูฉู่ทำได้แค่เรียกเขาอีกสองสามครั้งอย่างช่วยไม่ได้ ทันใดนั้น ฉินเย่ก็กลับมามีสติอีกครั้ง และมองเธอพร้อมกับขมวดคิ้ว "คุณกลับมาแล้วเหรอ?"เจียงฉูฉู่"..."เธอกลับมานานมากแล้วไม่ใช่เหรอ?นี่ฉันคุยกับเขามานานแล้วแต่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำ?ใ
ทำไมจึงมีรอยฟันอยู่บนแขนของเขา? มันคงไม่ใช่ผู้ชายกัดหรอกใช่ไหม?งั้นก็เหลือความเป็นไปได้เพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น...สีหน้าของเจียงฉูฉู่ซีดลงทันที เธอไม่คาดคิดเลยว่าเสิ่นหยินอู้จะไม่รักษาสัญญา! --วันถัดมาเจียงฉูฉู่ใช้ข้ออ้างในการไปส่งอาหารให้เสิ่นหยินอู้เพื่อมากล่าวหาเธอเมื่อตอนที่ไม่มีใครอยู่ด้วย “เสิ่นหยินอู้ นี่คือวิธีที่เธอตอบแทนฉันงั้นเหรอ?”เสิ่นหยินอู้คิดว่าวันนี้เธอจะมาแสดงละครอะไรอีก แต่เสิ่นหยินอู้ที่จู่ๆกลับได้ยินข้อกล่าวหานั้นก็ได้มองไปยังเธอเธอขมวดคิ้ว “หมายความว่าอะไร?”“แกล้งทำเป็นไม่รู้เหรอ?” เจียงฉูฉู่กัดฟันและมือของเธอก็จับกล่องอาหารเอาไว้แน่น แม้ว่าจะเต็มไปด้วยความโกรธ แต่เธอก็ยังคงลดเสียงลงให้เบา "ข้อที่สามของข้อตกลงที่เราตกลงกันก่อนหน้านี้คือ ก่อนการหย่าร้าง เธอจะไม่สามารถมีพฤติกรรมใกล้ชิดกับฉินเย่ได้อีก ยังจำข้อตกลงนี้ได้ไหม?”เสิ่นหยินอู้เม้มริมฝีปาก "จำได้ ทำไมเหรอ?" “แล้วเธอทำได้รึเปล่า? "ทำได้"เสินหยินอู้พยักหน้า "ยกเว้นเวลาที่ต้องร่วมมือกันเมื่ออยู่ต่อหน้าคุณย่า ในเวลาอื่นๆ เขากับฉันก็ไม่ได้มีพฤติกรรมใกล้ชิดกัน"เธอคิดว่าเธอทำมันได้ด
“หรือว่าเธอไม่เชื่อใจในตัวเขาจริงๆ?”เสิ่นหยินอู้ยกริมฝีปากขึ้นและยิ้มเบาๆ "ฉันไม่ได้กังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของฉันเลย แล้วเธอจะมากังวลอะไรหละ?"เมื่อเห็นว่าเธอยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น เสิ่นหยินอู้พูดได้เพียงว่า "วางใจเถอะ คุณย่าจะได้รับการผ่าตัดในอีกไม่กี่วันนี้ ถ้าเธออดทนอีกสักหน่อย เธอก็จะได้สิ่งที่ต้องการในไม่ช้า ขอแค่การผ่าตัดของคุณย่าประสบความสำเร็จ ฉันจะไปจากที่นี่และไม่กลับมาอีกภายในห้าปี”หลังจากได้เธอเตือนสติ เจียงฉูฉู่ก็ค่อยๆสงบลงใช่ เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่วันเท่านั้น ไม่ว่าตอนนี้จะเกิดอะไรขึ้น ทุกอย่างก็จะจบลงในอีกไม่กี่วันข้างหน้าเรื่องตลกระหว่างเธอกับฉินเย่ก็จะจบลงเช่นกันเมื่อถึงเวลานั้นเธอก็จะไม่ต้องสงสัยอะไรเหมือนตอนนี้อีก“ได้ งั้นฉันจะเชื่อเธอไปก่อนแล้วกัน เมื่อถึงเวลานั้น ฉันหวังว่าเธอจะรักษาคำพูดก็แล้วกัน”หลังจากที่เจียงฉูฉู่เดินจากไป ภายในห้องก็เงียบลงเสิ่นหยินอู้ลดสายตาลงและเอามือลูบที่ท้องของตัวเองเบาๆ “ที่รัก ผ่านทุกอย่างไปด้วยดีกับแม่นะ เมื่อถึงเวลา แม่จะพาลูกไปอยู่ต่างประเทศและคุณตาของลูกก็จะอยู่ที่นั่นด้วยเหมือนกัน คุณตาของลูกคงจะชอบลู
"โอเค"เสิ่นหยินอู้ไม่ได้ปฏิเสธ ขณะที่เธอหันกลับไปเพื่อหยิบเสื้อผ้าที่จะเปลี่ยน เธอก็คิดเกี่ยวกับเรื่องที่จะพูด สุดท้ายก็หันกลับมาและถามว่า"ฉันมีคำถามอยากถามคุณ"ฉินเย่ถอดเสื้อคลุมของเขาออกแล้ว และตอนนี้เขากำลังถอดเน็คไทของเขาออก เมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาหยุดการกระทำของเขาลงและจ้องมองเธอด้วยดวงตาสีเข้มของเขา "ว่าไง"“พรุ่งนี้เราควรไปรับใบหย่าก่อนที่คุณย่าผ่าตัดหรือหลังคุณย่าผ่าตัดดี?”ทันทีที่พูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกถึงออร่าที่ออกมาจากร่างกายของฉินเย่ที่เย็นยะเยือกในทันทีจากนั้นเขาก็จ้องมองเธอด้วยสายตาที่น่ากลัวและดุดันสายตาแบบนี้...เสิ่นหยินอู้หวาดกลัวอย่างอธิบายไม่ถูกกับการจ้องมองของเขา และความรู้สึกอันเย็นยะเยือกก็แผ่มาที่บริเวณหลังของเธอ ทันใดนั้นเธอก็ตระหนักได้ว่าไม่ควรถามคำถามนี้ในเวลานี้เลยคุณย่าจะต้องเข้ารับการผ่าตัดในวันพรุ่งนี้ และตอนนี้ฉินเย่คงมีอารมณ์ที่ไม่มั่นคงอยู่ หลังจากคิดถึงเรื่องนี้แล้ว เสิ่นหยินอู้ก็ขอโทษเขา“ขอโทษที ฉันไม่ควรพูดถึงมันในเวลานี้ ฉันควรรอจนกว่าการผ่าตัดของคุณย่าจะเสร็จ คุณรีบไปพักผ่อนแล้วกัน”หลังจากพูดอย่างนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันหลั
ในตอนปกติที่ไม่ได้นึกถึงมันก็ไม่ได้เป็นอะไร แต่ละวันก็มักจะใช้ชีวิตอย่างมีสงบและไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนักแต่พอนึกถึงมันขึ้นมาแล้วความใกล้ชิดโดยที่ไม่ได้ตั้งใจเหล่านั้น ในเวลานี้กลับเปรียบเสมือนคมมีดที่เฉือนฟันเธอทีละครั้งเสิ่นหยินอู้เอนตัวพิงที่ตู้เซฟและหลับตาลงอย่างอ่อนแรงอย่างไรก็ตาม ถ้าเขาชอบเธอบ้างสักหน่อย เธอก็คงไม่สิ้นหวังขนาดนี้หรอก...เมื่อเธอกลับมาพร้อมกับทะเบียนสมรส ฉินเย่ก็อาบน้ำเสร็จพอดี เขาเดินออกจากห้องน้ำด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง เมื่อเขาเดินผ่านเสิ่นหยินอู้ เขาก็เห็นทะเบียนสมรสสีแดงสองใบในมือของเธอใบหน้าของเขาที่แต่เดิมก็ขุ่นมัวอยู่แล้ว หลังจากเห็นเช่นนั้นเขาก็ยืนนิ่ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองเธอด้วยสายตาที่แข็งกระด้างราวกับน้ำแข็งภายใต้สายตาแบบนี้ของเขา เสิ่นหยินอู้ที่กำลังถือทะเบียนสมรสสองฉบับอยู่ก็ไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไรหลังจากนั้นครู่หนึ่ง ฉินเย่ก็เหน็บแนม "คุณคงรอไม่ไหวแล้วจริงๆสินะ"เสิ่นหยินอู้ตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ริมฝีปากบางของเธอขยับ แต่ในที่สุดเธอก็กำทะเบียนสมรสในมือแน่น แล้วจึงลดสายตาลงต่ำแล้วฉันจะพูดอะไรได้หละ?ดูเหมือนจะไม่มีอะไรที่จะพูดออกมาได้ แล
พ่อบ้าน"……"ที่จริงแล้ว เขาสัมผัสได้ลางๆว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติระหว่างฉินเย่กับเสิ่นหยินอู้ และยังรู้ว่าฉินเย่นอนที่ห้องหนังสือเมื่อคืนนี้อีก เมื่อเขาตื่นแต่เช้า เขาก็พบว่าไฟในห้องหนังสือเปิดอยู่ เมื่อเขามองเข้าไปก็เห็นฉินเย่อยู่ข้างในดวงตาของเขามืดมนและใบหน้าของเขาก็ดูบึ้งตึง เขาถามด้วยเสียงแหบแห้ง "ทำอะไรน่ะ?"พ่อบ้านตกใจกลัวกับท่าทางของเขาขึ้นมาในทันทีจนไม่กล้าพูดอะไรออกมาหลังจากนั้น ฉินเย่ก็ไม่ทานแม้แต่อาหารเช้าด้วยซ้ำ จากนั้นก็เดินตรงไปที่โรงจอดรถด้วยสีหน้าที่เย็นชาเมื่อเห็นเสิ่นหยินอู้เดินออกไป พ่อบ้านก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆในใจ เขารู้สึกหมดคำจะพูดเสิ่นหยินอู้สวมเสื้อคลุมของเธอในขณะที่เดินออกไปข้างนอกตอนนี้ยังเช้าอยู่ ข้างนอกก็หนาวมาก และอุณหภูมิในโรงรถก็เย็นยิ่งกว่าในอุณหภูมิที่หนาวเย็นเช่นนี้ ฉินเย่สวมเสื้อเชิ้ตตัวบางๆ เขาคีบบุหรี่อยู่ในมือ และเอนตัวพิงอยู่กับรถเมื่อเสิ่นหยินอู้เข้ามาใกล้ เรียกได้เลยว่าภาพลักษณ์ของคนทั้งสองคนนั้นแตกต่างกันอย่างมากฉินเย่ที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืนดูโทรมเล็กน้อย ตรงกันข้ามกับเสิ่นหยินอู้ที่แต่งหน้าแล้ว ความแตกต่างนี้ชัดเจนมากฉินเย่ได้ย
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ
ฉินเย่สัญญาว่าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้เธอ รวมถึงอาการบาดเจ็บของผู้ช่วยเฉินด้วย คนของเขาสามารถจัดการเรื่องอะไรต่างๆได้อย่างรวดเร็วมาก ในวันถัดมา เสิ่นหยินอู้ก็ได้รับข่าวคราวล่าสุดของพวกโม่ไป๋ เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ยังไม่มีร่องรอยของผู้ช่วยเฉินเลย “ไร้ร่องรอยงั้นเหรอ?” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้ได้ยินเช่นนั้น เธอก็มีลางสังหรณ์แย่ๆขึ้นมาทันที เมื่อตอนที่เธอยังอยู่ที่บ้านของโม่ไป๋ ผู้ช่วยเฉินก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาหลายวัน จากนั้นเมื่อเธอถามถึงเขา เขาจึงปรากฏตัวขึ้น แต่เมื่อเขาปรากฏตัว เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งสำคัญคืออาการบาดเจ็บของเขาหนักแค่ไหน เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถรับรู้ได้เลย เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะถอดเสื้อของเขาออกมาเพื่อดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บแค่ไหน ต่อมาเขาปล่อยเธอและพาเธอออกมา หลังจากที่เขากลับไป โม่ไป๋ก็คงจะยิ่งไม่เกรงใจเขามากขึ้น ตอนนี้... ไม่รู้เลยว่าเขาจะเป็นเช่นไร นอกจากนี้ โม่ไป๋ยังได้รับบาดเจ็บ เขาคงจะโกรธมากและระบายความโกรธทั้งหมดที่มีใส่ผู้ช่วยเฉินหรือไม่? และที่นี่คือที่ต่างประเทศ ถ้าหากว่า... เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ
คาดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายจะมีด้านนี้เหมือนกัน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันไปมองเขา “ฉันไม่ได้อึดอัด แต่ตอนนี้คุณบาดเจ็บอยู่ คุณไม่ได้ต้องพักผ่อนเหรอ?” "อืม" ฉินเย่พยักหน้า: "ผมอยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนผม" เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจ: "เมื่อคืนนี้ฉันอยู่กับคุณทั้งคืนไปแล้วไม่ใช่เหรอ?" เขาคงจะไม่ได้คิดที่จะให้เธออยู่กับเขาไปตลอดใช่ไหม? เธอยังต้องไปดูแลลูกๆ “นั่วนั่ว” เขาดึงเธอเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: "ผมเป็นคนป่วย ต้องการคนอยู่ด้วยในระยะยาว" เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ขัดขืน ฉินเย่ก็ดึงเธอขึ้นไปนั่งบนตักเขาแล้วเอามือพยุงไว้ที่เอวของเธอ ก่อนที่เธอจะทันได้โต้ตอบ เธอก็ตกเข้าไปในอ้อมแขนของเขาแล้ว ฉินเย่ก้มศีรษะลงและโน้มตัวเอาหน้าลงไปซุกไว้ที่ซอกคอของเธอ เขาสูดดมกลิ่นของเธอด้วยความละโมบ ลมหายใจอันร้อนรุ่มที่ออกมาทั้งหมดถูกปล่อยออกมาที่ซอกคอของเสิ่นหยินอู้ เธอรู้สึกถึงมันได้อย่างรวดเร็วและกระตุกหลายครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าฉินเย่จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาประทับริมฝีปากบางที่นุ่มนิ่มของเขาลงไปบนซอกคอของเธอ เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น ในที่สุดเสิ่นหยินอ
เขาคว้าโทรศัพท์ไปทั้งเครื่อง เสิ่นหยินอู้ไม่ได้จับโทรศัพท์เลย เธอไม่กล้าแย่งมันคืนมาเพราะกลัวว่าระหว่างการแย่งชิงโทรศัพท์กันจะทำให้บาดแผลของเขาฉีกกว้างขึ้น “บทลงโทษอะไรกัน? ต่อให้คุณจะพูดไม่เหมาะสม แต่ก็มันไม่เกี่ยวอะไรกับบาดแผลของคุณเลย” น่าเสียดายที่ไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไร ฉินเย่ก็เหมือนจะไม่ได้ยินเธอ ราวกับว่าเขายินยอมที่จะรับบทลงโทษของตัวเอง เมื่อเห็นท่าทางที่นิ่งเฉยของเขา เสิ่นหยินอู้ก็พูดได้เพียงว่า: "ต่อให้คุณจะลงโทษตัวเอง แต่ก็ใช้วิธีอื่นก็ได้" วิธีอื่นเหรอ? ในที่สุดฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองเธอ “แล้วคุณว่า ต้องลงโทษแบบไหนล่ะ?”เสิ่นหยินอู้คิดอย่างจริงจังอยู่สักพัก "วิธีลงโทษคุณน่ะมี แต่ไม่ใช่ตอนนี้ รอหลังจากที่แผลคุณหายดีแล้วก่อนเถอะ" “งั้นหลังจากลงโทษแล้ว คุณจะยกโทษให้ผมได้ไหม?” “เรื่องนี้ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีนะ” คำพูดที่เขาพูดในวันนี้มันทำให้เธอโกรธมากจริงๆ เมื่อเห็นเช่นนั้น สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไรอีก “เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน ฉันจะโทรตามคุณหมอมาทำแผลให้คุณใหม่” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดฉินเย่ก็ยื่นโทรศัพท์ให้เธอหลังจ
รวมถึงโม่ไป๋ด้วย การที่เขาลักพาตัวเธอไปอย่างกะทันหันก็เป็นสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงเช่นกัน แต่สิ่งที่ฉินเย่พูดในตอนนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ตื่นตระหนกขึ้นมา แต่ในไม่ช้าเธอก็สงบลง “เรื่องนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นเลยนะ มันไม่เหมาะสมที่คุณที่จะยกตัวอย่างแบบนี้ขึ้นมา” คำตอบของเธอทำให้สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย “เป็นเพราะผมยกตัวอย่างที่ไม่เหมาะสมหรือเพราะคุณไม่สามารถตอบคำถามของผมได้เลย หรือจะบอกว่าคำตอบของคุณก็เหมือนกับที่ผมคิดไว้” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เม้มริมฝีปาก เธอพยายามจินตนาการถึงภาพนี้ในหัว หากฉินเย่ลักพาตัวเธอ และให้เธอกับลูกๆอยู่ด้วยกันกับเขาไปตลอดชีวิตเท่านั้น ไม่ได้ ต่อให้จะเป็นเขา แต่เธอก็รับไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าพวกเขาจะสนิทสนมเพียงใด เธอก็ไม่สามารถยอมรับเรื่องที่พวกเขาทำผิดกฎหมายได้ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่สนใจว่าคำพูดถัดไปจะทำร้ายจิตใจของฉินเย่หรือไม่ เธอพูดออกมาตรงๆ “ใช่ คุณพูดถูก ถ้าคุณลักพาตัวฉัน ฉันก็จะไม่อยู่กับคุณ” ดวงตาของฉินเย่มืดลง “แต่ในอีกความหมายหนึ่ง การที่ฉันไม่อยู่กับคุณมันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไปอยู่กับเขา ถ้าฉันจะอยู่กับคุณมัน
ฉินเย่เม้มริมฝีปาก สีหน้าไม่พอใจปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าที่หล่อเหลา ราวกับว่าเขาไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเธอ เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงใช้แรงดึงมือของเธอออกมาเท่านั้น ทันใดนั้นสายตาของฉินเย่ก็แสดงความเจ็บปวดออกมาเล็กน้อย เสิ่นหยินอู้: "..." ขณะที่เธอพยายามจะเอามือออกมา เผยจ้าวเหิงก็พูดขึ้นว่า: "ประธานฉิน คุณหนูเสิ่น เราต้องรีบไปสนามบิน ขอตัวก่อนนะครับ" ทันทีที่เขาพูดจบ เผยจ้าวเหิงก็ถือโอกาสนี้จับมือของโจวชวงชวงและพาเธอออกไป "เฮ้เฮ้..." โจวชวงชวงคิดไม่ถึงว่าเขาจะจูงเธอออกไปเช่นนี้ หลังจากตอบสนองได้แล้ว เธอก็ตะโกนบอกเสิ่นหยินอู้: "หยินอู้ งั้นไว้เจอกันที่จีนนะ ฉันจะไปหาเธอหลังจากที่ฉันจัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จแล้ว"เสิ่นหยินอู้โบกมือให้เธอ “โอเค ไว้เจอกันที่จีนนะ” โจวชวงชวงถูกเผยจ้าวเหิงพาออกไป เหลือเพียงฉินเย่กับเสิ่นหยินอู้เท่านั้นที่อยู่ ณ ตรงนั้น หลังจากเงียบไปหลายวินาที เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะพูดกับเขาว่า: "พวกเขาไปกันแล้ว ทำไมคุณยังไม่ปล่อยมือล่ะ?" หลังจากได้ยิน ฉินเย่ก็ก้มศีรษะลงไปมองมือที่ทั้งสองจับกันอยู่ จากนั้นก็ยกมุมปากขึ้นอย่างน่ามอง “แล้วทำไมต้องปล่อยมือด้ว
ในเวลานี้หญิงสาวทั้งสองดูเศร้ามาก ดังนั้นฉินเย่จึงยืนเงียบๆอยู่ที่ประตูและไม่ได้เข้าไปรบกวนพวกเธอ หนึ่งนาที... สองนาที... จนกระทั่งห้านาทีผ่านไป ฉินเย่เลิกคิ้วอย่างเหลืออดเล็กน้อย ต้องกอดกันนานขนาดนั้นเลยเหรอ? เธอคงไม่ได้คิดจะแย่งหยินอู้ไปจากเขาจริงๆใช่ไหม? "อะแฮ่ม" เสียงกระแอมที่ดังขึ้นมาอย่างกะทันหันดึงให้ทั้งสองกลับมาจากความคิด เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เสิ่นหยินอู้จึงเงยหน้าขึ้นไปมองที่ต้นเสียงและพบว่าคนที่ทำเสียงนั้นออกมาคือฉินเย่ เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตามองตรงมาที่พวกเธอ ท่าทางราวกับว่าเขาอยู่ที่นี่มาสักพักหนึ่งแล้ว ในเวลานี้ โจวชวงชวงรีบคลายอ้อมกอดอย่างรวดเร็ว "ประธานฉิน" "อืม" ฉินเย่ก้าวไปข้างหน้าแล้วเดินเข้าไป "พวกคุณกำลังคุยอะไรกันอยู่?" แม้ว่าเธอจะเป็นผู้หญิง แต่โจวชวงชวงก็รู้สึกได้ถึงความหึงหวงที่แผ่ออกมาจากร่างกายของฉินเย่อย่างอธิบายไม่ได้ เธอรู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่เธอยังคงตอบเขาด้วยความจริงใจ: "ไม่ได้พูดอะไร ฉันแค่จะไปแล้ว ก็เลยมาบอกลาเธอ" ในตอนนี้ ฉินเย่ประหลาดใจเล็กน้อย “คุณจะไปแล้วเหรอ?” อาจเป็นเพราะเธอเพิ่งได้เจอหยินอู้เมื่อคืนนี้ แต่วันนี