เสียงโลหะกระทบกันพร้อมเสียงกรีดร้องสะท้อนเข้ามาจากนอกตำหนัก ฮองเฮาและหลิวจือหลินดีดกายยืนขึ้นโดยพร้อมเพรียง
อย่าบอกเชียวที่เขาห้ามข้าไม่ให้เข้าวังเพราะเรื่องนี้
"ฮองเฮาเพคะ ในนี้มีห้องลับหรือไม่"
หลิวจือหลินเอ่ยถามด้วยความเร่งร้อน พลางประคองสตรีข้างกายเอาไว้ ทว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ในอาการตื่นตะลึง ฮองเฮาทำเพียงพยักหน้าเท่านั้น นางกำนัลคนสนิทของฮองเฮาจึงโพล่งขึ้น
"มีเจ้าค่ะฮูหยิน"
หลิวจือหลินพยักหน้าเข้าใจ นางเคยดูซีรีส์มาบ้าง โดยปกติในตำหนักเชื้อพระวงศ์มักมีห้องลับด้านใน แต่ทว่าพื้นที่คงมิได้กว้างขวางนักเพราะในนี้มีคนอยู่ไม่น้อยเลย มิรอให้นางกำนัลต้องนำทางว่าที่ใด หลิวจือหลินก็มุ่งหน้าไปยังองค์พระขนาดย่อมเสียก่อน นางจูงมือฮองเฮาและกุ้ยเฟยให้เดินตาม
"ตรงนี้ใช่หรือไม่" หลิวจือหลินเอ่ยถามนางกำนัล
"เจ้าค่ะ"
ฮองเฮางุนงง "เจ้ารู้ได้อย่างไร มิใช่ว่าเพิ่งเข้าห้องนี้ครั้งแรกหรือ"
"หม่อมฉันเดาเพคะ ดูจากรูปแบบการก่อสร้างแล้ว คงต้องใช่แน่นอน"
ฮองเฮาพยักหน้า "เช่นนี้เอง เจ้าช่างฉลาดล้ำดีจ
หลิวจือหลินหมุนเคว้งเป็นลูกข่าง นัยน์ตากลมโตจดจ้องอีกฝ่ายด้วยอาการตะลึงงัน"คุณชายฟ่าน! นะ...นี่ท่านมาได้อย่างไร"ฟ่านเทียนเผยประคองสตรีร่างระหงไว้ในอ้อมแขน ส่วนมืออีกด้านกำลังฟาดฟันกับศัตรูอย่างไม่ย่อหย่อน "ไว้ข้าจะบอกอีกครา" เขาโน้มกระซิบ "กุ้ยเฟยและฮองเฮาเล่า"หลิวจือหลินกระซิบตอบ "หลบในที่ปลอดภัยแล้วเจ้าค่ะ"ชายหนุ่มพยักหน้าด้วยความเข้าใจ หลิวจือหลินรู้สึกว่ายามนี้นางกำลังเป็นภาระของเขา เมื่อเพ่งสายตามองไปด้านนอกธรณีทางเข้า นางก็พบกับองครักษ์ทั้งสองของเจียงซื่อจวิน พวกเขามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อใดเฉิงซือหานซึ่งได้รับหน้าที่ติดตามดูแลหลิวจือหลิน ต้านศึกอยู่ด้านนอกมาโดยตลอด ทว่าสองหมัดยากจะสู้สี่มือ [1] เพราะกองกำลังทหารด้านหน้ามีเพียงหยิบมือ ส่งผลให้เขายื้อเวลาได้ไม่นาน ภายในห้องก็ถูกรุกล้ำเสียแล้ว"คุณชายฟ่าน ท่านปล่อยข้าเถิด ข้าดูแลตัวเองได้""ได้ แต่ฮูหยินอย่าบุ่มบ่ามเช่นเมื่อครู่อีก ข้าตกใจแทบแย่ เช่นนั้นข้าจะให้ผู้ติดตามของข้าพาท่านไปหลบที่ปลอดภัย"นางไม่อยากเป็น
หลิวจือหลินใจกระตุกอย่างรุนแรง เรือนกายของนางชาวาบเมื่อเห็นเปลวเพลิงลุกโชติช่วงเป็นวงกว้างล้อมรอบเจียงซื่อจวินต่อหน้าต่อตา"ท่านโหว!" ช่ายจินซินพยายามบุกทะลวงเพื่อฝ่าอัคคีร้อนเข้าช่วยนายของตน ทว่ายังมิอาจแทรกกายเข้าไปได้เสียงทุ้มตะเบ็งลั่น "ถานอี้! เจ้ามันช่างเนรคุณจริงแท้"ทุกคนต่างผินหน้าตามต้นเสียงโดยพร้อมเพรียง รัชทายาทนำกองกำลังทหารนับพันนายเข้ามาสมทบแล้ว หลิวจือหลินเล็งเห็นจังหวะเหมาะ นัยน์ตากลมโตสำรวจหาสิ่งทุ่นแรง ในที่สุดก็พบม้าตัวโตยืนจังก้าโดดเดี่ยวริมสระน้ำ บริเวณเดียวกันมีผ้าคลุมไหล่ผืนหนาหล่นเกลื่อนพื้นเอาน่าจือหลิน... แม้จะไม่เคยกินเนื้อหมู แต่ก็เคยเห็นหมูวิ่ง [1] มิใช่หรือร่างระหงวิ่งถลาค้อมกายหยิบผ้าคลุมขึ้นทันควัน จากนั้นตวัดจุ่มลงน้ำจนเปียกชุ่ม หลิวจือหลินใช้มันห่อกายตนเอาไว้ แล้วจึงกระโจนขึ้นบนหลังม้าด้วยความรวดเร็วเจียงซื่อจวินซึ่งจับตามองหลิวจือหลินผ่านกลุ่มควันสีหม่น เขาเห็นรำไรว่านางกำลังวิ่งวุ่นกระทำบางสิ่ง
ถนนทอดยาวในเมืองหลวงตอนนี้ล้วนประดับไปด้วยเกล็ดหิมะสีขาวโพลนซึ่งปกคลุมทุกสรรพสิ่งทั่วทั้งบริเวณ แสงสะท้อนจากเสาไฟสองข้างทางบ่งบอกว่าราตรีกาลมาเยือนแล้ว หญิงสาวร่างเพรียวบางสวมเครื่องแต่งกายล้ำสมัย กำลังก้มหน้างุดไม่พูดไม่จา มีเพียงลาดไหล่แคบที่กระเพื่อมไหวสั่นระริก ใบหน้าเกลี้ยงเกลาสะสวยเปื้อนเขรอะคราบน้ำตาจนดูไม่จืด ขาเรียวเยื้องย่างไร้เรี่ยวแรงท่ามกลางความหนาวเหน็บวันนี้คือเทศกาลแห่งความรัก มองไปทางไหนก็พบแต่คนเคียงคู่ นี่ควรเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขในชีวิตของเธอไม่ใช่เหรอ ในขณะที่เธอตั้งใจเลือกของขวัญชิ้นพิเศษเพื่อมอบแด่ชายอันเป็นที่รัก เหตุใดจึงต้องเผชิญกับภาพบาดตาบาดใจแทนใบหน้าแย้มยิ้มของเพื่อนสาวและชายซึ่งเธอรักสุดหัวใจ โผกอดกันท่ามกลางหิมะโปรยปราย มันกำลังปรากฏฉายชัดดั่งภาพสามมิติวนซ้ำไปมา ทำไมถึงรู้สึกเจ็บปวดคล้ายถูกปลายมีดอันแหลมคมเสียบลึกตรงอกซ้าย เธอไว้เนื้อเชื่อใจพวกเขามาโดยตลอด เหตุใดจึงกล้าแทงเธอจากข้างหลังอย่างเลือดเย็นเจ็บ...เจ็บเหลือเกิน...หญิงสาวง้างมือขึ้น จากนั้นปากล่องของขวัญทิ้งอย่างไม่ไยดี ร่างระหงยอบกายลงพลางกอดเข่าซบหน้าสะอื้นไห้ เธอไม่กลัวความหนาวเย็นเลยสั
"ท่านโหว ยามนี้ฮูหยินได้สติแล้วขอรับ"มือที่จับพู่กันยังคงตวัดเขียนด้วยความใจเย็น เสียงทุ้มตอบกลับแบบขอไปที "อืม รู้แล้ว" องครักษ์ทั้งสองต่างเหลือบมองกันหลุกหลิก พวกเขาทราบดีว่านายของตนนั้นแสนชิงชังฮูหยินใหญ่เพียงใด เพราะนางชมชอบเจียงโหวหรือเจียงซื่อจวินจนหน้ามืดตามัว ยามที่ทั้งสองยังไม่ออกเรือนหลิวจือหลินก็ตามราวีโหวหนุ่มไม่ลดละ กระทั่งหลิวจือหลินไม่อาจทนมองท่าทีกระด้างกระเดื่องจากบุรุษที่ตนชมชอบได้ นางจึงตัดสินใจร้องขอบิดาซึ่งมีตำแหน่งเป็นถึงซ่างซูเสิ่ง [1] ทูลขอราชโองการจากฮ่องเต้เพื่อมอบสมรสพระราชทานให้แก่หลิวจือหลินและเจียงซื่อจวินอย่างไม่มีหนังไม่มีหน้า [2] บิดาที่เลี้ยงดูบุตรสาวดุจไข่ในหินเช่นใต้เท้าหลิวเฝ้าตามใจนางไปเสียทุกอย่าง ส่งผลให้หลิวจือหลินเติบโตขึ้นมาเป็นสตรีร้ายกาจซ้ำยังนิสัยเสีย หากเป็นสิ่งที่นางต้องการแล้วล่ะก็ ผู้ใดก็อย่ามาขวาง หลิวจือหลินคิดเพียงว่าแต่งแล้วอยู่กินกันไปอีกฝ่ายก็ต้องหลงรักตนเข้าสักวัน ไหนเลยจะรู้ว่านางกำลังคิดผิดมหันต์ นับวันโหวหนุ่มก็ยิ่งรังเกียจชิงชังนาง กระทั่งย่างกรายเข้าไปเหยียบเรือนฝั่งตะวันออกสักครั้งก็ไม่เคยเพราะหลิวตงมีผลงานมากมายเป็น
เป็นเวลาครึ่งค่อนเดือนที่หลิวจือหลินนั้นใช้ชีวิตในโลกใบใหม่ นางมิได้สนใจหรือใส่ใจเจ้าของเรือนสักนิด กระทั่งอนุที่โหวหนุ่มตบแต่งเข้ามานางก็ยังไม่เคยเห็นหน้า พวกเขาเป็นเพียงภาพเลือนรางในมโนสำนึกของหลิวจือหลินคนเดิมเท่านั้น ทว่าหลิวจือหลินผู้นี้ก็ไม่อยากเห็นคนทั้งสองเท่าใด และไม่อยากรู้ด้วยว่าพวกเขาหน้าตาแบบไหนเจียงซื่อจวินไม่คิดโผล่หน้ามาพบนางก็นับเป็นเรื่องดีมิใช่หรือ หลิวจือหลินจะได้ไม่ต้องรู้สึกอึดอัดเพราะนางไม่ใช่ฮูหยินตัวจริงของเขา เรือนที่นี่ใหญ่โตโอ่โถงประหนึ่งราชวังขนาดย่อม แค่เดินไปหอตำราก็กินเวลาเกือบเป็นชั่วยาม [1] หนำซ้ำต่อให้หลิวจือหลินคนเดิมจะน่ารังเกียจเดียดฉันท์ ทว่านางกลับมีเรือนร่างงดงามประหนึ่งโฉมสะคราญ ที่น่าตื่นตะลึงไปกว่านั้น นางเป็นสาวบริสุทธิ์ที่แต่งงานมานานแล้ว พรหมจรรย์ที่หาได้ยากอย่างนี้กลับทำให้หลิวจือหลินจากยุคสองพันดีใจเป็นล้นพ้นถึงแม้นางคบหากับแฟนหนุ่มมาหลายปีทว่าหลิวจือหลินในโลกอีกด้านก็ไม่เคยเกินเลยกับเขาสักครั้ง อาจมีจับมือ จุมพิต หรือกอดเป็นเรื่องปกติของคนรักกัน นี่คงเป็นเหตุให้อีกฝ่ายคิดนอกใจหลิวจือหลินไปหาหญิงอื่นที่สามารถมอบความสุขก่อนแต่งให้เขาได
"เรื่องอื่นเล่า หมดเพียงเท่านี้รึ"เฉิงซือหานเริ่มสับสน อย่างอื่นล้วนไม่มีแล้ว หากเป็นเรื่องกิจวัตรประจำวันของหญิงสาวเขาก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว องครักษ์หนุ่มจึงเหลียวมองหน้าสหายที่ยืนสงบนิ่งประหนึ่งหุ่นขี้ผึ้งแกะสลักเพื่อขอความช่วยเหลือ อีกฝ่ายเขม้นสายตาดั่งต้องการบอกว่า เรื่องท่านโหวเล่า มีหรือไม่เฉิงซือหานจึงเข้าใจในบัดดล เพราะเขาเป็นคนตรง ๆ ได้เห็นมาอย่างไรก็กล่าวเช่นนั้น "หากเป็นเรื่องที่ฮูหยินมักเที่ยวมาอาละวาดหน้าเรือนของท่านเช่นเมื่อก่อน ยามนี้ไม่มีแล้วขอรับ ดูเหมือนข้าไม่เคยได้ยินฮูหยินเอ่ยถึงท่านโหวเลยด้วยซ้ำ"จู่ ๆ ช่ายจินซินก็รู้สึกว่ากำลังจะเกิดพายุลูกใหญ่ เขากระทุ้งข้อศอกไปยังหน้าท้องหนั่นแน่นของสหายเพื่อให้รู้สึกตัว"เอ่อ เอ่อ มีเอ่ยถึงตอนที่บอกว่าไม่อยากทราบเรื่องท่านโหวแล้วขอรับ" เฉิงซือหานเหงื่อซึมแผ่นหลังช่ายจินซินได้ฟังแทบอยากกัดลิ้นตนเพื่อลงไปนอนแดดิ้นเสีย ดูเหมือนเฉิงซือหานยังซื่อบื้อไม่แปรเปลี่ยน เขานั้นอยู่กับเจียงซื่อจวินตลอด ทราบดีว่าจิตใจอีกฝ่ายยามนี้กระวนกระวายเพียงใด เพราะเจียงซื่อจวินทำตัวราวกับว่า ไม่ใกล้สูญเสียก็ไม
ยามฮ่าย [1] ในคืนเดียวกัน ร่างดำทะมึนขององครักษ์มือซ้ายกระโจนลงจากหลังคาท่ามกลางความอนธการ เขาค้อมศีรษะพลางเอ่ยรายงานนายของตนซึ่งยังง่วนกับกองรายงานม้วนไม้ไผ่แทบไม่ว่างเว้น"ท่านโหว วันพรุ่งฮูหยินบอกว่าจะออกไปข้างนอกขอรับ"สิ่งที่อีกฝ่ายรายงานหาได้สลักสำคัญใด ตั้งแต่เกิดเรื่อง หลิวจือหลินก็ไม่ได้ก้าวออกจากจวนโหวเลย "นางอยากไปก็ไป""แต่...เดิมทีก่อนฮูหยินจะไปที่ใดมักมาแจ้งท่านโหวก่อนเสมอ ครั้งนี้ฮูหยินเอ่ยว่า..." เฉิงซือหานรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก บางทีเขาอาจคิดผิดที่มารายงานเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้"หืม..." มือหยาบระคายวางพู่กันหางจิ้งจอกลง เขาทำงานจนลืมดูว่ายามนี้ดึกมากแล้ว คิ้วเข้มเลิกขึ้นด้วยความฉงน "เดี๋ยวนี้เจ้ากลายเป็นประเภทเรรวนไปตั้งแต่เมื่อใด""ขออภัยท่านโหว คือ...ฮูหยินกล่าวว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรายงานท่านก็ย่อมได้ เพราะท่านโหวคงลืมไปแล้วว่ามีนางอยู่ อีกอย่างฮูหยินเองก็ลืมไปแล้วเช่นกันว่ามีท่านอยู่"ปัง!องครักษ์ซ้ายขวาพร้อมใจสะดุ้งโหยง ช่ายจินซินยกมือกุมขมับ บางทีห
หลิวจือหลินพิเคราะห์หน้าตาที่มีผ้าแพรปกปิดพลางตบข้างบั้นท้ายตนเปาะหนึ่งเจียวเจียวยกมือทาบอก "…ฮูหยิน ทำเช่นนี้ไม่งามนะเจ้าคะ"หลิวจือหลินเหลียวหน้ามองสาวใช้ พลางหัวเราะขบขัน เปลือกตาบางขยิบหนึ่งฝั่งหยอกล้อ จากนั้นเท้าเรียวเดินบ้างกระโดดบ้างดั่งกระต่ายเริงร่า หลิวจือหลินฮัมเพลงเสียงแผ่ว ไม่ใส่ใจสาวใช้ตนอีกเจียวเจียวแทบเกิดลมจับ เพราะเจียวเจียวมักเคร่งครัดเรื่องความเป็นกุลสตรีเช่นนี้เสมอ ส่วนปี้อี๋ยิ้มขบขันปี้อี๋ "เอาน่าอาเจียว ฮูหยินเป็นเช่นนี้ก็ดีแล้วมิใช่หรือ""แต่…""ไม่ต้องแต่แล้ว เห็นหรือไม่ฮูหยินจะถึงรถม้าแล้ว เจ้าอยากหลังลายรึ"เจียวเจียวพยักหน้าหงึกหงัก พวกนางเร่งถลันกายตามนายหญิงไปทันควันบุรุษร่างสูงผินหน้ามองเรือนตะวันออกด้วยความใคร่รู้ ดูนางไม่แยแสเขาจริงดังว่า คิ้วเข้มเลิกขึ้นด้วยความฉงน แม้นางอยู่ห่างจากเขาจนเห็นไม่ชัด แต่เขารับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของหญิงสาวที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมหางตาของหลิวจือหลินพลันเหลือบเห็นรถม้าอีกคันจอดไว้ไกลลิบ คงมิใช่ทางฝั่งเรือนหลักกระมัง ช่
หลิวจือหลินใจกระตุกอย่างรุนแรง เรือนกายของนางชาวาบเมื่อเห็นเปลวเพลิงลุกโชติช่วงเป็นวงกว้างล้อมรอบเจียงซื่อจวินต่อหน้าต่อตา"ท่านโหว!" ช่ายจินซินพยายามบุกทะลวงเพื่อฝ่าอัคคีร้อนเข้าช่วยนายของตน ทว่ายังมิอาจแทรกกายเข้าไปได้เสียงทุ้มตะเบ็งลั่น "ถานอี้! เจ้ามันช่างเนรคุณจริงแท้"ทุกคนต่างผินหน้าตามต้นเสียงโดยพร้อมเพรียง รัชทายาทนำกองกำลังทหารนับพันนายเข้ามาสมทบแล้ว หลิวจือหลินเล็งเห็นจังหวะเหมาะ นัยน์ตากลมโตสำรวจหาสิ่งทุ่นแรง ในที่สุดก็พบม้าตัวโตยืนจังก้าโดดเดี่ยวริมสระน้ำ บริเวณเดียวกันมีผ้าคลุมไหล่ผืนหนาหล่นเกลื่อนพื้นเอาน่าจือหลิน... แม้จะไม่เคยกินเนื้อหมู แต่ก็เคยเห็นหมูวิ่ง [1] มิใช่หรือร่างระหงวิ่งถลาค้อมกายหยิบผ้าคลุมขึ้นทันควัน จากนั้นตวัดจุ่มลงน้ำจนเปียกชุ่ม หลิวจือหลินใช้มันห่อกายตนเอาไว้ แล้วจึงกระโจนขึ้นบนหลังม้าด้วยความรวดเร็วเจียงซื่อจวินซึ่งจับตามองหลิวจือหลินผ่านกลุ่มควันสีหม่น เขาเห็นรำไรว่านางกำลังวิ่งวุ่นกระทำบางสิ่ง
หลิวจือหลินหมุนเคว้งเป็นลูกข่าง นัยน์ตากลมโตจดจ้องอีกฝ่ายด้วยอาการตะลึงงัน"คุณชายฟ่าน! นะ...นี่ท่านมาได้อย่างไร"ฟ่านเทียนเผยประคองสตรีร่างระหงไว้ในอ้อมแขน ส่วนมืออีกด้านกำลังฟาดฟันกับศัตรูอย่างไม่ย่อหย่อน "ไว้ข้าจะบอกอีกครา" เขาโน้มกระซิบ "กุ้ยเฟยและฮองเฮาเล่า"หลิวจือหลินกระซิบตอบ "หลบในที่ปลอดภัยแล้วเจ้าค่ะ"ชายหนุ่มพยักหน้าด้วยความเข้าใจ หลิวจือหลินรู้สึกว่ายามนี้นางกำลังเป็นภาระของเขา เมื่อเพ่งสายตามองไปด้านนอกธรณีทางเข้า นางก็พบกับองครักษ์ทั้งสองของเจียงซื่อจวิน พวกเขามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อใดเฉิงซือหานซึ่งได้รับหน้าที่ติดตามดูแลหลิวจือหลิน ต้านศึกอยู่ด้านนอกมาโดยตลอด ทว่าสองหมัดยากจะสู้สี่มือ [1] เพราะกองกำลังทหารด้านหน้ามีเพียงหยิบมือ ส่งผลให้เขายื้อเวลาได้ไม่นาน ภายในห้องก็ถูกรุกล้ำเสียแล้ว"คุณชายฟ่าน ท่านปล่อยข้าเถิด ข้าดูแลตัวเองได้""ได้ แต่ฮูหยินอย่าบุ่มบ่ามเช่นเมื่อครู่อีก ข้าตกใจแทบแย่ เช่นนั้นข้าจะให้ผู้ติดตามของข้าพาท่านไปหลบที่ปลอดภัย"นางไม่อยากเป็น
เสียงโลหะกระทบกันพร้อมเสียงกรีดร้องสะท้อนเข้ามาจากนอกตำหนักฮองเฮาและหลิวจือหลินดีดกายยืนขึ้นโดยพร้อมเพรียงอย่าบอกเชียวที่เขาห้ามข้าไม่ให้เข้าวังเพราะเรื่องนี้"ฮองเฮาเพคะ ในนี้มีห้องลับหรือไม่"หลิวจือหลินเอ่ยถามด้วยความเร่งร้อน พลางประคองสตรีข้างกายเอาไว้ ทว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ในอาการตื่นตะลึง ฮองเฮาทำเพียงพยักหน้าเท่านั้น นางกำนัลคนสนิทของฮองเฮาจึงโพล่งขึ้น"มีเจ้าค่ะฮูหยิน"หลิวจือหลินพยักหน้าเข้าใจ นางเคยดูซีรีส์มาบ้าง โดยปกติในตำหนักเชื้อพระวงศ์มักมีห้องลับด้านในแต่ทว่าพื้นที่คงมิได้กว้างขวางนักเพราะในนี้มีคนอยู่ไม่น้อยเลย มิรอให้นางกำนัลต้องนำทางว่าที่ใด หลิวจือหลินก็มุ่งหน้าไปยังองค์พระขนาดย่อมเสียก่อน นางจูงมือฮองเฮาและกุ้ยเฟยให้เดินตาม"ตรงนี้ใช่หรือไม่" หลิวจือหลินเอ่ยถามนางกำนัล"เจ้าค่ะ"ฮองเฮางุนงง "เจ้ารู้ได้อย่างไร มิใช่ว่าเพิ่งเข้าห้องนี้ครั้งแรกหรือ""หม่อมฉันเดาเพคะ ดูจากรูปแบบการก่อสร้างแล้ว คงต้องใช่แน่นอน"ฮองเฮาพยักหน้า "เช่นนี้เอง เจ้าช่างฉลาดล้ำดีจ
"ขอบพระทัยกุ้ยเฟยเพคะ เอ่อ...หม่อมฉันมีข้อสงสัยบางอย่าง มิทราบสามารถเอ่ยถามได้หรือไม่"กุ้ยเฟยตอบยิ้ม ๆ "เอาสิ เจ้าสงสัยสิ่งใดหรือ"หลิวจือหลินเริ่มประหม่า "คือว่า...หยกมณีเพลิงนั่น...""อ่า...หยกนี่หรือ" ซินกุ้ยเฟยยกเครื่องประดับอันงดงามซึ่งแขวนอยู่บนลำคอพลิกมองซ้ายขวา จากนั้นแหงนหน้าประสานสายตากับหลิวจือหลิน เอ่ยต่อว่า "ฝ่าบาทประทานให้ข้าและฮองเฮาคนละอันอย่างไรเล่า"หลิวจือหลินใจเต้นไม่เป็นส่ำ ฟ่านเทียนเผยคงมิได้นำหยกมณีเพลิงปลอมให้ฮองเฮาใช่หรือไม่ แต่นางสำรวจดูแล้ว หยกชิ้นนั้นเป็นของแท้แน่นอนคุณชายฟ่านคงมิได้หาของก็อบเกรดเอมาลวงหลอกใช่ไหมเนี่ยดูเหมือนซินกุ้ยเฟยและฮองเฮารู้ทันความคิดหลิวจือหลินเข้าเสียแล้ว สตรีวัยกลางคนจูงมือหลิวจือหลินให้ยอบกายนั่งขนาบข้างตน"เอ่อ...ฮองเฮาเพคะ หม่อมฉันไม่อาจเอื้อม...""เด็กดี นั่งลงเถิด"หลิวจือหลินเหลียวมองซินกุ้ยเฟยซึ่งนั่งถัดลงไปหนึ่งระดับ อีกฝ่ายยิ้มตอบซ้ำยังพยักหน้าบางเบา นางจึงวางใจหย่อนกายลงตามประสงค์ จากนั้นนางกำนัลก็นำฉลองพระองค์ที่หลิวจือหลินตัดเย
ตั้งแต่เจียงซื่อจวินพูดคุยกับหลิวจือหลินวันนั้น เขาก็ไม่โผล่หน้ามายังเรือนตะวันออกเลย ดูเหมือนต้องใช้คำว่าไม่กลับจวนเลยเสียมากกว่า ดูเหมือนงานของเขาหนนี้คงยุ่งจริงจัง หลิวจือหลินนั่งเหม่อมองหยกในมือตาละห้อย"ตาทึ่ม ไม่โผล่หน้ามาเลย ไหนบอกจะพาข้าไปเข้าเฝ้าฮองเฮาอย่างไรเล่า แล้วช่วงนี้หายไปไหนกัน...เฮ้อ"ปี้อี๋ "ฮูหยิน คิดถึงท่านโหวหรือเจ้าคะ"หลิวจือหลินอึกอัก "ซะ...ซี้ซั้ว ใครคิดถึงเขา ข้าอยากไปเข้าเฝ้าฮองเฮาต่างหาก"แม้ปากเอ่ยปฏิเสธทว่าจิตใจของนางกลับระส่ำระสายอย่างยิ่งยวด เขาไม่ว่างกระทั่งโผล่มาหานางสักเสี้ยวเลยงั้นหรือ หลิวจือหลินพยายามสลัดความคิดฟุ้งซ่านนั้นทิ้งไปโหวเผด็จการนั่นไม่อยู่ก็ดีแล้วนี่ จะได้ไม่ต้องมีใครมาบงการหรือบีบบังคับ ซ้ำยังไม่ต้องเจอหน้าที่แสนเกลียดชังนั่นด้วยหลิวจือหลินสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด "ปี้อี๋ เจียวเจียว เตรียมรถม้า""ฮูหยินจะไปที่ใดหรือเจ้าคะ" เจียวเจียวเอ่ยถามด้วยความฉงน"ข้าอยากไปเข้าเฝ้าฮองเฮา ข้าทำอาภรณ์ชุดใหม่ขึ้นมา ต้องการถวายฮองเฮาเพื่อเป็นของกำนัล ยามนั้นชุลมุนเกิน
"นั่นเจ้ากำลังทำสิ่งใด" เสียงทุ้มโพล่งจากทางเบื้องหลังหลิวจือหลินสะดุ้งโหยง หลายวันแล้วที่นางนั่ง ๆ นอน ๆ จนรู้สึกเบื่อหน่าย เหตุใดนางมักล้มหมอนนอนเสื่ออยู่เรื่อย หายจากอาการโน้นก็มีเรื่องร้ายแทรกซ้อนเข้ามาไม่หยุดหย่อน"ท่านโหว ข้าเพียงหาอะไรทำเล็กน้อยเท่านั้น ช่วงนี้ร้านฟ่านอินก็ไม่ให้ข้าเฉียดเข้าใกล้ เพราะคุณชายฟ่านเกรงว่าข้าจะทำงานหนัก กระทั่งข้าอยู่เรือนท่านก็ยังจะห้ามข้าไม่ให้ทำอะไรอีกคนหรือ"เจียงซื่อจวินถอนหายใจเบา นางเอาแต่กล่าวถึงบุรุษอื่นอีกแล้ว "ข้ามิได้ห้าม เจ้ายังไม่หายดีจะหักโหมได้อย่างไร"หลิวจือหลินคลี่ยิ้มให้เขา "ข้าหายดีแล้วเจ้าค่ะ ตั้งแต่งานพิธีวันนั้น ข้ายังไม่เห็นฮองเฮาสวมฉลองพระองค์กระจะตาเลย ข้าอยากทำคอลเลคชั่นใหม่ไปถวายฮองเฮาเจ้าค่ะ""คอลเลคชั่นใหม่?" เจียงซื่อจวินเลิกคิ้ว ขบคิดไปพักหนึ่ง จากนั้นเอ่ยต่อ "ตื่นมากี่คราวาจาก็ยังประหลาด""ท่านโหวพาข้าไปเข้าเฝ้าฮองเฮาได้หรือไม่เจ้าคะ ข้ารับรองว่าจะไม่สร้างความเดือดร้อนให้ท่านต้องลำบากใจ" หลิวจือหลินเว้าวอน เปลือกตาบางกะพริบปริบเจียงซื่อจวินเห็นใบหน้าดั่งแมวน้อยขี้
ภายในคุกใต้ดินอันแสนสกปรกและอับชื้น ท่อนขาสูงยาวเยื้องย่างเนิบนาบ ขนาบข้างซ้ายขวาคือแสงรำไรจากเชิงเทียนที่คอยส่องสว่างเป็นแนวทอดยาว ใบหน้าหล่อเหลายามนี้แข็งกระด้างเยือกเย็นเต็มไปด้วยไอสังหารชายฉกรรจ์ที่ลักพาตัวโฮ่วถิงในงานพิธีวันนั้นถูกจับได้ทั้งหมด โชคยังดีที่พวกมันมิได้ปู้ยี่ปู้ยำสตรีแต่อย่างใด เพียงอุ้มไปทิ้งในพื้นที่เปลี่ยวร้าง สิ่งที่น่าตระหนกไปกว่านั้น บรรดาชายเหล่านี้หาใช่มืออาชีพอย่างที่คิด กระทั่งเค้นสอบถาม และทรมานเพียงใดก็มิยอมปริปากว่าผู้ใดคือคนบงการเบื้องหลัง ดูเหมือนจะเป็นผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่เสียด้วย หนำซ้ำยังซื้อตัวพวกเขาได้อย่างเฉียบขาดชายกำยำผู้หนึ่งถูกปลดลงจากขื่อ จากนั้นถูกจับแขนทั้งสองกางออกให้นอนหงายท้อง กระดาษแผ่นแรกวางโป๊ะลงบนใบหน้าคร้ามแดด น้ำสกปรกในถังไม้ถูกเทลงไปแช่มช้าซ่าาาาา...แค่ก แค่ก"จะบอกหรือไม่ ว่าใครส่งพวกเจ้ามา!"มีเพียงเสียงกระอักไอทว่าไร้คำตอบ นักโทษรายอื่น ๆ ต่างมองหน้ากันหลุกหลิก วิธีที่เขาใช้ทรมานนักโทษดูไม่น่ากลัว แท้จริงแล้วช่างเป็นการสอบปากคำอันแสนทรมานอย่างยิ่งยวด ชายที่นอนอยู่ถูกแผ่นกระดาษป
หลิวจือหลินผละกายออกไปแล้ว ทุกสายตาล้วนจับจ้องมาที่นาง แม้นใบหน้านั้นถูกบดบังด้วยผ้าแพรผืนบาง ทว่าเจียงซื่อจวินและฟ่านเทียนเผยกลับจดจำได้ว่าเป็นผู้ใดเฉิงซือหานเดินดุ่ม ๆ เข้ามาพลางกระซิบแผ่วที่ข้างหูผู้เป็นนาย ม่านตาเจียงโหวขยายกว้าง เขาตวัดหางตามองสตรีข้างกายก็เห็นอีกฝ่ายนั่งตัวสั่นหน้าซีดขาวราวกระดาษหลิวจือหลินเริ่มออกลวดลายร่ายรำด้วยท่วงท่างามสง่า การร่ายรำชวนประหลาดตาส่งผลให้ทุกคนดั่งต้องมนตร์สะกด หลิวจือหลินมิได้ร่ายรำตามฉบับสมัยโบราณ นางกำลังผสมผสานการร่ายรำเข้ากับยุคสมัยเดิมของตน ดูเหมือนนางพยายามใช้ข้อเท้าให้น้อยที่สุดเพื่อป้องกันพิษเข้าสู่กระแสโลหิต ร่างระหงยอบกายลงเบื้องล่าง พลางไขว้ขาออกลวดลายอ่อนช้อย ขยับเพียงเรียวนิ้ว กับช่วงแขนให้กลมกลืนกับท่วงทำนองมากที่สุดฮองเฮาเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม "ฝ่าบาท ท่าร่ายรำนี่ช่างงดงามประหลาดตายิ่ง ดูเหมือนคงเป็นฝีมือของจือหลินอีกแน่แท้"ฮ่องเต้พยักหน้าเห็นด้วย "งดงามจริง ๆ ข้ายังไม่เคยเห็นท่าร่ายรำเช่นนี้มาก่อนเลย" จากนั้นผินหน้ามองไปยังโต๊ะของเจียงโหว"จวินเอ๋อร์""...""จวินเอ๋อร์"
การถวายฉลองพระองค์แด่ฮองเฮาเป็นไปอย่างราบรื่น ทว่าหลิวจือหลินกลับได้รับหน้าที่เพิ่มเติมอีกอย่าง เพราะนางก็เปรียบดั่งสะใภ้ราชวงศ์คนหนึ่ง งานนี้จะขาดฝีมือการจัดแสดงของเจียงโหวฮูหยินได้อย่างไรหญิงสาวนามว่าโฮ่วถิง โฉมสะคราญอันดับต้น ๆ ได้รับเลือกให้สวมอาภรณ์ตัวใหม่ล่าสุดเป็นการตบท้ายการแสดง งานนี้ไม่ง่ายดายแต่ก็ไม่ยากเท่าใด ด้านในพิธียิ่งใหญ่อลังการมากล้นด้วยบรรดาแขกเหรื่อจากราชวงศ์ขุนนาง หลิวจือหลินจึงมิอาจทำพลาดได้เพียงครึ่งก้าว“องค์หญิง หากท่านโหวทราบเข้า จะเป็นเรื่องใหญ่นะเพคะ” นางกำนัลผู้หนึ่งกล่าวกระซิบถานจาวหรงจิ๊ปาก “ข้าไม่พูด เจ้าไม่พูด ผู้ใดจะเค้นเอาความผิดได้งั้นหรือ อีกอย่างด้านหลังลานพิธีก็เป็นป่ารกร้าง ย่อมต้องมีงูเงี้ยวเป็นเรื่องปกติ”“พะ...เพคะ” นางกำนัลตอบกลับเสียงค่อย จากนั้นโบกมือให้ชายฉกรรจ์ซึ่งสวมเครื่องแต่งกายสีเข้มลอบปล่อยสัตว์เลื้อยคลานตัวเขื่องออกจากกระสอบผ้าสีหม่นหม่าลี่เจี่ยเดินใจลอยพลางขบคิดเรื่องราวเรื่อยเปื่อย กระทั่งวนมายังด้านหลังงานพิธีโดยไม่รู้ตัว นางบังเอิญพบเห็นกลุ่มคนกำลังกระทำบางอย่างลับ ๆ ล่อ ๆ เข้าพอดี จึงตัด