กงหลี่เฉียงหันไปมองเว่ยอ๋องอย่างไม่สบอารมณ์ เขากำลังหาทางปลีกตัวหนีได้อยู่แล้ว
“ท่านอ๋อง เรื่องนี้ท่านเกี่ยวอันใดด้วยพ่ะย่ะค่ะ"
“เรื่องนี้เปิ่นหวางก็ไม่เกี่ยวหรอก เพียงแต่ว่ามันน่าสนุกดีมิใช่หรือ” เขายื่นหน้าไปใกล้กงหลี่เฉียง
“หรือพระองค์กำลังเอาคืนกระหม่อม” กงหลี่เฉียงมองเว่ยอ๋องอย่างโกรธแค้น
“เหตุใดเปิ่นหวางต้องแก้แค้นเจ้าด้วยเล่า” เขากอดอกมองกงหลี่เฉียงอย่างยียวน
"พระองค์พึงใจในตัวชิงชิง คงจะยินดีไม่น้อยที่กระหม่อมมิได้แต่งนางเข้าจวน” กงหลี่เฉียงเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจออกมา แต่เขาก็เพียงพูดออกมาให้ได้ยินเพียงแค่สองคน
“เช่นนั้นรึ แล้วอย่างไรเล่า หากเป็นเปิ่นหวางที่ได้ใจนางมาครองคงมิยอมให้เสียไปอย่างแน่ แต่เจ้าเล่า หึหึ น่าขันนัก” เว่ยอ๋องกระซิบข้างหู ทั้งยังปรายตาไปมองซิงเยียนอย่างดูแคลน
กงหลี่เฉียงตัวช้าวาบ เขาเพิ่งจะรู้ว่าเมื่อก่อนที่เคยยิ้มเยาะเว่ยอ๋องที่แย่งเยว่ชิงมาได้ ในตอนนี้เขาได้สูญเสียนางไปเสียแล้ว
หากไม่เชื่อคำมารดา ออกมาพบซิงเยียนในวันนี้ เขาคงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้แน่
แต่ไม่สิ หมอหลิวระแคะระคายเรื่องทั้งหมดได้อย่างไร หากไม่มีผู้ใดเอ่ยบอกเรื่องที่จวนของเขา หมอหลิวจะส่งคนตามสืบเรื่องทั้งหมดได้รึ
“เป็นท่านใช่หรือไม่ ที่ยุให้หมอหลิวสืบเรื่องของข้า” กงหลี่เฉียงเอ่ยถามเว่ยอ๋องออกมาทันที
“เจ้าพูดเรื่องอันใด คนชั่วเช่นเจ้า ต้องให้เปิ่นหวางลงมือด้วยรึ” เว่ยอ๋องยกยิ้มดูแคลนกงหลี่เฉียงที่คิดจะหาเรื่องเขา
“แล้วเช่นนั้น ท่านหมอหลิวจะสงสัยเรื่องของข้าได้อย่างไร”
“หึหึ กงหลี่เฉียงเอ๋อ กงหลี่เฉียง เจ้าคิดว่าผู้อื่นจะโง่เขลาไปตลอดเช่นนั้นรึ หากเปิ่นหวางเป็นคนลงมือ เจ้าเชื่อหรือไม่เล่าว่าความผิดของบิดาเจ้า เพียงพอให้หัวคนทั้งตระกูลกงหลุดออกจากบ่าได้” ประโยคหลังเว่ยอ๋องยื่นหน้าไปพูดให้กงหลี่เฉียงได้ยินเพียงผู้เดียว
คำพูดของเว่ยอ๋องทำให้กงหลี่เฉียงสั่นสะท้านออกมา เขาเชื่อในคำพูดของเว่ยอ๋อง เพราะรู้จักนิสัยของบิดาดี ยิ่งทำงานในกรมพิธีการด้วยแล้ว เรื่องที่ทำให้หัวหลุดจากบ่าคงมีไม่กี่เรื่อง
“หมดเรื่องสนุกแล้ว เปิ่นหวางขอตัว” เว่ยอ๋องเดินหัวเราะออกไปจากห้องรับรองทันที
เมื่อออกมาด้านนอกก็พบกับเสิ่นเจิ้งซี ผู้ตรวจการหนุ่มที่เป็นสหายของเขา
“ท่านอ๋อง ทรงสำราญไม่น้อยเลยนะพ่ะย่ะค่ะ” เสิ่นเจิ้งซีอดที่จะค่อนแคะเขาไม่ได้
“หึหึ หรือเจ้าไม่คิดว่าเรื่องนี้สนุกรึ อ้อ คงมีเรื่องให้ผู้ตรวจการเช่นเจ้าไปทำแล้ว” เว่ยอ๋องส่งกระดาษที่เขาหยิบติดมือมาด้วยให้เสิ่นเจิ้งซี
“นี่” เมื่ออ่านสิ่งที่เขียนอยู่ด้านใน เขาก็เงยหน้าขึ้นมองเว่ยอ๋องอย่างไม่อยากเชื่อ
“นอกจากจะมีเรื่องสนุกแล้ว เปิ่นหวางยังหางานให้เจ้าได้ด้วย หากได้เลื่อนขั้น อย่าลืมเลี้ยงเปิ่นหวางเล่า” เว่ยอ๋องตบบ่าเสิ่นเจิ้งซี ก่อนที่จะเดินออกจากโรงน้ำชาไปขึ้นรถม้ากลับตำหนัก
เขานึกถึงใบหน้ายามโกรธขึ้งในตอนเด็กของเยว่ชิงแล้วเผลอหัวเราะออกมา นางในตอนนั้นตัวอ้วนกลม แก้มทั้งสองข้างทำให้เขามันเขี้ยวจนเผลอไปจับเสียหลายรอบ
ยิ่งตอนที่นางโมโหจนหน้าแดงเขาก็ยิ่งอยากจะแกล้งนาง ยามที่นางโมโหจนจะร่ำไห้ แต่ไม่ยอมให้น้ำตาไหลออกมาก็ช่างน่าดู
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่เขาและนางไม่ได้หยอกล้อกันเช่นนี้ คงเป็นตอนที่เขาแกล้งนางจนเกือบตกน้ำ จนกงหลี่เฉียงทำตัวเป็นบุรุษขี่ม้าขาวมาช่วยสาวงามกระมัง ครั้งนั้นนางดูโกรธเขามากกว่าทุกครั้ง
และเป็นตัวเขาที่ถอยห่างจากนาง หลังที่นางหันไปสนิทกับกงหลี่เฉียง อาจจะเป็นเพราะเขาโมโหที่นางไม่ยอมพูดคุยกับเขาอีก ทั้งยังไม่อยากจะเห็นเวลาที่นางยิ้มให้กงหลี่เฉียง
“เจ้าจะเสียใจมากเพียงใด กระต่ายน้อยของเปิ่นหวาง” เขาเปิดผ้าม่านรถม้าขึ้น เมื่อผ่านจวนของนาง
เยว่ชิงเมื่อกลับมาถึงจวน นางนั่งพูดคุยกับบิดาต่อเรื่องที่พ่อบ้านหาร้านค้าให้นางได้แล้ว ทั้งสองพูดคุยกันเรื่องที่จะจัดการกับโรงหมอของนางเช่นไร จนทานมื้อเย็นเสร็จจึงได้แยกย้ายกันไปพักผ่อน
เมื่อเข้ามาภายในเรือนเยว่ชิงก็เข้าไปจัดการล้างหน้าล้างตัวเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะให้อาอิงออกไปพักผ่อน
“ทะ ท่าน” นางเกือบจะกรีดร้องออกมาเสียแล้ว เมื่อเห็นเว่ยอ๋องปรากฏกายอยู่ภายในห้องของนาง
เว่ยอ๋องรู้อยู่แล้วว่าถ้านางเห็นเขาจะต้องกรีดร้องอย่างแน่นอน จึงได้พุ่งตัวไปตะครุบปิดปากของนางไว้ได้ทัน
เยว่ชิงนางถลึงตามองเขาอย่างไม่พอใจ แต่จะร้องออกมาก็ไม่ได้ เพราะมือของเขาปิดปากของนางไว้แน่น
“เปิ่นหวางจะปล่อยมือออก แต่เจ้าห้ามร้องเล่า”
เยว่ชิงพยักหน้าอย่างว่าง่าย นางไม่มีทางร้องเรียกให้มาแห่กันมาดูอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นว่านางลอบนัดพบบุรุษยามค่ำคืนที่ห้องนอน
“พระองค์เข้ามาในห้องนอนหม่อมฉันได้อย่างไรเพคะ” นางถอยห่างออกมาจากตัวเขา
เว่ยอ๋องหยักไหล่ แล้วเดินไปนอนลงที่เตียงราวกับว่าเป็นห้องพักของตน เยว่ชิงเดินตามมาดึงตัวเขาให้ลุกขึ้นจากที่นอนของนาง แต่แรงของนางรึจะสู้แรงของเขาได้ จำต้องปล่อยให้เขานอนอย่างสบายใจบนที่นอนของนางต่อไป
"เปิ่นหวางเพียงแค่มาดู ว่าจวนตระกูลหลิวน้ำท่วมไปด้วยน้ำตาของเจ้าแล้วหรือยัง”
เยว่ชิงหยิบจอกน้ำชาปาใส่ไปที่ตัวของเขาอย่างโมโห
“เหอะ เรื่องเพียงแค่นี้หม่อมฉันไม่เสียน้ำตาหรอกเพคะ พระองค์กลับไปได้แล้ว หากผู้ใดมาพบเข้าหม่อมฉันจะเสียหาย”
“เจ้ายังกลัวเสียหายอีกหรือ เรื่องในวันนี้ พรุ่งนี้ชาวเมืองคงได้ลือไปทั่ว แล้วเช่นนี้เจ้ายังไม่เสียหายอีกรึ”
“มันไม่เหมือนกันเพคะ ไม่เช่นนั้นหม่อมฉันจะร้องเรียกองครักษ์แล้วนะเพคะ”
“หึหึ องครักษ์จวนเจ้าสมควรต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดจริงๆ เปิ่นหวางเข้ามาถึงนี่ ยังไม่มีผู้ใดโผล่หัวออกมา”
“ท่านอ๋อง” เยว่ชิงเอ่ยตำหนิเขาออกมา
เว่ยอ๋องลุกขึ้นเดินเข้ามาหานาง ก่อนจะมองนางอย่างจริงจังอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
“เอาล่ะ เปิ่นหวางไม่แกล้งเจ้าแล้ว ชิงชิง อย่าได้เสียน้ำตาให้บุรุษเช่นนั้นเด็ดขาด”
เยว่ชิงเงยหน้าสบตากับเขา น้อยครั้งนักที่เขาจะเอ่ยปลอบโยนนาง แม้แต่ยามเด็กที่นางร้องไห้ เพราะหกล้ม เขายังถากถางนาง หาว่าขาไม่มีแรงเดิน แต่ยามนี้เขากลับมองนางอย่างจริงจัง
“แล้วท่านเห็นข้าร้องหรือไม่เล่า” นางก้มหน้าลง เอ่ยเสียงเบา เว่ยอ๋องที่เป็นเช่นนี้ก็ทำให้นางถึงกับทำตัวไม่ถูกเช่นกัน
“เปิ่นหวางจะกลับแล้ว เจ้าก็รีบเข้านอนเสีย หน้าตาของเจ้าดูไม่ได้เสียเลย” เยว่ชิงกัดฟันแน่น นางคิดว่าเขาจะดีขึ้นเสียแล้ว แต่เปล่าเลยยังคงนิสัยเสียเช่นเดิม
เว่ยอ๋องกระโดดออกไปทางหน้าต่าง เขายังคงหยุดอยู่ที่ต้นไม้ข้างห้องของนาง เมื่อเห็นว่าด้านในดับเทียนแล้ว จึงได้ออกจากจวนตระกูลหลิวไปอย่างเงียบๆ
รุ่งเช้า เมื่อหมอหลิวเข้าไปทำงานที่วังหลวงก็พบกับนายท่านกงที่ดักรอเขาอยู่ที่หน้าประตูวัง“อาเฮ่อ ข้าขอคุยกับเจ้าสักประเดี๋ยว”“หากเจ้าจะพูดเรื่องหมั้นหมายของชิงเออร์ เห็นทีข้าคงไม่มีเรื่องจะพูด”“อย่างไรเล่า อาเฉียงเป็นบุรุษ เรื่องสตรีย่อมต้องมีกันบ้าง เจ้าอย่าได้ใจแคบนักเลย หากเขาได้แต่งชิงเออร์เข้าตระกูลแล้วข้ารับรองว่าเรื่องเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก” นายท่านกงเอ่ยออกมาอย่างหน้าด้านๆ“หึ กงป๋อเหวิน ข้าเห็นเจ้าเป็นสหาย หากเจ้ากล้าเอ่ยเช่นนี้กับข้าอีกครั้ง แม้แต่ความเป็นสหายข้าก็จะไม่เหลือให้เจ้า” หมอหลิวจ้องมองนายท่านกงอย่างไม่สบอารมณ์“ใช่แล้ว ใต้เท้ากง ท่านพูดได้เห็นแก่ตัวนัก บุตรชายท่านจะทำตัวเช่นไรก็ได้อย่างนั้นรึ”หมอหลิวได้ยินเสียงก็รู้เลยว่าเป็นผู้ใด เขาถอนหายใจออกมา ก่อนจะหันไปทำความเคารพให้เว่ยอ๋องเมื่อเห็นเว่ยอ๋องเดินเข้ามาพูดสีหน้าของกงป๋อเหวินก็ซีดขาวทันที เพราะกงหลี่เฉียงกลับมาที่จวนแล้วเล่าสิ่งที่เว่ยอ๋องได้เอ่ยกับเขาออกมาให้บิดาได้ฟัง“กระหม่อมขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ” กงป๋อเหวินเอ่ยขอตัวทันที เขาหันไปมองหน้าหมอหลิวก่อนจะเร่งรีบเดินจากไป“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลิวขอบคุณเว่ย
เรื่องข่าวลือที่กระจายไปทั่ว ทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนตระกูลกง ไม่มีสิ่งใดที่ส่งผลกระทบมาถึงเยว่ชิงที่นั่งจัดเตรียมสมุนไพรอยู่ในทั้งบ่าวในจวนก็ไม่คิดจะเรื่องที่ได้ยินมา มาเล่าให้คุณหนูได้ฟัง เพราะไม่มีผู้ใดอยากจะเห็นคุณหนูของตนเจ็บปวดใจได้พอกงป๋อเหวินและกงหลี่เฉียงกลับมาถึงจวน ตู้ซื่อจึงเล่าเรื่องที่น้องชายของนางมาโวยวายที่จวนให้พวกเขาฟัง“เพ้ย เช่นนั้นเจ้าก็หาสินสอดกันเองเถิด” กงป๋อเหวินสะบัดชายเสื้อจากไปอย่างไม่ไยดี“ท่านแม่ แล้วเรื่องนี้จะทำอย่างไรกันดี” กงหลี่เฉียงยามนี้ก็ทำตัวเป็นบัณฑิตให้คนภายนอกดูแต่ความจริงแล้วเขายังไม่อาจสอบเข้าทำงานในราชสำนักได้ ถึงแม้จะสอบผ่านจิ้นซื่อหน้าพระพักตร์ได้แล้ว แต่ด้วยอันดับที่ไม่ดี ทั้งยังมิอาจสอบชิงเข้ากรมใดได้สักกรม จึงยังมิได้ทำงานเสียทีการแต่งงานกับเยว่ชิงก็หวังว่าตนจะได้อาศัยบารมีของหมอหลิวที่เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้และไทเฮา เพื่อได้เข้าทำงานในตำแหน่งที่ดีในราชสำนักแต่ตอนนี้ดูเหมือนทุกอย่างจะหมดหวังไปเสียทุกทาง แล้วยังมาถูกจวนตระกูลตู้เร่งรัดให้รีบส่งแม่สื่อไปที่จวนในเวลาเพียงสามวันเท่านั้น“จะทำอย่างไรได้ แม่คงต้องนำสินเดิมที่เก็บซ่อ
แต่เพราะอยู่ใกล้กันเกินไป เมื่อนางหันไปมองเขา ใบหน้าของทั้งคู่ก็อยู่ใกล้กันจนรู้สึกถึงลมหายใจของอีกคน เยว่ชิงรีบถอยหนีตามสัญชาตญาณ เว่ยอ๋องที่กำลังจะยื่นหน้ามาใกล้อีกอย่างลืมตัวจึงต้องหยุดชะงักลง เพราะกลัวจะทำให้นางตกใจ“แล้วนายท่านกงจะถูกตัดสินเช่นใดเพคะ” นางรีบเอ่ยเรื่องโทษของกงป๋อเหวินขึ้นมาทันที เพราะบรรยากาศภายในห้องอึดอัดไม่น้อย“หากไม่โดนประหารก็คงถูกเนรเทศไปใช้แรงงานกระมัง" เขาเอนตัวไปพิงเก้าอี้ แล้วยังไหล่ออกมาอย่างไม่ใส่ใจ“ผู้ใดทำสิ่งใดไว้ก็สมควรจะต้องชดใช้” นางเอ่ยออกมาเสียงเบา“เจ้าเห็นใจคุณชายเฉียงอย่างงั้นรึ” เว่ยอ๋องเลิกคิ้วถามนาง“เหอะ มีคำใดที่ข้าเอ่ยถึงเขาเช่นนั้นรึ” นางถลึงตามองเขาอย่างไม่สบอารมณ์“แล้วไป”“ท่านว่าอย่างไรนะเพคะ” นางเอ่ยถาม เพราะไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูด“ไม่มีอันใด พรุ่งนี้โรงหมอของเจ้าจะเปิดใช่หรือไม่”“เพคะ”“เจ้าคิดดีแล้วหรือ เรื่องที่จะตรวจโรคให้หญิงคณิกา” ในตอนแรกที่เขารู้เรื่องนี้ก็ตกใจไม่น้อย“เพคะ หรือพระองค์กลัวว่าเรื่องที่พระองค์ไปเที่ยวหอนางโลมจะถูกพวกนางพูดออกมา” เยว่ชิงเอียงคอมองเว่ยอ๋องอย่างหยอกล้อ“เพ้ย ชิงชิงเจ้าพูดเรื่องนี้ออกมาได้อ
หลิวเยว่ชิง สาวงามของเมืองหลวง บุตรสาวของท่านหมอหลวงหลิว ความงามของนางเป็นที่ประจักษ์ ทั้งเรื่องความสามารถเรื่องการรักษานางก็เก่งไม่แพ้ผู้เป็นบิดา แต่เพราะด้วยที่นางเป็นสตรี นางจึงมิอาจเดินตามรอยเท้าของบิดาได้ทำได้เพียงรักษาให้กับสตรีที่ต้องการความช่วยเหลือจากนาง นางยังคิดจะเปิดโรงหมอ เพื่อรักษาให้กับสตรีโดยเฉพาะ แต่เพราะคู่หมั้นของนาง กงหลี่เฉียงมิเห็นด้วย นางจึงได้เลิกล้มไปเสียนางแต่งให้กงหลี่เฉียงท่ามกลางความเสียดายของบุรุษมากมายในเมืองหลวง งานมงคลของนางเป็นที่พูดถึงนานหลายเดือน เพราะสินเดิมที่บิดาจัดเตรียมให้ เรียกได้มามากมายจนไม่ต้องทำสิ่งใดอีกแล้วนางใช้ชีวิตเป็นฮูหยินของกงหลี่เฉียง ดูแลจวน ทั้งยังดูแลแม่สามีที่เจ็บป่วยอยู่เสมอ จนมีแต่คนเอ่ยชมกงหลี่เฉียงที่ได้ภรรยาเช่นนางไปครอบครองในวันแต่งงาน เรื่องที่ไม่อาจไม่พูดถึงไม่ได้คือเรื่องคำสาบานของกงหลี่เฉียง“ข้ากงหลี่เฉียง ขอสาบานต่อฟ้าดิน ว่าชีวิตนี้จะมีเพียง หลิวเยว่ชิงเป็นภรรยาเพียงผู้เดียว”เรื่องนี้ยังสร้างความอิจฉาให้กับเหล่าสตรีในเมืองหลวงอยู่นานหลายเดือน หากบุรุษบ้านใดที่รับอนุเพิ่ม จะถูกเปรียบเทียบกับกงหลี่เฉียงในยามนั้น
เสียงฟ้าคำรามกึกก้องไปทั่วเมืองหลวง เยว่ชิงที่นอนอยู่บนเตียงสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากความฝันที่น่าหวาดกลัวนางจับที่หน้าอกของตนเอง เนื้อตัวของนางยังสั่นเทาไม่หยุด นางมองไปรอบๆ ห้อง ก็พบว่าตอนนี้นางอยู่ที่เตียงนอนในเรือนของนาง ที่จวนตระกูลหลิว“ข้าย้อนกลับมารึ” นางไม่รู้ว่าสิ่งใดคือเรื่องจริงกันแน่ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพียงฝันหนึ่งตื่น หรือว่านางในตอนนี้ได้ย้อนกลับมาก่อนที่จะแต่งเข้าจวนตระกูลกงกันแน่ฝนด้านนอกกำลังตกหลัก อากาศก็เริ่มที่จะเย็นขึ้น แต่ตัวของนางกลับเต็มไปด้วยเหงื่อที่ราวกับว่านางเพิ่งจะขึ้นมาจากอ่างอาบน้ำเยว่ชิงหยิกที่แขนของตนเอง เพื่อทดสอบว่านางกำลังฝันไปหรือไม่ ก็พบว่านางเจ็บจนต้องร้องออกมาเบาๆ“คุณหนู ท่านตื่นเพราะเสียงฟ้าร้องหรือเจ้าคะ” อาอิงที่นอนอยู่หน้าห้องเดินเข้ามาดูเยว่ชิงด้านในห้อง“อาอิง” นางเอ่ยเรียกสาวใช้เสียงสั่น พร้อมทั้งอ้าแขนออกสวมกอดนางไว้แน่นในจวนตระกูลกง มีเพียงอาอิงที่นางปรับทุกข์ได้ตลอดสองปีที่ใช้ชีวิตที่นั่น บ่าวคนอื่นไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่ไม่มีผู้ใดที่กล้าเอ่ยคุยเล่นกับนางคงเป็นเพราะนางต้องจัดการเรื่องภายในจวนที่ยุ่งเหยิงก่อนหน้าที่นางจะเข้าไป หนี้สินท
เมื่อสามวันที่แล้ว ตอนที่ตระกูลกงเข้าทาบทาม งานหมั้นหมายของนาง ก็ดูเหมือนเยว่ชิงนางไม่ได้ขัดข้องอันใด แต่มาตอนนี้กลับบอกจะไม่แต่งแล้ว“หากลูกพูดเรื่องอันใดไป ท่านพ่อจะเชื่อลูกหรือไม่เจ้าคะ” นางรอคำตอบอย่างคาดหวัง“ย่อมต้องเชื่อเจ้าอยู่แล้ว มีอันใดก็ว่ามาเถิด” เขาลูบหัวบุตรสาวอย่างรักใคร่หมอหลิวย่อมต้องเชื่อในคำพูดของเยว่ชิง เพราะเขาเลี้ยงดูนางมาด้วยตนเอง ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่นางไม่เคยพูดหลอกลวงเขาสักครั้ง“ลูกฝันไม่ดีเจ้าค่ะ มันเหมือนจริงยิ่งนัก” นางไม่กล้าบอกบิดาตามตรงว่านางได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง จึงเล่าทุกสิ่งออกมาเป็นสิ่งที่นางได้ฝันแทนหมอหลิวมองบุตรสาวอย่างหยอกล้อ เพียงแค่ความฝันถึงกลับทำให้นางมิต้องการต้องเข้าตระกูลกงได้เลยรึ“ชิงเออร์ สิ่งที่ลูกกังวลเป็นเพียงแค่ความฝัน เจ้าก็เชื่อแล้วรึ”“ท่านพ่อ ถึงอย่างไรลูกก็ไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น ทั้งยังไม่ต้องการแต่งเข้าตระกูลกง หากท่านพ่อคิดว่าเรื่องทั้งหมดลูกกังวลไปเอง ท่านลองส่งคนไปสืบเรื่อง คุณหนูตู้ ตู้ซิงเยียน ก่อนดีหรือไม่ แล้วเรื่องสัญญาหมั้นหมายค่อยพูดกันอีกครั้ง”หมอหลิวนั่งนิ่งอย่างใช้ความคิด บุตรสาวของตนทำอะไรมีเหตุผลเสมอ
ตู้ซื่อเมื่อเอ่ยเรื่องหนี้สินในจวนออกมา ใบหน้าของนางก็เคร่งเครียดขึ้น แล้วเริ่มมองไปทางนายท่านกงที่สร้างเรื่องไว้มากมาย“มิใช่บิดาของเจ้ารึที่ก่อเรื่องเอาไว้ เอาเถิดข้าจะไม่พูดเรื่องนี้อีก แต่เมื่อแต่งนางเข้ามาแล้ว เจ้าต้องรับเยียนเออร์เข้ามาเป็นฮูหยินรองทันที เข้าใจหรือไม่” นางหันไปคาดคั้นบุตรชายของนาง“ท่านแม่ท่านลืมไปแล้วหรือขอรับ ว่าข้ารับปากท่านหมอหลิว เรื่องที่จะไม่รับฮูหยินรองหรืออนุเข้าเรือนหลัง” กงหลี่เฉียงเอ่ยออกมาอย่างเหนื่อยใจ“แล้วอย่างไรเล่า หากนางตั้งครรภ์มิได้ เจ้าจะแต่งอนุเข้าจวน เรื่องนี้จะมีผู้ใดว่าเจ้าได้กัน” เมื่อได้ยินคำของมารดาดวงตาของกงหลี่เฉียงก็เปล่งประกายขึ้นมานายท่านกงมองสองแม่ลูกสนทนากันอย่างไม่ใส่ใจ ทั้งคู่จะจัดการเรื่องนี้เช่นไรเขาไม่สน แต่ต้องแต่งเยว่ชิงเข้าจวนให้ได้เสียก่อน เพื่อนำสินเดิมของนางมาชดใช้หนี้ที่เขาสร้างไว้ทางด้านเยว่ชิงเมื่อรู้ว่าพวกตระกูลกงเดินทางกลับไปแล้ว จึงได้ออกจากเรือนไปพบบิดาเพื่อสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น“พ่อบอกให้พวกเขารอจนกว่าเจ้าจะหายป่วย”“ท่านพ่อไม่ปฏิเสธไปเลยเล่าเจ้าคะ” เยว่ชิงอดที่จะกังวลไม่ได้“เจ้าอย่าได้รีบร้อน หากปฏิ
นางมิได้คิดสิ่งใดกับกงหลี่เฉียงแล้วเสียหน่อย ทั้งความเสียใจที่ทุกเขากระทำก็หายไปเสียจนสิ้น ตอนนี้เหลือเพียงแค่อยากเห็นชายชั่วกับหญิงร้ายถูกทำให้อับอายเช่นที่นางเคยโดนมาก็เท่านั้น“นายท่านต้องการนั่งที่ใดขอรับ” เสี่ยวเอ้อเดินออกมาต้อนรับ“ท่านพ่อลูกอยากนั่งที่ชั้นสองเจ้าค่ะ”“เช่นนั้นก็ชั้นสองเถิด”“ทางนี้ขอรับ” เสี่ยวเอ้อรีบนำทางไปทันทีเยว่ชิงที่ไม่ได้ปรากฏตัวนอกจวนเสียนาน เมื่อนางออกมาย่อมต้องตกเป็นเป้าสายตาของผู้อื่น บุรุษได้แต่มองตามแผ่นหลังของนางที่เดินข้างบิดาไปอย่างล่องลอย สตรีก็ได้แต่มองไปอย่างอิจฉาในความงามของนางโต๊ะด้านในที่หลบสายตาของผู้อื่น มีบุรุษสองคนที่นั่งสนทนากัน กำลังมองมาที่หมอหลิวและเยว่ชิงอย่างนึกสนุก“หึหึ ช่างน่าสนใจ”“ท่านไม่คิดจะไปห้ามอย่างนั้นรึ”“เรื่องสนุกเช่นนี้ จะห้ามไปไย สมควรจะตามไปชมเสียมากกว่า” เขาโยนถั่วเข้าปากแล้วลุกขึ้นเดินตามสองพ่อลูกไปอย่างช้าๆ สหายของเขาได้แต่ส่ายหน้าและเร่งฝีเท้าตามไป“พี่เฉียง ท่านแอบออกมาพบข้าเช่นนี้ มิกลัวคุณหนูหลิวนางจะรู้เข้าอย่างนั้นรึ” เสียงสตรีกำลังต่อว่าบุรุษด้านใน ดังออกมาด้านนอก จนทำให้คนทั้งหมดที่กำลังจะเข้าไปในห้อ
แต่เพราะอยู่ใกล้กันเกินไป เมื่อนางหันไปมองเขา ใบหน้าของทั้งคู่ก็อยู่ใกล้กันจนรู้สึกถึงลมหายใจของอีกคน เยว่ชิงรีบถอยหนีตามสัญชาตญาณ เว่ยอ๋องที่กำลังจะยื่นหน้ามาใกล้อีกอย่างลืมตัวจึงต้องหยุดชะงักลง เพราะกลัวจะทำให้นางตกใจ“แล้วนายท่านกงจะถูกตัดสินเช่นใดเพคะ” นางรีบเอ่ยเรื่องโทษของกงป๋อเหวินขึ้นมาทันที เพราะบรรยากาศภายในห้องอึดอัดไม่น้อย“หากไม่โดนประหารก็คงถูกเนรเทศไปใช้แรงงานกระมัง" เขาเอนตัวไปพิงเก้าอี้ แล้วยังไหล่ออกมาอย่างไม่ใส่ใจ“ผู้ใดทำสิ่งใดไว้ก็สมควรจะต้องชดใช้” นางเอ่ยออกมาเสียงเบา“เจ้าเห็นใจคุณชายเฉียงอย่างงั้นรึ” เว่ยอ๋องเลิกคิ้วถามนาง“เหอะ มีคำใดที่ข้าเอ่ยถึงเขาเช่นนั้นรึ” นางถลึงตามองเขาอย่างไม่สบอารมณ์“แล้วไป”“ท่านว่าอย่างไรนะเพคะ” นางเอ่ยถาม เพราะไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูด“ไม่มีอันใด พรุ่งนี้โรงหมอของเจ้าจะเปิดใช่หรือไม่”“เพคะ”“เจ้าคิดดีแล้วหรือ เรื่องที่จะตรวจโรคให้หญิงคณิกา” ในตอนแรกที่เขารู้เรื่องนี้ก็ตกใจไม่น้อย“เพคะ หรือพระองค์กลัวว่าเรื่องที่พระองค์ไปเที่ยวหอนางโลมจะถูกพวกนางพูดออกมา” เยว่ชิงเอียงคอมองเว่ยอ๋องอย่างหยอกล้อ“เพ้ย ชิงชิงเจ้าพูดเรื่องนี้ออกมาได้อ
เรื่องข่าวลือที่กระจายไปทั่ว ทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนตระกูลกง ไม่มีสิ่งใดที่ส่งผลกระทบมาถึงเยว่ชิงที่นั่งจัดเตรียมสมุนไพรอยู่ในทั้งบ่าวในจวนก็ไม่คิดจะเรื่องที่ได้ยินมา มาเล่าให้คุณหนูได้ฟัง เพราะไม่มีผู้ใดอยากจะเห็นคุณหนูของตนเจ็บปวดใจได้พอกงป๋อเหวินและกงหลี่เฉียงกลับมาถึงจวน ตู้ซื่อจึงเล่าเรื่องที่น้องชายของนางมาโวยวายที่จวนให้พวกเขาฟัง“เพ้ย เช่นนั้นเจ้าก็หาสินสอดกันเองเถิด” กงป๋อเหวินสะบัดชายเสื้อจากไปอย่างไม่ไยดี“ท่านแม่ แล้วเรื่องนี้จะทำอย่างไรกันดี” กงหลี่เฉียงยามนี้ก็ทำตัวเป็นบัณฑิตให้คนภายนอกดูแต่ความจริงแล้วเขายังไม่อาจสอบเข้าทำงานในราชสำนักได้ ถึงแม้จะสอบผ่านจิ้นซื่อหน้าพระพักตร์ได้แล้ว แต่ด้วยอันดับที่ไม่ดี ทั้งยังมิอาจสอบชิงเข้ากรมใดได้สักกรม จึงยังมิได้ทำงานเสียทีการแต่งงานกับเยว่ชิงก็หวังว่าตนจะได้อาศัยบารมีของหมอหลิวที่เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้และไทเฮา เพื่อได้เข้าทำงานในตำแหน่งที่ดีในราชสำนักแต่ตอนนี้ดูเหมือนทุกอย่างจะหมดหวังไปเสียทุกทาง แล้วยังมาถูกจวนตระกูลตู้เร่งรัดให้รีบส่งแม่สื่อไปที่จวนในเวลาเพียงสามวันเท่านั้น“จะทำอย่างไรได้ แม่คงต้องนำสินเดิมที่เก็บซ่อ
รุ่งเช้า เมื่อหมอหลิวเข้าไปทำงานที่วังหลวงก็พบกับนายท่านกงที่ดักรอเขาอยู่ที่หน้าประตูวัง“อาเฮ่อ ข้าขอคุยกับเจ้าสักประเดี๋ยว”“หากเจ้าจะพูดเรื่องหมั้นหมายของชิงเออร์ เห็นทีข้าคงไม่มีเรื่องจะพูด”“อย่างไรเล่า อาเฉียงเป็นบุรุษ เรื่องสตรีย่อมต้องมีกันบ้าง เจ้าอย่าได้ใจแคบนักเลย หากเขาได้แต่งชิงเออร์เข้าตระกูลแล้วข้ารับรองว่าเรื่องเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก” นายท่านกงเอ่ยออกมาอย่างหน้าด้านๆ“หึ กงป๋อเหวิน ข้าเห็นเจ้าเป็นสหาย หากเจ้ากล้าเอ่ยเช่นนี้กับข้าอีกครั้ง แม้แต่ความเป็นสหายข้าก็จะไม่เหลือให้เจ้า” หมอหลิวจ้องมองนายท่านกงอย่างไม่สบอารมณ์“ใช่แล้ว ใต้เท้ากง ท่านพูดได้เห็นแก่ตัวนัก บุตรชายท่านจะทำตัวเช่นไรก็ได้อย่างนั้นรึ”หมอหลิวได้ยินเสียงก็รู้เลยว่าเป็นผู้ใด เขาถอนหายใจออกมา ก่อนจะหันไปทำความเคารพให้เว่ยอ๋องเมื่อเห็นเว่ยอ๋องเดินเข้ามาพูดสีหน้าของกงป๋อเหวินก็ซีดขาวทันที เพราะกงหลี่เฉียงกลับมาที่จวนแล้วเล่าสิ่งที่เว่ยอ๋องได้เอ่ยกับเขาออกมาให้บิดาได้ฟัง“กระหม่อมขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ” กงป๋อเหวินเอ่ยขอตัวทันที เขาหันไปมองหน้าหมอหลิวก่อนจะเร่งรีบเดินจากไป“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลิวขอบคุณเว่ย
กงหลี่เฉียงหันไปมองเว่ยอ๋องอย่างไม่สบอารมณ์ เขากำลังหาทางปลีกตัวหนีได้อยู่แล้ว“ท่านอ๋อง เรื่องนี้ท่านเกี่ยวอันใดด้วยพ่ะย่ะค่ะ"“เรื่องนี้เปิ่นหวางก็ไม่เกี่ยวหรอก เพียงแต่ว่ามันน่าสนุกดีมิใช่หรือ” เขายื่นหน้าไปใกล้กงหลี่เฉียง“หรือพระองค์กำลังเอาคืนกระหม่อม” กงหลี่เฉียงมองเว่ยอ๋องอย่างโกรธแค้น“เหตุใดเปิ่นหวางต้องแก้แค้นเจ้าด้วยเล่า” เขากอดอกมองกงหลี่เฉียงอย่างยียวน"พระองค์พึงใจในตัวชิงชิง คงจะยินดีไม่น้อยที่กระหม่อมมิได้แต่งนางเข้าจวน” กงหลี่เฉียงเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจออกมา แต่เขาก็เพียงพูดออกมาให้ได้ยินเพียงแค่สองคน“เช่นนั้นรึ แล้วอย่างไรเล่า หากเป็นเปิ่นหวางที่ได้ใจนางมาครองคงมิยอมให้เสียไปอย่างแน่ แต่เจ้าเล่า หึหึ น่าขันนัก” เว่ยอ๋องกระซิบข้างหู ทั้งยังปรายตาไปมองซิงเยียนอย่างดูแคลนกงหลี่เฉียงตัวช้าวาบ เขาเพิ่งจะรู้ว่าเมื่อก่อนที่เคยยิ้มเยาะเว่ยอ๋องที่แย่งเยว่ชิงมาได้ ในตอนนี้เขาได้สูญเสียนางไปเสียแล้วหากไม่เชื่อคำมารดา ออกมาพบซิงเยียนในวันนี้ เขาคงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้แน่แต่ไม่สิ หมอหลิวระแคะระคายเรื่องทั้งหมดได้อย่างไร หากไม่มีผู้ใดเอ่ยบอกเรื่องที่จวนของเขา หมอหลิวจะส่งคนตามสืบ
นางมิได้คิดสิ่งใดกับกงหลี่เฉียงแล้วเสียหน่อย ทั้งความเสียใจที่ทุกเขากระทำก็หายไปเสียจนสิ้น ตอนนี้เหลือเพียงแค่อยากเห็นชายชั่วกับหญิงร้ายถูกทำให้อับอายเช่นที่นางเคยโดนมาก็เท่านั้น“นายท่านต้องการนั่งที่ใดขอรับ” เสี่ยวเอ้อเดินออกมาต้อนรับ“ท่านพ่อลูกอยากนั่งที่ชั้นสองเจ้าค่ะ”“เช่นนั้นก็ชั้นสองเถิด”“ทางนี้ขอรับ” เสี่ยวเอ้อรีบนำทางไปทันทีเยว่ชิงที่ไม่ได้ปรากฏตัวนอกจวนเสียนาน เมื่อนางออกมาย่อมต้องตกเป็นเป้าสายตาของผู้อื่น บุรุษได้แต่มองตามแผ่นหลังของนางที่เดินข้างบิดาไปอย่างล่องลอย สตรีก็ได้แต่มองไปอย่างอิจฉาในความงามของนางโต๊ะด้านในที่หลบสายตาของผู้อื่น มีบุรุษสองคนที่นั่งสนทนากัน กำลังมองมาที่หมอหลิวและเยว่ชิงอย่างนึกสนุก“หึหึ ช่างน่าสนใจ”“ท่านไม่คิดจะไปห้ามอย่างนั้นรึ”“เรื่องสนุกเช่นนี้ จะห้ามไปไย สมควรจะตามไปชมเสียมากกว่า” เขาโยนถั่วเข้าปากแล้วลุกขึ้นเดินตามสองพ่อลูกไปอย่างช้าๆ สหายของเขาได้แต่ส่ายหน้าและเร่งฝีเท้าตามไป“พี่เฉียง ท่านแอบออกมาพบข้าเช่นนี้ มิกลัวคุณหนูหลิวนางจะรู้เข้าอย่างนั้นรึ” เสียงสตรีกำลังต่อว่าบุรุษด้านใน ดังออกมาด้านนอก จนทำให้คนทั้งหมดที่กำลังจะเข้าไปในห้อ
ตู้ซื่อเมื่อเอ่ยเรื่องหนี้สินในจวนออกมา ใบหน้าของนางก็เคร่งเครียดขึ้น แล้วเริ่มมองไปทางนายท่านกงที่สร้างเรื่องไว้มากมาย“มิใช่บิดาของเจ้ารึที่ก่อเรื่องเอาไว้ เอาเถิดข้าจะไม่พูดเรื่องนี้อีก แต่เมื่อแต่งนางเข้ามาแล้ว เจ้าต้องรับเยียนเออร์เข้ามาเป็นฮูหยินรองทันที เข้าใจหรือไม่” นางหันไปคาดคั้นบุตรชายของนาง“ท่านแม่ท่านลืมไปแล้วหรือขอรับ ว่าข้ารับปากท่านหมอหลิว เรื่องที่จะไม่รับฮูหยินรองหรืออนุเข้าเรือนหลัง” กงหลี่เฉียงเอ่ยออกมาอย่างเหนื่อยใจ“แล้วอย่างไรเล่า หากนางตั้งครรภ์มิได้ เจ้าจะแต่งอนุเข้าจวน เรื่องนี้จะมีผู้ใดว่าเจ้าได้กัน” เมื่อได้ยินคำของมารดาดวงตาของกงหลี่เฉียงก็เปล่งประกายขึ้นมานายท่านกงมองสองแม่ลูกสนทนากันอย่างไม่ใส่ใจ ทั้งคู่จะจัดการเรื่องนี้เช่นไรเขาไม่สน แต่ต้องแต่งเยว่ชิงเข้าจวนให้ได้เสียก่อน เพื่อนำสินเดิมของนางมาชดใช้หนี้ที่เขาสร้างไว้ทางด้านเยว่ชิงเมื่อรู้ว่าพวกตระกูลกงเดินทางกลับไปแล้ว จึงได้ออกจากเรือนไปพบบิดาเพื่อสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น“พ่อบอกให้พวกเขารอจนกว่าเจ้าจะหายป่วย”“ท่านพ่อไม่ปฏิเสธไปเลยเล่าเจ้าคะ” เยว่ชิงอดที่จะกังวลไม่ได้“เจ้าอย่าได้รีบร้อน หากปฏิ
เมื่อสามวันที่แล้ว ตอนที่ตระกูลกงเข้าทาบทาม งานหมั้นหมายของนาง ก็ดูเหมือนเยว่ชิงนางไม่ได้ขัดข้องอันใด แต่มาตอนนี้กลับบอกจะไม่แต่งแล้ว“หากลูกพูดเรื่องอันใดไป ท่านพ่อจะเชื่อลูกหรือไม่เจ้าคะ” นางรอคำตอบอย่างคาดหวัง“ย่อมต้องเชื่อเจ้าอยู่แล้ว มีอันใดก็ว่ามาเถิด” เขาลูบหัวบุตรสาวอย่างรักใคร่หมอหลิวย่อมต้องเชื่อในคำพูดของเยว่ชิง เพราะเขาเลี้ยงดูนางมาด้วยตนเอง ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่นางไม่เคยพูดหลอกลวงเขาสักครั้ง“ลูกฝันไม่ดีเจ้าค่ะ มันเหมือนจริงยิ่งนัก” นางไม่กล้าบอกบิดาตามตรงว่านางได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง จึงเล่าทุกสิ่งออกมาเป็นสิ่งที่นางได้ฝันแทนหมอหลิวมองบุตรสาวอย่างหยอกล้อ เพียงแค่ความฝันถึงกลับทำให้นางมิต้องการต้องเข้าตระกูลกงได้เลยรึ“ชิงเออร์ สิ่งที่ลูกกังวลเป็นเพียงแค่ความฝัน เจ้าก็เชื่อแล้วรึ”“ท่านพ่อ ถึงอย่างไรลูกก็ไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น ทั้งยังไม่ต้องการแต่งเข้าตระกูลกง หากท่านพ่อคิดว่าเรื่องทั้งหมดลูกกังวลไปเอง ท่านลองส่งคนไปสืบเรื่อง คุณหนูตู้ ตู้ซิงเยียน ก่อนดีหรือไม่ แล้วเรื่องสัญญาหมั้นหมายค่อยพูดกันอีกครั้ง”หมอหลิวนั่งนิ่งอย่างใช้ความคิด บุตรสาวของตนทำอะไรมีเหตุผลเสมอ
เสียงฟ้าคำรามกึกก้องไปทั่วเมืองหลวง เยว่ชิงที่นอนอยู่บนเตียงสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากความฝันที่น่าหวาดกลัวนางจับที่หน้าอกของตนเอง เนื้อตัวของนางยังสั่นเทาไม่หยุด นางมองไปรอบๆ ห้อง ก็พบว่าตอนนี้นางอยู่ที่เตียงนอนในเรือนของนาง ที่จวนตระกูลหลิว“ข้าย้อนกลับมารึ” นางไม่รู้ว่าสิ่งใดคือเรื่องจริงกันแน่ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพียงฝันหนึ่งตื่น หรือว่านางในตอนนี้ได้ย้อนกลับมาก่อนที่จะแต่งเข้าจวนตระกูลกงกันแน่ฝนด้านนอกกำลังตกหลัก อากาศก็เริ่มที่จะเย็นขึ้น แต่ตัวของนางกลับเต็มไปด้วยเหงื่อที่ราวกับว่านางเพิ่งจะขึ้นมาจากอ่างอาบน้ำเยว่ชิงหยิกที่แขนของตนเอง เพื่อทดสอบว่านางกำลังฝันไปหรือไม่ ก็พบว่านางเจ็บจนต้องร้องออกมาเบาๆ“คุณหนู ท่านตื่นเพราะเสียงฟ้าร้องหรือเจ้าคะ” อาอิงที่นอนอยู่หน้าห้องเดินเข้ามาดูเยว่ชิงด้านในห้อง“อาอิง” นางเอ่ยเรียกสาวใช้เสียงสั่น พร้อมทั้งอ้าแขนออกสวมกอดนางไว้แน่นในจวนตระกูลกง มีเพียงอาอิงที่นางปรับทุกข์ได้ตลอดสองปีที่ใช้ชีวิตที่นั่น บ่าวคนอื่นไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่ไม่มีผู้ใดที่กล้าเอ่ยคุยเล่นกับนางคงเป็นเพราะนางต้องจัดการเรื่องภายในจวนที่ยุ่งเหยิงก่อนหน้าที่นางจะเข้าไป หนี้สินท
หลิวเยว่ชิง สาวงามของเมืองหลวง บุตรสาวของท่านหมอหลวงหลิว ความงามของนางเป็นที่ประจักษ์ ทั้งเรื่องความสามารถเรื่องการรักษานางก็เก่งไม่แพ้ผู้เป็นบิดา แต่เพราะด้วยที่นางเป็นสตรี นางจึงมิอาจเดินตามรอยเท้าของบิดาได้ทำได้เพียงรักษาให้กับสตรีที่ต้องการความช่วยเหลือจากนาง นางยังคิดจะเปิดโรงหมอ เพื่อรักษาให้กับสตรีโดยเฉพาะ แต่เพราะคู่หมั้นของนาง กงหลี่เฉียงมิเห็นด้วย นางจึงได้เลิกล้มไปเสียนางแต่งให้กงหลี่เฉียงท่ามกลางความเสียดายของบุรุษมากมายในเมืองหลวง งานมงคลของนางเป็นที่พูดถึงนานหลายเดือน เพราะสินเดิมที่บิดาจัดเตรียมให้ เรียกได้มามากมายจนไม่ต้องทำสิ่งใดอีกแล้วนางใช้ชีวิตเป็นฮูหยินของกงหลี่เฉียง ดูแลจวน ทั้งยังดูแลแม่สามีที่เจ็บป่วยอยู่เสมอ จนมีแต่คนเอ่ยชมกงหลี่เฉียงที่ได้ภรรยาเช่นนางไปครอบครองในวันแต่งงาน เรื่องที่ไม่อาจไม่พูดถึงไม่ได้คือเรื่องคำสาบานของกงหลี่เฉียง“ข้ากงหลี่เฉียง ขอสาบานต่อฟ้าดิน ว่าชีวิตนี้จะมีเพียง หลิวเยว่ชิงเป็นภรรยาเพียงผู้เดียว”เรื่องนี้ยังสร้างความอิจฉาให้กับเหล่าสตรีในเมืองหลวงอยู่นานหลายเดือน หากบุรุษบ้านใดที่รับอนุเพิ่ม จะถูกเปรียบเทียบกับกงหลี่เฉียงในยามนั้น