ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายตกใจไปเล็กน้อย คุณนายเฉินถึงขึ้นยกมือทาบอกเพราะไม่เคยคิดว่าเหม่ยหลินจะถามเรื่องนี้ขึ้นมา แม้ว่าเฉินต้าเว่ยจะมองเธอนิ่ง ๆ ก็ตาม
“หนูก็แค่ถามดูเท่านั้นเอง”
“ได้ ไม่ผิดหรอกยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว ที่จริงการหมั้นหมายก็เป็นส่วนหนึ่งหากว่าในอนาคตเธอไม่ยินยอม ก็สามารถถอนหมั้นกับผมได้เลย”
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะแอบยิ้มออกมา นี่ยังไม่ทันหมั้นกับเขาก็นึกถึงเรื่องถอนหมั้นแล้วงั้นเหรอ เขาเป็นเพื่อนเล่นของเธอหรือไง ตลอดเวลาเอาแต่พูดถึงเขาตามงานสังคมและข่มขู่ผู้หญิงหลายคนที่คิดจะเข้าหาเขาแต่ทำไมมาวันนี้กลับอยากจะถอนหมั้นเองเสียอย่างนั้น
“เอาเป็นว่าอย่าพึ่งพูดเรื่องนั้นเลยนะคะ คุณลู่คะฉันว่าเรามาคุยเรื่องจัดงานกันดีกว่าค่ะ แขกที่จะเชิญมามีแค่ญาติ ๆ..”
หลังจากนั้นเธอก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เมื่อหันมามองตาดุ ๆ ของแม่เธอก็ทำให้เหม่ยหลินรู้สึกอึดอัดเธอจึงขอตัวออกไปเดินเล่นในสวนเพื่อลดความเครียดในวันนี้ ซึ่งเธอออกไปไม่นานเฉินต้าเว่ยก็ตามเธอออกไป
สวนด้านนอก
"ให้ตายเถอะ มีโอกาสเกิดมาเป็นลูกคนรวยสักทีก็อยากจะอยู่ใช้เงินสักหน่อยทำไมจะต้องรีบหมั้นแล้วมาแต่งงานกับอีตาหน้าตายนั่นด้วยล่ะ"
เธอบ่นไปพร้อมกับค่อย ๆ เดินรับลมที่สนามหญ้าข้างนอกที่ค่อนข้างโปร่งสบาย ผิดกับบรรยากาศข้างในห้องที่เธอพึ่งเดินออกมา
“ค่อยหายใจได้เต็มปอดหน่อย”
“อึดอัดขนาดนั้นเลยเหรอ”
“คุณชายรอง!! เอ่อไม่สิ พี่…ต้าเว่ย”
เขามองเธอนิ่ง ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ ๆ วันนี้ลู่เหม่ยหลินต่างจากที่เขาเคยพบก่อนหน้านี้จริง ๆ เธอไม่ใช่แค่ไม่สนใจเขาแต่แทบจะไม่คุยกับเขาเหมือนกับทุกครั้งที่เคยเจอ
“หมดกันช่วงเวลาที่แสนดี”
ต้าเว่ยยังมองเธอก่อนจะเดินล้วงกระเป๋าเข้ามาหาและนั่งลงข้าง ๆ ทำไมเขาต้องตามเธอมาด้วยนะ เรื่องนี้แม้แต่ตัวเองก็ยังตอบไม่ได้ รู้ตัวอีกทีก็พาตัวเองเดินตามคนตัวเล็กมาถึงตรงนี้แล้ว
“ไม่อยากหมั้นกับผมเหรอ”
“คะ? ก็แค่รู้สึกว่ามันเร็วเกินไปหน่อยก็ฉันยังเด็กอยู่เลยนี่คะ”
เพราะเธอมาอยู่ในร่างของหญิงสาวอายุแค่ยี่สิบสี่ปี แต่สำหรับยุคสมัยนี้ก็คงเป็นวัยที่ควรแต่งงานมีลูกแล้วแต่สำหรับยุคที่เธอจากมาเธอมีอายุยี่สิบหกปีแล้วซึ่งตอนนี้ต้าเว่ยอายุยี่สิบแปด เท่ากับว่าจริง ๆ แล้วทั้งคู่อายุห่างกันแค่สองปี แต่กับเหม่ยหลินในร่างนี้กลับห่างจากต้าเว่ยถึงสี่ปี
“เด็กเหรอ ตลกหรือไงคุณเรียนจบมหาลัยแล้วก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ”
“คะ?”
“ช่างเถอะ เห็นว่ากำหนดวันหมั้นกันแล้ว เอาไว้เจอกันวันงานนะ”
“อะไรของเขา”
ต้าเว่ยเดินกลับไปแล้ว เขาไม่คิดว่าเธอจะอ้างเหตุผลนี้ขึ้นมาซึ่งมันไม่น่าจะออกมาจากปากคนอย่างลู่เหม่ยหลินก่อนหน้านี้ได้เลย แต่วันนี้เธอไม่ได้แต่งตัวเยอะจนดูเกินอายุและหน้าที่แต่งแต้มสีอย่างพอดีก็เผยให้เห็นหน้าที่แท้จริงของเธอ นับว่าเป็นคนไม่ได้ขี้เหร่เพียงแค่ก่อนหน้านี้พยายามสวยเกินวัยมากไปหน่อยเท่านั้น
“ทำไมก่อนหน้านี้ต้องพยายามแต่งตัวดูโตเกินวัยไปด้วย แต่งแบบนี้แต่แรกก็น่ารักดีอยู่แล้ว”
สองเดือนถัดมา
ลู่เหม่ยหลินใช้เวลาปรับตัวกับร่างใหม่อยู่นานกว่าสามเดือน เผลอแป๊บเดียวเธอก็ต้องเข้าพิธีหมั้นกับคุณหมอเฉินต้าเว่ยแล้ว นับว่าช่วงนี้เกิดเรื่องแปลกขึ้นหลายอย่างในบ้านตระกูลลู่
เหม่ยหลินที่ลุกขึ้นมาทำอาหารให้พ่อแม่กินด้วยตัวเองอีกทั้งคุมคนทำความสะอาดบ้านและยังออกแบบชุดงานหมั้นด้วยตัวเองเพราะเธอไม่ชอบชุดที่ช่างตัดเสื้อเสนอมา
“คุณคะนี่ฉันได้ลูกสาวคนใหม่เหรอคะ”
“อย่าว่าแต่คุณเลย เห็นพุงผมนี่ไหมทำไมจู่ ๆ อาหลินถึงได้ทำอาหารได้อร่อยขนาดนี้ คุณเป็นคนสอนเธอเหรอ”
“เปล่านะคะ คงเรียนมาจากโรงเรียนละมั้งคะ”
“หึ ที่แท้ก็แค่ขี้เกียจสินะ พอโตแล้วจะห่างอกพ่อแม่คงคิดถึงบ้านขึ้นมาละสิ”
“คุณคิดว่าเราไม่ได้เปลี่ยนสาวใช้มานานสามเดือนแล้ว เป็นเรื่องที่ดีไหมล่ะ”
“ไม่เคยเกิดขึ้นจริง ๆ ดูท่าอาหงจะเอาอยู่สินะ”
“ฉันว่าไม่ใช่หรอก เพราะทุกคนตอนนี้ต่างก็ไม่ได้กลัวหรือไม่ชอบอาหลินเลย เธอยังทำเหมือนกับทุกคนเป็นเพื่อน เวลาลงครัวทีฉันได้ยินเสียงหัวเราะดังออกมาประจำเลย”
“นี่แปลกจริง ๆ หวังว่าหมั้นแล้วคงไม่ทำให้นายพลเฉินขัดใจและยิ่ง…”
“คุณกำลังหมายถึงคุณย่าโจสินะคะ”
“โจไท่อิง” ย่าของเฉินต้าเว่ยเป็นคนที่เข้มงวดและยึดหลักธรรมเนียมโบราณและเป็นคนที่เหมือนลูกชายมาก ๆ เธอไม่ชอบตระกูลลู่เพราะเป็นครอบครัวพ่อค้า แม้ว่าฟางหยงจะมาจากตระกูลทหารแต่ก็เป็นสะใภ้แต่งเข้าตระกูลพ่อค้า เธออยากให้หลานชายคนโตแต่งงานกับ “หลิวซีอิ๋ง” ลูกสาวนายพันหลิวมากกว่า
“เอาเถอะ ยังไม่แต่งก็ไม่ต้องย้ายเข้าไป ลูกยังอยู่กับเราคงไม่มีอะไรหรอก”
“ฉันก็กลัวนะคะ หากว่าไม่ต้องมีเงื่อนไขนี้ก็ดีถ้าลูกเลือกจะไม่หมั้นฉันก็ไม่ขัดข้องหรอก แต่ว่าคุณนายเฉินเอ็นดูอาหลินมาก อีกอย่างหากเป็นก่อนหน้านี้ฉันคงไม่กล้าพูดแบบนี้ แต่ตอนนี้ลูกเปลี่ยนไปมากแล้วฉันเลยค่อนข้างวางใจ”
“แต่คุณก็รู้ว่าก่อนหน้านี้เป็นตายยังไงก็อยากจะแต่งคุณชายรองเฉิน ใครห้ามฟังที่ไหนยังขู่จะฆ่าตัวตายด้วยไม่ใช่เหรอ แต่วันที่ไปคุยเรื่องงานหมั้นกลับถามคำถามนั่นออกมาเสียได้ ผมล่ะเดาอารมณ์ลูกสาวคุณไม่ได้จริง ๆ”
“เอาเถอะเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดแล้วล่ะค่ะ เย่าหยางจะกลับมาทันใช่ไหมคะ”
“ผมบอกไปแล้วคงจะมาพร้อมกับเรือสินค้าก่อนวันงานนั่นแหละ มาคนเดียวเห็นว่าหลี่เซียงท้องอ่อน ๆ เลยไม่ได้มาด้วย”
“นั่นสิคะ ลืมไปเลยครั้งนี้คงต้องฝากของไปบำรุงครรภ์สะใภ้คนโตสักหน่อยแล้วคุณบอกอนุหว่านหรือยัง”
“บอกไปแล้วคงจะกลับมาสองสามวันนี้แหละเห็นว่ารอรุ่ยถิงสอบเสร็จน่ะ”
“ค่ะ”
“ลู่เย่าหยาง” พี่ชายคนโตของเหม่ยหลินรับช่วงต่อกิจการค้าขายของตระกูลลู่ที่เซี่ยงไฮ้ เขาแต่งงานกับ “หลี่เซียง” ลูกสาวพ่อค้าขายผ้าเมืองปักกิ่งซึ่งทั้งสองคบกันตั้งแต่สมัยเรียนตอนนี้นี้พี่สะใภ้ใหญ่ของเธอกำลังท้องได้สองเดือนกว่า ๆ ไม่สะดวกเดินทางจึงให้สามีกลับมากวางโจว เพียงคนเดียวเพื่อร่วมงานหมั้น
“หว่านเจิน” คือภรรยาอีกคนของลู่ตานถงซึ่งทั้งคู่มีลูกสาวด้วยกันอีกคนคือ “ลู่รุ่ยถิง” ซึ่งถือเป็นน้องคนเล็กของตระกูลลู่ และเป็นคนที่ลู่เหม่ยหลินเกลียดที่สุด ทั้งสองเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานานแต่เพราะรุ่ยถิงอาศัยว่าเรียนดีกว่าจึงขอออกไปพักอยู่ใกล้ ๆ มหาลัยพร้อมกับพาแม่ของเธอไปด้วย
สองวันถัดมา
หว่านเจินและลู่รุ่ยถิงมาถึงบ้านตระกูลลู่ก่อนที่พี่ใหญ่จะกลับมา ทั้งสองแวะมาไหว้พ่อแม่ลู่ก่อนที่จะเข้าไปพัก พ่อลู่สอบถามเกี่ยวกับเรื่องการสอบที่พึ่งผ่านไปของลูกสาวคนเล็ก
เธอเรียนบัญชีซึ่งเป็นสาขาที่ค่อนข้างยากแต่หว่านเจินหวังว่าหากเรียนจบก็สามารถมาช่วยกิจการที่บ้านได้ อีกอย่างอนุหว่านก็หวังจะให้ลูกสาวได้ส่วนแบ่งในธุรกิจตระกูลลู่เพื่อเอาไว้ตั้งตัวด้วย
“อ้าวอาหลิน ลงมาแล้วเหรอมาทักทายแม่เล็กสิ”
คำว่า “แม่เล็ก” เธอได้ยินจากสาวใช้มานานแล้วแม้ว่าจะเป็นคนที่ค่อนข้างทะเยอทะยานแต่ก็ยอมสยบให้ลูกสาวนายพลอย่างแม่ของเธอ แต่กับเหม่ยหลินนั้นหว่านเจินมักจะมีคำพูดเหน็บแนมชนิดพิเศษที่เหม่ยหลินเถียงไม่ออกอยู่บ่อยครั้งเพราะอย่างน้อยการที่ลูกสาวของเธอเรียนเก่งกว่าเหม่ยหลินก็ทำให้เธอภาคภูมิใจ
“สวัสดีค่ะแม่เล็ก”
“สวัสดีจ้ะเหม่ยหลิน แม่เล็กดีใจด้วยนะในที่สุดก็ได้หมั้นกับคุณชายรองเฉิน”
เพียงแค่ประโยคแรกเธอก็รู้ทันทีว่าแม่เล็กตั้งใจเหน็บแนมเธอ ลูกสาวเองก็ไม่ได้ต่างจากแม่เพราะเมื่อเห็นว่าแม่เริ่มเธอก็คุยโม้กับผู้เป็นพ่อทันที
“อาจารย์บอกว่าคะแนนของหนูสูงมากพอที่จะสอบผ่านในเทอมนี้ค่ะพ่อ หนูก็เลยไม่รอผลสอบออกและรีบกลับมาที่บ้านเลย ครั้งนี้น่าจะได้ใช้วิชาที่เรียนมาช่วยคุณพ่อได้แล้วค่ะ”
“นั่นสิคะอาถิงพอจะเริ่มทำงานได้แล้วกลับมาครั้งนี้ จะได้ทำตัวให้เป็นประโยชน์ไม่เอาแต่เที่ยวเล่นใช้เงินไปวัน ๆ เหมือน…. เมื่อก่อนอีก ใช่ไหมจ๊ะเหม่ยหลิน”
แม่เล็กตั้งใจเหน็บแนมเธอ หากเป็นเหม่ยหลินคนเดิมเธอคงได้แต่โกรธและกรี๊ดออกมาดัง ๆ แต่วันนี้สองแม่ลูกกลับรู้สึกขนลุกแปลก ๆ เพราะคุณหนูรองไม่เพียงแค่นิ่งกับคำถากถางนี้กลับนั่งจิบชาด้วยท่าทางที่นิ่งผิดปกติก่อนจะหันมายิ้มให้ทั้งคู่
“แม่เล็กพูดจาแปลก ๆ นะคะ เงินที่ส่งให้รุ่ยถิงเรียน ตระกูลลู่ก็เป็นคนส่งเสีย ให้ ค่ากินค่าอยู่ค่าอาหารที่พักนั่นก็ไม่น้อยเลย กลับมาก็ต้องช่วยงานที่บ้านบ้างก็เป็นเรื่องของคนที่มีจิตสำนึกควรจะต้องทำโดยไม่ต้องให้ใครบอกไม่ใช่เหรอคะ”
“ฟางหยง” เพียงแค่ยกน้ำชาขึ้นมาจิบตามหลังจากที่เหม่ยหลินพูดตอกกลับสองแม่ลูกกลับไปโดยที่เธอไม่ต้องออกแรง คิดไม่ถึงว่าลูกสาวของเธอจะโตขึ้นมากขนาดนี้ หว่านเจินเหมือนกับถูกน้ำกรดสาดหน้าก็ไม่ปาน แม้แต่รุ่ยถิงก็ยังรู้สึกได้ว่าลู่เหม่ยหลินรับมือได้ยากกว่าเดิม“ว่าแต่รุ่ยถิงเรียนบัญชีมาไม่ใช่เหรอ ดีดลูกคิดเป็นหรือยัง”“คือว่า... ก็พอได้ค่ะ”“แค่พอได้เหรอ แย่จังที่จริงจะอาศัยเครื่องคิดเลขสมัยใหม่มาช่วยคิดน่ะใคร ๆ ก็เรียนได้แต่ศิลปะการดีดลูกคิดลับสมองได้ดีกว่า นี่คงไม่บอกนะว่าสอบผ่านมาได้ด้วยการใช้เครื่องคิดเลขช่วยน่ะ”“แต่ว่า… อาจารย์ก็ไม่ได้ห้ามให้เอาเข้าไปสอบนี่คะ”“ไอหยา!! อะไรนะอาถิงนี่ยังดีดลูกคิดไม่เป็นงั้นเหรอ แต่ที่ร้านของเราใช้ดีดลูกคิดตลอด ถึงจะคิดเงินได้เร็วพ่อบอกแล้วไงว่าอย่าไปพึ่งเครื่องมือพวกนี้มากมันเชื่อถือไม่ได้ ไม่ได้เรื่องเลย รีบ ๆ เอาของไปเก็บเถอะไป”“คุณพ่อคะ...”“คุณพ่อคะบัญชีที่เอามาให้หนูตรวจเมื่อวันก่อนมีผิดอยู่สองหน้านะคะ พ่อจะเอาไปให้ลุงกวงตรวจก่อนก็ได้ค่ะ ดูเหมือนว่าจะมีเงินเกินอยู่สามหยวนที่หาที่มาไม่ได้ น่าจะคิดเงินลูกค้าเกินหรือไม่ก็ลุงกวงคงลืมลงรายการไว้ค่ะ”“งั้
“น้องรู้เรื่องยาจีนพวกนี้ด้วยเหรอ”“คือว่าตอนเรียนมหาลัยมีอาจารย์มาสอนก็ครูพักลักจำมานิดหน่อยค่ะ”“คิดไม่ถึงว่าจะรู้มากถึงขนาดซื้อตำรับยาได้แต่ว่ายานั่นก็ทำให้อาเซียงลดอาการแพ้ท้องลงไปได้จริง ๆ นะครับคุณแม่ อาเซียงยังบอกว่าดื่มยาทุกคืนก่อนนอนแล้วเหมือนหลับสนิทไปเลยตื่นเช้ามาก็สดชื่นไม่น่าเชื่อว่าจะมาจากอาหลิน”“ลองชิมขนมสิ น้องทำเองเลยนะเอาไว้รอต้อนรับลูกกลับบ้าน”รุ่ยถิงนั่งนิ่งราวกับเป็นอากาศ หว่านเจินเองก็ไม่ต่างกันเมื่อทุกคนหันความสนใจไปที่ขนมและชารสเลิศที่ลู่เหม่ยหลินเป็นคนสรรหามาให้“จริงสิ พี่ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้อาหลินจะชอบอะไร พี่ก็เลยซื้อสร้อยมุกมาให้”“โอ้โหพี่รองได้สร้อยมุกเลยเหรอคะ”รุ่งอิงเผลอตัวพูดออกไปด้วยความน้อยใจซึ่งสำหรับเธอแล้วสร้อยมุกนั่นมันสวยมากและน่าจะดีกว่าลูกคิดที่เธอได้รับ“พี่รองคะ เมื่อกี้พี่บอกว่าลูกคิดของพี่เริ่มพังแล้ว ถ้าอย่างนั้นพี่เอาสร้อยมุกนั่นมาแลกกับลูกคิดอันนี้ของฉันดีไหมคะ”เหม่ยหลินหันมาที่พี่ใหญ่ก่อนที่จะหันไปที่สายตาละโมบของรุ่ยถิงที่กำลังมองกล่องไข่มุกของเธอซึ่งเป็นของขวัญที่เย่าหยางตั้งใจซื้อมาให้ เหม่ยหลินปิดฝากล่องลงพร้อมกับความตกใจของรุ่ยถ
เจ้าสาวในชุดกี่เพ้าเต็มรูปแบบพิธีการสีแดงค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับแขกในงานที่รีบหันไปดูก่อนที่เฉินหยวนลี่จะเดินมาเปิดประตูให้กับเจ้าบ่าวลงมาจากรถทันทีที่หมอเฉินในชุดสูทสีดำเนคไทแดงติดเข็มกลัดเจ้าบ่าวกางเกงสีดำเดินลงมาก็สะกดทุกสายตาให้หันไปมองโดยเฉพาะ “ลู่รุ่ยถิง” ที่ตกตะลึงกับความหล่อของว่าที่พี่เขยในทันที“แม่… นั่นคือ”“หมอเฉินยังไงล่ะ เฉินต้าเว่ยคุณชายรองตระกูลเฉิน”“เขาหล่อจังเลย ที่จริงแล้วหนูก็แต่งกับเขาได้ใช่ไหมคะถ้าพี่รองยอมเพราะตามธรรมเนียมแล้วผู้ชายมีเมียหลายคนได้ไม่ใช่เรื่องแปลก”“จะบ้าเหรอคิดอะไรแบบนั้น”“ก็…. หนูว่าเขาดูดีออกนี่คะอีกอย่างเขาเป็นถึงคุณหมอและตระกูลเฉินก็ยังเป็นตระกูลทหารที่เก่าแก่มีชื่อเสียง”“อยากเป็นเมียน้อยเหมือนแม่เหรอ แกเลิกคิดเรื่องบ้า ๆ นี้ไปได้เลยแม่ไม่มีทางยอมให้แกเป็นเบี้ยล่างนังลูกเมียใหญ่นั่นอีกหรอก”แต่ลู่รุ่ยถิงกลับไม่ได้คิดแบบนั้น เธอไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนที่น่ามองและมีเสน่ห์เท่ากับเฉินต้าเว่ยมาก่อนเลย เขาทั้งดูดี หล่อและดูเป็นผู้ใหญ่ เมื่อหยวนลี่ยื่นช่อดอกไม้ให้เฉินต้าเว่ยก็เดินเข้าไปข้างในตรงที่โต๊ะพิธีหมั้นที่มีเจ้าสาวของเขานั่งอยู่วัน
รุ่ยถิงหน้าชาเหมือนกับถูกลากมาตบจนไม่มีความรู้สึก เธอแทบจะควบคุมสติไม่อยู่เมื่อนายพลเฉินและภรรยาเดินไปขึ้นรถโดยมีเหม่ยหลินและพ่อกับแม่เดินไปส่ง พี่ใหญ่เย่าหยางหันมามองเธอด้วยสายตาที่เคยใช้กับเหม่ยหลินมาก่อน สายตาของความโมโหและสมเพช“พี่คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะทำตัวแบบนี้ในวันสำคัญ อาถิงเธอโตแล้วนะการที่จะพูดอะไรควรจะคิดให้มากกว่านี้ แม่เล็กครับถ้าครั้งหน้ายังมีเหตุการณ์แบบนี้อีกระวังนะครับว่าพวกคุณจะไม่ได้อะไรจากตระกูลลู่เลยแม้แต่อย่างเดียว”“พี่ใหญ่ลำเอียง พี่ใหญ่เข้าข้างแต่พี่รอง”เขาได้ยินคำแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แต่ครั้งนี้แค่เปลี่ยนจากเหม่ยหลินกลายเป็นรุ่ยถิงแทน“อาถิงลองกลับเอาไปคิดดูว่าสิ่งที่คุณพ่อลงโทษไป สิ่งที่พี่พูดผิดหรือเปล่า อีกอย่างคุณนายเฉินก็เป็นคนพูดออกมาแล้วเรื่องนี้ยังขายหน้าไม่พออีกเหรอ แม่เล็กพาเธอกลับไปสงบสติอารมณ์เถอะครับ เรื่องการลงโทษคุณพ่อคงจะสั่งไปทีหลังช่วงนี้ก็งดมาที่ตึกใหญ่สักพักเถอะครับ”“อาหยาง คือว่าน้องยังเด็กอย่าถือสาแกเลย”“เธออายุยี่สิบสองแล้วนะครับ เรียนเกือบจะจบมหาลัยถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว ถ้าแม่เล็กยังเอาแต่เหตุผลนี้มาอ้างผมว่าคนที่จะเดือดร้อนใ
เฉินต้าเว่ยเดินมาพร้อมกับแฟ้มในมือและใบหน้าที่ค่อนข้างบูดบึ้งนิดหน่อยเมื่อเดินเข้ามาหาเธอและโจเซฟที่กำลังจะเดินไปที่โต๊ะของเจ้าหน้าที่“คุณหมอเฉิน เอ่อ…. พี่ต้าเว่ย”“ต้าเว่ย คุณคือคุณหมอเฉินต้าเว่ย ผมโจเซฟหมอคนใหม่ที่จะมารายงานตัว”ต้าเว่ยหันมามองที่ฝรั่งตัวโตข้าง ๆ เธอ ที่ยื่นมือมาจับมือกับเขาก่อนจะถามไถ่อีกฝ่ายด้วยความดีใจด้วยภาษาอังกฤษเช่นกัน“คุณโจเซฟ ยินดีมากครับผมคิดว่าคุณจะมาถึงอีกสองวันข้างหน้าเสียอีก ไม่คิดว่าจะมาถึงก่อนกำหนด”“โอ้ว ผมคิดพิเรนทร์นิดหน่อยน่ะสิก็เลยเดินเล่นมาเรื่อย ๆ จนหลงทาง โชคดีที่เจอไมลี่ย์ระหว่างทางเธอเลยอาสามาส่งเธอน่ารักมาก ๆ ว่าแต่พวกคุณรู้จักกันมาก่อนเหรอครับ”“คือว่าตอนนี้คุณก็ได้พบกับคุณหมอแล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนนะคะหมอโจว”“โอ้ ขอบใจมากไมลี่ย์”โจเซฟไม่รั้งรอเขายื่นมือออกไปให้เธอจับ เหม่ยหลินจับมือเขาก่อนที่จะหันไปมองต้าเว่ยที่มองเธอด้วยความตกใจเพราะเขาไม่คิดว่าเธอจะพูดภาษาอังกฤษได้คล่องถึงขนาดนี้“คือว่าออกมานานแล้ว ตอนนี้ทิ้งอาหงไว้ถ้าอย่างนั้น…”“คุณรอผมอยู่นี่เดี๋ยวผมมา นั่งรอตรงนั้นอย่าไปไหนเดี๋ยวผมจะเดินไปส่ง”“แต่ว่าฉันมากับอาหง”“ผมบอ
วันถัดมา “พอแล้วอาหง อันนี้ไม่เอาเยอะเกินไป อันนี้ก็ใหญ่ไป สวมสร้อยคอเล็ก ๆ ก็พอนี่มันงานเลี้ยงในบ้านนะ”“แต่ว่าคุณนายบอกว่าให้คุณหนูสวมเครื่องเพชรชุดนี้นะคะจะได้ไม่น้อยหน้าคนอื่น”“แค่ชุดขนเฟลอร์นี่ก็หนักจะตายอยู่แล้วอย่าเอาอะไรมาสวมให้มากเลย เอาต่างหูคู่เก่ามา”“แต่ชุดนี้เคยใส่ไปแล้วนะคะ”“ใส่แล้วก็ใส่ได้อีกทำไมล่ะ มันเบาที่สุดแล้ว”ไม่นานเสียงแตรรถยนต์ก็ดังขึ้นมาจากหน้าบ้าน รถของเฉินต้าเว่ยค่อย ๆ ขับเข้ามาในบ้านเพื่อมารับเธอตามเวลานัด ที่จริงต้องบอกว่าวันนี้เขามาถึงก่อนเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง“ตานี่ก็รีบเกินไปแล้วนี่มันยังไม่ถึงเวลาสักหน่อย เร็ว ๆ เข้าอาหงกระเป๋าฉันล่ะ กล่องนั่นด้วยอย่าลืมยกไป”“ได้ค่ะ ๆ”เหม่ยหลินส่องกระจกตรวจดูความเรียบร้อยก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป อาหงเดินไปเปิดประตูและเดินตามเธอลงไป หมอเฉินนั่งรออยู่ที่โซฟาชั้นล่างเมื่อเธอเดินลงมาเขาก็เหมือนตกอยู่ในภวังค์อีกครั้ง ดูเหมือนว่าคู่หมั้นของเขาจะสวยขึ้นในทุก ๆ ครั้งที่พบเธอ หรืออาจจะเป็นเพราะท่าทางที่นิ่งและดูสง่างามผิดกับเมื่อก่อนละมั้ง เธอเองก็มองมาที่เขาแล้วรู้สึกวูบวาบขึ้นมาที่หัวใจเหมือนกัน คุณหมอในชุดสูทสีดำเรี
เฉินต้าเว่ยหันมามองคุณย่าของเขา แม้ว่าจะเป็นหลานชายแต่เมื่อถูกเขามองเช่นนี้คุณย่าโจก็แอบหลบตาไปเหมือนกัน“จริงสิซีอิ๋งมาพอดีเลย ย่ากำลังจะดูของขวัญที่ตระกูลลู่นำมาให้หนูมานั่งใกล้ ๆ ย่าก่อนสิ ทักทายพี่เขาหน่อย”“หลิวซีอิ๋ง” หันมายิ้มให้กับเฉินต้าเว่ยและทักทายทันทีแม้ว่าเธอจะแอบเห็นว่าเขาจับมือกับลู่เหม่ยหลินอยู่ก็ตาม“สวัสดีค่ะพี่เว่ย ขอโทษทีนะคะที่ซีอิ๋งมาช้าพอดีว่าพึ่งจะกลับมาจากมหาลัยแต่คิดถึงคุณย่ามากไปหน่อยก็เลยเผลอเสียมารยาทไป สวัสดีค่ะคุณคือ….”“สวัสดีค่ะลู่เหม่ยหลินค่ะ”“สวัสดีค่ะคุณลู่ คุณย่าคะวันนี้ซีอิ๋งนำของขวัญมาให้คุณย่าด้วยเปิดได้เลยนะคะ”“โอ้ว แค่มาก็ดีแล้วยังจะลำบากหาของขวัญมาเอาใจคนแก่อีกเด็กคนนี้นี่ ไหน ๆ เอามา ๆ”“คุณย่าเปิดเลยนะคะ”“อะไรนะ จะดีเหรอให้เปิดเลยเหรอ”“เปิดเลยสิคะซีอิ๋งอยากให้คุณย่าดีใจค่ะ ซีอิ๋งตั้งใจเลือกมาด้วยตัวเองเลยนะคะ”“ได้สิ มา ๆ เปิดเลยก็แล้วกัน”ทุกคนต่างก็ลุ้นว่าสิ่งที่เธอนำมาเป็นของขวัญให้กับคุณย่าโจคืออะไรเมื่อเปิดออกมาก็พบว่ามันคือผ้าคลุมขนมิ้งค์ที่หายากและมีราคาค่อนข้างสูงแต่เรื่องความสวยงามแล้วไม่มีใครจะปฏิเสธได้จริง ๆ สิ่งนี้เรียกเสีย
คนในงานเริ่มหันมามองหน้าหลิวซีอิ๋งที่นั่งทำหน้าตกใจและนิ่งงันไปเพราะเธอไม่เคยคิดว่าคนอย่างต้าเว่ยจะกล้าดุเธอต่อหน้าแขกในงานเลี้ยงแบบนี้ และไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเมื่อเธอหันไปมองที่คุณย่าซึ่งตอนนี้เอาแต่สนใจเพียงกล่องของขวัญของเหม่ยหลินก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกเสียหน้ามากกว่าเดิม“พี่เว่ย… หมายความว่ายังไงคะที่ของขวัญของน้องที่มอบให้คุณย่าจะเป็นอันตราย”“คุณบอกว่าคุณเป็นห่วงคุณย่าแต่กลับมอบผ้าคลุมขนสัตว์มาให้ คุณไม่รู้เหรอว่าคุณย่าเป็นโรคภูมิแพ้ขนสัตว์ทุกประเภท แค่ได้กลิ่นหรือจับก็จะจามไม่หยุดจนอาจจะทำให้อาการกำเริบจนหัวใจวายได้”หลิวซีอิ๋งเบิกตากว้างเพราะตกใจเมื่อต้าเว่ยพูดจบ คนในงานเริ่มกระซิบกระซาบอีกครั้ง นายพลเฉินและแม่เฉินรีบเดินเข้ามาจับแขนลูกชายเอาไว้เพื่อให้เขาสงบอารมณ์ ส่วนย่าโจตอนนี้เอาแต่ดมยาดมที่เหม่ยหลินให้เพื่อบรรเทาอาการวิงเวียนเมื่อได้กลิ่นเสื้อคลุม แต่ที่ย่าโจไม่พูดออกมาเพราะไม่อยากให้ตระกูลหลิวและซีอิ๋งเสียหน้า“คือว่า… ซีอิ๋งคิดว่า…มันเหมาะกับคุณย่า”“ปากคุณบอกว่าเป็นห่วงคุณย่า คิดถึงจนทนไม่ไหวเดินพรวดพราดเข้ามาโดยไม่มีมารยาทและมอบสิ่งที่คุณย่าแพ้อย่างเสื้อขนสัตว์นี้มาให้