เช้าวันใหม่ในหมู่บ้านมา เอเลียสเริ่มตื่นขึ้นมาพร้อมกับสายลมเย็นที่พัดผ่านกระท่อมของเขา กลิ่นของดินชื้นหลังฝนตกเมื่อคืนยังคงหลงเหลืออยู่ในอากาศ เสียงนกป่าและเสียงแมลงดังประสานกันเป็นจังหวะของธรรมชาติ เขาพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง สัมผัสได้ถึงความแข็งของกองฟางที่ใช้เป็นที่นอน แม้ร่างกายจะเริ่มปรับตัวได้บ้าง แต่เขายังคงคิดถึงความสบายของเตียงที่เคยนอนอยู่ดี
เมื่อวานที่เกิดเรื่อง เขากลับมานอนที่กระท่อมกับชายที่ช่วยเขาไว้ ตอนนี้เจ้าตัวก็หายไปไหนอีกแล้วไม่รู้ หากว่าเขาต้องการจะกลับบ้าน เขาต้องมีที่อยู่อาศัย เขาต้องปรับตัวในเพื่อให้เข้ากับหมู่บ้าน และคนในเผ่านี้ให้ยอมรับเขา จากนั่นจึงคิดว่าควรทำยังไงต่อ ในเมื่อตอนนี้เขายังไม่รู้เลยว่าเขามาที่นี่ได้ยังไงกัน
'พวกเขายังไม่ไว้ใจฉันเลยสินะ' เอเลียสคิดพลางถอนหายใจเบาๆ
แต่วันนี้มีบางอย่างที่แตกต่างออกไป เมื่อเอเลียสกำลังจะเดินออกไป ชายร่างสูงเจ้าของกระท่อมก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้า เอเลียสเงยหน้ามองชายที่อยู่ตรงหน้าที่หายไปแต่เช้า และพึ่งกลับมา แม้สีหน้าของเขาจะยังคงนิ่งเรียบเหมือนเดิม แต่สายตาของเขากลับดูไม่เย็นชาเหมือนวันแรกที่พบกัน
เขาถืออะไรบางอย่างอยู่ในมือ มันเป็นเสื้อผ้าทำจากหนังสัตว์เย็บเข้าด้วยกันอย่างหยาบๆ เขายื่นมันให้เอเลียส
“ให้ฉันเหรอ?” เอเลียสถาม แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่เข้าใจ
เขาไม่ได้ตอบอะไร แต่เพียงแค่ยื่นมันเข้ามาให้เขาใกล้ๆ ก่อนจะเบือนสายตาไปทางอื่น เอเลียสยิ้ม รับชุดนั้นมาพลิกดู ก่อนจะเข้าใจได้ทันทีว่าเขาต้องการให้เขาแต่งกายให้กลมกลืนกับผู้คนในหมู่บ้าน
“ขอบใจนะ” แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายอาจไม่เข้าใจคำพูดของเขา แต่เอเลียสก็พูดออกไปอยู่ดี
หลังจากเปลี่ยนเป็นชุดที่เขาให้มาแล้ว เอเลียสรู้สึกถึงสายตาของชาวบ้านที่มองมาด้วยความสงสัย แต่ไม่ได้แฝงไปด้วยความระแวงเท่าเมื่อก่อน นี่อาจจะเป็นก้าวแรกที่ทำให้พวกเขาเริ่มเปิดใจให้เขา
เมื่อเอเลียสเดินกลับมา ชายเจ้าของกระท่อมนั่งดูแลอาวุธอยู่ เอเลียสฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า หากต้องการสื่อสาร และเข้าใจกันมากขึ้น บางทีเขาควรเริ่มจากการสอนภาษาให้ หรือคำบางอย่างกับเขา
โดนเริ่มต้นจากการแนะนำตัวเองคงจะดีที่สุด เขาเดินไปตรงหน้าของชายเจ้าของกระท่อม และนั่งลงหน้า ก่อนจะชี้มาที่ตัวเอง พลางออกเสียงชัดๆ
“เอ-เลียส”
ชายเจ้าของกระท่อมขมวดคิ้ว มองหน้าเขาด้วยความงุนงงเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าก้มตาขัดหอกไม้ขอตัวเองต่ออย่างไม่ใยดีคนตรงหน้า
เอเลียสไม่ยอมแพ้ เขาชี้ที่ตัวเองอีกครั้ง
“เอเลียส” จากนั้นเอเลียสก็ชี้ไปที่อีกฝ่าย ให้เขาลองพูดแนะนำตัว
ชายหนุ่มร่างใหญ่จ้องเขาอยู่นานก่อนจะถอนหายใจเบาๆ แล้วพึมพำอะไรบางอย่างที่ฟังดูไม่ชัด แต่ก็พอจับสำเนียงได้ว่าเขาพยายามออกเสียงตาม
"เอ-เลีย..ส"
“ดีมาก! นั่นแหละ” เอเลียสยิ้มกว้าง ดีใจที่เขายอมทำตาม
เขาเงยหน้ามามองคนยิ้มกว้างตรงหน้า ก่อนจะชี้นิ้วเข้าหาตัวเองแล้วพูดออกมา
"ค..โคร"
เอเลียสตกใจกับการกระทำของคนตรงหน้า เขาไม่คิดว่ามนุษย์ยุคหินแบบเขาจะเข้าใจขนาดนี้ พลางใช้นิ้วชี้ที่อีกฝ่าย และตัวเขาพร้อมเรียกชื่อ
"โคร..ฉันเอเลียส"
"เอเลียส" โครพูดตามเอเลียสอย่างว่าง่าย
แม้ในตอนแรกโครจะดูต่อต้าน แต่เมื่อได้ลองทำแล้ว เขากลับพบว่าการเรียนรู้ภาษาของเอเลียสนั้นอาจเป็นประโยชน์ เขาเริ่มสนใจในสิ่งที่เอเลียสสอน แม้จะยังคงทำหน้านิ่งเหมือนไม่ได้ใส่ใจ แต่ก็พยายามออกเสียงตามอยู่หลายครั้ง
เมื่อเห็นว่าโครเริ่มยอมรับ เอเลียสก็ไม่หยุดเพียงแค่นี้ เขาหยิบกิ่งไม้มาขีดเขียนลงบนพื้น ดึงดูดความสนใจของโครให้จดจ่อมากขึ้น คำง่าย ๆ อย่าง “ฉัน” “เธอ” และ “ชื่อ” เริ่มถูกสื่อสารระหว่างพวกเขาทั้งสอง แม้จะยังติดขัดอยู่บ้าง แต่เอเลียสก็รู้สึกได้ว่าความพยายามของเขาเริ่มส่งผล
นี่อาจเป็นก้าวแรกของการเปลี่ยนแปลงในหมู่บ้านแห่งนี้
เอเลียสรู้สึกได้ว่า นี่คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญของเขา หลังจากที่โครเริ่มให้ความร่วมมือกับการเรียนรู้ภาษา เอเลียสก็ไม่ปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือไปง่าย ๆ ในช่วงเวลาที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน เอเลียสพยายามสอนคำศัพท์พื้นฐานให้โครเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นคำง่าย ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน เขาชี้ไปที่ก้อนหิน แล้วพูดว่า “หิน” จากนั้นก็ให้โครออกเสียงตาม แม้ว่าอีกฝ่ายจะออกเสียงผิดไปบ้าง แต่เอเลียสก็ไม่ได้ขัดอะไร เขาแค่หัวเราะเบา ๆ และพยายามแก้ให้“หิน” เอเลียสออกเสียงให้ชัดเจนขึ้นโครขมวดคิ้วก่อนจะพยายามเลียนเสียง “ฮิน”“ใช่แล้ว! ดีมาก” เอเลียสยิ้มกว้างโครยังคงทำสีหน้าเรียบเฉยตามเดิม แต่เอเลียสรู้ว่าเขาเริ่มให้ความสนใจในวันต่อมา เอเลียสตัดสินใจก้าวไปอีกขั้นในการปรับตัวให้เข้ากับผู้คนในหมู่บ้าน เขาเริ่มสังเกตว่าเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ แม้จะทำให้เขาดูกลมกลืนกับชาวบ้านมากขึ้น แต่ก็ยังแตกต่างจากพวกเขาอยู่ดีในขณะที่เขากำลังคิดหาวิธีแก้ปัญหา โครก็นำเขาไปที่บริเวณลานกลางหมู่บ้าน ที่นั่นมีหญิงชรากำลังนั่งเย็บเสื้อผ้าด้วยมืออย่างประณีต เอเลียสเฝ้าดูด้วยความสนใจ ก่อนจะถูกโครผลักไหล่เบา ๆ เป็นเ
เสียงกลองดังกึกก้องไปทั่วลานกลางหมู่บ้าน เปลวไฟจากกองไฟขนาดใหญ่ส่องแสงระยิบไหวไปตามแรงลม บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของผู้คนและเสียงเพลงพื้นเมืองที่ขับขานกันเป็นจังหวะคืนนี้เป็นคืนแห่งการเฉลิมฉลองของเผ่า เป็นคืนที่ทุกคนในหมู่บ้านจะรวมตัวกันเพื่อแสดงความดีใจที่ได้อาหารจากการล่าสัตว์กลับมา มากมายพวกเขานั่งอยู่เงียบๆ ข้างกองไฟ มีเพียงเสียงไฟแตกเปรี๊ยะเป็นจังหวะเท่านั้นที่ดังขึ้นมาเป็นระยะๆ เอเลียสเหลือบมองโครเล็กน้อย เขาเคยคิดว่าโครเป็นคนเย็นชาและดื้อรั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็เริ่มเข้าใจว่าจริงๆ แล้วอีกฝ่ายเป็นแค่คนที่คุ้นเคยกับวิถีชีวิตของตัวเองและไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงเท่านั้น“วันนี้ฉันสอนคำใหม่ให้เด็กๆ ด้วยนะ” เอเลียสพูดขึ้นมาลอยๆ เพื่อลดความเงียบงัน“พวกเขาเรียนรู้ไวมาก คำว่า น้ำ ไฟ แล้วก็ ดอกไม้ ”โครพยักหน้าเล็กน้อย แสดงว่าเขากำลังฟังอยู่แม้จะไม่ได้ตอบอะไร เอเลียสหยิบกิ่งไม้ขึ้นมาวาดรูปง่ายๆ ลงบนพื้นดิน วงกลมเล็กๆ แทนดวงอาทิตย์ ลายเส้นหยักๆ แทนกระแสน้ำ โครมองตามสิ่งที่เอเลียสทำ แม้ในตอนแรกเอเลียสแค
โครลูบไล้เส้นผมสีทองอ่อนที่พันกันยุ่งเหยิงของเอเลียส นิ้วมือหยาบกร้านแตะลงบนเส้นผลละเอียดเบาๆ ก่อนจะดมอย่างหลงไหล มันเป็นเพียงความอยากรู้อยากลอง สัมผัสถึงสิ่งที่แตกต่างจากสิ่งที่เขาเคยคุ้นชินเอเลียสสัมผัสลมหายใจ ที่รดมายังใบหูของเขาเบาๆ เขาลืมตาขึ้นสายตาที่พร่าเลือนในตอนแรกตอนนี้กลับเด่นชัด ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ของชายตรงหน้ากำลังจ้องมองเขาอยู่“โคร…” เสียงเรียกชื่อแผ่วเบาเต็มไปด้วยความสงสัยชายเจ้าของชื่อรู้ตัวว่าตัวเองเผลอทำอะไรที่ไม่ควรกับคนที่นอนอยู่ เขารีบผละตัวเองออกมาก่อนจะหันหลัง และกำลังเดินตรงไปออกไปทางประตูกระท่อม"เดียว..โคร!" เอเลียสคว้ามือของคนที่กำลังเดินจากไปไว้โครหันมาสบตากับเขา สายตาที่เคยเย็นชา บัดนี้กลับอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาไม่พูดอะไร เพียงแค่เดินเข้ามาใกล้ๆ ก้มลงแล้วใช้มือลูบมาที่แก้มของคนที่นั่งอยู่บนเตียงโครชะงักไปเพียงเสี้ยววินาที“เจ้าแน่ใจ?” คำถามสั้นๆ นั้นเหมือนเป็นบททดสอบสุดท้ายเอเลียสไม่ได้ตอบเป็นคำพูด แต่เขาขยับตัวเข้ามาใ
"เอเลียส..."เสียงเรียกนั้นดังก้องอยู่ในหัวของเขา ซ้อนทับกับเสียงที่แว่วเข้ามาจากโลกภายนอกเอเลียสเงยหน้าขึ้น หัวใจยังเต้นรัวจากสิ่งที่เพิ่งพบเจอ ความทรงจำบางส่วนเริ่มไหลบ่าเข้ามาเหมือนน้ำหลาก—เครื่องเร่งอนุภาค การทดลองของเขา แสงสีขาวเจิดจ้า และความรู้สึกที่เหมือนร่างกายของเขาถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ'ฉันทำอะไรลงไป...'"เอเลียส!"เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ชัดเจนและใกล้กว่าเดิมเขาหันขวับไปมอง เห็นโครยืนอยู่ตรงประตูทางเข้า ดวงตาสีน้ำตาลเข้มนั้นมองตรงมาที่เขา ขมวดคิ้วเล็กน้อยราวกับจับสังเกตได้ถึงความผิดปกติในตัวเขา'ที่นี่... มันไม่ใช่โลกของฉัน''ฉันไม่ควรอยู่ที่นี!'เขาซูดหายใจลึก มือทั้งสองกำเข้าหากันแน่น รวบรวมสติก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงทันที ก่อนจะเดินไปรอบๆเสียงนกร้องจางๆ กับกลิ่นสดชื่นของน้ำค้างยามเช้าทำให้เอเลียสรู้สึกได้ถึงความเป็นจริงอีกครั้ง ว่าเขายังไม่ได้กลับไป เขายังติดอยู่ในโลกใบนี้ โลกที่ล้อมรอบด้วยต้นไม้หนาทึบ และมนุษย์ยุคหินเขา
ครืน ตุ๊บ!เสียงลากเก้าอี้ พร้อมมือที่ตบลงบนโต๊ะยาว ดังขึ้นภายในห้องประชุมของศูนย์วิจัย การสนทนาที่ควรจะเป็นการแลกเปลี่ยนความเห็นเชิงวิชาการ กลับกลายเป็นการปะทะอารมณ์กันอย่างดุเดือด"ฉันบอกแล้วว่าทฤษฎีของฉันมันเป็นไปได้! เรามีข้อมูล มีแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่สนับสนุนเรื่องนี้! แค่เร่งมันตามการคำนวณของฉัน!"ชายผมยาวสีเหลืองอ่อนกล่าวเสียงแข็ง ดวงตาสีม่วงอ่อนของเขาฉายแววดื้อรั้นเมื่อมองไปยังคนในทีมที่กำลังถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย"แต่ความเสี่ยงมันสูงเกินไป เอเลียส เราไม่สามารถเร่งกระบวนการได้โดยไม่มีมาตรการป้องกันที่เพียงพอ"คนหนึ่งในทีมตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น สมาชิกคนอื่นในห้องประชุมต่างพยักหน้าเห็นด้วย"ถ้าแกนพลังงานเกิดไม่เสถียร มันอาจทำให้เกิดสภาวะเอกฐานที่เราไม่สามารถควบคุมได้!""แม้ว่าทษฎีที่คุณพูดมามันจะดูสมเหตุสมผล แต่การเร่งกระบวนการมันมากเกินไปอาจเป็นอันตราย"เสียงของคนในทีมต่างพูดขึ้นสมทบกัน พยายามเตือนเอเลียสถึงความอันตรายของทษฎีที่เขาเสนอแต่เอเลียสไม่สนใจ เขาก
เสียงลมพัดผ่านแนวป่าทึบ แสงแดดยามบ่ายสาดลอดผ่านเรือนยอดไม้เป็นประกายสีทอง ทอแสงลงมายังทุ่งหญ้าที่เอนลู่ตามแรงลม ท่ามกลางเสียงนกร้องและเสียงแมลงขับขาน ความเงียบสงบของธรรมชาติถูกฉีกกระชากด้วยเสียงกระแทกที่ดังสนั่นตุม!!ร่างชายคนหนึ่งร่วงลงมากระแทกพื้นหญ้าอย่างแรง ฝุ่นฟุ้งขึ้นเล็กน้อยกลางลานโล่ง ที่มีเพียงต้นไม้เก่าแก่ สูงชะลูดเอเลียสรู้สึกเหมือนร่างกายหนักอึ้งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เปลือกตาของเขากะพริบถี่ สายตามืดมัวจากแรงกระแทก ทุกอย่างรอบตัวพร่ามัว เขาอ้าปากพยายามหายใจเข้า ก่อนจะกัดฟันยันตัวลุกขึ้นด้วยความยากลำบากม่านตาสีม่วงคล้ำของเขาเบิกกว้างเมื่อเห็นสิ่งรอบตัว"ที่นี่...ที่ไหน?!"ไม่ใช่ห้องทดลองของเขา ไม่ใช่เมืองที่เต็มไปด้วยแสงไฟ ไม่มีตึกสูงระฟ้า มีเพียงแนวป่าทึบและเสียงสัตว์ป่าที่ดังก้องในความเงียบหัวใจเขาเต้นระรัว เอเลียสยกมือกุมศีรษะ รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แล่นขึ้นมา แต่ก่อนที่เขาจะตั้งสติได้ เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ก็ดังขึ้นจากด้านหลัง"!!"เขาหันขวับ!ชายร่างสูงใหญ่ ผิวแทนเข้ม ปกคลุมร่างด้วยหนังสัตว์สีน้ำตาล รอยข่วนเต็มตัว จนถึงมุมปาก บนมือหนากำหอกไม้แหลมคมที่ดูเหมือนท
'นี่ก็วันที่ 2 แล้วที่ฉัน ลืมตาขึ้นท่ามกลางแสงแดดยามเช้า แต่ทุกอย่างยังคงดูไม่คุ้นเคยอยู่ดี!'ราวกับทุกอย่างมันเป็นแค่ฝัน แต่ผืนดินที่แข็ง และหลังที่ปวดจากการนอนพื้นมาทั้งคืน และอากาศที่เย็นกว่าที่เขาคุ้นเคยก็ตบหน้าเขาอย่างจังเขาหันไปมองรอบๆ เหล่าคนในเผ่าเริ่มเก็บข้าวของ เนื้อสัตว์ของเมื่อวาน และหยิบหอกของตัวเองขึ้นมาดูท่าทางเหมือนจะเริ่มออกเดินทางกันแล้ว'ที่นี่...ไม่ใช่โลกของฉัน แล้วฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกันนะ?'เอเลียสคิดขณะลุกขึ้นยืน ร่างกายของเขายังรู้สึกหนักอึ้งจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ แต่เขาไม่มีเวลามากพอจะตั้งคำถามกับตัวเองในตอนนี้ สิ่งสำคัญคือการเอาตัวรอดและหาทางเข้าใจสถานการณ์ระหว่างการเดินทาง เอเลียสถูกให้เดินเรียงโดยเขาอยู่เกือบท้ายสุดของเผ่า คนที่อยู่ข้างหลังเขาคือชายที่ช่วยเขาเมื่อวานนี้ และชายเจ้าของสร้อยคอกระดูก ที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าเผ่า จะเดินนำอยู่หน้ากลุ่ม เขาเริ่มตั้งข้อสังเกตสิ่งรอบตัวอย่างละเอียด ทั้งป่าไม้ที่หนาทึบ ภูมิอากาศที่ค่อนข้างเย็นกว่าปัจจุบันมาก สัตว์สี่ขาขนาดใหญ่ที่มีลักษณะคล้ายเสือ แต่มีเขี้ยวเหมือนดาบ ที่เขาเจอก่อนหน้ายิ่งท
เช้าวันต่อมา คนในเผ่าและเอเลียสเดินทางเลียบแม่น้ำไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งหมู่บ้านเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้า บ้านแต่ละหลังสร้างจากฟาง มีเสาไม้เป็นโครงสร้างหลัก ตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำเพื่อความสะดวกในการใช้น้ำ ผู้หญิงและเด็กยืนรอต้อนรับอยู่ด้านหน้า สายตาของพวกเขามองมายังกลุ่มคนแปลกหน้าอย่างระแวดระวังท้ายหมู่บ้านมีถ้ำขนาดไม่ใหญ่นัก ดูเหมือนเป็นที่พำนักของผู้นำเผ่า ผู้คนที่นี่แต่งกายคล้ายกัน ยกเว้นเพียงสร้อยกระดูกที่มีเพียงผู้นำเผ่าเท่านั้นที่สวมใส่ขณะที่พวกเขาเข้าไปใกล้ เสียงพูดคุยของชาวบ้านค่อย ๆ แผ่วลง ทุกสายตาจับจ้องมายังเอเลียส บางคนกระซิบกระซาบราวกับหวาดระแวง แต่แล้วชายร่างสูงที่ดูเป็นผู้นำเผ่ายกมือขึ้นเป็นสัญญาณ ทุกคนจึงค่อย ๆ ผ่อนคลายลงเอเลียสมองสำรวจหมู่บ้านก่อนจะหยุดชะงัก เมื่อชายร่างสูงที่เขาจำได้ว่าเป็นคนช่วยชีวิตในวันนั่นยืนอยู่ตรงหน้า"อุกะ อุอุ!""อู้..?"เอเลียสเลียนเสียงพยายามตอบกลับ เขาเคยได้ยินว่าหากเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม 'หวังว่าคงไม่เผลอพูดอะไรผิดนะ…'แม้จะไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูด แต่ตามน้ำไปก่อนคงจะดีกว่า ไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามเข้าใจหรือไม่ แต่ไม่นานชายร่าง
ครืน ตุ๊บ!เสียงลากเก้าอี้ พร้อมมือที่ตบลงบนโต๊ะยาว ดังขึ้นภายในห้องประชุมของศูนย์วิจัย การสนทนาที่ควรจะเป็นการแลกเปลี่ยนความเห็นเชิงวิชาการ กลับกลายเป็นการปะทะอารมณ์กันอย่างดุเดือด"ฉันบอกแล้วว่าทฤษฎีของฉันมันเป็นไปได้! เรามีข้อมูล มีแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่สนับสนุนเรื่องนี้! แค่เร่งมันตามการคำนวณของฉัน!"ชายผมยาวสีเหลืองอ่อนกล่าวเสียงแข็ง ดวงตาสีม่วงอ่อนของเขาฉายแววดื้อรั้นเมื่อมองไปยังคนในทีมที่กำลังถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย"แต่ความเสี่ยงมันสูงเกินไป เอเลียส เราไม่สามารถเร่งกระบวนการได้โดยไม่มีมาตรการป้องกันที่เพียงพอ"คนหนึ่งในทีมตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น สมาชิกคนอื่นในห้องประชุมต่างพยักหน้าเห็นด้วย"ถ้าแกนพลังงานเกิดไม่เสถียร มันอาจทำให้เกิดสภาวะเอกฐานที่เราไม่สามารถควบคุมได้!""แม้ว่าทษฎีที่คุณพูดมามันจะดูสมเหตุสมผล แต่การเร่งกระบวนการมันมากเกินไปอาจเป็นอันตราย"เสียงของคนในทีมต่างพูดขึ้นสมทบกัน พยายามเตือนเอเลียสถึงความอันตรายของทษฎีที่เขาเสนอแต่เอเลียสไม่สนใจ เขาก
"เอเลียส..."เสียงเรียกนั้นดังก้องอยู่ในหัวของเขา ซ้อนทับกับเสียงที่แว่วเข้ามาจากโลกภายนอกเอเลียสเงยหน้าขึ้น หัวใจยังเต้นรัวจากสิ่งที่เพิ่งพบเจอ ความทรงจำบางส่วนเริ่มไหลบ่าเข้ามาเหมือนน้ำหลาก—เครื่องเร่งอนุภาค การทดลองของเขา แสงสีขาวเจิดจ้า และความรู้สึกที่เหมือนร่างกายของเขาถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ'ฉันทำอะไรลงไป...'"เอเลียส!"เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ชัดเจนและใกล้กว่าเดิมเขาหันขวับไปมอง เห็นโครยืนอยู่ตรงประตูทางเข้า ดวงตาสีน้ำตาลเข้มนั้นมองตรงมาที่เขา ขมวดคิ้วเล็กน้อยราวกับจับสังเกตได้ถึงความผิดปกติในตัวเขา'ที่นี่... มันไม่ใช่โลกของฉัน''ฉันไม่ควรอยู่ที่นี!'เขาซูดหายใจลึก มือทั้งสองกำเข้าหากันแน่น รวบรวมสติก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงทันที ก่อนจะเดินไปรอบๆเสียงนกร้องจางๆ กับกลิ่นสดชื่นของน้ำค้างยามเช้าทำให้เอเลียสรู้สึกได้ถึงความเป็นจริงอีกครั้ง ว่าเขายังไม่ได้กลับไป เขายังติดอยู่ในโลกใบนี้ โลกที่ล้อมรอบด้วยต้นไม้หนาทึบ และมนุษย์ยุคหินเขา
โครลูบไล้เส้นผมสีทองอ่อนที่พันกันยุ่งเหยิงของเอเลียส นิ้วมือหยาบกร้านแตะลงบนเส้นผลละเอียดเบาๆ ก่อนจะดมอย่างหลงไหล มันเป็นเพียงความอยากรู้อยากลอง สัมผัสถึงสิ่งที่แตกต่างจากสิ่งที่เขาเคยคุ้นชินเอเลียสสัมผัสลมหายใจ ที่รดมายังใบหูของเขาเบาๆ เขาลืมตาขึ้นสายตาที่พร่าเลือนในตอนแรกตอนนี้กลับเด่นชัด ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ของชายตรงหน้ากำลังจ้องมองเขาอยู่“โคร…” เสียงเรียกชื่อแผ่วเบาเต็มไปด้วยความสงสัยชายเจ้าของชื่อรู้ตัวว่าตัวเองเผลอทำอะไรที่ไม่ควรกับคนที่นอนอยู่ เขารีบผละตัวเองออกมาก่อนจะหันหลัง และกำลังเดินตรงไปออกไปทางประตูกระท่อม"เดียว..โคร!" เอเลียสคว้ามือของคนที่กำลังเดินจากไปไว้โครหันมาสบตากับเขา สายตาที่เคยเย็นชา บัดนี้กลับอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาไม่พูดอะไร เพียงแค่เดินเข้ามาใกล้ๆ ก้มลงแล้วใช้มือลูบมาที่แก้มของคนที่นั่งอยู่บนเตียงโครชะงักไปเพียงเสี้ยววินาที“เจ้าแน่ใจ?” คำถามสั้นๆ นั้นเหมือนเป็นบททดสอบสุดท้ายเอเลียสไม่ได้ตอบเป็นคำพูด แต่เขาขยับตัวเข้ามาใ
เสียงกลองดังกึกก้องไปทั่วลานกลางหมู่บ้าน เปลวไฟจากกองไฟขนาดใหญ่ส่องแสงระยิบไหวไปตามแรงลม บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของผู้คนและเสียงเพลงพื้นเมืองที่ขับขานกันเป็นจังหวะคืนนี้เป็นคืนแห่งการเฉลิมฉลองของเผ่า เป็นคืนที่ทุกคนในหมู่บ้านจะรวมตัวกันเพื่อแสดงความดีใจที่ได้อาหารจากการล่าสัตว์กลับมา มากมายพวกเขานั่งอยู่เงียบๆ ข้างกองไฟ มีเพียงเสียงไฟแตกเปรี๊ยะเป็นจังหวะเท่านั้นที่ดังขึ้นมาเป็นระยะๆ เอเลียสเหลือบมองโครเล็กน้อย เขาเคยคิดว่าโครเป็นคนเย็นชาและดื้อรั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็เริ่มเข้าใจว่าจริงๆ แล้วอีกฝ่ายเป็นแค่คนที่คุ้นเคยกับวิถีชีวิตของตัวเองและไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงเท่านั้น“วันนี้ฉันสอนคำใหม่ให้เด็กๆ ด้วยนะ” เอเลียสพูดขึ้นมาลอยๆ เพื่อลดความเงียบงัน“พวกเขาเรียนรู้ไวมาก คำว่า น้ำ ไฟ แล้วก็ ดอกไม้ ”โครพยักหน้าเล็กน้อย แสดงว่าเขากำลังฟังอยู่แม้จะไม่ได้ตอบอะไร เอเลียสหยิบกิ่งไม้ขึ้นมาวาดรูปง่ายๆ ลงบนพื้นดิน วงกลมเล็กๆ แทนดวงอาทิตย์ ลายเส้นหยักๆ แทนกระแสน้ำ โครมองตามสิ่งที่เอเลียสทำ แม้ในตอนแรกเอเลียสแค
เอเลียสรู้สึกได้ว่า นี่คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญของเขา หลังจากที่โครเริ่มให้ความร่วมมือกับการเรียนรู้ภาษา เอเลียสก็ไม่ปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือไปง่าย ๆ ในช่วงเวลาที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน เอเลียสพยายามสอนคำศัพท์พื้นฐานให้โครเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นคำง่าย ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน เขาชี้ไปที่ก้อนหิน แล้วพูดว่า “หิน” จากนั้นก็ให้โครออกเสียงตาม แม้ว่าอีกฝ่ายจะออกเสียงผิดไปบ้าง แต่เอเลียสก็ไม่ได้ขัดอะไร เขาแค่หัวเราะเบา ๆ และพยายามแก้ให้“หิน” เอเลียสออกเสียงให้ชัดเจนขึ้นโครขมวดคิ้วก่อนจะพยายามเลียนเสียง “ฮิน”“ใช่แล้ว! ดีมาก” เอเลียสยิ้มกว้างโครยังคงทำสีหน้าเรียบเฉยตามเดิม แต่เอเลียสรู้ว่าเขาเริ่มให้ความสนใจในวันต่อมา เอเลียสตัดสินใจก้าวไปอีกขั้นในการปรับตัวให้เข้ากับผู้คนในหมู่บ้าน เขาเริ่มสังเกตว่าเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ แม้จะทำให้เขาดูกลมกลืนกับชาวบ้านมากขึ้น แต่ก็ยังแตกต่างจากพวกเขาอยู่ดีในขณะที่เขากำลังคิดหาวิธีแก้ปัญหา โครก็นำเขาไปที่บริเวณลานกลางหมู่บ้าน ที่นั่นมีหญิงชรากำลังนั่งเย็บเสื้อผ้าด้วยมืออย่างประณีต เอเลียสเฝ้าดูด้วยความสนใจ ก่อนจะถูกโครผลักไหล่เบา ๆ เป็นเ
เช้าวันใหม่ในหมู่บ้านมา เอเลียสเริ่มตื่นขึ้นมาพร้อมกับสายลมเย็นที่พัดผ่านกระท่อมของเขา กลิ่นของดินชื้นหลังฝนตกเมื่อคืนยังคงหลงเหลืออยู่ในอากาศ เสียงนกป่าและเสียงแมลงดังประสานกันเป็นจังหวะของธรรมชาติ เขาพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง สัมผัสได้ถึงความแข็งของกองฟางที่ใช้เป็นที่นอน แม้ร่างกายจะเริ่มปรับตัวได้บ้าง แต่เขายังคงคิดถึงความสบายของเตียงที่เคยนอนอยู่ดีเมื่อวานที่เกิดเรื่อง เขากลับมานอนที่กระท่อมกับชายที่ช่วยเขาไว้ ตอนนี้เจ้าตัวก็หายไปไหนอีกแล้วไม่รู้ หากว่าเขาต้องการจะกลับบ้าน เขาต้องมีที่อยู่อาศัย เขาต้องปรับตัวในเพื่อให้เข้ากับหมู่บ้าน และคนในเผ่านี้ให้ยอมรับเขา จากนั่นจึงคิดว่าควรทำยังไงต่อ ในเมื่อตอนนี้เขายังไม่รู้เลยว่าเขามาที่นี่ได้ยังไงกัน'พวกเขายังไม่ไว้ใจฉันเลยสินะ' เอเลียสคิดพลางถอนหายใจเบาๆแต่วันนี้มีบางอย่างที่แตกต่างออกไป เมื่อเอเลียสกำลังจะเดินออกไป ชายร่างสูงเจ้าของกระท่อมก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้า เอเลียสเงยหน้ามองชายที่อยู่ตรงหน้าที่หายไปแต่เช้า และพึ่งกลับมา แม้สีหน้าของเขาจะยังคงนิ่งเรียบเหมือนเดิม แต่สายตาของเขากลับดูไม่เย็นชาเหมือนวันแรกที่พบกันเขาถืออะไรบางอย่าง
เช้าวันใหม่ในหมู่บ้านมาเขาตื่นมาพร้อมกับสายลมเย็นที่พัดผ่านกระท่อมของเอเลียส เสียงนกป่าดังแว่วมาแต่ไกล เอเลียสลืมตาขึ้น เขายังไม่ชินกับที่นอนที่เป็นเพียงกองฟางกับใบไม้แห้ง แต่ร่างกายเริ่มปรับตัวได้บ้างแล้ว แต่ไม่มีร่องรอยของคนที่เป็นเจ้าของกระท่อมนี้ ‘เขาหายไปไหนแต่เช้ากันนะ?’เอเลียสลุกขึ้นและเดินออกจากกระท่อม แต่ทันทีที่ก้าวออกมา เขาก็รู้สึกได้ถึงสายตาหลายคู่ที่จ้องมองมาทางเขาเสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นรอบตัว ชาวบ้านบางคนรีบหันหน้าหนีเมื่อเห็นเขา ขณะที่บางคนจ้องเขาด้วยแววตาหวาดระแวงเด็กเล็กสองสามคนแอบมองเขาจากหลังต้นไม้ เอเลียสพยายามส่งยิ้มให้พวกเขา แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือเด็กๆ ที่รีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว‘พวกเขายังกลัวฉันอยู่สินะ…’เขาถอนหายใจ พยายามคิดหาวิธีทำให้ตัวเองดูเป็นมิตรขึ้น แต่ยังไม่ทันได้ขยับตัว เสียงฝีเท้าหนักๆ ก็ดังขึ้นจากด้านหลังเอเลียสหันไปมอง แล้วพบว่าชายร่างใหญ่ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนกำลังเดินเข้ามาหา ใบหน้าของอีกฝ่ายเคร่งขรึม ดวงตาแข็งกร้าวเต็มไปด้วยความไม่พอใจ"อุก้า! อุก้า!"เอเลียสกะพริบตาปริบๆ"อุก้า..? เอ่อ… แฮะๆ"เขาหัวเราะแห้งๆ พยายามทำตัวเป็นมิ
เช้าวันต่อมา คนในเผ่าและเอเลียสเดินทางเลียบแม่น้ำไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งหมู่บ้านเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้า บ้านแต่ละหลังสร้างจากฟาง มีเสาไม้เป็นโครงสร้างหลัก ตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำเพื่อความสะดวกในการใช้น้ำ ผู้หญิงและเด็กยืนรอต้อนรับอยู่ด้านหน้า สายตาของพวกเขามองมายังกลุ่มคนแปลกหน้าอย่างระแวดระวังท้ายหมู่บ้านมีถ้ำขนาดไม่ใหญ่นัก ดูเหมือนเป็นที่พำนักของผู้นำเผ่า ผู้คนที่นี่แต่งกายคล้ายกัน ยกเว้นเพียงสร้อยกระดูกที่มีเพียงผู้นำเผ่าเท่านั้นที่สวมใส่ขณะที่พวกเขาเข้าไปใกล้ เสียงพูดคุยของชาวบ้านค่อย ๆ แผ่วลง ทุกสายตาจับจ้องมายังเอเลียส บางคนกระซิบกระซาบราวกับหวาดระแวง แต่แล้วชายร่างสูงที่ดูเป็นผู้นำเผ่ายกมือขึ้นเป็นสัญญาณ ทุกคนจึงค่อย ๆ ผ่อนคลายลงเอเลียสมองสำรวจหมู่บ้านก่อนจะหยุดชะงัก เมื่อชายร่างสูงที่เขาจำได้ว่าเป็นคนช่วยชีวิตในวันนั่นยืนอยู่ตรงหน้า"อุกะ อุอุ!""อู้..?"เอเลียสเลียนเสียงพยายามตอบกลับ เขาเคยได้ยินว่าหากเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม 'หวังว่าคงไม่เผลอพูดอะไรผิดนะ…'แม้จะไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูด แต่ตามน้ำไปก่อนคงจะดีกว่า ไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามเข้าใจหรือไม่ แต่ไม่นานชายร่าง
'นี่ก็วันที่ 2 แล้วที่ฉัน ลืมตาขึ้นท่ามกลางแสงแดดยามเช้า แต่ทุกอย่างยังคงดูไม่คุ้นเคยอยู่ดี!'ราวกับทุกอย่างมันเป็นแค่ฝัน แต่ผืนดินที่แข็ง และหลังที่ปวดจากการนอนพื้นมาทั้งคืน และอากาศที่เย็นกว่าที่เขาคุ้นเคยก็ตบหน้าเขาอย่างจังเขาหันไปมองรอบๆ เหล่าคนในเผ่าเริ่มเก็บข้าวของ เนื้อสัตว์ของเมื่อวาน และหยิบหอกของตัวเองขึ้นมาดูท่าทางเหมือนจะเริ่มออกเดินทางกันแล้ว'ที่นี่...ไม่ใช่โลกของฉัน แล้วฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกันนะ?'เอเลียสคิดขณะลุกขึ้นยืน ร่างกายของเขายังรู้สึกหนักอึ้งจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ แต่เขาไม่มีเวลามากพอจะตั้งคำถามกับตัวเองในตอนนี้ สิ่งสำคัญคือการเอาตัวรอดและหาทางเข้าใจสถานการณ์ระหว่างการเดินทาง เอเลียสถูกให้เดินเรียงโดยเขาอยู่เกือบท้ายสุดของเผ่า คนที่อยู่ข้างหลังเขาคือชายที่ช่วยเขาเมื่อวานนี้ และชายเจ้าของสร้อยคอกระดูก ที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าเผ่า จะเดินนำอยู่หน้ากลุ่ม เขาเริ่มตั้งข้อสังเกตสิ่งรอบตัวอย่างละเอียด ทั้งป่าไม้ที่หนาทึบ ภูมิอากาศที่ค่อนข้างเย็นกว่าปัจจุบันมาก สัตว์สี่ขาขนาดใหญ่ที่มีลักษณะคล้ายเสือ แต่มีเขี้ยวเหมือนดาบ ที่เขาเจอก่อนหน้ายิ่งท