ฮ่องเต้เซียวถิงเฟิงที่ทรงทอดพระเนตรมองอนุชา และหลานชายของพระองค์ ต่างจ้องหน้ากันด้วยสีหน้าที่ดูกังวล จึงทรงคิดว่าอาจจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับตัวของพระองค์อย่างแน่นอน“เสด็จพี่ กระหม่อมกับอาหลงสองคนสงสัยว่า อาการที่พระองค์ทรงตรัสออกมากับกระหม่อมเมื่อครู่นั้น เป็นอาการเริ่มแรกของคนที่ถูกวางยาพิษมาสักระยะหนึ่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ท่านอ๋องเซียวไม่ปิดบังพูดเรื่องที่ตนและบุตรชายสงสัยออกไปทันที“เจ้าพูดว่าอะไรนะชินอ๋อง!! เจิ้นถูกวางยาพิษเช่นนั้นรึ แต่ว่าก่อนที่จะทานอะไร จ้าวกงกงจะทดสอบพิษด้วยเข็มเงินทุกครั้ง จะเป็นไปได้อย่างไรกันที่จะตรวจไม่พบยาพิษในอาหาร” ฮ่องเต้เซียวถิงเฟิงตกพระทัยไม่น้อย ที่ได้ยินอนุชาของพระองค์พูดเช่นนั้น“ตุบ! ท่านอ๋องบ่าวได้ทดสอบด้วยตนเองทุกครั้งจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ แต่ไม่พบว่ามียาพิษปะปนอยู่ในอาหารเหล่านั้นเลย” จ้าวกงกงยืนยันว่าได้ตรวจสอบด้วยตนเองทุกครั้ง“เปิ่นหวางรู้ว่าจ้าวกงกงย่อมทำหน้าที่ตรวจสอบด้วยตนเอง แต่ยาพิษบางชนิดไร้สีไร้กลิ่น และไม่อาจจะใช้เข็มเงินในการตรวจได้ เจ้าจึงไม่รู้ว่ายาพิษนั้นอยู่ในอาหารชนิดใดต่างหาก” ท่านอ๋องไขความกระจ่างให้กับจ้าวกงกง“เสด็จลุงหลานไม่ขอปิ
ด้านลู่ชิงกับครอบครัว หลังจากที่นำน้ำยาปรับผ้านุ่ม ไปเสนอทำการค้ากับเถ้าแก่หง ยามเช้าของวันที่สองยังไม่ถึงกำหนดวัน ที่นัดเจอกันไว้กลับกลายเป็นว่า เถ้าแก่หงมาหาพวกเขาถึงแผงขายอาหาร เพราะต้องการมาให้คำตอบว่า ตนตกลงทำการค้าตามข้อเสนอของลู่ชิง โดยให้นำหนังสือสัญญาการค้า ไปให้เขาลงชื่อที่ร้านหลังจากลู่ชิงขายของหมดเรียบร้อยแล้วเถ้าแก่หงที่ได้รับรายงานจากหลงจู๊ของร้านผ้า ทั้งสามสาขาที่ให้ลองเอาน้ำยาปรับผ้านุ่มนี้ไปทดลองขาย เพียงแค่วันเดียวลูกค้ากลับมาถามถึงน้ำยาชนิดนี้มากมาย จนหลงจู๊ของร้านต้องยอมให้พวกเขาลงชื่อจองสินค้าไว้ก่อน เมื่อสินค้าส่งไปแล้วทางร้านจะแจ้งให้ลูกค้ามารับตามลำดับการจอง ซึ่งลูกค้าทุกคนที่ลงชื่อจองไว้ ได้จ่ายค่ามัดจำครึ่งหนึ่งเพื่อเพิ่มความมั่นใจ ว่าตนเองจะได้รับสินค้าแน่นอน ถึงจะทำเช่นนั้นแต่พวกเขาก็เชื่อใจร้านค้าของเถ้าแก่หงอยู่แล้วลู่ชิงจึงให้บิดากับลู่จื้อถือหนังสือสัญญา ไปพบเถ้าแก่หงพร้อมนำสินค้าไปส่งจำนวนสองร้อยห้าสิบขวด ซึ่งเป็นขวดใบใหญ่ทั้งสิ้น นอกจากนี้เถ้าแก่หงยังได้แบ่งกำไร จากสินค้าทดลองขายฝากมากับบิดาถึงห้าสิบตำลึงทอง ลู่ชิงจึงมอบให้มารดาเก็บไว้ ต่อไปก็แค่รอร
ยามสายของวันนี้ครอบครัวของลู่ชิง จะย้ายไปพักอยู่ที่ร้านอาหารเป็นการชั่วคราว ซึ่งเมื่อวานลู่ชิงได้แจ้งกับลูกค้าทุกคน ที่มาซื้ออาหารที่แผงไว้แล้วว่า จะหยุดขายอาหารที่แผงตรงนี้ โดยจะเปิดขายอาหารอีกครั้งที่ร้านอาหารของครอบครัวทุกคนสามารถตามไปซื้อ หรือนั่งทานอาหารที่ร้านได้ และยังได้บอกกับลูกค้าอีกว่า จะมีน้ำหลากสีที่ดื่มแล้วรู้สึกสดชื่นมาขายที่ร้านด้วย ลูกค้าที่ได้ฟังต่างก็เฝ้ารอ ให้ถึงวันเปิดร้านอาหารของครอบครัวลู่ชิง พวกเขาอยากไปชิมอาหารรายการที่จะมีเพิ่ม และน้ำหลากหลายสีที่เถ้าแก่น้อยได้บอกไว้เสียทีทุกคนช่วยกันขนของ ที่เป็นหีบใส่เสื้อผ้าเสียส่วนใหญ่ขึ้นเกวียน เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วลู่เวินก็เป็นคนบังคับเกวียน เดินทางเข้าตำบลหย่งฝูใช้เวลาเพียงสองเค่อ พวกเขาก็มาถึงร้านแล้ว พี่ชายสองคนช่วยกันยกหีบใบขนาดกลางสองสามหีบ ลงจากเกวียนเพื่อที่ท่านพ่อจะได้นำเกวียนไปจอดด้านหลังร้านลู่ชิงปล่อยให้บุรุษทั้งสามยกหีบขึ้นไปเก็บบนชั้นสอง ส่วนตนเองและมารดาเข้ามาอยู่ด้านในห้องครัว เพื่อจะนำเอาโต๊ะไม้สี่เหลี่ยมขนาดนั่งได้สี่คน และเก้าอี้ไม้แบบมีพนักพิงออกมาจากมิติ รอบิดาและพี่ชายลงมาสมทบค่อยยกออกไปจัดวางด้
เจียวมิ่งที่เห็นคุณหนูลู่ชิงหยุดชะงักไป หลังจากมีคำถามไม่หยุดก็ให้นึกเอ็นดูนาง เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมซื่อจื่อถึงได้พึงใจในตัวคุณลู่ชิง“คุณหนูขอรับ พวกเราเข้าไปนั่งคุยกันข้างในร้านเถิด” เจียวมิ่งได้กลิ่นหอมของอาหารที่โชยออกมาจากร้าน ท้องของเขาและสหายก็เริ่มประท้วงทันที“อ้อ ขออภัยเจ้าค่ะ เชิญพี่ชายพี่สาวเข้าไปนั่งด้านในก่อนนะเจ้าคะ” ลู่ชิงรีบพาทุกคนเข้ามานั่งโต๊ะด้านในสุด ก่อนจะเข้าไปที่ห้องครัวตักอาหารและบอกบิดาว่า คนที่พี่ชายเซียวส่งมาให้พวกเขามาถึงแล้ว“พวกท่านนั่งรอก่อนนะเจ้าคะ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปตักอาหารมาให้ทาน หลังจากทานอิ่มแล้วค่อยมาคุยรายละเอียดกันเจ้าค่ะ” ลู่ชิงดูท่าทางของพวกเจียวมิ่งแล้ว ก็พอเดาได้ว่าคงยังไม่ได้ทานอะไรก่อนมาถึงที่นี่“ขอบคุณคุณหนูมากขอรับ” ตอนนี้เจียวมิ่งรับเป็นหัวหน้ากลุ่มไปโดยปริยาย“ท่านพ่อเจ้าคะ เมื่อครู่คนที่ข้าเคยขอกับพี่ชายเซียวมาถึงแล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้ให้พวกเขานั่งรออยู่ที่โต๊ะด้านนอก และจะยกอาหารออกไปให้พวกเขาได้ทานก่อน จากนั้นค่อยคุยรายละเอียดเรื่องงาน ที่จะมอบให้ทำเจ้าค่ะ”“อาเซียวส่งคนมาให้กี่คนหรือชิงเอ๋อร์” ลู่เวินถามบุตรสาวถึงจำนวนคนที่ถูกส่งมา“มี
เมื่อลู่ชิงและครอบครัวทานมื้อเย็นกันเรียบร้อย ก็ต้องเข้าไปช่วยกันทำอาหารในมิติ เตรียมไว้สำหรับวันพรุ่งนี้ ตอนนี้ทุกคนต่างจดจำสูตรวิธีการทำอาหารได้ทุกอย่างแล้ว ลู่ชิงจึงปลีกตัวมาเดินหาของฝาก เพื่อเป็นการขอบคุณพี่ชายเซียว ที่ส่งยอดฝีมือมาคุ้มครองนางกับครอบครัว ไหนจะของมีค่าอย่างกำไลหยกวงนี้อีกของฝากต้องสมน้ำสมเนื้อเสียหน่อยแล้วกระมัง พี่เจียวมิ่งแอบกระซิบบอกกับนางว่า ครอบครัวของคุณชายของตนมีใครบ้าง ทำให้ลู่ชิงต้องเดินดูสิ่งที่เหมาะกับผู้ใหญ่ และสิ่งที่เหมาะกับวัยหนุ่มสาว เดินวนอยู่หลายรอบก็นึกออกว่า จะเอาอะไรเป็นของฝากบ้างลู่ชิงเริ่มจากเครื่องประดับของท่านพ่อพี่ชายเซียว เป็นแหวนหยกเนื้อดีแกะสลักเป็นรูปพยัคฆ์ ส่วนของท่านแม่และน้องสาว จะมอบเป็นต่างหูกับแหวนหยกล้อมเพชร ต่างกันที่หยกสีขาวเป็นของท่านแม่ และสีเขียวอ่อนเป็นของน้องสาวพี่ชายเซียวสุดท้ายของคุณชายเซียวผู้ใจดี ลู่ชิงให้เป็นหยกพกแกะสลักรูปกิเลนพร้อมผูกพู่กับหยกให้เสร็จสรรพ ของฝากรายการต่อไปเป็นยาสมุนไพรต่าง ๆ สำหรับรักษาอาการเจ็บป่วย ยารักษาบาดแผลยามพลาดพลั้งเมื่อมีการต่อสู้ ทุกอย่างลู่ชิงใส่ขวดโหลใบใหญ่ ที่มีฝาไม้ปิดไว้เป็นอย่าง
เซียวหนิงหลงที่กำลังนั่งอยู่ในห้องทำงานของตนเองอยู่นั้น จู่ ๆ ชุนชานก็เดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ และยื่นจดหมายให้กับเขา เพราะมันเป็นจดหมายที่เพิ่งมาถึงจวนชินอ๋อง “เรียนซื่อจื่อมีจดหมายจากปาเซี่ย ส่งมาถึงเมื่อครู่นี้ขอรับ” ชุนชานรีบรายงานกับเซียวหนิงหลงทันทีเมื่อรับจดหมายจากชุนชานมาอ่าน เซียวหนิงหลงถึงกับยิ้มมุมปากขึ้นมา ตันเจียงและชุนชานที่อยากรู้บ้างว่า ปาเซี่ยส่งข่าวมาว่าอย่างไร ทนไม่ไหวจึงเสียมารยาทถามกับเจ้านาย“ซื่อจื่อขอรับ ไม่ทราบว่าปาเซี่ยส่งข่าวมาว่าอย่างไรบ้างขอรับ” ตันเจียงเป็นหน่วยกล้าตายที่เอ่ยถามกับเจ้านายของตน“ไม่มีอันใดมาก แค่บอกว่าอาจเดินทางมาถึงเมืองหลวงช้ากว่ากำหนด เพราะชิงเอ๋อร์มีของฝากมาหลายอย่าง จึงต้องใช้รถม้าในการเดินทาง และขอให้พวกเจ้าไปรอรับที่หน้าประตูเมือง มีของสำคัญมากที่ชิงเอ๋อร์ฝากมาด้วย ปาเซี่ยกลัวว่าจะมีคนของพวกองค์ชายสาม ปะปนอยู่เพื่อตรวจค้นรถม้าที่เข้าออกเมืองหลวง แล้วจะเจอของที่ชิงเอ๋อร์ฝากมาถึงข้าเป็นพิเศษก็เท่านั้นเอง” นางทั้งกำชับและเอ่ยย้ำกับปาเซี่ยถึงเพียงนั้น แสดงว่าของที่ฝากมาต้องมีสิ่งนั้นรวมมาด้วยเป็นแน่“ซื่อจื่อขอรับหรือว่าคุณหนูลู่ชิง จะฝ
ย้อนกลับไปวันที่ฮ่องเต้ว่าราชการเสร็จ และมอบหมายให้จ้าวกงกงไปเชิญฮองเฮามาพบ ที่ตำหนักกวงจือกง เพราะรัชทายาทนั้นเข้าร่วมประชุมอยู่แล้ว จึงเสด็จตามฮ่องเต้และท่านอ๋องเซียว กลับมาที่ตำหนักพร้อมกันได้เมื่อฮองเฮามาถึงตำหนักของฮ่องเต้ ก็ไม่รอช้ารีบเข้าไปด้านในตำหนัก เพราะฝ่าบาทจะไม่เรียกผู้ใดมาเข้าเฝ้าที่ตำหนัก หากไม่มีเรื่องสำคัญจริง ๆ “ถวายพระพรเพคะฝ่าบาท”“ฮองเฮาลุกขึ้นนั่งที่เก้าอี้เถิดอย่าได้มากพิธีเลย”“ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท”“เสด็จพ่อให้จ้าวกงกงไปตามเสด็จแม่มาที่นี่ด้วย มีเรื่องร้ายแรงอันใดเกิดขึ้นหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” รัชทายาทเซียวหยางหมิงตรัสถามพระบิดาทันที“ใช่แล้วล่ะ มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นกับเจิ้น และคาดว่าจะเกิดขึ้นกับเจ้าและมารดาของเจ้าด้วยเช่นกัน เมื่อคืนนี้ชินอ๋องและซื่อจื่อแอบมาพบเพราะสงสัยว่าเจิ้นถูกวางยาพิษ” ฮ่องเต้ทรงตรัสถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้ทั้งสองคนได้ฟัง“เสด็จพ่อ!!/ฝ่าบาท!!” ทั้งฮองเฮาและรัชทายาท ต่างตกพระทัยเรียกฮ่องเต้เสียงดัง“เสด็จอา เรื่องการวางยาพิษเสด็จพ่อเป็นความจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ” รัชทายาทรีบหันกลับไปถามเสด็จอาของตน“เป็นความจริงและอาก็ให้ฝ่าบาท ทรงดื่
หลังจากวันที่ส่งปาเซี่ยกลับเมืองหลวง พร้อมของฝากแล้ว ร้านอาหารตระกูลสวียังคงขายดี มีลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เริ่มมีพ่อค้าเร่จากเมืองอื่น เข้ามาที่ตำบลหย่งฝูมากขึ้นส่วนใหญ่ที่เดินทางมา เพราะได้ยินเรื่องอาหารรสชาติอร่อย และยาสมุนไพรที่รักษาอาการเจ็บป่วยได้ดีมาก ทั้งมียาน้ำของเด็กยาน้ำสำหรับสตรีที่มีปัญหาเกี่ยวกับระดู อีกทั้งมันยังช่วยขับของเสียได้ดี เมื่อมีเสียงร่ำลือจากคนที่นำไปพูดต่อ ๆ กันกระจายไปไกล ผู้คนจึงหลั่งไหลกันมาจนหลายวันมานี้ ตำบลหย่งฝูดูคึกคักเป็นพิเศษแต่กลุ่มคนที่เสียผลประโยชน์ ตั้งแต่มีร้านอาหารตระกูลสวี และร้านยาสมุนไพรของท่านหมอเกา ที่มียาดีมาขายพวกเขามีลูกค้าทั้งชาวบ้านทั่วไปจนถึงคนที่ร่ำรวย ทำให้กิจการของกลุ่มคนที่เสียผลประโยชน์นั้น สูญเสียรายได้ไปมากพอสมควรวันนี้เถ้าแก่ของเหลาอาหารจิ้นหย่งชุน จึงได้นัดพบกับฟู่ไป๋เหว่ย เจ้าของร้านขายสมุนไพรขนาดใหญ่ประจำตำบล ที่ห้องทำงานของเถ้าแก่จางเจ้าของเหลาอาหาร เพื่อวางแผนจัดการร้านอาหารของลู่ชิง และร้านยาสมุนไพรของท่านหมอเกา“เถ้าแก่ฟู่เชิญนั่งก่อน ขอบคุณที่ท่านมาตามคำเชิญของข้า” จางเฉิงหลิวกล่าวทักทายฟู่ไป๋เหว่ย“ข้าย่อมไม
ท่านเจ้าเมืองไป๋เมื่อได้รับแจ้งจากทหาร ที่นำเสบียงไปส่งให้ซื่อจื่อ เขาเองก็กังวลไม่น้อยเลย กลัวว่าซื่อจื่อและทหารเพียงสองพันนาย จะต้านแคว้นศัตรูที่มีทหารจำนวนมากกว่าหลายเท่าได้อย่างไร เมื่อนั่งคิดทบทวนอยู่นานเขาจึงตัดสินใจ จะส่งทหารอีกหนึ่งพันนายไปเพิ่ม และออกเดินทางไปกับขบวนเสบียงตามที่ซื่อจื่อแจ้งมา อย่างน้อยมีทหารไปเพิ่มก็ยังช่วยต้านกองทัพแคว้นตงหนานได้ไม่มากก็น้อย“เจ้ารีบไปแจ้งกับนายกองหัวหน้าทหารรักษาเมือง แบ่งทหารออกมาหนึ่งพันนายเพื่อเดินทางไปสมทบกับซื่อจื่อ ในอีกสามวันข้างหน้าโดยจะนำเสบียงอาหารที่เตรียมไว้เดินทางไปพร้อมกัน” เจ้าเมืองไป๋รู้สึกว่าช่วงนี้เขาแก่ตัวลงไปมากทีเดียว ตั้งแต่มีเรื่องของบุตรสาวที่ทำเรื่องงามหน้าเมื่อหลายวันก่อน“รับทราบขอรับใต้เท้า”ฝั่งครอบครัวลู่ชิงเมื่อได้ฟังลู่จื่อกับลู่เสียน บอกข่าวเกี่ยวกับการรับมือข้าศึกในอีกสามวันข้างหน้า พวกเขาก็ตกใจไม่ต่างกันคิดว่าแคว้นตงหนานคงเกณฑ์คนมาเตรียมพร้อมไว้อยู่ก่อนแล้ว ถึงได้คิดบุกทันทีเมื่อได้รับข่าวจากทหารที่รอดกลับไป นั่นก็หมายความว่าทางฝ่ายศัตรู ได้วางแผนเรื่องสงครามไว้ล่วงหน้าแล้ว มิเช่นนั้นจะสามารถรวบรวมกำลังทหา
เมื่อถึงยามเช้ามืดวันต่อมา เสียงขบวนทหารทั้งสองพันนาย ก็ได้เวลาออกเดินทางไปตำบลหย่งฝูแล้ว และผู้ที่ขี่ม้านำทหารไปก็คือเซียวหนิงหลง แม้จะยังเป็นเช้ามืด แต่พวกเขากลับได้รับเสบียงติดตัวไปคนละสองมื้อเพราะก้งเยว่ได้มาแจ้งกับลู่ชิงไว้ว่า เซียวหนิงหลงจะออกเดินทางยามเช้ามืด นางจึงชวนท่านแม่กับพี่ชายอย่างลู่เสียน เข้าไปช่วยกันทำอาหารในมิติ และจัดการห่อเก็บไว้ในตะกร้าไม้ไผ่อันใหญ่ โดยแยกเป็นหมูทอดและไก่ทอด ยามที่แจกจ่ายจะได้ไม่หยิบสลับกันนั่นเองพอใกล้ถึงเวลาที่ทหารมารวมตัวกัน นางยกหน้าที่นำอาหารที่ทำนี้ให้ท่านพ่อและพี่ใหญ่ เป็นคนนำไปมอบให้กับเซียวหนิงหลง ทั้งยังบอกเขาอีกว่ามื้อเย็นจะทำไปส่งให้อีกครั้งเนื่องจากการเดินทางด้วยม้านั้น ทำให้มาถึงตำบลหย่งฝูได้รวดเร็ว พวกเขาใช้เวลากับการเดินทางเพียงหนึ่งเค่อเท่านั้น ก่อนจะขึ้นไปภูเขาด้านหลังหมู่บ้านอันผิง เซียวหนิงหลงให้ทหารแยกกันไปตรวจตราในเขตตำบลเสียก่อน เผื่อจะมีทหารแคว้นตงหนานเข้ามาแอบซ่อนตัวอยู่แถวนี้ เมื่อตรวจสอบแล้วไม่พบว่ามีคนอยู่ที่นี่ จึงนำทหารทุกนายมุ่งไปที่ภูเขาหลังหมู่บ้านอันผิงทันทีเซียวหนิงหลงได้สำรวจรอบหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ก็พบว่า
ปลายยามเซินก่อนเซียวหนิงหลง จะไปยังจวนท่านเจ้าเมืองเขาไม่ลืมที่จะฝากคำพูดกับก้งเยว่ ให้นำไปบอกกับชิงเอ๋อร์ว่า เขาคงกลับมาทานมื้อเย็นด้วยไม่ได้ และให้นางแบ่งอาหารเก็บไว้สักหน่อย เผื่อตอนกลับมาถึงที่พักแล้วจะหิวกลางดึกส่วนทหารทั้งสองพันนายที่ติดตามมา ก็ได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดี ทั้งที่พักและอาหารการกิน พวกเขาล้วนขอบคุณที่ชาวเมืองที่นี่ มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อาจจะมีคนเห็นแก่ตัวบ้าง แต่พวกเขาก็มองข้ามไป เพราะเหตุผลที่มาชายแดนแห่งนี้ คือการปกป้องราษฎรทุกคนของแคว้นฉู่เท่านั้นทันทีที่เซียวหนิงหลงไปถึงหน้าประตูจวนเจ้าเมือง ก็พบว่ามีเจ้าเมืองไป๋พร้อมทั้งฮูหยินและบุตรสาว ยืนรอต้อนรับเขาอยู่ก่อนแล้วจึงทักทายพอเป็นพิธี เพราะเขาต้องการหารือเรื่องงาน เกี่ยวกับสงครามเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นแต่สิ่งที่ทำให้เซียวหนิงหลงไม่อาจมองข้ามไปได้ คือสายตาของบุตรสาวเจ้าเมืองไป๋ นางเอาแต่จ้องมองมาที่เขา ตั้งแต่ตอนอยู่หน้าประตูจวนแล้ว เขาเป็นคนไม่ชอบให้ใครมาจ้องมองโดยไม่มีสาเหตุ หรือใช้สายตาบ่งบอกว่านางสนใจ และอยากได้เขาเป็นสามี สตรีเช่นนี้ในเมืองหลวงมีอยู่ดาษดื่นไม่แบ่งแยกชนชั้นยามที่พวกนางต้องตาต้องใจบ
เมื่อครอบครัวลู่ชิงกลับจากทำธุระส่วนตัวแล้ว จึงพบว่ามีแขกหน้าตาคุ้นเคยนั่งรออยู่กับลู่ชิง พวกเขาใจชื้นขึ้นมาบ้างที่เห็นว่ามีคนมาช่วยเพิ่มขึ้น“อาเซียว เจ้ามาถึงตั้งแต่เมื่อใดรึ แล้วมากับใครบ้างเล่า” ลู่เวินรีบเดินเข้ามาทักทายเซียวหนิงหลงก่อนคนอื่น“คารวะท่านน้าทั้งสองขอรับ ข้าเพิ่งเดินทางมาถึงได้เกือบหนึ่งเค่อ และพาทหารมาด้วยจำนวนสองพันนายขอรับ”“ท่านพี่ อาเซียวเพิ่งมาถึงคงจะทั้งเหนื่อยและหิวเป็นแน่ อย่างไรก็ทานมื้อเช้ากันก่อนเถิด เรื่องอื่นเอาไว้ค่อยคุยทีหลังก็ยังทันถมเถไป” ฟางซินดูท่าทางของเซียวหนิงหลงจะอ่อนเพลียอยู่บ้าง จึงพูดตัดบทสนทนาของสามีเสียก่อน“จริงอย่างที่น้องหญิงพูด งั้นพวกเรานั่งลงทานมื้อเช้ากันก่อนเถิด อาเซียวจะได้พักผ่อนให้หายเหนื่อยด้วย มานั่ง ๆ ๆ ข้าวต้มฝีมือชิงเอ๋อร์อร่อยมากเลยนะ เจ้าต้องกินเยอะ ๆ เล่า” ลู่เวินพาเซียวหนิงหลงมานั่งข้าง ๆ ตนเองทุกคนนั่งประจำที่ตรงหน้าก็มีชามข้าวต้ม หน้าตาน่าทานวางอยู่ไหนจะกลิ่นหอมชวนน้ำลายไหลนั่นอีก และช่วงเวลานี้ไม่มีใครพูดคุยกันแม้ครึ่งคำ เพราะมัวแต่ตักข้าวต้มคำแล้วคำเล่าเข้าปาก เซียวหนิงหลงเติมข้าวต้มไปถึงสองชามเลยทีเดียว ระหว่าง
ความโกลาหลนี้ยังส่งผลให้ซื่อจื่อแห่งจวนชินอ๋อง ที่มีเวลาอีกสองวันจะออกเดินทางไปยังชายแดน ไม่อาจรีรอได้อีกต่อไปเมื่อยามเฉินที่ผ่านมามีจดหมายผูกด้ายสีแดง ซึ่งมาจากตำบลหย่งฝู เนื้อหาด้านในบอกถึงอันตราย ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า กว่ากองทัพหลายแสนนายจะเดินทางไปถึงอาจไม่ทันการณ์ ในยามนี้เขาอยากจะมีปีกบินได้เสียจริงตอนนี้ใจของเซียวหนิงหลง ไปอยู่ที่ตำบลหย่งฝูแล้ว และกำลังจะพาร่างของตนตามไปสมทบ จึงนำจดหมายด่วนนี้ไปพบบิดาที่ห้องทำงาน เพื่อขออนุญาตนำทหารจำนวนสองพันนาย ออกเดินทางล่วงหน้าไปก่อน ชินอ๋องเห็นด้วยที่เซียวหนิงหลง จะไปดูสถานการณ์ที่นั่นล่วงหน้าถึงได้กล่าวอนุญาต ให้บุตรชายออกเดินทางพร้อมกำลังทหารตามที่ขอได้ทันที“ท่านพ่อ ข้ามีเรื่องด่วนจะมาขอคำปรึกษาขอรับ”“หือ มีเรื่องด่วนอันใดกัน ทำไมเจ้ามีสีหน้าเป็นกังวลนักอาหลง”ท่านอ๋องเห็นบุตรชายมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก“ท่านพ่อลองอ่านจดหมายจากเจียวมิ่งก่อนเถอะขอรับ แล้วท่านจะเข้าใจว่าทำไมข้าถึงดูกังวลเช่นนี้” เซียวหนิงหลงยื่นจดหมายให้บิดาได้อ่านชินอ๋องรับจดหมายมาเปิดอ่าน ถึงกับตกใจจนลุกขึ้นยืน พระองค์ไม่คิดว่าพวกแคว้นตงหนานจะคิดแผนการเช่นนี้ได้“อ
เมื่อฮูหยินคนนั้นถูกลู่ชิงปฏิเสธ และยังพูดจาดูถูกนางเอาไว้เดินออกไป ครอบครัวสวียังคงแจกจ่ายอาหารกันต่อ เพราะยังมีคนมาต่อแถวกันเรื่อย ๆ จนกระทั่งข้าวถุงสุดท้ายมีคนมารับไปแล้ว พวกเขาจึงช่วยกันเก็บโต๊ะรวมถึงข้าวของอย่างอื่น นำไปวางไว้บนเกวียนเสียก่อน จากนั้นจึงพากันเดินขึ้นบันได เพื่อนำอาหารเจไปถวายไต้ซือที่จำวัดอยู่ด้านบนเขาในที่สุดก็ขึ้นมาถึงวัดต้าซื่อเมี่ยวเสียที ทุกคนพากันไปจุดธูปกราบไหว้ขอพร กับองค์พระพุทธรูปที่ตั้งอยู่ด้านหน้า จากนั้นค่อยไปสอบถามพระลูกวัด เพื่อขออนุญาตนำอาหารเจที่ทำมา เข้าไปถวายกับไต้ซือเจ้าอาวาส ขณะที่กำลังช่วยกันมองหาพระลูกวัดอยู่นั้นก็มีเสียงเรียกดังมาจากอีกด้านหนึ่งพอดี“พวกโยมต้องการนำอาหารเจไปถวายไต้ซือฉีเวยใช่หรือไม่ ตอนนี้ไต้ซือกำลังเข้าฌาน ไม่อาจออกมารับอาหารจากพวกโยมได้”“ใช่แล้วขอรับ พวกเราทำอาหารเจมาเยอะพอสมควร เพื่อถวายแก่ไต้ซือและพระลูกวัดท่านอื่นด้วยขอรับ ในเมื่อไต้ซือไม่สะดวกเช่นนั้นข้าคงต้องรบกวนฝากไว้ที่ท่านแล้วขอรับ” ลู่เวินและทุกคนเมื่อรู้ว่าไต้ซือไม่สะดวกเพราะกำลังเข้าฌาน จึงได้ฝากอาหารเจนี้ไว้กับพระลูกวัดแทน ก่อนจะเดินไปอีกทางที่มีไว้ให้ชาวบ้
ทางด้านลู่ชิงหลังจากถูกบิดามารดา ตักเตือนด้วยความเป็นห่วง จึงต้องมีก้งเยว่คอยอยู่ใกล้ ๆ ตลอดเวลา และในคืนวันเดียวกันนั้นเจียวมิ่งกับก้งคุน ออกไปจับตัวคนของแคว้นตงหนาน นำตัวมาขังไว้ในบ้านเช่ารอจนกว่ากองทัพของชินอ๋องมาถึง พวกเขาจะได้นำตัวไปส่งทันที เพราะซื่อจื่อแจ้งมาแล้วว่า จะออกเดินทางอีกสามวันหลังจากนี้ ที่สำคัญ ยังกำชับพวกเขาให้ดูแลครอบครัวคุณหนูลู่ชิง อย่าให้เกิดปัญหาระหว่างที่เขากำลังออกเดินทางมายังชายแดนเป็นอันขาดลู่ชิงที่นอนคิดมาสองวันแล้วว่า จะชวนครอบครัวไปทำบุญวันเกิดล่วงหน้า เพราะนางไม่ต้องการไปช่วงที่ตรงกับวันเกิด เกรงว่าจะไม่ปลอดภัยหากมีข่าวเรื่องสงครามระหว่างแคว้น หลุดมาถึงหูชาวบ้านซึ่งจะเกิดความวุ่นวายขึ้นอย่างแน่นอน ลู่ชิงจึงคิดบอกเรื่องนี้กับทุกคนหลังจากปิดร้านในเย็นวันนี้ตอนนี้อาหารยอดนิยมของร้านอาหารตระกูลสวี ต้องยกให้กับคอหมูย่างกับน้ำจิ้มแจ่ว และน้ำตกคอหมูย่างไปเสียแล้ว ลูกค้าลงชื่อในใบสั่งจองอาหารทิ้งไว้ก่อนร้านปิด เพื่อที่ตอนเช้าจะได้มารับกลับไปทานเป็นมื้อเช้ากับครอบครัว กลุ่มของพี่เจียวมิ่งก็ไม่ต่างกัน อาสาขอเป็นคนย่างทุกวัน ลู่ชิงจึงต้องเพิ่มเนื้อคอหมูย่าง เผ
เรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างทางกลับจวนของท่านหญิงเซียว หน่วยลับหนึ่งในสี่คนได้กลับมาแจ้งที่จวนชินอ๋องล่วงหน้าแล้ว ตอนนี้ที่หน้าจวนท่านอ๋อง พระชายาและเซียวหนิงหลงออกมายืนรอรับท่านหญิง ทันทีที่รถม้ามาถึงชินอ๋องรีบเข้าไปรอรับดวงใจของบ้านทันที คนที่เดินออกมาจากรถม้าเองถึงกับตกใจ เหตุใดทุกคนถึงมาอยู่ตรงนี้กันหมดเลยเล่า“เล่อเล่อ เจ้าค่อย ๆ เดินลงมานะพ่อรอรับเจ้าอยู่ หรือจะให้พ่ออุ้มเจ้าดี” ชินอ๋องเห็นบุตรสาวเดินออกมาจึงรีบบอกด้วยความเป็นห่วง“ท่านพ่อ ทำไมพวกท่านถึงมาอยู่ตรงนี้ล่ะเจ้าคะ มีใครจะมาเยือนที่จวนของเราหรือไม่ทุกคนถึงได้ออกมารอเช่นนี้” เยว่เล่อยังไม่รู้ว่าทุกคนมายืนรอรับตนเองต่างหาก“เสด็จพี่รีบพาลูกเข้าไปนั่งพักด้านในก่อนเถิด น้องให้คนไปตามท่านหมอแล้วเพคะ เล่อเล่อค่อย ๆ เดินนะลูก” พระชายารีบเตือนให้ท่านอ๋องพาบุตรสาวเข้าไปในจวนเสียก่อน เพราะต้องการให้ท่านหมอได้ตรวจดูอาการของนาง“ท่านพ่อ พวกเราทำตามที่ท่านแม่บอกเถิดขอรับ จะได้รู้ว่าเล่อเล่อบาดเจ็บที่ใดบ้าง เรื่องอื่นค่อยสอบถามทีหลังขอรับ” เซียวหนิงหลงเห็นด้วยกับคำพูดของมารดา“ไป ๆ ๆ ท่านหมอมารอหรือยัง ถ้ามาแล้วรีบเชิญมาดูอาการของบ
เซียวหนิงหลงกลับมาถึงจวนพร้อมบิดา ก่อนจะเข้าไปหารือวางแผนการเดินทัพ เขาสั่งให้ตันเจียงส่งจดหมายถึงเจียวมิ่งว่าต้องปกป้องคนที่นั่นให้ดี กองทัพแคว้นฉู่กว่าจะเดินทางไปถึงชายแดน คงใช้เวลาถึงสามเดือนกำลังพลทหารที่ไปในครั้งนี้ มีจำนวนสองแสนห้าหมื่นนายที่เหลืออีกห้าหมื่นนาย บิดาได้มอบหน้าที่คอยเฝ้าระวังเมืองหลวงเอาไว้ทางด้านตำหนักองค์ชายสาม เซียวเลี่ยงรุ่ยกำลังนั่งฟังคนของตน ที่ส่งไปสะกดรอยตามชินอ๋องรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ “เพล้ง!! ไม่ได้เรื่อง พวกไร้ประโยชน์เลี้ยงเสียข้าวสุกจริง ๆ สะกดรอยมานานแค่ไหนแล้ว แต่ไม่เคยได้รู้ความลับของพวกมันสักอย่าง”“องค์ชายโปรดระงับโทสะ กระหม่อมพยายามเข้าใกล้พวกมัน แต่ไม่สามารถทำได้จริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ หากเข้าใกล้อีกเพียงนิดเกรงว่าหน่วยลับที่คอยอารักขา คงจะสังหารพวกกระหม่อมไปแล้ว” องครักษ์ประจำตัวขององค์ชายสาม รายงานตามความจริงที่พบเจอหน่วยลับ“ชินอ๋องมีวิธีอะไรในการฝึกหน่วยลับเหล่านั้นกันแน่ ถึงได้ไปมาไร้ร่องรอยไม่มีใครจับสัมผัสลมหายใจได้เช่นนี้” ตัวเขาเองอยากมีกองกำลังที่แข็งแกร่งเช่นชินอ๋อง แต่ไม่ว่าจะค้นหาวิธีฝึกที่ดีเพียงใด กองกำลังที่แอบเลี้ยงดูเอาไว้ ก