หลังจากวันที่ส่งปาเซี่ยกลับเมืองหลวง พร้อมของฝากแล้ว ร้านอาหารตระกูลสวียังคงขายดี มีลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เริ่มมีพ่อค้าเร่จากเมืองอื่น เข้ามาที่ตำบลหย่งฝูมากขึ้นส่วนใหญ่ที่เดินทางมา เพราะได้ยินเรื่องอาหารรสชาติอร่อย และยาสมุนไพรที่รักษาอาการเจ็บป่วยได้ดีมาก ทั้งมียาน้ำของเด็กยาน้ำสำหรับสตรีที่มีปัญหาเกี่ยวกับระดู อีกทั้งมันยังช่วยขับของเสียได้ดี เมื่อมีเสียงร่ำลือจากคนที่นำไปพูดต่อ ๆ กันกระจายไปไกล ผู้คนจึงหลั่งไหลกันมาจนหลายวันมานี้ ตำบลหย่งฝูดูคึกคักเป็นพิเศษแต่กลุ่มคนที่เสียผลประโยชน์ ตั้งแต่มีร้านอาหารตระกูลสวี และร้านยาสมุนไพรของท่านหมอเกา ที่มียาดีมาขายพวกเขามีลูกค้าทั้งชาวบ้านทั่วไปจนถึงคนที่ร่ำรวย ทำให้กิจการของกลุ่มคนที่เสียผลประโยชน์นั้น สูญเสียรายได้ไปมากพอสมควรวันนี้เถ้าแก่ของเหลาอาหารจิ้นหย่งชุน จึงได้นัดพบกับฟู่ไป๋เหว่ย เจ้าของร้านขายสมุนไพรขนาดใหญ่ประจำตำบล ที่ห้องทำงานของเถ้าแก่จางเจ้าของเหลาอาหาร เพื่อวางแผนจัดการร้านอาหารของลู่ชิง และร้านยาสมุนไพรของท่านหมอเกา“เถ้าแก่ฟู่เชิญนั่งก่อน ขอบคุณที่ท่านมาตามคำเชิญของข้า” จางเฉิงหลิวกล่าวทักทายฟู่ไป๋เหว่ย“ข้าย่อมไม
เมื่อยามเช้ามาถึงก้งเยว่และก้งเจี้ย ที่ตื่นก่อนใครรีบมาที่ร้านอาหารเพื่อเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น ในคืนที่ผ่านมาให้ลู่ชิงและครอบครัวได้ฟัง ทุกคนตกใจไม่น้อยกับเรื่องดังกล่าว ลู่ชิงไม่คิดว่าคนพวกนั้นจะลงมือเร็วถึงเพียงนี้“คืนนี้คงจะเป็นคนของเหลาอาหารจิ้นหย่งเหอ ที่จะลงมือกับครอบครัวข้าสินะเจ้าคะ รบกวนพี่กงเจี้ยไปบอกพี่เจียวมิ่งว่า อย่าเพิ่งนำตัวคนร้ายไปที่ศาลาว่าการ รอคืนนี้จับตัวคนของเหลาอาหารได้ค่อยนำตัวไปส่งพร้อมกันเจ้าค่ะ” หากพวกเหลาอาหารรู้ว่าตระกูลฟู่ลงมือล้มเหลว พวกเขาย่อมหาทางหนีทีไล่ไปเสียก่อน“ขอรับ เช่นนั้นข้าขอตัวไปบอกเรื่องนี้กับเจียวมิ่งก่อนนะขอรับ” ก้งเจี้ยรับคำแล้วก็รีบไปบอกเจียวมิ่งทันที“ไม่ว่าที่ไหนก็มีคนชั่วเหล่านี้อยู่ทุกที่จริง ๆ ไม่สนใจวิธีการ ขอเพียงได้สิ่งที่ตนเองต้องการมาครอบครองเท่านั้น” ลู่จื้อไม่คิดว่ามาอยู่ห่างไกลขนาดนี้ ยังต้องมาเจอคนเห็นแก่ตัวได้อีก“เช่นนั้นคืนนี้พวกเรามาอยู่ห้องเดียวกันรวมถึงก้งเยว่ ส่วนอีกห้องให้ก้งคุนกับก้งเจี้ยเข้าไปอยู่แทน เพราะไม่รู้ว่าพวกมันจะส่งมากี่คนทางที่ดีเตรียมพร้อมรับมือไว้น่าจะดีกว่า” ลู่เวินห่วงความปลอดภัยของภรรยาและบุตรส
เมื่อรุ่งอรุณวันใหม่มาถึง ที่หน้าศาลาว่าการมีเสียงตีกลองร้องทุกข์ดังขึ้น เรียกความสนใจของชาวบ้านมากมายได้เป็นอย่างดี รอไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่ออกมาสอบถามว่า ผู้ตีกลองนี้เป็นผู้ใดและนำไปรายงานท่านนายอำเภอ ก่อนจะเปิดที่ทำการเพื่อพิจารณาคดีความ ภายหลังนายอำเภอนั่งประจำตำแหน่งผู้ตัดสินคดีความ ด้านหน้าก็มีพร้อมทั้งเจ้าทุกข์และคนร้ายที่ถูกจับตัวได้“ผู้ที่มาตีกลองร้องทุกข์จงบอกชื่อแซ่ให้ครบถ้วน และเหตุผลในการมาร้องทุกข์ในครั้งนี้ให้ละเอียด” นายอำเภอเริ่มทำการไต่สวนคดีความ“เรียนท่านนายอำเภอ ข้าน้อยสวีลู่เวินมาขอความเป็นธรรมจากท่าน เนื่องจากเมื่อคืนมีคนร้ายบุกเข้าไปที่ร้านของข้า หวังทำร้ายเพื่อจะเอาสูตรอาหารของครอบครัวข้าขอรับ” ลู่เวินเป็นคนพูดขึ้นก่อน“เรียนท่านนายอำเภอ ข้าน้อยเกาซือหยวนเจ้าของร้านสมุนไพร ร้านของข้าก็มีคนร้ายบุกเข้าไปเพื่อต้องการยาสมุนไพร ที่ข้านำมาขายให้ทุกคนอยู่ในตอนนี้ขอรับ” หากจบเรื่องนี้ได้ข้าจะได้นอนหลับสนิทเสียที“แล้วพวกที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านหน้านี้เล่าเป็นผู้ใด”“เรียนท่านนายอำเภอ คนพวกนี้คือคนร้ายที่บุกเข้าร้านของข้ากับท่านหมอเกาขอรับ” ลู่เวินตอบนายอำเภออย่างชัดถ้อย
จวนขนาดใหญ่หลังหนึ่งในเมืองหลวง หรือจะเรียกว่าคฤหาสน์ก็ไม่ผิดนัก ซึ่งเจ้าของจวนแห่งนี้ก็คือนายท่านอู๋เจียงสง ผู้นำตระกูลคนปัจจุบัน อดีตผู้นำตระกูลที่ได้เสียชีวิตไปแล้ว เคยมีโอกาสได้เป็นวาณิชหลวง ส่งผ้าไหมและเครื่องประดับที่หายากถวายให้กับเชื้อพระวงศ์ ทำให้ตระกูลอู๋มีชื่อเสียงเหนือกว่าร้านค้าอื่น ๆ จนมาถึงรุ่นของอู๋เจียงสง เขาพอมีฝีมือด้านการเจรจาค้าขายอยู่บ้าง จึงทำให้ตระกูลยังคงชื่อเสียงอันดีงามเอาไว้ได้อู๋เจียงสงแต่งงานฮูหยินเอกถางหย่าจือ นางให้กำเนิดบุตรชายคนโตคืออู๋ติ้งเกา เพราะการคลอดบุตรคนนี้ทำให้ร่างกายนางอ่อนแอจึงไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีก จากนั้นนายท่านอู๋ที่เดินทางไปเจรจาค้าขายที่เมืองหย่งจิน บังเอิญถูกใจสตรีชาวบ้านนางหนึ่ง ที่มีใบหน้างดงามนางมีชื่อว่าสวีเฟิงมี่ และยังขยันทำมาหากิน แม้ฐานะไม่ได้ร่ำรวยมากนัก แต่นายท่านอู๋ก็สู่ขอตบแต่งนางเข้าจวนในฐานะฮูหยินรองหนึ่งปีต่อมานางได้ให้กำเนิดบุตรชาย แก่นายท่านอู๋นั่นก็คืออู๋ลู่เวิน แม้เรือนหลังจะมีอนุอีกหลายคนแต่ไม่มีผู้ใดตั้งครรภ์ บางคนพอตั้งครรภ์อ่อน ๆ ก็จะแท้งโดยไม่ทราบสาเหตุ ใครจะรู้ว่าเบื้องหลังเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของฮูหย
เมื่อเหลาอาหารจิ้นหย่งเหอถูกไฟไหม้จนไม่เหลือซาก ร้านอาหารตระกูลสวีจึงมีลูกค้าเพิ่มขึ้นไปโดยปริยาย จนลู่เวินต้องปรับปรุงพื้นที่ด้านข้างของร้านอาหาร ให้มีหลังคายื่นออกมาและนำชุดโต๊ะเก้าอี้จากลู่ชิง ออกไปวางเพิ่มอีกสามโต๊ะ รวมถึงซุ้มศาลาที่วางอยู่ก็ใช้สำหรับรับรองลูกค้าไปพลาง ๆตอนนี้ทุกคนกำลังช่วยกันทำอาหารไว้ สำหรับขายในเช้าวันใหม่ ลู่ชิงเกิดอยากทานอะไรที่มันเปรี้ยว ๆ เผ็ด ๆ จึงนั่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายลู่ชิงก็เลือกเป็นน้ำตกคอหมูย่างรสแซ่บ“ท่านพ่อท่านแม่พี่ชายเจ้าคะ ข้าอยากทานอะไรที่มันมีรสชาติจัดจ้านสักหน่อย และจะให้พวกท่านลองชิมด้วย หากพวกท่านชิมแล้วรสชาติถูกใจ พวกเราค่อยเพิ่มเข้าไปในรายการอาหารใหม่ได้เลยเจ้าค่ะ” ลู่ชิงที่คิดอยากกินน้ำตกคอหมูย่าง ก็รีบบอกครอบครัว จะได้ลงมือทำให้ชิมตอนนี้เลย“แล้วมันคืออาหารแบบไหนหรือชิงเอ๋อร์ อาหารที่มีรสชาติจัดจ้านคงจะแปลกใหม่ไม่น้อย” ฟางซินถามบุตรสาว แค่ฟังชื่อที่นางบอกก็คิดว่าน่าทานแล้วคนที่เห็นด้วยอย่างสม่ำเสมอมิใช่ใคร ย่อมเป็นพี่ชายคนรองอย่างลู่เสียน “น้องเล็กเจ้าบอกพวกเรามาเถิด พี่รองจะช่วยเจ้าทำเอง”“อาหารชนิดนี้เรียกว่าน้ำตกคอหมูย่างเจ้า
เจียวมิ่งหลังจากที่ส่งจดหมายออกไปแล้ว เขาก็ไม่สามารถนอนพักผ่อนต่อไปได้ จึงแต่งตัวและตามก้งเยว่กลับไปที่ร้านอาหารแทน พวกเขาสี่คนแยกกันไปประจำคนละมุมของร้านอาหาร คอยสอดส่องดูผู้คนที่แต่งตัวแปลก ๆ และท่าทางมีพิรุธอยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งอาหารที่ขายในวันนี้หมดลงในช่วงปลายยามเว่ย พวกเขาช่วยครอบครัวสวีปิดร้าน ทำความสะอาดจนเรียบร้อย จึงได้เชิญพวกเขามานั่งคุยกันเพราะอยากให้ทุกคนสบายใจว่า พวกเขาสามารถปกป้องดูแลความปลอดภัยให้ได้“พวกเจ้ามีเรื่องอะไรจะบอกกับพวกเรางั้นหรือ เหตุใดถึงได้ทำหน้าตาเคร่งเครียดกันเช่นนั้น” ลู่เวินเอ่ยถามพวกเจียวมิ่ง เพราะเห็นท่าทางจริงจังของทั้งสี่คน“นายท่านสวีเรื่องนี้สำคัญมาก เมื่อตอนกลางวันคุณหนูลู่ชิงบังเอิญได้ยินคนของแคว้นตงหนาน พูดถึงสายลับที่เข้ามาหาข่าวในพื้นที่ชายแดนแห่งนี้ สำหรับจัดตั้งกองทัพเพื่อยึดชายแดนแคว้นฉู่ไปทีละนิดขอรับ” เจียวมิ่งเป็นตัวแทนสหายพูดขึ้น“ท่านพ่อท่านแม่ข้าไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังนะเจ้าคะ ตอนที่ยกอาหารออกไปให้ พวกเขาก็เริ่มพูดเรื่องนี้กันแล้ว คงคิดว่าข้ายังเด็กคงฟังไม่เข้าใจว่าหมายถึงเรื่องอะไรจึงไม่คิดสงสัยพอเดินหันหลังกลับมาก็เลยแอบอยู่หลังป
เซียวหนิงหลงกลับมาถึงจวนพร้อมบิดา ก่อนจะเข้าไปหารือวางแผนการเดินทัพ เขาสั่งให้ตันเจียงส่งจดหมายถึงเจียวมิ่งว่าต้องปกป้องคนที่นั่นให้ดี กองทัพแคว้นฉู่กว่าจะเดินทางไปถึงชายแดน คงใช้เวลาถึงสามเดือนกำลังพลทหารที่ไปในครั้งนี้ มีจำนวนสองแสนห้าหมื่นนายที่เหลืออีกห้าหมื่นนาย บิดาได้มอบหน้าที่คอยเฝ้าระวังเมืองหลวงเอาไว้ทางด้านตำหนักองค์ชายสาม เซียวเลี่ยงรุ่ยกำลังนั่งฟังคนของตน ที่ส่งไปสะกดรอยตามชินอ๋องรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ “เพล้ง!! ไม่ได้เรื่อง พวกไร้ประโยชน์เลี้ยงเสียข้าวสุกจริง ๆ สะกดรอยมานานแค่ไหนแล้ว แต่ไม่เคยได้รู้ความลับของพวกมันสักอย่าง”“องค์ชายโปรดระงับโทสะ กระหม่อมพยายามเข้าใกล้พวกมัน แต่ไม่สามารถทำได้จริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ หากเข้าใกล้อีกเพียงนิดเกรงว่าหน่วยลับที่คอยอารักขา คงจะสังหารพวกกระหม่อมไปแล้ว” องครักษ์ประจำตัวขององค์ชายสาม รายงานตามความจริงที่พบเจอหน่วยลับ“ชินอ๋องมีวิธีอะไรในการฝึกหน่วยลับเหล่านั้นกันแน่ ถึงได้ไปมาไร้ร่องรอยไม่มีใครจับสัมผัสลมหายใจได้เช่นนี้” ตัวเขาเองอยากมีกองกำลังที่แข็งแกร่งเช่นชินอ๋อง แต่ไม่ว่าจะค้นหาวิธีฝึกที่ดีเพียงใด กองกำลังที่แอบเลี้ยงดูเอาไว้ ก
เรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างทางกลับจวนของท่านหญิงเซียว หน่วยลับหนึ่งในสี่คนได้กลับมาแจ้งที่จวนชินอ๋องล่วงหน้าแล้ว ตอนนี้ที่หน้าจวนท่านอ๋อง พระชายาและเซียวหนิงหลงออกมายืนรอรับท่านหญิง ทันทีที่รถม้ามาถึงชินอ๋องรีบเข้าไปรอรับดวงใจของบ้านทันที คนที่เดินออกมาจากรถม้าเองถึงกับตกใจ เหตุใดทุกคนถึงมาอยู่ตรงนี้กันหมดเลยเล่า“เล่อเล่อ เจ้าค่อย ๆ เดินลงมานะพ่อรอรับเจ้าอยู่ หรือจะให้พ่ออุ้มเจ้าดี” ชินอ๋องเห็นบุตรสาวเดินออกมาจึงรีบบอกด้วยความเป็นห่วง“ท่านพ่อ ทำไมพวกท่านถึงมาอยู่ตรงนี้ล่ะเจ้าคะ มีใครจะมาเยือนที่จวนของเราหรือไม่ทุกคนถึงได้ออกมารอเช่นนี้” เยว่เล่อยังไม่รู้ว่าทุกคนมายืนรอรับตนเองต่างหาก“เสด็จพี่รีบพาลูกเข้าไปนั่งพักด้านในก่อนเถิด น้องให้คนไปตามท่านหมอแล้วเพคะ เล่อเล่อค่อย ๆ เดินนะลูก” พระชายารีบเตือนให้ท่านอ๋องพาบุตรสาวเข้าไปในจวนเสียก่อน เพราะต้องการให้ท่านหมอได้ตรวจดูอาการของนาง“ท่านพ่อ พวกเราทำตามที่ท่านแม่บอกเถิดขอรับ จะได้รู้ว่าเล่อเล่อบาดเจ็บที่ใดบ้าง เรื่องอื่นค่อยสอบถามทีหลังขอรับ” เซียวหนิงหลงเห็นด้วยกับคำพูดของมารดา“ไป ๆ ๆ ท่านหมอมารอหรือยัง ถ้ามาแล้วรีบเชิญมาดูอาการของบ
เซียวชินอ๋องที่พากองทัพทหารใต้บังคับบัญชา มาทำศึกในครั้งนี้จำนวนสามแสนห้าหมื่นนาย ออกเดินทางจากเมืองหลวงได้เกือบหนึ่งเดือนแล้ว และตอนนี้กำลังแวะพักระหว่างทางกันอยู่ พวกเขายังต้องใช้เวลาเดินทางไปที่ชายแดน อีกเกือบสองเดือนจึงหยุดพักนานไม่ได้ขณะนั้นเสี่ยวไป๋เหยี่ยวตัวผู้ สัตว์เลี้ยงของเซียวหนิงหลงได้บินโฉบลงมา บริเวณที่ท่านอ๋องใช้เป็นพื้นที่พักผ่อน พร้อมส่งเสียงดังเป็นการส่งสัญญาณ เมื่อท่านอ๋องได้ยินเสียงเรียกของเสี่ยวไป๋ จึงเดินออกมายื่นแขนไปด้านหน้าเป็นที่เกาะ เพราะที่ตรงนี้ไม่มีการทำที่เฉพาะให้เจ้าเสี่ยวไป๋นั่นเอง“เสี่ยวไป๋ บุตรชายข้าให้เจ้ามาช่วยส่งข่าวสำคัญใช่ไหม” พอหยิบจดหมายที่ผูกติดกับขาของเสี่ยวไป๋ออกไปแล้ว ท่านอ๋องจึงพาเจ้าเหยี่ยวตัวใหญ่เดินกลับเข้าไปในกระโจมทันทีเมื่อได้อ่านข้อความในจดหมาย ที่บุตรชายส่งมาให้ท่านอ๋องถึงกับเก็บอารมณ์โกรธไว้ไม่ไหว ปลดปล่อยไอสังหารอย่างรุนแรงจนปาเซี่ยที่ติดตามรับใช้ใกล้ชิด อึดอัดแทบหายใจไม่ออก เขาพยายามส่งเสียงเรียกสติท่านอ๋องอย่างยากลำบาก“อึก ทะ ทะ ท่านอ๋อง ดะ ดะ ได้โปรดระงับโทสะด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ปาเซี่ยแทบจะกระอักเลือดออกมาอยู่แล้ว“ขอโทษทีข้าล
เมื่อแสงของดวงตะวันลาลับขอบฟ้า มีดวงดาวพร่างพราวขึ้นมาอยู่เต็มท้องนภาอันมืดมิด แต่เจียวมิ่งที่อาสามากับก้งเจี้ย เพื่อกลับเข้าไปที่เมืองหย่งจินอีกครั้ง โดยให้ก้งเยว่ดูแลครอบครัวสวีอยู่ที่ตำบลหย่งฝู ทั้งสองคนขี่ม้ามาถึงตัวเมือง และเข้าไปพบเซียวหนิงหลงในห้องพักของโรงเตี๊ยมเหลียนจินซา เพื่อรับฟังคำสั่งทั้งไม่ลืมที่จะถาม เกี่ยวกับการลงโทษคนที่กล้ามาพูดจาดูถูกลู่ชิง ในวันแจกอาหารที่วัดต้าซือเมี่ยวด้วย“ก๊อก ๆ ๆ”“เข้ามาแล้วอย่าลืมปิดประตูให้สนิทด้วย” เซียวหนิงหลงไม่ลืมกำชับคนติดตามของตน“คารวะซื่อจื่อขอรับ”“เจ้าอาสามาแทนก้งเยว่สินะเจียวมิ่ง นางคงบอกพวกเจ้าเรื่องที่ข้าไม่ลงโทษไปแล้วใช่ไหม ทางตำบลหย่งฝูมีอะไรผิดปกติอีกหรือไม่” เขายังถามถึงสถานการณ์ที่ตำบลด้วยยังมีความกังวลใจอยู่เล็กน้อย“ตอนนี้ยังปกติอาจเป็นเพราะผู้คน เพิ่งกลับเข้าบ้านของตนเองขอรับ คงต้องติดตามดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ไปอีกสักระยะหนึ่ง ขอบคุณซื่อจื่อที่ละเว้นโทษในครั้งนี้ให้กับพวกเรา แต่ว่ายังมีอีกเรื่องที่ไม่ได้รายงานไปในจดหมายให้ท่านทราบขอรับ” เจียวมิ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงกล้า ๆ กลัว ๆ“ปึก! ยังมีเรื่องอะไรอีก ที่พวกเจ้าลืมบอกก
เซียวหนิงหลงกลับมาหาลู่ชิงอีกครั้ง หลังจากคุยธุระสำคัญกับเจ้าเมืองไป๋เสร็จ เพื่อมาช่วยลู่ชิงเก็บสัมภาระ เตรียมตัวกลับเข้าตำบลหย่งฝู เพราะมีคนช่วยกันหลายคน และสัมภาระที่พวกเขานำมาก็มีไม่มากนัก ใช้เวลาเพียงไม่นานก็ขนขึ้นไปวางบนเกวียนวัวพร้อมออกเดินทางก้งเยว่ที่เห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว นางจึงรีบเดินเข้าไปหาเซียวหนิงหลงด้วยต้องรายงาน เรื่องที่ลู่ชิงบังเอิญได้ยินมาเมื่อสามวันก่อน ทั้งสองคนจึงเดินแยกออกไปพูดคุยกัน ห่างจากบริเวณของครอบครัวสวีพอสมควร“เจ้ามีเรื่องอันใดต้องการรายงานข้าเช่นนั้นหรือก้งเยว่” เขายังแปลกใจที่นางยังมีเรื่องที่ดูจะกังวลอยู่อยากจะบอกกับตน“เรียนซื่อจื่อ ข้าน้อยมีเรื่องสำคัญที่ต้องรายงานเจ้าค่ะ หากท่านได้รับฟังแล้วจะลงโทษ พวกเราทั้งสามคนยินดีน้อมรับแต่โดยดี แต่เพราะไม่ต้องการให้เรื่องนี้ กระทบกับการต่อสู้กับข้าศึกของท่านพวกเราจึงลงมือกันเอง โดยมิได้แจ้งให้ท่านทราบก่อนเจ้าค่ะ” ตัวนางกับสหายตกลงกันแล้วว่า จะยอมรับหากซื่อจื่อมีบทลงโทษ ในขณะนั้นหากไม่ตัดสินใจลงมือเสียแต่เนิ่น ๆ อาจมีเรื่องที่น่าสะเทือนใจเกิดขึ้นอีกครั้ง“อืม เจ้าเล่ามาก่อนเถิด ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะ
เซียวหนิงหลงที่ตามลงมาถึงหมู่บ้านอันผิงทีหลัง เพราะต้องคอยควบคุมตัวเชลยจากแคว้นตงหนานที่ยอมแพ้ พอมาถึงในหมู่บ้านได้เห็นว่าคนที่ได้รับบาดเจ็บ ต่างทำแผลกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างมีสีหน้าดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดหลังจากการต่อสู้จบลง เมื่อกลับลงมาถึงหมู่บ้านจึงได้ทานโจ๊กที่พ่อครัวเตรียมไว้ให้ พร้อมกับทานยาที่ครอบครัวของชิงเอ๋อร์ฝากมาเพื่อช่วยรักษาทหารเหล่านี้ ยาที่ฝากมาคงจะมีสรรพคุณ สำหรับการรักษาแผลโดยเฉพาะเป็นแน่ ส่วนเชลยที่พากลับมาจำนวนหนึ่งพันกว่าคนเขาก็เตรียมที่ทางไว้แล้ว และให้ทหารนำโจ๊กไปแจกจนครบด้วยเช่นกันอันที่จริงข่าวที่ชาวบ้านคนนั้นได้ยินมา อาจจะคลาดเคลื่อนไปเล็กน้อยเพราะตอนที่ต่อสู้กันบนเขา เมื่อแยกทหารและชาวบ้านออกจากกัน เขาพบว่าทหารแคว้นตงหนานที่ขึ้นเขามา มีไม่ถึงหนึ่งหมื่นนายชาวบ้านที่ถูกเกณฑ์มาก็เช่นกัน แต่ไม่อาจประมาทได้เซียวหนิงหลงสั่งให้ทหารที่ยังไร้รอยขีดข่วนกินให้อิ่มท้อง และพักผ่อนในคืนนี้เสียก่อน พรุ่งนี้เช้าจะจัดแบ่งกลุ่มใหม่อีกครั้ง เพื่อสลับกันขึ้นไปเฝ้าระวังสถานการณ์บนเขา โดยจะรั้งอยู่ที่นี่จนกว่ากองทัพใกล้จะมาถึงชายแดน เขาจะไม่ถอนกำลังกลับไปทั้งหมดอย่างแน่น
ท่านเจ้าเมืองไป๋เมื่อได้รับแจ้งจากทหาร ที่นำเสบียงไปส่งให้ซื่อจื่อ เขาเองก็กังวลไม่น้อยเลย กลัวว่าซื่อจื่อและทหารเพียงสองพันนาย จะต้านแคว้นศัตรูที่มีทหารจำนวนมากกว่าหลายเท่าได้อย่างไร เมื่อนั่งคิดทบทวนอยู่นานเขาจึงตัดสินใจ จะส่งทหารอีกหนึ่งพันนายไปเพิ่ม และออกเดินทางไปกับขบวนเสบียงตามที่ซื่อจื่อแจ้งมา อย่างน้อยมีทหารไปเพิ่มก็ยังช่วยต้านกองทัพแคว้นตงหนานได้ไม่มากก็น้อย“เจ้ารีบไปแจ้งกับนายกองหัวหน้าทหารรักษาเมือง แบ่งทหารออกมาหนึ่งพันนายเพื่อเดินทางไปสมทบกับซื่อจื่อ ในอีกสามวันข้างหน้าโดยจะนำเสบียงอาหารที่เตรียมไว้เดินทางไปพร้อมกัน” เจ้าเมืองไป๋รู้สึกว่าช่วงนี้เขาแก่ตัวลงไปมากทีเดียว ตั้งแต่มีเรื่องของบุตรสาวที่ทำเรื่องงามหน้าเมื่อหลายวันก่อน“รับทราบขอรับใต้เท้า”ฝั่งครอบครัวลู่ชิงเมื่อได้ฟังลู่จื่อกับลู่เสียน บอกข่าวเกี่ยวกับการรับมือข้าศึกในอีกสามวันข้างหน้า พวกเขาก็ตกใจไม่ต่างกันคิดว่าแคว้นตงหนานคงเกณฑ์คนมาเตรียมพร้อมไว้อยู่ก่อนแล้ว ถึงได้คิดบุกทันทีเมื่อได้รับข่าวจากทหารที่รอดกลับไป นั่นก็หมายความว่าทางฝ่ายศัตรู ได้วางแผนเรื่องสงครามไว้ล่วงหน้าแล้ว มิเช่นนั้นจะสามารถรวบรวมกำลังทหา
เมื่อถึงยามเช้ามืดวันต่อมา เสียงขบวนทหารทั้งสองพันนาย ก็ได้เวลาออกเดินทางไปตำบลหย่งฝูแล้ว และผู้ที่ขี่ม้านำทหารไปก็คือเซียวหนิงหลง แม้จะยังเป็นเช้ามืด แต่พวกเขากลับได้รับเสบียงติดตัวไปคนละสองมื้อเพราะก้งเยว่ได้มาแจ้งกับลู่ชิงไว้ว่า เซียวหนิงหลงจะออกเดินทางยามเช้ามืด นางจึงชวนท่านแม่กับพี่ชายอย่างลู่เสียน เข้าไปช่วยกันทำอาหารในมิติ และจัดการห่อเก็บไว้ในตะกร้าไม้ไผ่อันใหญ่ โดยแยกเป็นหมูทอดและไก่ทอด ยามที่แจกจ่ายจะได้ไม่หยิบสลับกันนั่นเองพอใกล้ถึงเวลาที่ทหารมารวมตัวกัน นางยกหน้าที่นำอาหารที่ทำนี้ให้ท่านพ่อและพี่ใหญ่ เป็นคนนำไปมอบให้กับเซียวหนิงหลง ทั้งยังบอกเขาอีกว่ามื้อเย็นจะทำไปส่งให้อีกครั้งเนื่องจากการเดินทางด้วยม้านั้น ทำให้มาถึงตำบลหย่งฝูได้รวดเร็ว พวกเขาใช้เวลากับการเดินทางเพียงหนึ่งเค่อเท่านั้น ก่อนจะขึ้นไปภูเขาด้านหลังหมู่บ้านอันผิง เซียวหนิงหลงให้ทหารแยกกันไปตรวจตราในเขตตำบลเสียก่อน เผื่อจะมีทหารแคว้นตงหนานเข้ามาแอบซ่อนตัวอยู่แถวนี้ เมื่อตรวจสอบแล้วไม่พบว่ามีคนอยู่ที่นี่ จึงนำทหารทุกนายมุ่งไปที่ภูเขาหลังหมู่บ้านอันผิงทันทีเซียวหนิงหลงได้สำรวจรอบหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ก็พบว่า
ปลายยามเซินก่อนเซียวหนิงหลง จะไปยังจวนท่านเจ้าเมืองเขาไม่ลืมที่จะฝากคำพูดกับก้งเยว่ ให้นำไปบอกกับชิงเอ๋อร์ว่า เขาคงกลับมาทานมื้อเย็นด้วยไม่ได้ และให้นางแบ่งอาหารเก็บไว้สักหน่อย เผื่อตอนกลับมาถึงที่พักแล้วจะหิวกลางดึกส่วนทหารทั้งสองพันนายที่ติดตามมา ก็ได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดี ทั้งที่พักและอาหารการกิน พวกเขาล้วนขอบคุณที่ชาวเมืองที่นี่ มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อาจจะมีคนเห็นแก่ตัวบ้าง แต่พวกเขาก็มองข้ามไป เพราะเหตุผลที่มาชายแดนแห่งนี้ คือการปกป้องราษฎรทุกคนของแคว้นฉู่เท่านั้นทันทีที่เซียวหนิงหลงไปถึงหน้าประตูจวนเจ้าเมือง ก็พบว่ามีเจ้าเมืองไป๋พร้อมทั้งฮูหยินและบุตรสาว ยืนรอต้อนรับเขาอยู่ก่อนแล้วจึงทักทายพอเป็นพิธี เพราะเขาต้องการหารือเรื่องงาน เกี่ยวกับสงครามเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นแต่สิ่งที่ทำให้เซียวหนิงหลงไม่อาจมองข้ามไปได้ คือสายตาของบุตรสาวเจ้าเมืองไป๋ นางเอาแต่จ้องมองมาที่เขา ตั้งแต่ตอนอยู่หน้าประตูจวนแล้ว เขาเป็นคนไม่ชอบให้ใครมาจ้องมองโดยไม่มีสาเหตุ หรือใช้สายตาบ่งบอกว่านางสนใจ และอยากได้เขาเป็นสามี สตรีเช่นนี้ในเมืองหลวงมีอยู่ดาษดื่นไม่แบ่งแยกชนชั้นยามที่พวกนางต้องตาต้องใจบ
เมื่อครอบครัวลู่ชิงกลับจากทำธุระส่วนตัวแล้ว จึงพบว่ามีแขกหน้าตาคุ้นเคยนั่งรออยู่กับลู่ชิง พวกเขาใจชื้นขึ้นมาบ้างที่เห็นว่ามีคนมาช่วยเพิ่มขึ้น“อาเซียว เจ้ามาถึงตั้งแต่เมื่อใดรึ แล้วมากับใครบ้างเล่า” ลู่เวินรีบเดินเข้ามาทักทายเซียวหนิงหลงก่อนคนอื่น“คารวะท่านน้าทั้งสองขอรับ ข้าเพิ่งเดินทางมาถึงได้เกือบหนึ่งเค่อ และพาทหารมาด้วยจำนวนสองพันนายขอรับ”“ท่านพี่ อาเซียวเพิ่งมาถึงคงจะทั้งเหนื่อยและหิวเป็นแน่ อย่างไรก็ทานมื้อเช้ากันก่อนเถิด เรื่องอื่นเอาไว้ค่อยคุยทีหลังก็ยังทันถมเถไป” ฟางซินดูท่าทางของเซียวหนิงหลงจะอ่อนเพลียอยู่บ้าง จึงพูดตัดบทสนทนาของสามีเสียก่อน“จริงอย่างที่น้องหญิงพูด งั้นพวกเรานั่งลงทานมื้อเช้ากันก่อนเถิด อาเซียวจะได้พักผ่อนให้หายเหนื่อยด้วย มานั่ง ๆ ๆ ข้าวต้มฝีมือชิงเอ๋อร์อร่อยมากเลยนะ เจ้าต้องกินเยอะ ๆ เล่า” ลู่เวินพาเซียวหนิงหลงมานั่งข้าง ๆ ตนเองทุกคนนั่งประจำที่ตรงหน้าก็มีชามข้าวต้ม หน้าตาน่าทานวางอยู่ไหนจะกลิ่นหอมชวนน้ำลายไหลนั่นอีก และช่วงเวลานี้ไม่มีใครพูดคุยกันแม้ครึ่งคำ เพราะมัวแต่ตักข้าวต้มคำแล้วคำเล่าเข้าปาก เซียวหนิงหลงเติมข้าวต้มไปถึงสองชามเลยทีเดียว ระหว่าง
ความโกลาหลนี้ยังส่งผลให้ซื่อจื่อแห่งจวนชินอ๋อง ที่มีเวลาอีกสองวันจะออกเดินทางไปยังชายแดน ไม่อาจรีรอได้อีกต่อไปเมื่อยามเฉินที่ผ่านมามีจดหมายผูกด้ายสีแดง ซึ่งมาจากตำบลหย่งฝู เนื้อหาด้านในบอกถึงอันตราย ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า กว่ากองทัพหลายแสนนายจะเดินทางไปถึงอาจไม่ทันการณ์ ในยามนี้เขาอยากจะมีปีกบินได้เสียจริงตอนนี้ใจของเซียวหนิงหลง ไปอยู่ที่ตำบลหย่งฝูแล้ว และกำลังจะพาร่างของตนตามไปสมทบ จึงนำจดหมายด่วนนี้ไปพบบิดาที่ห้องทำงาน เพื่อขออนุญาตนำทหารจำนวนสองพันนาย ออกเดินทางล่วงหน้าไปก่อน ชินอ๋องเห็นด้วยที่เซียวหนิงหลง จะไปดูสถานการณ์ที่นั่นล่วงหน้าถึงได้กล่าวอนุญาต ให้บุตรชายออกเดินทางพร้อมกำลังทหารตามที่ขอได้ทันที“ท่านพ่อ ข้ามีเรื่องด่วนจะมาขอคำปรึกษาขอรับ”“หือ มีเรื่องด่วนอันใดกัน ทำไมเจ้ามีสีหน้าเป็นกังวลนักอาหลง”ท่านอ๋องเห็นบุตรชายมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก“ท่านพ่อลองอ่านจดหมายจากเจียวมิ่งก่อนเถอะขอรับ แล้วท่านจะเข้าใจว่าทำไมข้าถึงดูกังวลเช่นนี้” เซียวหนิงหลงยื่นจดหมายให้บิดาได้อ่านชินอ๋องรับจดหมายมาเปิดอ่าน ถึงกับตกใจจนลุกขึ้นยืน พระองค์ไม่คิดว่าพวกแคว้นตงหนานจะคิดแผนการเช่นนี้ได้“อ