ยามสายของวันนี้ครอบครัวของลู่ชิง จะย้ายไปพักอยู่ที่ร้านอาหารเป็นการชั่วคราว ซึ่งเมื่อวานลู่ชิงได้แจ้งกับลูกค้าทุกคน ที่มาซื้ออาหารที่แผงไว้แล้วว่า จะหยุดขายอาหารที่แผงตรงนี้ โดยจะเปิดขายอาหารอีกครั้งที่ร้านอาหารของครอบครัวทุกคนสามารถตามไปซื้อ หรือนั่งทานอาหารที่ร้านได้ และยังได้บอกกับลูกค้าอีกว่า จะมีน้ำหลากสีที่ดื่มแล้วรู้สึกสดชื่นมาขายที่ร้านด้วย ลูกค้าที่ได้ฟังต่างก็เฝ้ารอ ให้ถึงวันเปิดร้านอาหารของครอบครัวลู่ชิง พวกเขาอยากไปชิมอาหารรายการที่จะมีเพิ่ม และน้ำหลากหลายสีที่เถ้าแก่น้อยได้บอกไว้เสียทีทุกคนช่วยกันขนของ ที่เป็นหีบใส่เสื้อผ้าเสียส่วนใหญ่ขึ้นเกวียน เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วลู่เวินก็เป็นคนบังคับเกวียน เดินทางเข้าตำบลหย่งฝูใช้เวลาเพียงสองเค่อ พวกเขาก็มาถึงร้านแล้ว พี่ชายสองคนช่วยกันยกหีบใบขนาดกลางสองสามหีบ ลงจากเกวียนเพื่อที่ท่านพ่อจะได้นำเกวียนไปจอดด้านหลังร้านลู่ชิงปล่อยให้บุรุษทั้งสามยกหีบขึ้นไปเก็บบนชั้นสอง ส่วนตนเองและมารดาเข้ามาอยู่ด้านในห้องครัว เพื่อจะนำเอาโต๊ะไม้สี่เหลี่ยมขนาดนั่งได้สี่คน และเก้าอี้ไม้แบบมีพนักพิงออกมาจากมิติ รอบิดาและพี่ชายลงมาสมทบค่อยยกออกไปจัดวางด้
เจียวมิ่งที่เห็นคุณหนูลู่ชิงหยุดชะงักไป หลังจากมีคำถามไม่หยุดก็ให้นึกเอ็นดูนาง เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมซื่อจื่อถึงได้พึงใจในตัวคุณลู่ชิง“คุณหนูขอรับ พวกเราเข้าไปนั่งคุยกันข้างในร้านเถิด” เจียวมิ่งได้กลิ่นหอมของอาหารที่โชยออกมาจากร้าน ท้องของเขาและสหายก็เริ่มประท้วงทันที“อ้อ ขออภัยเจ้าค่ะ เชิญพี่ชายพี่สาวเข้าไปนั่งด้านในก่อนนะเจ้าคะ” ลู่ชิงรีบพาทุกคนเข้ามานั่งโต๊ะด้านในสุด ก่อนจะเข้าไปที่ห้องครัวตักอาหารและบอกบิดาว่า คนที่พี่ชายเซียวส่งมาให้พวกเขามาถึงแล้ว“พวกท่านนั่งรอก่อนนะเจ้าคะ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปตักอาหารมาให้ทาน หลังจากทานอิ่มแล้วค่อยมาคุยรายละเอียดกันเจ้าค่ะ” ลู่ชิงดูท่าทางของพวกเจียวมิ่งแล้ว ก็พอเดาได้ว่าคงยังไม่ได้ทานอะไรก่อนมาถึงที่นี่“ขอบคุณคุณหนูมากขอรับ” ตอนนี้เจียวมิ่งรับเป็นหัวหน้ากลุ่มไปโดยปริยาย“ท่านพ่อเจ้าคะ เมื่อครู่คนที่ข้าเคยขอกับพี่ชายเซียวมาถึงแล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้ให้พวกเขานั่งรออยู่ที่โต๊ะด้านนอก และจะยกอาหารออกไปให้พวกเขาได้ทานก่อน จากนั้นค่อยคุยรายละเอียดเรื่องงาน ที่จะมอบให้ทำเจ้าค่ะ”“อาเซียวส่งคนมาให้กี่คนหรือชิงเอ๋อร์” ลู่เวินถามบุตรสาวถึงจำนวนคนที่ถูกส่งมา“มี
เมื่อลู่ชิงและครอบครัวทานมื้อเย็นกันเรียบร้อย ก็ต้องเข้าไปช่วยกันทำอาหารในมิติ เตรียมไว้สำหรับวันพรุ่งนี้ ตอนนี้ทุกคนต่างจดจำสูตรวิธีการทำอาหารได้ทุกอย่างแล้ว ลู่ชิงจึงปลีกตัวมาเดินหาของฝาก เพื่อเป็นการขอบคุณพี่ชายเซียว ที่ส่งยอดฝีมือมาคุ้มครองนางกับครอบครัว ไหนจะของมีค่าอย่างกำไลหยกวงนี้อีกของฝากต้องสมน้ำสมเนื้อเสียหน่อยแล้วกระมัง พี่เจียวมิ่งแอบกระซิบบอกกับนางว่า ครอบครัวของคุณชายของตนมีใครบ้าง ทำให้ลู่ชิงต้องเดินดูสิ่งที่เหมาะกับผู้ใหญ่ และสิ่งที่เหมาะกับวัยหนุ่มสาว เดินวนอยู่หลายรอบก็นึกออกว่า จะเอาอะไรเป็นของฝากบ้างลู่ชิงเริ่มจากเครื่องประดับของท่านพ่อพี่ชายเซียว เป็นแหวนหยกเนื้อดีแกะสลักเป็นรูปพยัคฆ์ ส่วนของท่านแม่และน้องสาว จะมอบเป็นต่างหูกับแหวนหยกล้อมเพชร ต่างกันที่หยกสีขาวเป็นของท่านแม่ และสีเขียวอ่อนเป็นของน้องสาวพี่ชายเซียวสุดท้ายของคุณชายเซียวผู้ใจดี ลู่ชิงให้เป็นหยกพกแกะสลักรูปกิเลนพร้อมผูกพู่กับหยกให้เสร็จสรรพ ของฝากรายการต่อไปเป็นยาสมุนไพรต่าง ๆ สำหรับรักษาอาการเจ็บป่วย ยารักษาบาดแผลยามพลาดพลั้งเมื่อมีการต่อสู้ ทุกอย่างลู่ชิงใส่ขวดโหลใบใหญ่ ที่มีฝาไม้ปิดไว้เป็นอย่าง
เซียวหนิงหลงที่กำลังนั่งอยู่ในห้องทำงานของตนเองอยู่นั้น จู่ ๆ ชุนชานก็เดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ และยื่นจดหมายให้กับเขา เพราะมันเป็นจดหมายที่เพิ่งมาถึงจวนชินอ๋อง “เรียนซื่อจื่อมีจดหมายจากปาเซี่ย ส่งมาถึงเมื่อครู่นี้ขอรับ” ชุนชานรีบรายงานกับเซียวหนิงหลงทันทีเมื่อรับจดหมายจากชุนชานมาอ่าน เซียวหนิงหลงถึงกับยิ้มมุมปากขึ้นมา ตันเจียงและชุนชานที่อยากรู้บ้างว่า ปาเซี่ยส่งข่าวมาว่าอย่างไร ทนไม่ไหวจึงเสียมารยาทถามกับเจ้านาย“ซื่อจื่อขอรับ ไม่ทราบว่าปาเซี่ยส่งข่าวมาว่าอย่างไรบ้างขอรับ” ตันเจียงเป็นหน่วยกล้าตายที่เอ่ยถามกับเจ้านายของตน“ไม่มีอันใดมาก แค่บอกว่าอาจเดินทางมาถึงเมืองหลวงช้ากว่ากำหนด เพราะชิงเอ๋อร์มีของฝากมาหลายอย่าง จึงต้องใช้รถม้าในการเดินทาง และขอให้พวกเจ้าไปรอรับที่หน้าประตูเมือง มีของสำคัญมากที่ชิงเอ๋อร์ฝากมาด้วย ปาเซี่ยกลัวว่าจะมีคนของพวกองค์ชายสาม ปะปนอยู่เพื่อตรวจค้นรถม้าที่เข้าออกเมืองหลวง แล้วจะเจอของที่ชิงเอ๋อร์ฝากมาถึงข้าเป็นพิเศษก็เท่านั้นเอง” นางทั้งกำชับและเอ่ยย้ำกับปาเซี่ยถึงเพียงนั้น แสดงว่าของที่ฝากมาต้องมีสิ่งนั้นรวมมาด้วยเป็นแน่“ซื่อจื่อขอรับหรือว่าคุณหนูลู่ชิง จะฝ
ย้อนกลับไปวันที่ฮ่องเต้ว่าราชการเสร็จ และมอบหมายให้จ้าวกงกงไปเชิญฮองเฮามาพบ ที่ตำหนักกวงจือกง เพราะรัชทายาทนั้นเข้าร่วมประชุมอยู่แล้ว จึงเสด็จตามฮ่องเต้และท่านอ๋องเซียว กลับมาที่ตำหนักพร้อมกันได้เมื่อฮองเฮามาถึงตำหนักของฮ่องเต้ ก็ไม่รอช้ารีบเข้าไปด้านในตำหนัก เพราะฝ่าบาทจะไม่เรียกผู้ใดมาเข้าเฝ้าที่ตำหนัก หากไม่มีเรื่องสำคัญจริง ๆ “ถวายพระพรเพคะฝ่าบาท”“ฮองเฮาลุกขึ้นนั่งที่เก้าอี้เถิดอย่าได้มากพิธีเลย”“ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท”“เสด็จพ่อให้จ้าวกงกงไปตามเสด็จแม่มาที่นี่ด้วย มีเรื่องร้ายแรงอันใดเกิดขึ้นหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” รัชทายาทเซียวหยางหมิงตรัสถามพระบิดาทันที“ใช่แล้วล่ะ มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นกับเจิ้น และคาดว่าจะเกิดขึ้นกับเจ้าและมารดาของเจ้าด้วยเช่นกัน เมื่อคืนนี้ชินอ๋องและซื่อจื่อแอบมาพบเพราะสงสัยว่าเจิ้นถูกวางยาพิษ” ฮ่องเต้ทรงตรัสถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้ทั้งสองคนได้ฟัง“เสด็จพ่อ!!/ฝ่าบาท!!” ทั้งฮองเฮาและรัชทายาท ต่างตกพระทัยเรียกฮ่องเต้เสียงดัง“เสด็จอา เรื่องการวางยาพิษเสด็จพ่อเป็นความจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ” รัชทายาทรีบหันกลับไปถามเสด็จอาของตน“เป็นความจริงและอาก็ให้ฝ่าบาท ทรงดื่
หลังจากวันที่ส่งปาเซี่ยกลับเมืองหลวง พร้อมของฝากแล้ว ร้านอาหารตระกูลสวียังคงขายดี มีลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เริ่มมีพ่อค้าเร่จากเมืองอื่น เข้ามาที่ตำบลหย่งฝูมากขึ้นส่วนใหญ่ที่เดินทางมา เพราะได้ยินเรื่องอาหารรสชาติอร่อย และยาสมุนไพรที่รักษาอาการเจ็บป่วยได้ดีมาก ทั้งมียาน้ำของเด็กยาน้ำสำหรับสตรีที่มีปัญหาเกี่ยวกับระดู อีกทั้งมันยังช่วยขับของเสียได้ดี เมื่อมีเสียงร่ำลือจากคนที่นำไปพูดต่อ ๆ กันกระจายไปไกล ผู้คนจึงหลั่งไหลกันมาจนหลายวันมานี้ ตำบลหย่งฝูดูคึกคักเป็นพิเศษแต่กลุ่มคนที่เสียผลประโยชน์ ตั้งแต่มีร้านอาหารตระกูลสวี และร้านยาสมุนไพรของท่านหมอเกา ที่มียาดีมาขายพวกเขามีลูกค้าทั้งชาวบ้านทั่วไปจนถึงคนที่ร่ำรวย ทำให้กิจการของกลุ่มคนที่เสียผลประโยชน์นั้น สูญเสียรายได้ไปมากพอสมควรวันนี้เถ้าแก่ของเหลาอาหารจิ้นหย่งชุน จึงได้นัดพบกับฟู่ไป๋เหว่ย เจ้าของร้านขายสมุนไพรขนาดใหญ่ประจำตำบล ที่ห้องทำงานของเถ้าแก่จางเจ้าของเหลาอาหาร เพื่อวางแผนจัดการร้านอาหารของลู่ชิง และร้านยาสมุนไพรของท่านหมอเกา“เถ้าแก่ฟู่เชิญนั่งก่อน ขอบคุณที่ท่านมาตามคำเชิญของข้า” จางเฉิงหลิวกล่าวทักทายฟู่ไป๋เหว่ย“ข้าย่อมไม
เมื่อยามเช้ามาถึงก้งเยว่และก้งเจี้ย ที่ตื่นก่อนใครรีบมาที่ร้านอาหารเพื่อเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น ในคืนที่ผ่านมาให้ลู่ชิงและครอบครัวได้ฟัง ทุกคนตกใจไม่น้อยกับเรื่องดังกล่าว ลู่ชิงไม่คิดว่าคนพวกนั้นจะลงมือเร็วถึงเพียงนี้“คืนนี้คงจะเป็นคนของเหลาอาหารจิ้นหย่งเหอ ที่จะลงมือกับครอบครัวข้าสินะเจ้าคะ รบกวนพี่กงเจี้ยไปบอกพี่เจียวมิ่งว่า อย่าเพิ่งนำตัวคนร้ายไปที่ศาลาว่าการ รอคืนนี้จับตัวคนของเหลาอาหารได้ค่อยนำตัวไปส่งพร้อมกันเจ้าค่ะ” หากพวกเหลาอาหารรู้ว่าตระกูลฟู่ลงมือล้มเหลว พวกเขาย่อมหาทางหนีทีไล่ไปเสียก่อน“ขอรับ เช่นนั้นข้าขอตัวไปบอกเรื่องนี้กับเจียวมิ่งก่อนนะขอรับ” ก้งเจี้ยรับคำแล้วก็รีบไปบอกเจียวมิ่งทันที“ไม่ว่าที่ไหนก็มีคนชั่วเหล่านี้อยู่ทุกที่จริง ๆ ไม่สนใจวิธีการ ขอเพียงได้สิ่งที่ตนเองต้องการมาครอบครองเท่านั้น” ลู่จื้อไม่คิดว่ามาอยู่ห่างไกลขนาดนี้ ยังต้องมาเจอคนเห็นแก่ตัวได้อีก“เช่นนั้นคืนนี้พวกเรามาอยู่ห้องเดียวกันรวมถึงก้งเยว่ ส่วนอีกห้องให้ก้งคุนกับก้งเจี้ยเข้าไปอยู่แทน เพราะไม่รู้ว่าพวกมันจะส่งมากี่คนทางที่ดีเตรียมพร้อมรับมือไว้น่าจะดีกว่า” ลู่เวินห่วงความปลอดภัยของภรรยาและบุตรส
เมื่อรุ่งอรุณวันใหม่มาถึง ที่หน้าศาลาว่าการมีเสียงตีกลองร้องทุกข์ดังขึ้น เรียกความสนใจของชาวบ้านมากมายได้เป็นอย่างดี รอไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่ออกมาสอบถามว่า ผู้ตีกลองนี้เป็นผู้ใดและนำไปรายงานท่านนายอำเภอ ก่อนจะเปิดที่ทำการเพื่อพิจารณาคดีความ ภายหลังนายอำเภอนั่งประจำตำแหน่งผู้ตัดสินคดีความ ด้านหน้าก็มีพร้อมทั้งเจ้าทุกข์และคนร้ายที่ถูกจับตัวได้“ผู้ที่มาตีกลองร้องทุกข์จงบอกชื่อแซ่ให้ครบถ้วน และเหตุผลในการมาร้องทุกข์ในครั้งนี้ให้ละเอียด” นายอำเภอเริ่มทำการไต่สวนคดีความ“เรียนท่านนายอำเภอ ข้าน้อยสวีลู่เวินมาขอความเป็นธรรมจากท่าน เนื่องจากเมื่อคืนมีคนร้ายบุกเข้าไปที่ร้านของข้า หวังทำร้ายเพื่อจะเอาสูตรอาหารของครอบครัวข้าขอรับ” ลู่เวินเป็นคนพูดขึ้นก่อน“เรียนท่านนายอำเภอ ข้าน้อยเกาซือหยวนเจ้าของร้านสมุนไพร ร้านของข้าก็มีคนร้ายบุกเข้าไปเพื่อต้องการยาสมุนไพร ที่ข้านำมาขายให้ทุกคนอยู่ในตอนนี้ขอรับ” หากจบเรื่องนี้ได้ข้าจะได้นอนหลับสนิทเสียที“แล้วพวกที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านหน้านี้เล่าเป็นผู้ใด”“เรียนท่านนายอำเภอ คนพวกนี้คือคนร้ายที่บุกเข้าร้านของข้ากับท่านหมอเกาขอรับ” ลู่เวินตอบนายอำเภออย่างชัดถ้อย
เมื่อใต้เท้าเยี่ยกับใต้เท้าเมิ่งรู้สึกตัวก็พบว่าตนนั้นอยู่ที่จวนแล้ว การนั่งคุกเข่าอ้อนวอนขอความเมตตาจากฮ่องเต้ไม่เป็นผล แม้จะไม่อยากให้บุตรสาวอันเป็นที่รักต้องเดินทางไกล แต่ไม่อาจขัดราชโองการได้จำต้องจัดเตรียมสินเดิมและคนคุ้มกันบุตรสาวอย่างเยี่ยหลิงถิง เดินทางร่วมกับขบวนเจ้าสาวไปส่งให้ถึงแดนใต้อย่างปลอดภัยกัวฮูหยินเป็นลมไปแล้วหลายรอบเพราะสามีขอร้องฮ่องเต้ไม่สำเร็จ บุตรสาวต้องจากไปไกลตาส่วนบุตรชายยังต้องรับอนุเพิ่มอีก ยิ่งตอนนี้พระสนมเยี่ยเกิดล้มป่วยจนไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ พวกเขาไม่มีใครที่จะออกหน้าให้ความช่วยเหลืออีกแล้วเช่นเดียวกับจวนใต้เท้าเมิ่งบุตรสาวที่ท่าทางเรียบร้อยอ่อนหวาน บัดนี้กลับกลายเป็นดั่งนางปีศาจกำลังอาละวาด ขว้างปาข้าวของจนบ่าวไพร่วิ่งหลบกันให้จ้าล่ะหวั่นทั่วเรือน ไหนจะเสียงกรีดร้องจนไม่มีผู้ใดอยากเข้าใกล้แม้แต่มารดาอย่างถูเซิงหนี่ยังทำได้เพียงยืนมองอยู่ไกล ๆ เพราะนางรู้ถึงความเอาแต่ใจและอารมณ์ร้ายกาจของบุตรสาว เมิ่งเจียวลู่คาดหวังว่าจะได้เป็นชายารองของรัชทายาทอย่างมาก นางพยายามฝึกควบคุมอารมณ์และการแสดงออกทางสีหน้า จนได้รับคำชมจากอาจารย์ผู้สอนทั้งการวางตัวการนั่ง
ในตำบลหย่งฝูและเมืองหย่งจินกำลังมีความสุข กับการได้ลิ้มลองก๋วยเตี๋ยวแบบแห้งที่ร้านตระกูลสวี บรรดาลูกค้าต่างหลั่งไหลมารอชิมตั้งแต่ร้านยังไม่เปิด เพราะเกรงว่าหากมาช้าจะอดกินเสียก่อน ซึ่งบรรยากาศช่างแตกต่างกับเมืองหลวงแคว้นฉู่ลิบลับเมื่อครั้งที่เซียวหนิงหลงได้รับฟังปัญหาจากบิดา เรื่องที่ขุนนางเลว ๆ หลายคนพยายามเรียกร้อง ขอให้รัชทายาทรับชายาและสนมเข้าตำหนักบูรพาเพิ่ม เซียวหนิงหลงไม่ได้นิ่งนอนใจหรือไม่ยอมลงมือทันทีเช่นเดิม แต่เขากำลังปล่อยให้บุตรหลานของขุนนางพวกนั้นได้ใจไปก่อนการเงินหมุนเวียนในเมืองหลวงเพิ่มมากขึ้น เพราะสตรีพวกนี้ต้องการสวมเสื้อผ้าที่งดงาม ทุกอย่างที่สามารถทำให้อยู่ในสายพระเนตร พวกนางต่างทำทุกทางแต่ละตระกูลจับจ่ายเงินเป็นว่าเล่น ด้วยคิดว่าบุตรหลานของตนต้องได้รับเลือกจากองค์รัชทายาทเมืองหลวงยามกลางวันดูเงียบเหงาลงไปไม่น้อย เนื่องจากคุณหนูทั้งหลายต้องฝึกมารยาทและเรียนรู้กฎเกณฑ์ต่าง ๆ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าอีกสองสัปดาห์ต่อจากนี้ จะมีการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก และหวังว่าจะไม่มีครั้งที่สองในเมืองหลวงแห่งนี้ ชินอ๋องที่เห็นว่าบุตรชายยังคงเงียบไม่ท่าทีจะลงมือ จึงเอ่ย
หลังจากส่งคนจากแดนเหนือกลับไปได้ไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ ลู่ชิงกับครอบครัวก็ได้ฤกษ์ย้ายเข้าบ้านใหม่ตรงกับวันหยุดพอดี จึงไม่ต้องกังวลเรื่องร้านอาหารมากเท่าไหร่นัก ทุกคนต่างลงความเห็นว่าทำพิธีตามธรรมเนียมก็พอ ไม่ต้องจัดงานเลี้ยงอะไรให้ยิ่งใหญ่แบบคนอื่นทุกคนเพียงช่วยกันทำอาหารและนำไปแจกจ่ายให้ชาวบ้าน หากต้องจัดงานเลี้ยงเชิญผู้คนมากมายยังต้องเหนื่อยอีกหลายวัน แค่ทำงานทุกคนก็เหนื่อยทุกวันอยู่แล้วเพราะเหตุนี้ครอบครัวลู่ชิงจึงย้ายเข้าบ้านใหม่อย่างเรียบง่ายที่สุด แต่ถึงอย่างไรตัวบ้านหลังนี้ก็ตั้งโดดเด่นอยู่บนเนินเขา ก่อนถึงท้ายหมู่บ้านเวลาที่ทุกคนอยู่บนชั้นสอง สามารถมองเห็นได้ทั่วทั้งหมู่บ้านอันผิงเชียวล่ะ ที่สำคัญลู่ชิงไม่ลืมให้นายช่างหานทำห้องพักเพิ่ม สำหรับพวกเจียวมิ่งอยู่ด้านข้างตัวบ้านห้องพักนี้เป็นแถวยาวมีทั้งหมดหกห้องลู่ชิงทำเผื่อเอาไว้ หากครอบครัวของตนอยากจะมีบ่าวรับใช้สักสองสามคน ก็ให้มาพักที่นี่นั่นเองทุกคนพากันเดินสำรวจรอบ ๆ บริเวณบ้านกันอย่างสนุกสนาน แต่ลู่ชิงกำลังนั่งคิดทบทวนเรื่องบางอย่างเกี่ยวกับร้านก๋วยเตี๋ยว ที่กำลังจะเปิดสาขาเพิ่มที่เมืองหย่งเหอและเมืองหย่งเฉิง ลู่เวินเดินลงมาจ
กลุ่มของเยวี๋ยนจิ้งห้าวได้อยู่ที่ตำบลหย่งฝู เพื่อเรียนการทำอาหารเป็นเวลาสิบวันการเรียนโดยลงมือปฏิบัติจริงนั้นแค่สี่วัน โดยอาหารอย่างต้มยำที่ลู่ชิงได้สอนเพิ่มมีถึงสามรายการ และต้มจืดหนึ่งรายการคือต้มยำไก่ ต้มยำขาหมู ต้มแซ่บกระดูกหมูและต้มจืดไข่น้ำส่วนอีกหกวันจากนั้นคือการทดลองการทำงานในร้านอาหารไปในตัว ทุกคนได้เรียนรู้ถึงวิธีการถามตอบลูกค้าเวลาสั่งอาหาร หรือเสื้อผ้าการแต่งกายก็ต้องดูสะอาดสะอ้านน่ามอง การจัดจานใส่อาหารรวมถึงวิธีบริหารจัดการร้านก็ได้เรียนทั้งหมดก่อนถึงวันเดินทางกลับแดนเหนือหนึ่งวัน ลู่ชิงกับครอบครัวได้เตรียมเครื่องปรุงรสที่จำเป็นต้องใช้ให้กับเยวี๋ยนจิ้งห้าว เครื่องปรุงรสนี้จัดใส่กระปุกปิดฝาอย่างดีและเพียงพอต่อหนึ่งเดือน ส่วนเงินที่ใช้ซื้อร้านค้าและอุปกรณ์ทุกอย่างที่ต้องใช้ทำอาหาร ลู่ชิงมอบเงินลงทุนทำร้านให้เยวี๋ยนจิ้งห้าวเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งเป็นเงินจำนวนสองพันตำลึงทอง หากมีเงินเหลือจากส่วนนี้ให้เก็บเอาไว้จ่ายเป็นค่าจ้างของลูกจ้างที่ร้านและต้องทำบัญชีไว้ทุกครั้ง“ท่านอาเยวี๋ยนนี่คือเงินทุนเปิดร้านที่แดนเหนือ ในถุงเงินนี้มีอยู่สองพันตำลึงทองมอบให้ท่านรับผิดชอบดูแล ซื้อร
เช้าวันใหม่เวียนมาถึงผู้มาจากแดนเหนือตื่นกันตั้งแต่เช้า พวกเขานอนไม่ค่อยหลับไม่ใช่เพราะไม่ชินกับสภาพอากาศ แต่เป็นความรู้สึกตื่นเต้นดีใจด้วยวันนี้จะได้เรียนการทำอาหาร เยวี๋ยนจิ้งห้าวหัวหน้ากลุ่มจากแดนเหนือได้พูดคุยกับเจียวมิ่ง เขามองเห็นถึงความชื่นชมนับถือจากสายตาของทุกคนและยังแอบกระซิบบอกกับตนอีกด้วยว่า คุณหนูลู่ชิงจะสอนการทำอาหารเพิ่มอีกสองสามอย่าง ซึ่งเป็นอาหารที่รสชาติเผ็ดร้อนเป็นอาหารที่เหมาะกับคนแดนเหนือเป็นอย่างมาก เยวี๋ยนจิ้งห้าวถูกปลดจากกองทัพเพราะแขนซ้ายขาด จากการต่อสู้กับศัตรูจำนวนมากกว่าทำให้เขาเสียเปรียบ จึงต้องสูญเสียแขนไปหนึ่งข้างเพื่อรักษาชีวิตของตนเองเอาไว้จนได้เวลาที่ร้านอาหารตระกูลสวีจะเปิดแล้ว เป็นก้งคุนที่มาตามพวกเขาเพื่อไปที่ร้านพร้อมกัน เพื่อเริ่มเรียนรู้ตั้งแต่การเปิดร้านการจัดโต๊ะสำหรับลูกค้าทั้งฝั่งร้านอาหารและร้านก๋วยเตี๋ยว“สวัสดีตอนเช้าเจ้าค่ะท่านอาทั้งหลาย เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะหายเหนื่อยกันบ้างหรือยัง”“พวกข้าหายเหนื่อยแล้วขอรับคุณหนู พร้อมจะเรียนการทำอาหารจากท่านตอนนี้ก็ยังได้ขอรับ”“ท่านอาอย่าเพิ่งใจร้อนไปเลยเจ้าค่ะ อาหารที่จะให้พวกท่านได้ทำนั้นไม่ได้ม
เซียวหนิงหลงนำกล่องไม้ที่ใส่นิ้วมือของเป้ยเฝิ่นลู่ ส่งให้ม้าเร็วรีบนำมันกลับเมืองหลวงเพราะเป็นของขวัญสำหรับจิ่งไท่เฟย เผื่อว่าพระนางจะหายจากอาการประชวร หรือจะหายไปจากโลกนี้ได้ยิ่งดีกับสตรีไม่รู้จักพอเช่นนี้ส่วนทหารจากกองกำลังลับที่รอดจากยาพิษของต่งซวิน ต่างรีบเดินทางเข้าเมืองเฉียนซานเพื่อรายงานสถานการณ์ในค่ายลับ ด้วยความเร่งรีบและไม่มีความเกรงใจชาวบ้านทั่วไปอยู่แล้ว ขณะที่ขี่ม้าเข้ามาในเมืองจะทำให้ใครหกล้มบาดเจ็บบ้าง ก็หาได้มีความคิดจะหยุดสอบถามอาการของผู้ใดทั้งสิ้น ทหารผู้นี้มุ่งหน้ามายังจวนจวิ้นอ๋องเพียงที่เดียวเท่านั้น“พวกเจ้าเปิดประตูให้ข้าเดี๋ยวนี้มีเรื่องด่วนต้องรายงานจวิ้นอ๋อง ข้ามาจากภูเขานอกเมืองเฉียนซานเร็วเข้าอย่าได้ชักช้า!”“จุ้ยกงกงรบกวนแจ้งจวิ้นอ๋องด้วยว่า ข้าสิงเยียนจากค่ายลับมีเรื่องด่วนขอเข้าพบขอรับ”“เจ้ารอตรงนี้สักครู่ข้าจะรีบไปรายงานจวิ้นอ๋องให้เดี๋ยวนี้”“ทูลจวิ้นอ๋องด้านหน้าตำหนักมีคนจากค่ายลับ ชื่อว่าสิงเยียนมาขอพบบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องการรายงานให้ท่านอ๋องได้ทราบพ่ะย่ะค่ะ”“หืม คนจากค่ายลับเหตุใดถึงออกมาพบข้าโดยที่ไม่บอกล่วงหน้า หรือจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นที่นั
เซียวหนิงหลงกับตันเจียงออกจากเมืองเฉียนซานมาได้ โดยไม่มีใครคิดสงสัยแม้แต่ทหารหน้าประตูเมือง ผู้ทำหน้าที่ตรวจสอบคนเข้าออกอย่างละเอียดก็ยังปล่อยผ่าน ทั้งสองคนนึกถึงใบหน้าของจวิ้นอ๋องที่โมโห เรื่องกิจการของบรรดาพ่อตาทั้งหลาย ที่ถูกเผาทำลายอย่างไม่ทราบสาเหตุนั่นทำให้ภายในสามเดือนนี้จะไม่มีเงินกำไรจากพ่อตาทุกคน ซึ่งมันเป็นเงินจำนวนเกือบหนึ่งแสนตำลึงทอง ทำให้จวิ้นอ๋องต้องคิดหาวิธีการแก้ไขปัญหาเรื่องเงินครั้งนี้อย่างหนัก พวกชายารองหรืออนุที่ถูกคนอื่นแตะต้องยามเกิดเรื่อง จวิ้นอ๋องยังรับพวกนางกลับจวนเพียงแต่ว่าไม่มีการเสด็จไปหา ที่ทำเช่นนี้เพราะเห็นแก่หน้าพ่อตาและเงินสนับสนุนจากพวกเขาเท่านั้นเต๋อหลินกับสหายคนอื่น ๆ ได้มารออยู่ยังจุดนัดพบ ตามที่เซียวหนิงหลงได้บอกเอาไว้ตั้งแต่แรก ขณะที่นั่งพูดคุยสัพเพเหระเซียวหนิงหลงกับตันเจียงก็มาถึงพอดี“ซื่อจื่อพวกข้าน้อยยังเป็นกังวลว่าท่านกับตันเจียงจะออกมาก่อนพลบค่ำหรือไม่ พวกเราได้สำรวจพื้นที่แถว ๆ นี้ระหว่างรอท่านแต่ไม่พบสิ่งผิดปกติขอรับ” เต๋อหลินคิดไว้ว่าหากช้ากว่านี้อีกสักหนึ่งเค่อจะเข้าไปตามเซียวหนิงหลง“อืม พื้นที่แถวนี้ยังไม่ลึกพอที่จะปิดบังซ่อนเร้
เซียวหนิงหลงตั้งแต่วันที่ส่งลู่จื้อกลับตำบลหย่งฝูในตอนเช้า จากนั้นเข้ายามซื่อตัวของเขาเองจึงเดินทางออกจากเมืองหลวง ครั้งนี้ชินอ๋องสั่งให้มีผู้ติดตามไปทั้งหมดสิบคนด้วยกัน ซึ่งครั้งนี้มีหน่วยลับที่ถูกเรียกตัวมาเพิ่มอีกสองคนคือต่งไช่กับต่งชวิน ด้วยชินอ๋องคาดการณ์เอาไว้ว่าบุตรชายมีแผนการ และคิดจะลงมือหนักกับกองกำลังทหารของจวิ้นอ๋องอย่างแน่นอน เผลอ ๆ อาจจะลามไปถึงพวกที่คอยสนับสนุนเรื่องเงินทองทั้งหลายนั่นด้วยเมืองเฉียนซานตั้งอยู่ทางด้านทิศประจิมเป็นเมืองใหญ่ ที่อยู่ถัดไปจากเมืองเฉียนซูจวนของจวิ้นอ๋องกว้างขวาง และมีขนาดใหญ่กว่าจวนของชินอ๋องถึงหนึ่งเท่าตัว นั่นเป็นเพราะจิ่งไท่เฟยเกรงว่าโอรสของตนจะลำบากยามย้ายมา จึงนำทรัพย์สมบัติมีค่ามากมายเปลี่ยนเป็นเงินเพื่อสร้างจวนหลังใหญ่เช่นนี้เพราะจวิ้นอ๋องถูกจิ่งไท่เฟยสั่งสอนมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ เรื่องการสืบทอดราชบัลลังก์มังกรทองของราชวงศ์เซียว ทำให้เหล่าพี่น้องต่างมีแผนการซ่อนอยู่ในใจของแต่ละคนหากว่าฮ่องเต้เซียวถิงเฟิงมิได้ชินอ๋องพระอนุชาร่วมอุทร คอยช่วยเหลือตลอดหลายปีที่ผ่านมา อาจจะมีการนองเลือดระหว่างพี่น้องไปแล้วก่อนที่เซียวหนิงหลงจะเข้าเมือ
เจียวมิ่งยืนรอจนแน่ใจแล้วว่าฮวนกั๋วลี่ไร้ลมหายใจ จึงนำร่างขึ้นรถม้าโดยคนที่จะส่งฮวนกั๋วลี่กลับตระกูล คืออดีตทหารที่ปลดเกษียณไปแล้ว เจียวมิ่งมอบเงินค่าจ้างครั้งนี้จำนวนสิบตำลึงทอง และต้องแวะซื้อโลงศพเพื่อป้องกันกลิ่นเหม็นจากศพก่อนจะถึงเมืองเฉียนซาน เมื่อจบภารกิจแล้วเจียวมิ่งจึงกลับบ้านเช่าพักผ่อน รอให้ถึงเวลาเปิดร้านอาหารค่อยรายงานเรื่องของฮวนกั๋วลี่ทีหลังลู่ชิงรับฟังเรื่องการลงโทษคนจิตใจชั่วช้าอย่างฮวนกั๋วลี่แล้ว คิดว่าโทษที่เขาได้รับคงจะพอปลอบประโลมดวงวิญญาณเด็กสาวที่ตายไป และคนที่ยังมีชีวิตอยู่จะได้รับรู้ด้วยว่า คนที่ทำร้ายพวกนางมีคนจัดการให้เรียบร้อยแล้ว“พี่เจียวมิ่งคนจากทางเหนือจะมาถึงเมื่อไหร่เจ้าคะ”“อีกไม่เกินครึ่งเดือนก็น่าจะเดินทางมาถึงแล้วขอรับ เพราะแคว้นเป่ยเยี่ยนอยู่ใกล้แคว้นฉู่มากกว่าแคว้นอื่นขอรับ”“นอกจากรายการอาหารเนื้อย่างที่จะสอนให้กับพวกเขาแล้ว ข้าคิดว่าจะสอนต้มยำไก่ ต้มยำปลาและต้มแซ่บเพิ่มด้วยเจ้าค่ะ จากที่ท่านบอกมาว่าทางเหนือนั้นมีอากาศหนาวเย็นอยู่ตลอดทั้งปี หากมีน้ำซุปที่มีรสชาติเผ็ดร้อนด้วยคงพอทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นนะเจ้าคะ”“ข้าว่าหากมีอาหารทั้งสามอย่างที่คุณ