“ครับ ตามใจเซฟเลย”
“มันเป็นแค่ความคิดเท่านั้นแหละนะ”
“ลองทำสักยี่สิบห้าสายก่อนไหมล่ะ” เจียวเหย่ ผู้เป็นอาแท้ ๆ เสนอ อีกฝ่ายเป็นเซฟภัตคารอาหารแต่ยอมลาออกเพื่อมาช่วยงานหลานสาวโดยที่เธอไม่ได้ไปขอร้อง ถึงจะเอาของฝากไปให้และพูดคุยเรื่องร้านบ้างเล็กน้อยก็ตามที
“อาเจียว”
“แค่ยี่สิบห้าสาย ให้มารับที่ร้านหม้อไฟจะได้โปรโมตไปด้วย”
“คุณอา”
“ถ้าซาบซึ้งใจขนาดนั้นก็คิดสูตรอาหารอร่อย ๆ ให้เป็นซิกเนเจอร์ของร้านอีกแล้วกัน” พ่อครัวชิน เป็นพ่อครัวที่สุดยอดอีกคนที่รังสรรคอาหารอร่อยออกมาได้อย่างสุดยอดไม่แพ้กัน
“ขอบคุณทุกคนมากเลยนะคะ เรื่องทำอาหารจะเปิดแค่บางเมนูที่วัตถุดิบไม่ยุ่งยากเกินไป และใครจะทำต่อส่วนแบ่งหลังหลักค่าใช้จ่ายทุกอย่างจะแบ่งให้เท่า ๆ กัน เริ่มแรกจะให้ลูกค้ามารับที่ร้านก่อนป้องกันไว้ก่อน
“ทำงานหนักแบบนี้ร่างกายจะไม่ไหวเอานะ”
“หนูยังไม่เป็นไรค่ะ แข็งแรงดีหาหมอทุกปีด้วย...” เธอที่กำลังพูด อยู่ ๆ ก็รู้สึกว่าร่างกายหนักอึ้ง สายตาก็พร่าเลื่อนราง เสียงเรียกรอบกายก็แทบไม่ได้ยิน รวมถึงมือเท้ากลับรู้สึกเย็บเฉียบ
“เฮ้ย...”
“เซียงเหยา”
“เซฟ!”
เสียงวุ่นวายรอบกายแทบไม่ได้ยิน ภาพที่พยายามมองให้ชัดก็ไม่เห็นสุดท้ายก็มืดสนิทลง แถมร่างกายนี้ก็ยังขยับไม่ได้อีก ทำไมรู้สึก...
“จะตายแล้วเหรอ อึดอัด หายใจไม่ออก”
“ช่วยด้วย ป๊า”
“จิ้งโจว ช่วยพี่ด้วย...”
เอื้อมมือไปแล้วแต่ทำไมมืดแบบนี้...
“ไม่นะ!”
ดวงตาลืมขึ้นพร้อมมือที่เอื้อมคว้าอากาศไว้ เส้นผมสีดำขลับยุ่งเหยิง เม็ดเหงื่อเล็ก ๆ ผุดเต็มหน้าผากเหมือนฝันร้ายไปชั่วขณะแต่ที่น่าแปลกไปกว่านั้น แสงสว่างรอบกาย และอาภรณ์ที่สวมใส่กลับไม่ใช่โลกที่เธอเคยอยู่ ยกมือลูบหน้าตัวเองให้สร่างเผื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นเพียงฝัน
เรายังไม่ตายอาจเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์ก็ได้
“เป๋ยเป๋ย เจ้าแอบอู้อีกแล้วเหรอ” หญิงสาวหน้าตาอ่อนเยาว์สวมที่เธอเคยเห็นในซีรีส์จีนสีขาวสะอาดท่าทางอ่อนช้อยเดินเข้ามาหาตน
“คุณเป็นใคร แล้วที่นี่” พอเห็นแบบนั้นแล้วเธออดก้มมองตัวเองไม่ได้ก็ต้องแปลกใจเพราะชุดที่สวมไม่ใช่ชุดทำงานหรืออยู่บ้าน แต่เป็นแบบเดียวกับอีกฝ่าย “กรี๊ด นี่มันอะไรกัน”
เซียงเหยามองพื้นที่โดยรอบที่นอกห้องเห็นกลุ่มก้อนเมฆาปุยนุ่นขาวล่องลอยแต่ก็มีต้นไม้และสิ่งก่อสร้าง พื้นหญ้ารวมถึงแอ่งน้ำ ดวงตาเบิกกว้างเดินไปหยุดที่อ่างน้ำหน้าตาเธอยังเหมือนเดิมแต่แตกต่างไปจากทุกที
“เจ้าเป็นอะไรไป”
“ที่นี่ที่ไหน ทำไมฉันมาอยู่ที่นี่ได้”
“ทำไมเจ้าพูดจาแปลก ๆ ที่นี่ก็คือที่พำนักของเทพไป๋หู่เจ้านายของพวกเรายังไงล่ะ”
“เอ๋!!!”
ที่นี่มันที่ไหน ทำไมเรามาอยู่ที่นี่ได้ไม่จริงใช่ไหม
พอคิดแบบนั้นเธอก็เดินไปทั่วตามทางไม่รู้โผล่ไปที่ไหนแต่ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็เจอแต่คนที่แต่งตัวแบบเธอทั้งชายหญิงต่างมีเครื่องแบบโทนสีเดียวกันจนสุดท้ายก็หยุด
“ฉันตายไปแล้วเหรอ” พอคิดแบบนั้นนิ้วก็จับแขนแล้วบิดเบา ๆ “โอ๊ย เจ็บจัง”
“เจ้าไม่สบายหรือทำไมทำร้ายตัวเองแบบนั้น” ชิงเจียนถามปนขำขัน
“เปล่าค่ะ”
เรายังไม่ตาย แล้วย้อนเวลามาเป็นเซียน?
ในขณะที่จมกับความคิดของตัวเอง กลุ่มคนสองสามคนเดินเข้ามามีอยู่หนึ่งคนที่ท่าทางเป็นผู้นำตีหน้าบึ้งตึงหยุดยืนอยู่ตรงหน้า
“เสียงดังโวยวายอะไรกัน ไม่รู้หรือยังไง เทพไป๋หู่กำลังจำศีลอยู่”
เทพไป๋หู่? นี่อย่าบอกนะว่าเราฝัน ใช่แน่ ๆ ต้องมีกล้องซ่อนไว้ที่ไหนสักที่แน่ ๆ
“ไม่มีอะไรค่ะท่านกวงจิ้ง”
“ถ้าไม่เป็นอะไรก็รีบตามออกมา จะได้รีบเตรียมของสำหรับทำอาหารให้ท่านเทพไป๋หู่” กวงจิ้งเปรยตามองแล้วเดินจากไปพร้อมคนอื่น ๆ
คนถูกปรามาสด้วยสายตามองตามก่อนจะหันมองคนข้าง ๆ สุดท้ายก็ต้องทำใจอยู่ที่นี่และหาวิธีกลับโลกเดิมให้ได้ ไม่รู้ว่าปานนี้ทุกคนจะเป็นยังไงบ้าง
“นางเป็นใครเหรอ”
“หัวหน้าแม่ครัวของท่านเทพไป๋หู่ชื่อกวงจิ้ง แต่จริง ๆ แล้วมีอีกสองสามคนช่วงนี้ท่านเทพจำศีลเลยท่านกวงจิ้งเลยได้รับหน้าที่ทำอาหาร เจ้าจำไม่ได้เหรอ”
“ใช่ ๆ ข้ายังไม่สร่างนอนน่ะ เอ่อ คือข้าชื่ออะไรเหรอ” เธอชี้มาที่ตัวเอง แน่นอนว่ามาโลกนี้คงใช้ชื่อไม่เหมือนเดิม
“เจ้าชื่อเฟ่ยเฟ่ยเป็นเซียนจิ้งจอกอืม...”
“อะไรเหรอ”
“เปล่า ๆ ข้าอายุน้อยกว่าเจ้าห้าร้อยปี ชื่อชิงเจียน เป็นเซียนนก”
“ใช่ ๆ เธอชื่อชิงเจียนเป็นน้องข้าเป็นเซียนนกข้าสร่างแล้ว” เฟ่ยเฟ่ยขำแห้งกลบเกลื่อนไหลไปตามน้ำ
“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะเดี๋ยวหัวหน้าแม่ครัวจะว่าเอาอีก”
“จ้ะ”
“หือ” ชิงเจียนหันมองทำหน้าสงสัย
พอถูกมองแบบนั้นเฟ่ยเฟ่ยเองก็รู้สึกแปลกประหลาดและด้วยไหวพริบทำให้เธอเปลี่ยนคำพูด
“เจ้าค่ะ”
“เจ้าเนี่ย พูดปกติกับข้าก็ได้” ชิงเจียนขำ
“อื้อ”
ทั้งสองพากันไปสมทบที่ห้องครัว แบ่งหน้าที่ก่อนจะแยกกันไปทำงานที่อื่น
ห้องครัวของพำนักเทพไม่แตกต่างจากซีรีส์จีนที่เธอชอบดูวันหยุดมากนักเพียงแค่มีผักผลไม้คล้ายของมนุษย์ไม่ได้เป็นของวิเศษที่ต้องตามหาอย่างยากลำบากแต่นั่นก็เป็นเพียงสายตาของเธอเท่านั้น“อาหารเทพไป๋หู่ เอ่อ เขากินยังไงเหรอคะ”“ช่วงนี้ท่านเทพจำศีลเพราะใช้พลังตอนปราบจอมมารไปมากต้องพักฟื้นจนพลังเซียนกลับมา พวกเราก็ปรุงอาหารรสไม่จัดเน้นวัตถุดิบที่เพิ่มกำลังให้ แต่ว่า...”“คะ”“ช่วงนี้อาหารถูกส่งกลับมาเหลือเยอะเลย น่าเป็นห่วงจัง แต่ปกติก็กินอาหารธรรมดาทั่วไปไม่มีอะไรพิเศษ”ถ้าแบบนี้แสดงว่าเราข้ามภพมาเป็นเซียน หรือว่าเราตายไปแล้วกันนะ ทุกคนจะเป็นยังไงบ้าง พอคิดถึงครอบครัวความอึดอัดในอก และน้ำตาที่อยู่ ๆ“เฟ่ยเฟ่ยเจ้าเป็นอะไร”“ข้าแสบตาขอตัวก่อนนะ”เฟ่ยเฟ่ยเดินหลบออกมาบริเวณใต้ต้นไหมใกล้ ๆ นั่งฟุ่บหน้าร้องไห้สะอื้นคิดถึงที่บ้าน คิดถึงทุกคนในโลกที่เธอจากมาห้องพักผ่อนไป๋หู่นั่งพิงพนักในร่างมนุษย์ อาภรณ์สีแดงฉาดขับเส้นผมสีขาวยาวให้เด่นชัดกลิ่นหอมชาไผ่อ่อน ๆ ช่างเป็นการพักฟื้นพลังที่เงียบสงบ ทว่าความเงียบงันกลับถูกทำลายลงด้วยเสียงสะอื้นไห้แว่วมาให้ได้ยิน“เสียงร้องไห้เหรอ” ดวงตาดุดันลืมขึ้นนัยน์ตาสีเทา
ให้หลังทุกคนออกห้องครัวเสร็จหมดแล้ว เฟ่ยเฟ่ยที่มีหน้าที่ทำความสะอาดพยักหน้าให้ชิงเจียนและหมิ่งเหย่เซียนนกที่เป็นผู้ชิมฝีมือนางด้วยช่วยดูต้นทางปลายมีดแหลมคม กระทะสะอาด น้ำแร่บริสุทธิ์ และผลไม้ทำให้เธอนึกถึงวันวาน ความสุขที่ได้ทำอาหารเปล่งประกายจนระบายยิ้มเบิกบานใจ เริ่มลงมือทำของหวานที่ว่านั้นด้วยการจินตนาการเวลาร่ายเวทมนต์ที่เธอเรียนรู้และดัดแปลงมาก่อนหน้านี้ทำให้สามารถย่นเวลาหาอุปกรณ์ และย่นเวลาทำได้มาก กลิ่นหอมหวานชวนให้อยากรู้อยากชิมทำให้สองเซียนนกเดินเข้ามาหยุดข้างกายมองตาโตกับสีสัน แสงวาววับยามที่เปลือกเนื้อผลไม้สะท้อนกับแสงงดงามราวอัญมณี“ทาด้า พุทราแช่อิ่ม กับพุทราเกล็ดหิมะ น้ำแอปเบิ้ลคั่น น้ำส้มคั่น เชิญพวกเจ้า”เธอที่ยังไม่ทันพูดจบทั้งสองก็หยิบของในถ้วยกัดชิม สีหน้าเอร็ดอร่อยจนคนทำภูมิใจในฝีมือ“อื้อ อร่อยจัง ฝีมือเจ้าพัฒนาแล้ว”ทั้งสองเอ่ยปากชมไม่หยุดทั้งน้ำคั่นนี่อีก ไม่ว่าอะไรก็อร่อยไปหมด“ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะทำของพวกนี้อร่อย” หมิ่งเย่วเผลอร้องไห้“พูดอย่างกับข้าทำไม่อร่อยมากขนาดนั้น”“ใช่แล้ว ตั้งแต่รู้จักพวกเจ้าข้าก็ถูกเป็นหนูทดลองชิมทั้งขนมและอาหารพวกนั้น แต่ตอนนี้เจ้
เธอถูกพามายังสถานที่หนึ่ง ห้องครัวที่สะอาดสะอ้านข้าวของเครื่องใช้ดูอัปเกรดมากกว่าที่ครัวเก่า และร่องรอยการใช้งานแทบเป็นศูนย์ ไม่คิดว่าจะมีครัวดี ๆ แบบนี้อยู่ที่นี่ด้วย“ที่นี่คือ” เฟ่ยเฟ่ยหยิบช้อนไม้แกะสลัดงดงามขึ้นมาดูอย่างชื่นชม แล้วยังมีอย่างอื่นด้วยที่รวมกัน“ห้องครัวเก่าของเทพไป๋หู่”พอได้ยินแบบนั้นมือที่กำลังลูบไล้เครื่องครัวก็หยุดชะงักแล้วหันกลับมองหน้าทั้งสอง“จะดีเหรอ อยู่ ๆ เราแอบมาใช้แบบนี้”“ช่วงนี้ท่านเทพพักฟื้นอยู่จะใช้ครัวข้างนอกแทน ส่วนที่นี่จะปล่อยทิ้งไว้ให้ทำความสะอาดเท่านั้น”“และเพื่อของอร่อยพวกข้าจะไม่ยอมให้อะไรมาขวางกั้น” หมิ่งเยว่บอกพร้อมวางวัตถุที่ให้เตรียมพอเห็นท่าทางแบบนั้นก็ไม่อยากปฏิเสธถึงจะโดนจับได้ก็ขอรับโทษทำความสะอาดแทนก็แล้วกัน“เห็นว่าพวกเจ้ามีใจซื่อสัตย์ต่อความหิวของตัวเองจะยอมทำก็ได้”“ข้าจะถือว่าสิ่งที่เจ้าพูดเป็นคำชมแล้วกัน”ทั้งสองพูดพร้อมกันท่าทางภูมิใจ ก่อนจะแยกกันทำหน้าที่ หมิ่งเย่วออกไปเฝ้าด้านหน้าประตูคอยดูว่าใครเฉียดเข้าใกล้และส่งสัญญาณเตือน ส่วนชิงเจียนเป็นลูกมือในวันนี้สูตรอาหารแต่ละเมนูเธอไม่หวงแถมยังสอนให้ชิงเจียนทำตามแม้ว่าอีกฝ่ายจะไ
“แป้งเจ้าค่ะ กินแบบนี้” เฟ่ยเฟ่ยสาธิตการกินให้อีกฝ่ายดู ไม่ได้กินอาหารที่ตัวเองทำนานแค่ไหนแล้วนะ อร่อยถูกปากเหมือนเดิมไป๋หู่กลืนน้ำลายอึกใหญ่ แม้ว่าเขาจะกระหายสิ่งที่อยู่ตรงหน้าแต่ยังซ่อนความปรารถนานั้นไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยรสชาตินี้ ความเผ็ดร้อนที่แพร่ทั่วปาก กลิ่นเครื่องเทศรุนแรงแต่กลับทำให้รู้สึกสดชื่น อร่อยจนหยุดกินไม่ได้“แล้วอันนี้ละ กินยังไง”“อันนี้เป็นข้าวตักแกงราดลงบนนี้” เธอตักราดแล้ววางช้อนให้เขาพอเห็นอีกฝ่ายหยิบไปตักก็ยิ้มปลื้มปริ่มกับคำพูดที่หลุดออกมา“อันนี้ก็อร่อยไม่แพ้กัน”เฟ่ยเฟ่ยอมยิ้มมองอีกฝ่ายกำลังเอร็ดอร่อยกับอาหารที่เธอทำแล้วรู้สึกดีกว่าเดิม ท่าทางอ่อนโยนแตกต่างจากที่เห็นคราแรกมากเสือกับนกกินเครื่องเทศจะไม่เป็นอะไรใช่ไหมนะ“อึก” เสียงกลืนน้ำลายอึกใหญ่จากสองเซียนนกที่ยืนท้องร้องใกล้ ๆ ดังพอให้คนที่กำลังลืมตัวเพลิดเพลินอยู่กระแอมไอเบา ๆ“พวกเจ้าก็ตักไปกินสิ กินเสร็จค่อยคุย”ยิ่งไม่อยากกินเลยเฟ่ยเฟ่ยยิ้มแห้งหันมองหน้าสองคนนั้น ก่อนจะเดินไปตักที่เหลือใส่ถ้วยและใช้เวทมนต์เรียกโต๊ะสำหรับกินข้าวขึ้นมานั่งใกล้ ๆการกระทำของหญิงสาวอยู่ในภายในของไป๋หู่ นัยน์ตาสีเทาเข
พอได้รับหน้าที่เป็นแม่ครัวคนใหม่แล้วเธอก็ใช้เวลาว่างหาความรู้มากขึ้นกว่าเดิมอีกนิดหน่อย แต่ก็ยังทำความสะอาดอยู่เช่นเดิมหนังสือพวกนี้เราอ่านออกด้วยเหรอดีแหละ“ท่านเซียนข้าขอยืมหนังสือกลับไปอ่านได้ไหม” เธอวางหนังสือลง ไม่ว่าจะเคล็ดลับวิชาพื้นฐานของอะไรก็สามารถหาได้จากตรงนี้ เดิมทีเธอคิดว่าอาจต้องมีอาจารย์สอนตัวต่อตัวแต่กลับมีตำราให้เรียนรู้ได้เอง“หือ”“ยืมไม่ได้เหรอคะ” เธอถามเห็นอีกฝ่ายเงยหน้ามองสงสัย“เอาไปสิ แต่พรุ่งนี้ต้องนำกลับมาคืน”“ขอบคุณค่ะ”เธอหยิบตำราขึ้นเดินจากไปท่าทางและสำเนียงเปล่งพิกลทำให้ซื่อจือสงสัย เซียนจิ้งจอกแต่เหมือนจะไม่ใช่เช่นนั้น กลิ่นไอเหมือนมนุษย์เสียมากกว่าน่าแปลก และน่าสนใจ“ท่านซื่อจือมีอะไรหรือขอรับ”“ไม่มีอะไร ข้ามาพบเทพไป๋เขาอยู่ไหม”“ขอรับ”ชื่อจือขำขันใบหน้าคมคายเต็มไปด้วยความสนุก อยากรู้นักว่าทำไมถึงมีเซียนเช่นนี้อยู่ที่นี่ และข่าวลือเรื่องแม่ครัวใหม่ที่ทำให้ไป๋หู่เจริญอาหารพอย่างกายเข้ามาภายในห้องเห็นไป๋หู่กำลังแกะสลักไม้อยู่ ข้าง ๆ นั้นยังมีน้ำชาส่งกลิ่นหอม จนเขาเดินไปนั่งใกล้ ๆ รินน้ำชา พร้อมขนมใกล้มือ ก่อนจะสังเกตเห็นไข่สีขาวบริสุทธิ์แต่ทว่ามีไ
ทั่วอณาจักรแบ่งแยกสามเผ่า เผ่าเทพ เผ่ามาร เผ่ามนุษย์ เดิมทีทุกเผ่าปกครองกันเอง ทว่าจอมมารหลงใหลในอำนาจ เข่นฆ่าผู้คน บุกรุกเผ่ามนุษย์ ทำศึกสงครามกับเผ่าสวรรค์ ทั้งสามโลกปั่นป่วน ฟื้นหญ้าชุ่มด้วยเลือด เกิดภัยพิบัติผู้คนยากไร้ แร้นแค้น ชาวบ้านได้รับผลกระทบทั่วท้องฟ้าครึมม่วงแดง สลบสายฟ้าฟาดชวนจิตใจไหวหวั่น กลีบพิรุณโรยกลบกลิ่นคาวเลือด“ท่านเทพไป๋ลงไปต่อสู้กับจอมมาร”“นี่ก็ผ่านไปสองเดือนแล้ว ท้องฟ้าครึมไร้แสงสว่าง”“นั่น แสงแดด”“ท่านเทพไป๋กลับมาแล้ว”พลัดแสงสว่างทั่วล้า เมฆครึมเคลื่อนห่าง ท้องฟ้าปลอดโป่ง เหล่าพืชพันธุ์ผลิบานสดใส รับแสงตะวันอบอุ่น เหล่าเทพเซียนคลายความตึงเครียดตำหนักเทพไป๋ ไป๋หู่ที่พำนักของสัตว์เทพพยัคฆ์ขาวผู้ ดูแล ปกป้อง คุ้มครอง คอยขับไล่ปีศาจร้ายที่ก่อความเดือดร้อน เป็นราชันย์แห่งขุนเขา ให้หลังจอมมารก่อกำเนิดนิสัยดุร้าย ชาวบ้านทุกมุมเมืองต่างเดือดร้อน ไม่เว้นแม้แต่เหล่ามารต่างหวาดกลัวการก่อศึกที่นำมาซึ่งการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่เทพไป๋เดินทางไปกำราบศึกนี้ทั่วท้องฟ้าแปรปรวนไร้แสงแดดสาดส่องกินเวลาศึกนี้ยาวนานทีเดียวจนกระทั่งเวลาแห่งความหวาดกลัวนั้นหายไปพร้อมกับแสงทองอร่
ปัจจุบัน โลกมนุษย์เมืองจีน จ้าวเซียงเหยา หรืออีกชื่อ พาฝัน หญิงสาวลูกครึ่งไทยจีน โดยมีพ่อเป็นคนจีนและถือสัญชาติจีนตั้งแต่เด็ก แล้วตอนนี้วัยสี่สิบห้าเธอประสบความสำเร็จเปิดร้านอาหารที่มีชื่อเสียงโด่ดดังมีคิวจองเข้ามาใช้บริการไม่ขาด ทำให้ภายในครัววุ่นวายหมด เซฟและผู้ช่วยเกือบสิบชีวิตขยับกายคล่องแคล่ว เสียงดังลั่นห้องพร้อมอาหารหน้าตาน่าทานถูกจานลงบนจานส่งต่อให้เธอตรวจความเรียบร้อยแล้วส่งเสิร์ฟต่อไปด้านนอกร้านมีคิวต่อแถวค่อนข้างยาวยืนเรียงกันพากันคอยอย่างเป็นระเบียบ เพราะร้านกำลังฮิตและเป็นที่นิยมทำให้ต้องจำกัดเวลาเข้านั่งกิน กับจำกัดห้ามไม่ให้เด็กเข้าไปในร้านป้องกันความวุ่นวายที่ควบคุมไม่ได้สำหรับแขกคนอื่น ๆ ด้วย“คิวยาวจัง”“นั่นสิเมื่อไหร่จะถึงคิวเรานะ”เซียงเหยาขยับตัวไปจับกระทะ เริ่มลงมือทำเมนูที่กำลังล้นมือเซฟทุกคน ถึงอยากจะขยายสาขาร้านมากขึ้นแต่ก็ตอนนี้คงเป็นเรื่องยากสำหรับเธออยู่คงต้องรอให้น้องชายเรียนจบเสียก่อน“เมนูอาหารยังเยอะอยู่เลย เร่งมือกันหน่อยนะทุกคน”“ครับ/ค่ะเชฟ!!!”เสียงประสานกันดังขึ้นก่อนที่ครัวจะปิดตอนบ่ายสี่ของทุกวัน พร้อมป้ายร้านถูกขยับปิด กำหนดร้านอาหารที่เธอทำน
พอได้รับหน้าที่เป็นแม่ครัวคนใหม่แล้วเธอก็ใช้เวลาว่างหาความรู้มากขึ้นกว่าเดิมอีกนิดหน่อย แต่ก็ยังทำความสะอาดอยู่เช่นเดิมหนังสือพวกนี้เราอ่านออกด้วยเหรอดีแหละ“ท่านเซียนข้าขอยืมหนังสือกลับไปอ่านได้ไหม” เธอวางหนังสือลง ไม่ว่าจะเคล็ดลับวิชาพื้นฐานของอะไรก็สามารถหาได้จากตรงนี้ เดิมทีเธอคิดว่าอาจต้องมีอาจารย์สอนตัวต่อตัวแต่กลับมีตำราให้เรียนรู้ได้เอง“หือ”“ยืมไม่ได้เหรอคะ” เธอถามเห็นอีกฝ่ายเงยหน้ามองสงสัย“เอาไปสิ แต่พรุ่งนี้ต้องนำกลับมาคืน”“ขอบคุณค่ะ”เธอหยิบตำราขึ้นเดินจากไปท่าทางและสำเนียงเปล่งพิกลทำให้ซื่อจือสงสัย เซียนจิ้งจอกแต่เหมือนจะไม่ใช่เช่นนั้น กลิ่นไอเหมือนมนุษย์เสียมากกว่าน่าแปลก และน่าสนใจ“ท่านซื่อจือมีอะไรหรือขอรับ”“ไม่มีอะไร ข้ามาพบเทพไป๋เขาอยู่ไหม”“ขอรับ”ชื่อจือขำขันใบหน้าคมคายเต็มไปด้วยความสนุก อยากรู้นักว่าทำไมถึงมีเซียนเช่นนี้อยู่ที่นี่ และข่าวลือเรื่องแม่ครัวใหม่ที่ทำให้ไป๋หู่เจริญอาหารพอย่างกายเข้ามาภายในห้องเห็นไป๋หู่กำลังแกะสลักไม้อยู่ ข้าง ๆ นั้นยังมีน้ำชาส่งกลิ่นหอม จนเขาเดินไปนั่งใกล้ ๆ รินน้ำชา พร้อมขนมใกล้มือ ก่อนจะสังเกตเห็นไข่สีขาวบริสุทธิ์แต่ทว่ามีไ
“แป้งเจ้าค่ะ กินแบบนี้” เฟ่ยเฟ่ยสาธิตการกินให้อีกฝ่ายดู ไม่ได้กินอาหารที่ตัวเองทำนานแค่ไหนแล้วนะ อร่อยถูกปากเหมือนเดิมไป๋หู่กลืนน้ำลายอึกใหญ่ แม้ว่าเขาจะกระหายสิ่งที่อยู่ตรงหน้าแต่ยังซ่อนความปรารถนานั้นไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยรสชาตินี้ ความเผ็ดร้อนที่แพร่ทั่วปาก กลิ่นเครื่องเทศรุนแรงแต่กลับทำให้รู้สึกสดชื่น อร่อยจนหยุดกินไม่ได้“แล้วอันนี้ละ กินยังไง”“อันนี้เป็นข้าวตักแกงราดลงบนนี้” เธอตักราดแล้ววางช้อนให้เขาพอเห็นอีกฝ่ายหยิบไปตักก็ยิ้มปลื้มปริ่มกับคำพูดที่หลุดออกมา“อันนี้ก็อร่อยไม่แพ้กัน”เฟ่ยเฟ่ยอมยิ้มมองอีกฝ่ายกำลังเอร็ดอร่อยกับอาหารที่เธอทำแล้วรู้สึกดีกว่าเดิม ท่าทางอ่อนโยนแตกต่างจากที่เห็นคราแรกมากเสือกับนกกินเครื่องเทศจะไม่เป็นอะไรใช่ไหมนะ“อึก” เสียงกลืนน้ำลายอึกใหญ่จากสองเซียนนกที่ยืนท้องร้องใกล้ ๆ ดังพอให้คนที่กำลังลืมตัวเพลิดเพลินอยู่กระแอมไอเบา ๆ“พวกเจ้าก็ตักไปกินสิ กินเสร็จค่อยคุย”ยิ่งไม่อยากกินเลยเฟ่ยเฟ่ยยิ้มแห้งหันมองหน้าสองคนนั้น ก่อนจะเดินไปตักที่เหลือใส่ถ้วยและใช้เวทมนต์เรียกโต๊ะสำหรับกินข้าวขึ้นมานั่งใกล้ ๆการกระทำของหญิงสาวอยู่ในภายในของไป๋หู่ นัยน์ตาสีเทาเข
เธอถูกพามายังสถานที่หนึ่ง ห้องครัวที่สะอาดสะอ้านข้าวของเครื่องใช้ดูอัปเกรดมากกว่าที่ครัวเก่า และร่องรอยการใช้งานแทบเป็นศูนย์ ไม่คิดว่าจะมีครัวดี ๆ แบบนี้อยู่ที่นี่ด้วย“ที่นี่คือ” เฟ่ยเฟ่ยหยิบช้อนไม้แกะสลัดงดงามขึ้นมาดูอย่างชื่นชม แล้วยังมีอย่างอื่นด้วยที่รวมกัน“ห้องครัวเก่าของเทพไป๋หู่”พอได้ยินแบบนั้นมือที่กำลังลูบไล้เครื่องครัวก็หยุดชะงักแล้วหันกลับมองหน้าทั้งสอง“จะดีเหรอ อยู่ ๆ เราแอบมาใช้แบบนี้”“ช่วงนี้ท่านเทพพักฟื้นอยู่จะใช้ครัวข้างนอกแทน ส่วนที่นี่จะปล่อยทิ้งไว้ให้ทำความสะอาดเท่านั้น”“และเพื่อของอร่อยพวกข้าจะไม่ยอมให้อะไรมาขวางกั้น” หมิ่งเยว่บอกพร้อมวางวัตถุที่ให้เตรียมพอเห็นท่าทางแบบนั้นก็ไม่อยากปฏิเสธถึงจะโดนจับได้ก็ขอรับโทษทำความสะอาดแทนก็แล้วกัน“เห็นว่าพวกเจ้ามีใจซื่อสัตย์ต่อความหิวของตัวเองจะยอมทำก็ได้”“ข้าจะถือว่าสิ่งที่เจ้าพูดเป็นคำชมแล้วกัน”ทั้งสองพูดพร้อมกันท่าทางภูมิใจ ก่อนจะแยกกันทำหน้าที่ หมิ่งเย่วออกไปเฝ้าด้านหน้าประตูคอยดูว่าใครเฉียดเข้าใกล้และส่งสัญญาณเตือน ส่วนชิงเจียนเป็นลูกมือในวันนี้สูตรอาหารแต่ละเมนูเธอไม่หวงแถมยังสอนให้ชิงเจียนทำตามแม้ว่าอีกฝ่ายจะไ
ให้หลังทุกคนออกห้องครัวเสร็จหมดแล้ว เฟ่ยเฟ่ยที่มีหน้าที่ทำความสะอาดพยักหน้าให้ชิงเจียนและหมิ่งเหย่เซียนนกที่เป็นผู้ชิมฝีมือนางด้วยช่วยดูต้นทางปลายมีดแหลมคม กระทะสะอาด น้ำแร่บริสุทธิ์ และผลไม้ทำให้เธอนึกถึงวันวาน ความสุขที่ได้ทำอาหารเปล่งประกายจนระบายยิ้มเบิกบานใจ เริ่มลงมือทำของหวานที่ว่านั้นด้วยการจินตนาการเวลาร่ายเวทมนต์ที่เธอเรียนรู้และดัดแปลงมาก่อนหน้านี้ทำให้สามารถย่นเวลาหาอุปกรณ์ และย่นเวลาทำได้มาก กลิ่นหอมหวานชวนให้อยากรู้อยากชิมทำให้สองเซียนนกเดินเข้ามาหยุดข้างกายมองตาโตกับสีสัน แสงวาววับยามที่เปลือกเนื้อผลไม้สะท้อนกับแสงงดงามราวอัญมณี“ทาด้า พุทราแช่อิ่ม กับพุทราเกล็ดหิมะ น้ำแอปเบิ้ลคั่น น้ำส้มคั่น เชิญพวกเจ้า”เธอที่ยังไม่ทันพูดจบทั้งสองก็หยิบของในถ้วยกัดชิม สีหน้าเอร็ดอร่อยจนคนทำภูมิใจในฝีมือ“อื้อ อร่อยจัง ฝีมือเจ้าพัฒนาแล้ว”ทั้งสองเอ่ยปากชมไม่หยุดทั้งน้ำคั่นนี่อีก ไม่ว่าอะไรก็อร่อยไปหมด“ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะทำของพวกนี้อร่อย” หมิ่งเย่วเผลอร้องไห้“พูดอย่างกับข้าทำไม่อร่อยมากขนาดนั้น”“ใช่แล้ว ตั้งแต่รู้จักพวกเจ้าข้าก็ถูกเป็นหนูทดลองชิมทั้งขนมและอาหารพวกนั้น แต่ตอนนี้เจ้
ห้องครัวของพำนักเทพไม่แตกต่างจากซีรีส์จีนที่เธอชอบดูวันหยุดมากนักเพียงแค่มีผักผลไม้คล้ายของมนุษย์ไม่ได้เป็นของวิเศษที่ต้องตามหาอย่างยากลำบากแต่นั่นก็เป็นเพียงสายตาของเธอเท่านั้น“อาหารเทพไป๋หู่ เอ่อ เขากินยังไงเหรอคะ”“ช่วงนี้ท่านเทพจำศีลเพราะใช้พลังตอนปราบจอมมารไปมากต้องพักฟื้นจนพลังเซียนกลับมา พวกเราก็ปรุงอาหารรสไม่จัดเน้นวัตถุดิบที่เพิ่มกำลังให้ แต่ว่า...”“คะ”“ช่วงนี้อาหารถูกส่งกลับมาเหลือเยอะเลย น่าเป็นห่วงจัง แต่ปกติก็กินอาหารธรรมดาทั่วไปไม่มีอะไรพิเศษ”ถ้าแบบนี้แสดงว่าเราข้ามภพมาเป็นเซียน หรือว่าเราตายไปแล้วกันนะ ทุกคนจะเป็นยังไงบ้าง พอคิดถึงครอบครัวความอึดอัดในอก และน้ำตาที่อยู่ ๆ“เฟ่ยเฟ่ยเจ้าเป็นอะไร”“ข้าแสบตาขอตัวก่อนนะ”เฟ่ยเฟ่ยเดินหลบออกมาบริเวณใต้ต้นไหมใกล้ ๆ นั่งฟุ่บหน้าร้องไห้สะอื้นคิดถึงที่บ้าน คิดถึงทุกคนในโลกที่เธอจากมาห้องพักผ่อนไป๋หู่นั่งพิงพนักในร่างมนุษย์ อาภรณ์สีแดงฉาดขับเส้นผมสีขาวยาวให้เด่นชัดกลิ่นหอมชาไผ่อ่อน ๆ ช่างเป็นการพักฟื้นพลังที่เงียบสงบ ทว่าความเงียบงันกลับถูกทำลายลงด้วยเสียงสะอื้นไห้แว่วมาให้ได้ยิน“เสียงร้องไห้เหรอ” ดวงตาดุดันลืมขึ้นนัยน์ตาสีเทา
“ครับ ตามใจเซฟเลย”“มันเป็นแค่ความคิดเท่านั้นแหละนะ”“ลองทำสักยี่สิบห้าสายก่อนไหมล่ะ” เจียวเหย่ ผู้เป็นอาแท้ ๆ เสนอ อีกฝ่ายเป็นเซฟภัตคารอาหารแต่ยอมลาออกเพื่อมาช่วยงานหลานสาวโดยที่เธอไม่ได้ไปขอร้อง ถึงจะเอาของฝากไปให้และพูดคุยเรื่องร้านบ้างเล็กน้อยก็ตามที“อาเจียว”“แค่ยี่สิบห้าสาย ให้มารับที่ร้านหม้อไฟจะได้โปรโมตไปด้วย”“คุณอา”“ถ้าซาบซึ้งใจขนาดนั้นก็คิดสูตรอาหารอร่อย ๆ ให้เป็นซิกเนเจอร์ของร้านอีกแล้วกัน” พ่อครัวชิน เป็นพ่อครัวที่สุดยอดอีกคนที่รังสรรคอาหารอร่อยออกมาได้อย่างสุดยอดไม่แพ้กัน“ขอบคุณทุกคนมากเลยนะคะ เรื่องทำอาหารจะเปิดแค่บางเมนูที่วัตถุดิบไม่ยุ่งยากเกินไป และใครจะทำต่อส่วนแบ่งหลังหลักค่าใช้จ่ายทุกอย่างจะแบ่งให้เท่า ๆ กัน เริ่มแรกจะให้ลูกค้ามารับที่ร้านก่อนป้องกันไว้ก่อน“ทำงานหนักแบบนี้ร่างกายจะไม่ไหวเอานะ”“หนูยังไม่เป็นไรค่ะ แข็งแรงดีหาหมอทุกปีด้วย...” เธอที่กำลังพูด อยู่ ๆ ก็รู้สึกว่าร่างกายหนักอึ้ง สายตาก็พร่าเลื่อนราง เสียงเรียกรอบกายก็แทบไม่ได้ยิน รวมถึงมือเท้ากลับรู้สึกเย็บเฉียบ“เฮ้ย...”“เซียงเหยา”“เซฟ!”เสียงวุ่นวายรอบกายแทบไม่ได้ยิน ภาพที่พยายามมองให้ชัดก็ไม่เห
ปัจจุบัน โลกมนุษย์เมืองจีน จ้าวเซียงเหยา หรืออีกชื่อ พาฝัน หญิงสาวลูกครึ่งไทยจีน โดยมีพ่อเป็นคนจีนและถือสัญชาติจีนตั้งแต่เด็ก แล้วตอนนี้วัยสี่สิบห้าเธอประสบความสำเร็จเปิดร้านอาหารที่มีชื่อเสียงโด่ดดังมีคิวจองเข้ามาใช้บริการไม่ขาด ทำให้ภายในครัววุ่นวายหมด เซฟและผู้ช่วยเกือบสิบชีวิตขยับกายคล่องแคล่ว เสียงดังลั่นห้องพร้อมอาหารหน้าตาน่าทานถูกจานลงบนจานส่งต่อให้เธอตรวจความเรียบร้อยแล้วส่งเสิร์ฟต่อไปด้านนอกร้านมีคิวต่อแถวค่อนข้างยาวยืนเรียงกันพากันคอยอย่างเป็นระเบียบ เพราะร้านกำลังฮิตและเป็นที่นิยมทำให้ต้องจำกัดเวลาเข้านั่งกิน กับจำกัดห้ามไม่ให้เด็กเข้าไปในร้านป้องกันความวุ่นวายที่ควบคุมไม่ได้สำหรับแขกคนอื่น ๆ ด้วย“คิวยาวจัง”“นั่นสิเมื่อไหร่จะถึงคิวเรานะ”เซียงเหยาขยับตัวไปจับกระทะ เริ่มลงมือทำเมนูที่กำลังล้นมือเซฟทุกคน ถึงอยากจะขยายสาขาร้านมากขึ้นแต่ก็ตอนนี้คงเป็นเรื่องยากสำหรับเธออยู่คงต้องรอให้น้องชายเรียนจบเสียก่อน“เมนูอาหารยังเยอะอยู่เลย เร่งมือกันหน่อยนะทุกคน”“ครับ/ค่ะเชฟ!!!”เสียงประสานกันดังขึ้นก่อนที่ครัวจะปิดตอนบ่ายสี่ของทุกวัน พร้อมป้ายร้านถูกขยับปิด กำหนดร้านอาหารที่เธอทำน
ทั่วอณาจักรแบ่งแยกสามเผ่า เผ่าเทพ เผ่ามาร เผ่ามนุษย์ เดิมทีทุกเผ่าปกครองกันเอง ทว่าจอมมารหลงใหลในอำนาจ เข่นฆ่าผู้คน บุกรุกเผ่ามนุษย์ ทำศึกสงครามกับเผ่าสวรรค์ ทั้งสามโลกปั่นป่วน ฟื้นหญ้าชุ่มด้วยเลือด เกิดภัยพิบัติผู้คนยากไร้ แร้นแค้น ชาวบ้านได้รับผลกระทบทั่วท้องฟ้าครึมม่วงแดง สลบสายฟ้าฟาดชวนจิตใจไหวหวั่น กลีบพิรุณโรยกลบกลิ่นคาวเลือด“ท่านเทพไป๋ลงไปต่อสู้กับจอมมาร”“นี่ก็ผ่านไปสองเดือนแล้ว ท้องฟ้าครึมไร้แสงสว่าง”“นั่น แสงแดด”“ท่านเทพไป๋กลับมาแล้ว”พลัดแสงสว่างทั่วล้า เมฆครึมเคลื่อนห่าง ท้องฟ้าปลอดโป่ง เหล่าพืชพันธุ์ผลิบานสดใส รับแสงตะวันอบอุ่น เหล่าเทพเซียนคลายความตึงเครียดตำหนักเทพไป๋ ไป๋หู่ที่พำนักของสัตว์เทพพยัคฆ์ขาวผู้ ดูแล ปกป้อง คุ้มครอง คอยขับไล่ปีศาจร้ายที่ก่อความเดือดร้อน เป็นราชันย์แห่งขุนเขา ให้หลังจอมมารก่อกำเนิดนิสัยดุร้าย ชาวบ้านทุกมุมเมืองต่างเดือดร้อน ไม่เว้นแม้แต่เหล่ามารต่างหวาดกลัวการก่อศึกที่นำมาซึ่งการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่เทพไป๋เดินทางไปกำราบศึกนี้ทั่วท้องฟ้าแปรปรวนไร้แสงแดดสาดส่องกินเวลาศึกนี้ยาวนานทีเดียวจนกระทั่งเวลาแห่งความหวาดกลัวนั้นหายไปพร้อมกับแสงทองอร่