ตำแหน่งที่หลงจ่านเหยียนยืนอยู่ สามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้พอดี ยิ่งไปกว่านั้นยังมองเห็นประกายความโศกเศร้าที่สว่างวูบออกมาจากนัยน์ตาของเขาชัดเจน ในราชวงศ์อาจจะมีการเข่นฆ่าแย่งชิงอำนาจกันไม่ขาด แต่ถึงอย่างไร ตีกระดูกหักไปก็ยังมีเส้นเอ็นเชื่อมโยง ผู้ที่จากไปแล้ว ก็เพียงพอจะทำให้ผู้ที่ยังมีชีวิตมีเสี้ยวขณะที่เจ็บปวดโศกเศร้าได้เสมอ เนิ่นนานครู่ใหญ่ มู่หรงฉิงเทียนค่อยเงยศีรษะขึ้นช้า ๆ ก่อนจะเคลื่อนสายตาไปทางนาง สายตาของเขาเย็นชาและห่างเหิน ทว่ามารยาทที่พึงมีก็มิได้ขาดตกบกพร่อง เขาสืบเท้ามาด้านหน้าก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเบา “พี่สะใภ้ ขอแสดงความเสียใจด้วย!” หลงจ่านเหยียนมิได้รู้สึกเจ็บปวดโศกเศร้าอะไร ไม่ว่าจะจากเป็นหรือจากตาย นางเห็นมาก็มากแล้ว ที่เรียกว่าเกิดแก่เจ็บตาย นอกจากความแก่ชราและการเจ็บไข้ได้ป่วย อันที่จริงการเกิดและความตายนับเป็นความเมตตากรุณาจากสวรรค์ ไม่มีความจำเป็นจะต้องโศกเศร้าเสียใจเลยจริง ๆ นางผงกศีรษะเล็กน้อย “ท่านอ๋องมีน้ำใจดี” เขามิได้เอ่ยวาจาใด เพียงแต่เหลือบสายตาจ้องมองนางอีกครั้ง ก็หมุนตัวและเดินจากไป แม้แต่คำกล่าวลาก็ยังไม่มี หลงจ่านเหยียนรู้สึกว่าเขาคงจะดูแค
หลงจ่านเหยียนเดินตามหรูหัวเข้าไปในตำหนักตามลำพัง ตำหนักชิงหนิงงดงามและหรูหรากว่าตำหนักหรูหลันของนางไปไกลมาก ใช้หยกขาวแทนอิฐ เครื่องใช้ภายในตำหนัก ล้วนทำจากไม้จันทน์ชั้นดี เสากลมสองต้นกลางท้องพระโรงสลักรูปหงส์ทะยานในเกลียวเมฆสายหมอก เป็นสัญลักษณ์สื่อถึงความสง่างามน่าเกรงขามของฮองไทเฮามารดาแห่งแผ่นดิน หรูหัวนำทางนางเข้าไปยังตำหนักข้าง ภายในตำหนักข้าง ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนด้วยฉากบังตาหินอ่อนสี่บานเฟี้ยม ประดับด้วยผ้าม่านสองชั้นห้อยลงมา ผ้าม่านผืนบางสีเหลืองถูกลมม้วนขึ้น เผยให้เห็นมุมเล็ก ๆ สามารถมองเห็นถงไทเฮากำลังเอกเขนกเอนกายอยู่บนตั่งกุ้ยเฟยได้อย่างเลือนราง “ไทเฮาเพคะ หลงไทเฮาเสด็จมาถึงแล้วเพคะ!” หรูหัวเดินขึ้นไปด้านหน้าก่อนจะค้อมกายลงกล่าวรายงาน “อือ!” เสียงยานคางแว่วดังมาจากหลังผ้าม่านบาง มุมหนึ่งของผ้าม่านที่ยกขึ้น มีชายกระโปรงสีทองลู่ลงมาข้างตั่ง ชวนให้รู้สึกว่าสูงส่ง…ทรงอำนาจอย่างไร้ใดเปรียบ ความจริงด้วยกฎระเบียบของพระราชวัง ถงไทเฮาจะต้องคารวะจ่านเหยียน แม้จะไม่คารวะ ทว่าสองคนก็ควรยืนเสมอกันนั่งเสมอกัน นางมิควรเอาแต่เอนกายอยู่ด้านในนั้น แม้แต่ผ้าม่านยังไม่ม้วนขึ้นเสียด้วยซ
ถงไทเฮาพลันหยัดกายขึ้นยืน และคว้าแขนของนางเอาไว้ สีหน้ามืดครึ้มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “น้องหญิงไยจึงรีบร้อนนัก? นั่งดื่มชากับข้าก่อนเถิด” แรงบีบมือของนางมีมหาศาล จนปลายเล็บจิกเข้าไปในแขนของจ่านเหยียน จ่านเหยียนพลันขมวดคิ้วขึ้น “ท่านยังมีธุระใดอีก พูดออกมาให้หมดเถิด” ถงไทเฮาหัวเราะเย็น ๆ แววตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ไยเจ้าจึงรีบร้อนนัก? นั่งคุยเล่นกับข้าก่อนมิได้หรือ?” จ่านเหยียนสะบัดมือของนางออก ก่อนจะนั่งลงอีกครั้ง “ได้ ท่านอยากคุยเรื่องอะไร?” ถงไทเฮาก็ค่อย ๆ นั่งลงเช่นกัน “น้องหญิงเข้าวังมาถึงวันนี้ คงจะปรับตัวได้แล้วกระมัง?” “ได้แล้ว!” จ่านเหยียนตอบกลับอย่างรวบรัด ถงไทเฮาชี้ปลายนิ้วไปยังน้ำชาในถ้วยซึ่งตั้งอยู่หน้านาง ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ “น้ำชานี้ได้ยินว่าเป็นเครื่องบรรณาการมาจากตระกูลชั้นสูง รสชาติเย็นสดชื่น ไฉนน้องหญิงจึงไม่ลองลิ้มรสดูสักครั้ง?” จ่านเหยียนยกน้ำชาขึ้นมา พลางปัดเศษชาออกด้วยความเคยชิน เห็นน้ำชาใสกระจ่าง กลิ่นหอมตลบอบอวล ชาคงจะเป็นชาชั้นดีแน่ หากว่ามิได้เติมสิ่งอื่นใดลงไปด้วย ทว่า นางมีชีวิตมาตั้งกี่ร้อยปีแล้ว ยังมียาสลบแบบใดที่ไม่เค
หน้าประตูตำหนักพลันมีแสงเงาวูบไหว นางกำนัลร่างกำยำสูงใหญ่หลายคนพลันแหวกม่านประตูเข้ามา ยืนตัวตรงอยู่ข้างกายถงไทเฮา ถงไทเฮาหยัดกายขึ้นพลางยิ้มเริงร่า บนดวงพักตร์ที่ปัดผงชาดหนาเตอะเต็มไปด้วยรอยยิ้มแสนเจ้าเล่ห์ นางชี้นิ้วออกไป ปลายเล็บยาวงุ้มไปยังจ่านเหยียน ก่อนจะตรัสกับนางกำนัลว่า “จงไปเตรียมผ้าขาวและสุรายาพิษ ให้หมู่โฮ่วฮองไทเฮา” จ่านเหยียนก้าวเท้าเล็กน้อย ถงไทเฮาคิดว่านางจะวิ่งหนี ก็ตะคอกใส่นางกำนัลด้วยเสียงเหี้ยม “จับตัวนางไว้” นางกำนัลเหล่านั้นรีบรุดไปด้านหน้าอย่างเร็วรี่ คว้าแขนของจ่านเหยียนไว้ และบิดไปด้านหลังอย่างรุนแรง จ่านเหยียนหงุดหงิด กำลังจะบันดาลโทสะแล้ว กลับมีเสียงแจ้งรายงานของขันทีแว่วดังมาจากด้านนอกเสียก่อน “เซ่อเจิ้งอ๋องมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ!” ถงไทเฮาผงะไป ตรัสอย่างร้อนใจว่า “ขวางเซ่อเจิ้งอ๋องไว้” ทันทีที่สิ้นเสียง เซ่อเจิ้งอ๋องก็นำคนเข้ามาถึงด้านในแล้ว เขาสวมอาภรณ์ตัวยาวสีดำปักลายมังกรห้าตัว พร้อมด้วยองครักษ์จำนวนหนึ่งเดินตามมาด้านหลัง จ่านเหยียนเงยหน้าขึ้น ก็เห็นจิ้นหรูกูกูเดินตามหลังกลุ่มองครักษ์ และเข้ามาในตำหนักด้วย จิ้นหรูสืบเท้าสวบ ๆ เดินไปข้างกายจ่านเ
วันนี้ก็แค่ละครตลกฉากหนึ่งเท่านั้น มิได้ทำให้นางบาดเจ็บอะไร ขณะเดียวกันก็ยังทำให้เข้าใจถงไทเฮาลึกซึ้งขึ้นอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ บุคคลผู้นี้ช่างโง่เขลาดุจสุกร ความโหดเหี้ยมมีมากพอแล้ว ทว่าคนที่โหดเหี้ยมชั่วร้าย จำเป็นต้องมีสติปัญญาความฉลาดเฉลียวมหาศาลถึงจะลุล่วงไปได้ ทว่าถงไทเฮานั้น ไม่น่าเกรงกลัวเอาเสียเลย จ่านเหยียนยืนอยู่ริมสระบัวในอุทยานหลวง เดือนสี่ของโลกมนุษย์เต็มไปด้วยหมู่มวลบุปผาที่แย้มบาน ดอกไห่ถังดอกทับทิมฝั่งตรงข้ามออกดอกสีแดงสดงดงามบานสะพรั่งเป็นแนว ต้นไม้เขียวขจีตัดกับพวงผกาสีแดงสด ต่างยิ่งเกื้อหนุนกันให้งดงามลงตัว ในสระบัวมีดอกบัวอ่อนเพิ่งโผล่ปลายแหลมขึ้นมา ปกคลุมทั่วทั้งผืนน้ำ และเมื่อสายลมอ่อนพัดมา ตรงช่องว่างระหว่างใบบัว สามารถมองเห็นผิวน้ำขยับไหวเป็นริ้วคลื่นจากสายลม ความวิจิตรตระการตาเช่นนี้ มองแล้วนางยังเผลอเคลิบเคลิ้มล่องลอยไป คนเราเมื่อถึงวัยหนึ่งแล้ว จะเข้าใจได้เองว่า ความจริง แค่ได้ทอดสายตามองทัศนียภาพอย่างเงียบสงบเช่นนี้ ก็นับเป็นความสุขอันยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งแล้วเหมือนกัน “ไทเฮาเพคะ ทรงถูกรังแกหรือไม่เพคะ?” จิ้นหรูถามอย่างเป็นกังวล จ่านเหยียนผุดยิ้ม “ม
จ่านเหยียนมองตามเงาหลังของเขาด้วยความสงสัย เอ่ยถามจิ้นหรู “คนผู้นี้เขาเป็นคนเย็นชาแบบนี้ตลอดเลยหรือ?”จิ้นหรูเหลือบมองอาซานแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยกับจ่านเหยียน “จริง ๆ แล้วท่านอ๋องเป็นคนปากแข็งใจดี ไทเฮาอย่าได้เข้าใจผิด เขาทำเช่นนี้ ก็เพื่อไทเฮาเองเพคะ”“เขาดูเหมือนจะเคารพท่านมาก” จ่านเหยียนกล่าวด้วยท่าทางครุ่นคิดจิ้นหรูยิ้ม “บ่าวเติบโตมาพร้อมกับฮ่องเต้พระองค์ก่อน จึงสนิทสนมกับท่านอ๋องมากกว่าเล็กน้อย”“ฮ่องเต้พระองค์ก่อนกับเขามีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมาก่อนใช่หรือไม่?” จ่านเหยียนเอ่ยถาม“ฮ่องเต้พระองค์ก่อนทรงมีพระชนมายุมากกว่าท่านอ๋องกว่าสิบปี ตอนที่ฮ่องเต้ทรงอภิเษกสมรส ท่านอ๋องยังเป็นเพียงเด็กน้อย พึ่งพาฮ่องเต้พระองค์ก่อนมาก แต่ว่าหลังจากนั้น...” สีหน้าของจิ้นหรูกูกูเศร้าสร้อยเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไรต่อถึงแม้นางจะไม่พูด จ่านเหยียนก็เข้าใจแล้ว การแย่งชิงอำนาจในราชวงศ์ ย่อมทำให้ความสัมพันธ์ฉันพี่น้องและพ่อลูกกลายเป็นเหินห่าง หรือแม้กระทั่งเป็นศัตรูกัน ในระหว่างนั้น คงจะเกิดเรื่องราวมากมายทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอาซานไม่ได้พูดอะไร เดินตามจ่านเหยียนและจิ้นหรูกลับไปยังตำหนักชิงหนิงผู้คน
“แต่ว่า จะหาบุรุษแบบไหนส่งเข้าวังไป? แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่านางจะชอบหรือไม่ชอบ?” มู่หรงฉิงเทียนรู้สึกว่าที่ฮุ่ยอวิ่นพูดนั้นมีเหตุผล จึงเริ่มคล้อยตามบ้างแล้วฮุ่ยอวิ่นยิ้ม “สตรีล้วนชอบบุรุษรูปงาม เป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เรื่องนี้ให้ข้าเป็นคนจัดการเถอะ”“อืม!” มู่หรงฉิงเทียนตอบรับในที่สุดสองวันผ่านไป มู่หรงฉิงเทียน เซ่อเจิ้งอ๋องได้ส่งนักดนตรีหลายคนเข้าวัง โดยให้เหตุผลว่าเพื่อคลายเหงาให้หมู่โฮ่วฮองไทเฮา และให้พวกเขาประจำอยู่ที่ตำหนักหรูหลานการกระทำของเซ่อเจิ้งอ๋องในครั้งนี้ ทำให้จ่านเหยียนพอใจเป็นอย่างมาก นางรู้สึกเบื่อจนแทบแย่แล้วจริง ๆ แม้ในยุคปัจจุบันนางจะเป็นคนติดบ้าน แต่ก็มีคอมพิวเตอร์มีไอแพดไว้คลายเหงา เวลาเบื่อ ๆ ก็ดูหนัง ดูข่าว ท่องเว็บไซต์ อ่านเรื่องราวสัพเพเหระ อ่านเรื่องไร้สาระ เรื่องน่าปวดหัวของชาวบ้าน หรือไม่ก็ขับรถออกไปเที่ยวเล่น ดูนั่นดูนี่ วันเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วตั้งแต่มาที่นี่ นางก็ไม่ได้ดูหนังมาเป็นเวลานานแล้ว รถคู่ใจคงจอดทิ้งไว้จนฝุ่นจับหนาแล้วนักดนตรีทั้งสี่คนนี้หน้าตาหล่อเหลาเอาการ ชื่อของพวกเขาก็น่าสนใจไม่น้อย เหมย หลาน จวี๋ จู๋ ซึ่งเป็นชื่อของสตรี
ตั้งแต่มีนักดนตรีมาอยู่ที่ตำหนักหรูหลาน ก็มีเสียงดนตรีขับกล่อมแทบทุกค่ำคืน โชคดีที่ตำหนักตั้งอยู่ในทำเลที่ค่อนข้างห่างไกล จึงไม่รบกวนใครในบรรดาเหมย หลาน จวี๋ จู๋ มีอยู่คนหนึ่งที่เอาอกเอาใจเป็นพิเศษ และเป็นที่ถูกใจของจ่านเหยียนมาก นั่นก็เหมย ซึ่งเป็นคนที่อยู่ลำดับแรก จ่านเหยียนจึงตั้งชื่อให้เขาว่าต้าเหมยจ่านเหยียนมักจะเรียกเขาให้มาบรรเลงดนตรีเกือบทุกคืน ต้าเหมยก็มีความสามารถรอบด้าน เป่าขลุ่ยก็ได้ ดีดพิณก็เป็น ร้องเพลงก็ยังได้ เต้นรำก็เป็น แถมยังเต้นได้ไม่แพ้นางรำเลยทีเดียวในตอนแรก จ่านเหยียนไม่ยอมให้พวกเขาเข้ามาปรนนิบัติในตำหนัก แต่พอนานวันเข้า ต้าเหมยผู้นี้ทำให้จ่านเหยียนยอมแหกกฎเพื่อเขา แถมยังเรียกเขาเข้าไปในตำหนักทุกคืนคนในตำหนักหรูหลานเริ่มซุบซิบนินทา จนในที่สุด คนทั้งวังก็รู้กันหมดว่า หมู่โฮ่วฮองไทเฮาทรงโปรดปรานนักดนตรีคนหนึ่ง ฮุ่ยไท่เฟยถึงกับไปฟ้องไทฮองไทเฮา ทว่าไทฮองไทเฮากลับแย้มพระสรวล แล้วโบกพระหัตถ์ “ก็นางเข้าวังมาตั้งแต่ยังอายุน้อย ต้องเป็นหม้ายตั้งแต่ยังสาว น่าสงสาร ปล่อยให้นางสนุกสนานไปเถอะ สักพักเดี๋ยวนางก็เลิกราเอง”ไทฮองไทเฮาตรัสเช่นนั้นแล้ว ใครเล่าจะกล้าตำหนิติ
“ต้องใช้เวลานานเท่าใด?” พระอาจารย์เป่ากวงถามจ่านเหยียนคำนวณพักหนึ่ง วันนี้วันที่หก แกะสลักวิญญาณมังกรต้องใช้เวลาสองวัน แล้วค่อยให้วิญญาณมังกรดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินและแสงแห่งสุริยันจันทรา ส่วนแสงแห่งสุริยันจันทราจำเป็นต้องดูดซับในคืนพระจันทร์เต็มดวง ดังนั้น เร็วที่สุดก็ต้องหลังวันที่สิบห้านางเอ่ย “ให้เวลาข้าสิบวัน”“จริงหรือ?!” ฮุ่ยอวิ่นไม่ค่อยจะเชื่อ “คุณชายรู้ที่อยู่ของวิญญาณมังกรอีกชิ้นหรือ?”จ่านเหยียนผงกศีรษะ “ข้ารู้”“อยู่ที่ใด?” ฮุ่ยอวิ่นถามด้วยความยินดีพระอาจารย์เป่ากวงยื่นมือมากดฮุ่ยอวิ่นเล็กน้อย “คุณชายฮุ่ยอวิ่นมิต้องถามมาก ในเมื่อคุณชายอู่รับปากแล้ว เช่นนั้นเขาจะต้องทำได้อย่างแน่นอน”ฮุ่ยอวิ่นอ้อ ๆ แล้วมองจ่านเหยียนด้วยสายตาร้อนแรงและจริงใจมู่หรงฉิงเทียนเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ลำบากคุณชายอู่พักอยู่ที่จวนอ๋องสักระยะ เจ้าแค่บอกที่อยู่ของวิญญาณมังกรกับฮุ่ยอวิ่นก็พอ เขาต้องเอามาให้เจ้าได้แน่”จ่านเหยียนเข้าใจความหมายของเขา ตอนนี้นางรู้สถานการณ์ของเขาแล้ว เขาไม่วางใจให้นางออกไปเขาไม่เคยเชื่อใจนาง ระแวดระวังนางอย่างหนัก“ได้!” จ่านเหยียนรับปากมู่หรงฉิงเทียนฮุ่ย
“หลวงจีน ไม่เจอกันนานเลยนะ!” จ่านเหยียนตอบรับเรียบ ๆ“ก็ไม่นับว่านาน เพียงหนึ่งปีเท่านั้น คุณชายสบายดีหรือ?” พระอาจารย์เป่ากวงกล่าวด้วยความนอบน้อมจ่านเหยียนตอบ “ยังไม่ตายก็นับว่าดีมากแล้ว”“คุณชายกล่าวหนักไปแล้ว!” พระอาจารย์เป่ากวงยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบมู่หรงฉิงเทียนกับฮุ่ยอวิ่นแปลกใจกับการกระทำของพระอาจารย์เป่ากวงมาก แม้ก่อนหน้านี้พระอาจารย์เป่ากวงจะแนะนำหลงอู่ แต่พวกเขาแค่นึกว่าพระอาจารย์เป่ากวงชื่นชมเขาเล็กน้อย ตอนนี้ดูแล้ว... ไม่เพียงแต่ชื่นชม หากมีความเคารพด้วยท่าทีของพระอาจารย์เป่ากวงทำให้มู่หรงฉิงเทียนใช้อีกมุมหนึ่งในการมองประเมินจ่านเหยียน“พระอาจารย์ ท่านเคยรู้จักกับคุณชายอู่มาก่อนหรือ?” ฮุ่ยอวิ่นถามพระอาจารย์เป่ากวงยิ้มน้อย ๆ “กล่าวได้ว่าอาตมาเคารพคุณชายอู่มานาน กลับมีวาสนาได้พบเพียงหนเดียว”“อ้อ? เพิ่งพบเพียงหนเดียว?” ฮุ่ยอวิ่นประหลาดใจเล็กน้อย พบหนเดียวก็ศรัทธาอีกฝ่ายถึงเพียงนี้แล้ว? ไม่เหมือนลักษณะของหลวงจีนเฒ่าเลยนี่?“หนึ่งหนก็เป็นบุญวาสนาใหญ่หลวงในชาตินี้ของอาตมาแล้ว” พระอาจารย์เป่ากวงเอ่ยอย่างพึงพอใจจ่านเหยียนเหลือบมองเขาชืด ๆ ทีหนึ่ง “หลวงจีน คำนี้จะประจบเก
จ่านเหยียนอยากหมุนตัวกลับมาก ถ้านางเด็กกว่านี้สักสองร้อยปี นางคงจะไปจริง ๆ ทว่านางในตอนนี้ไม่เด็กแล้ว กอปรกับถูกเนรเทศอยู่ที่นี่ จิตใจจึงเปลี่ยนแปลงไปมากอาจเพราะนางไม่อยากให้เขาตายจริง ๆ อย่างไรก็ตาม แคว้นต้าโจวยังต้องการเขาอยู่นางเอ่ยอย่างสงบ “ท่านอ๋อง กระหม่อมกล้าพูดว่านอกจากกระหม่อม โลกนี้ก็ไม่มีใครรักษาท่านได้อีก”ใบหน้าของมู่หรงฉิงเทียนมีสีสันของการเสียดสีและเย้ยหยันเพิ่มขึ้นบางส่วน “อย่างนั้นหรือ?”“ท่านอ๋องจะไม่เชื่อก็ได้พ่ะย่ะค่ะ” จ่านเหยียนเอ่ย“ข้าไม่เชื่อจริง ๆ นั่นแหละ ฮุ่ยอวิ่น ให้เงินเขาร้อยตำลึง ส่งเขาออกไป!” มู่หรงฉิงเทียนสั่งด้วยน้ำเสียงเฉยชาฮุ่ยอวิ่นเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ก็รีบหันไปส่งสายตากับอาซิ่น อาซิ่นพลันเข้าใจจึงวิ่งออกไปแล้วอาเสอเห็นมู่หรงฉิงเทียนโอหังเช่นนี้จึงกลั้นโทสะไม่ได้ หน้าแดงเอ่ย “คนเท่าไรเฝ้ารอให้คุณชายบ้านข้ารักษา คุณชายบ้านข้ายังไม่รับปากเลย ตอนนี้มาหาถึงที่ ท่านกลับไม่รู้คุณค่า ท่านได้เสียใจแน่”“อาเสอ!” จ่านเหยียนขมวดคิ้ว “ถอยออกไป!”แม้นางจะอารมณ์เสียเหมือนกัน เพราะมาถึงที่แล้วกลับถูกอีกฝ่ายขับไล่ไสส่ง ใบหน้าชราของนางเสียหายไม่มากก็
“ใครอยู่ข้างนอก?” เสียงสุขุมอ่อนล้าดังออกมาจากห้องหนังสือฮุ่ยอวิ่นผลักประตูเข้าไป “เทียน ข้าเชิญคุณชายหลงอู่มาแล้ว”จ่านเหยียนยืนอยู่ข้างหลังฮุ่ยอวิ่น เห็นมู่หรงฉิงเทียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือหลังฉาก ดวงหน้าซีดเซียวเล็กน้อย ทั้งยังคล้ายผ่ายผอมไปประมาณหนึ่ง เบ้าตาลึกมากขึ้น แววตาดุร้ายมากกว่าเดิมไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ ๆ สมองของจ่านเหยียนก็นึกถึงคำพูดของจิ้นหรู ใบหน้าชราแดงซ่าน รีบก้มหน้าประสานมือ “หลงอู่คารวะท่านอ๋อง”มู่หรงฉิงเทียนมิได้เอื้อนเอ่ย บรรยากาศหนักอึ้งและ...อึดอัดเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัดจ่านเหยียนรู้ว่าเขากำลังจ้องนางอยู่ เพราะสายตานั้นแหลมคมยิ่งนัก แทบจะมองนางให้ทะลุปรุโปร่งจ่านเหยียนถอนหายใจอยู่ในใจ จิ้นหรูคิดมากไปแล้ว หากนางจะเข้าสู่พุ่มบุปผาในวัยชรา อันดับแรกจะไม่หาหนุ่มน้อย อันดับสองคือจะไม่หาคนที่สร้างความกดดันให้กับนางเช่นนี้เพราะสายตาของเขาทำให้คนประหม่าผ่านไปครู่ใหญ่มู่หรงฉิงเทียนจึงเอ่ยเรียบ “เจ้าก็คือหลงอู่?”จ่านเหยียนขานรับ “พ่ะย่ะค่ะ”มู่หรงฉิงเทียนเอ่ย “เงยหน้าขึ้น!”จ่านเหยียนทำใจให้สงบ จากนั้นก็เงยหน้ามองเขาเขาเอนตัวไปข้างหลังเล็กน้อย มือหนึ
จ่านเหยียนนิ่งงันไปแล้ว นางไม่เคยคิดถึงจุดนี้ มิเช่นนั้นตอนนั้นก็คงไม่มือบอนทำลายวิญญาณมังกร“ตอนนี้ต้องการให้ข้าทำอย่างไร?” จ่านเหยียนถามฮุ่ยอวิ่นทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย “พระอาจารย์เป่ากวงบอกว่าท่านมีวิธี”จ่านเหยียนถอนหายใจทีหนึ่ง “ข้าจะไปจวนอ๋องกับท่าน เจอท่านอ๋องแล้วค่อยว่ากันเถอะ”“ได้!” ฮุ่ยอวิ่นพลันดีใจ จากนั้นก็รีบลุกขึ้นยืนจ่านเหยียนมองฮุ่ยอวิ่น “แต่ ไม่แน่ว่าข้าจะช่วยท่านอ๋องได้”ฮุ่ยอวิ่นคิดว่านางแค่พูดเผื่อเอาไว้ จึงรีบพูดว่า “คุณชายอู่โปรดวางใจ ไม่ว่าจะรักษาได้หรือไม่ ข้าน้อยจะไม่โทษคุณชายอู่เด็ดขาด”ความจริงจ่านเหยียนมิได้หมายความเช่นนั้น แต่ก็พูดอะไรมากไม่ได้ จึงได้แต่เอ่ย “ดี พวกเราไปกันเถอะ”เป็นครั้งแรกที่จ่านเหยียนย่างเท้าเข้าจวนเซ่อเจิ้งอ๋อง นางแหงนหน้ามองป้าย ตัวอักษรลี่ซูสีทองเงาเขียนคำว่า ‘จวนเซ่อเจิ้งอ๋อง’ อร่ามแวววาว ตัวอักษรหวัดเขียนได้ทรงอำนาจมากป้ายนี้เป็นของใหม่ เดิมคือจวนอันหนิงอ๋องกำแพงจวนอ๋องเคยเสริมความแข็งแรงมาก่อน มีร่องรอยของใหม่ บนกำแพงปราศจากพืชไต่ ตัวกำแพงอิฐเขียวทอดตัวยาว กินเนื้อที่ประมาณหลายสิบหมู่หน้าประตูจวนมีทหารเฝ้ายามอยู่ บนปร
“ขอรับ!” องครักษ์เอ่ยอาเสอพาเขาเข้าไปข้างใน จ่านเหยียนรออยู่ตรงหน้าระเบียงทางเดินแล้ว นางเปลี่ยนมาใส่ชุดตัวยาวลายใบไผ่เขียวอันเป็นสิริมงคล รูปร่างสูงโปร่ง ดูสูงเล็กน้อยตรงลำคอมีลูกกระเดือกเช่นเดียวกับบุรุษ ไม่ว่านางจะมีเครื่องหน้าคล้ายสตรีแค่ไหน เมื่อเห็นลูกกระเดือก อย่างไรก็คือบุรุษขนานแท้“คุณชายอู่ คุณชายท่านนี้บอกว่าต้องการพบท่าน” อาเสอกล่าวจ่านเหยียนแย้มยิ้ม “ไม่ทราบท่านคือ?”“ข้าน้อยฮุ่ยอวิ่น มาคารวะคุณชายอู่โดยเฉพาะ!” ฮุ่ยอวิ่นมองประเมินจ่านเหยียน ครั้นสายตามองไปที่ดวงหน้าของจ่านเหยียนก็ชะงักไปเล็กน้อย คนผู้นี้หน้าตามีเมตตาจ่านเหยียนอ้อ “ที่แท้ก็คุณชายฮุ่ยอวิ่น รีบเชิญเถอะ!”ทั้งสองเข้าไปนั่งในห้องโถงใหญ่ อาเสอยกน้ำชามา ก่อนจะยืนอยู่ข้างตัวจ่านเหยียน“คุณชายอู่” ฮุ่ยอวิ่นจิบน้ำชาคำหนึ่ง เข้าประเด็นแบบไม่อ้อมค้อม “ที่ข้าน้อยมาคารวะอย่างกะทันหันในวันนี้ ความจริงเพราะมีเรื่องต้องการร้องขอ”จ่านเหยียนยกน้ำชาขึ้นช้า ๆ เป่าฟองน้ำชา นางแปลกใจกับจุดประสงค์การมาของเขา แต่ก็ไม่ได้แสดงออกมา “คุณชายอย่าได้บอกว่าขอร้องเลย มีเรื่องอันใดก็ว่ามาเถอะ”ฮุ่ยอวิ่นมองอาเสอ จ่านเหยียนสา
อาเสอหัวเราะ ไม่ได้อธิบาย เพียงกดปุ่มบนประตูเหล็ก ประตูอัตโนมัติค่อย ๆ เปิดออก ที่แสดงอยู่ตรงหน้าทั้งสามคือบ้านเดี่ยวสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรปในยุคปัจจุบันจ่านเหยียนเดินเข้าห้องรับแขก การตกแต่งในห้องรับแขกล้วนเป็นเฟอร์นิเจอร์สมัยใหม่ทั้งหมด จ่านเหยียนเดินไปนั่งอยู่บนโซฟาผ้าสีอ่อนนุ่มนิ่มอบอุ่น จากนั้นก็วางท้าวอยู่บนโต๊ะอย่างสบายอารมณ์อาหูเบิกตากว้างยิ่งกว่าเดิม ยืนอยู่ในรับแขกแทบไม่รู้ควรทำอย่างไรดี หมุนศีรษะสามร้อยหกสิบองศา ถอนหายใจด้วยความตะลึงไม่หยุดทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงบุรุษจึงสะดุ้ง หันไปมองรอบ ๆ กลับเห็นของสีดำทรงสี่เหลี่ยมอยู่บนผนัง จู่ ๆ ก็มีภาพสีฉายออกมา ยังมีคนเดินไปเดินมา เสียงดังออกมาจากหน้าจอสีดำนั้นนั่นแหละ“นี่คือสิ่งใดกัน?” อาหูตั้งท่าเตรียมต่อสู้รอปะทะด้วยเหตุนี้ อาเสอจึงได้แต่ลากนางเข้าห้อง เล่าเรื่องที่บ้านตั้งอยู่ตรงประตูมิติเวลาให้นางฟังหนึ่งรอบ สองรอบ สามรอบ...แต่เห็นได้ชัดว่าอาหูไม่เข้าใจ นางกะพริบดวงตาเครื่องหมายคำถามกับอาเสอไม่หยุดอาเสอจึงได้แต่บอกง่าย ๆ ว่า “สรุปแล้ว เรือนหลังนี้เชื่อมต่อกับสองมิติเวลา ถ้าเจ้าเดินออกประตูทางขวาก็คือแคว้นต้าโจวที่เจ้า
เขาเอ่ยขึ้นทันใด “ถูกต้อง ข้าเลินเล่อแล้ว”“เช่นนั้นข้าน้อยขอลา!” จ่านเหยียนเขียนตำรับยาแล้วจึงเอ่ยใต้เท้าเหลียงชะงักงัน “นี่คุณชายจะกลับแล้วหรือ?”จ่านเหยียนมองเขา แล้วถามด้วยความฉงน “ยังมีสิ่งใดต้องการจากข้าน้อยหรือ?”ใต้เท้าเหลียงมองประเมินนาง แล้วจึงเอ่ย “คุณชายช่วยลูกสาวของข้า หรือว่าไม่อยากได้สิ่งใด หรือต้องการให้ข้าทำอะไรให้คุณชายหรือ?”หากไม่มีจุดประสงค์ เหตุใดต้องเสี่ยงภัยใหญ่หลวงช่วยคนด้วย? หากตรวจสอบพบ ต้องโทษถึงประหารชีวิตทั้งครอบครัวเชียวนะไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อว่ามีคนดี แต่สถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน ไม่มีใครหวังดีเสี่ยงถูกประหารชีวิตเพื่อช่วยคนหรอกอย่างน้อยเขาก็ไม่ ดังนั้นเขาไม่เชื่อว่าหลงอู่จะช่วยคนเพียงเพราะมีจิตเมตตาจ่านเหยียนหัวเราะแล้วเอ่ย “อาจจะมี แต่มิใช่เวลานี้ แต่ใต้เท้าโปรดวางใจ สิ่งที่ข้าน้อยต้องการ ใต้เท้าต้องให้ได้แน่ ข้าน้อยจะไม่ทำให้คนลำบากใจ”ใต้เท้าเหลียงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “คุณชายกล่าวหนักไปแล้ว ขอเพียงไม่ผิดต่อมโนธรรม ไม่ว่าคุณชายต้องการให้ข้าทำสิ่งใด หากอยู่ในขอบเขตความสามารถของข้า สามารถให้ได้ สามารถทำได้ ข้าจะต้องทำให้อย่างแน่นอน”จ่าน
จ่านเหยียนเอื้อมมือกดจุดเหรินจงของเหลียงกุ้ยเหรินทีหนึ่ง เมื่อนั้นเหลียงกุ้ยเหรินจึงค่อย ๆ ฟื้นขึ้นมานางมองจ่านเหยียนอย่างอ่อนแรง แววตาสับสนเล็กน้อย พยายามจะส่งเสียง แต่กล่องเสียงเจ็บมาก นางพยายามเปล่งเสียงออกมาคำหนึ่ง เสียงที่เปล่งออกมาแหบแห้งราวกับผ้าไหมที่ฉีกขาด “ข้าตายแล้วหรือ?”อาเสอจึงเดินไปบอก “ท่านยังมีชีวิตอยู่”นางนิ่งค้างไป มีชีวิตอยู่? จะเป็นไปได้อย่างไร? ฮองเฮาจะปรานีนางหรือ? ไม่ถูก นางดื่มสุราพิษลงไปกาหนึ่งแล้ว น่าจะตายแล้วนี่อาหูเปิดประตู คุณชายเหลียงซานปรี่เข้ามา ใต้เท้าเหลียงก็ประคองเหลียงฮูหยินเข้ามาด้วย ทั้งสามตรงดิ่งไปถึงข้างเตียง เหลียงฮูหยินกอดเหลียงกุ้ยเหรินเอาไว้แล้วร้องไห้ “ลูกแม่ เจ้าฟื้นสักที”เหลียงกุ้ยเหรินพลันแสบจมูก น้ำตาพรั่งพรูออกมาอย่างหยุดไม่อยู่ นับจากเข้าวังก็ไม่เคยได้พบครอบครัวอีกเลย นางต้องตายไปแล้วแน่ ๆ วิญญาณกลับมาจึงทำให้นางได้เห็นครอบครัว“ท่านแม่ อย่าร้องไห้ แม้ลูกตายไปแล้วก็จะคุ้มครองพวกเราทั้งครอบครัว” นางเปล่งเสียงออกมาจากลำคอด้วยความลำบาก พูดคำหนึ่งก็เจ็บลำคอราวกับเข็มทิ่มแทงเหลียงฮูหยินซับน้ำตาบนใบหน้าของนาง หัวเราะระคนร้องไห้