“พรุ่งนี้เจ้าจะเดินทางจริงๆ อย่างนั้นหรือ”เฟยห้าวเทียน เอ่ยถามเมื่อเห็นว่านางเงียบไป เรื่อง4ปีก่อนที่เขาเล่าให้นางฟัง เขาคิดว่านางจะรู้สึกดีใจบ้าง แต่เปล่าเลยนางเพียงแปลกใจเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนใบหน้าของนางในตอนนี้กลับมามีหน้าตาเฉยเมยเหมือนเคย“เพคะ”“เช่นนั้นเราจะให้องครักษ์เงาติดตามเจ้าไปเพื่อปกป้องเจ้า เจ้าจะได้ไม่เป็นกังวลมากนัก”“อย่าเลยเพคะ หม่อมฉันมีวิธีจัดการ เพียงแต่ที่ผ่านมาหม่อมฉันเห็นเพียงทะเลที่เงียบสงบจึงนึกประมาทไปเท่านั้น”“แต่ข้าเป็นห่วง เจ้าอาจคิดว่าข้าเสแสร้งทั้งที่คนเคยเกลียดกันมาก แต่บัดนี้กลับมาเป็นห่วงเป็นใย ตอนนี้ข้ายอมรับว่าไม่ได้รักเจ้ามากมายนัก แต่เพราะที่ผ่านมาข้าเข้าใจเจ้าผิดมาตลอดจึงทำร้ายเจ้าไปไม่น้อย อีกทั้งตลอดมาเจ้าทำเพื่อข้ามาเสมอ มันทำให้ข้ารู้สึกผิดต่อเจ้าและอยากชดเชยให้”“ทำเพราะรู้สึกผิดสินะ....ตรัสแบบนี้ก็ดีเพคะ หากพระองค์พูดว่าทำเพราะรักหม่อมฉัน หม่อมฉันคงยากที่จะเชื่อ ความหวังดีของพระองค์หม่อมฉันรับไว้แล้ว แต่พระองค์คงลืมไปว่าหม่อมฉันมีอำนาจที่ติดตัวหม่อมฉันมาตั้งแต่เกิด หาใช่เพิ่งจะมีตอนมาเป็นชายาของพระองค์”เฟยห้าวเทียนถึงกับเบิกตาโต เป็นอย่
เมื่อท่านปู่เตรียมทุกอย่างที่นางต้องการให้พร้อมแล้วเยว่ฮองเฮาก็ออกเดินทางตามที่ได้วางแผนไว้ เยว่เฟิ่งโหวเมื่อเห็นว่าหลานสาวออกเดินทางไปแล้วแต่คนที่ควรไปกลับไม่ไปจึงเดินเข้าห้องหนังสือ และให้บ่าวไพร่ถอยห่างออกไป“เจ้ามาเพื่อปกป้องนางมิใช่หรือ ทำไมยังอยู่อีกหรือเจ้ามีเรื่องจะคุยกับข้า”เพียงสิ้นคำพูดของเยว่เฟิ่งโหวบุรุษชุดดำก็เผยกายออกมายืนตรงหน้าเขา และคอบกายทำความเคารพ“ท่านโหวรู้ได้เช่นไรขอรับว่าข้าน้อยมาเพื่อปกป้องฮองเฮา มิใช่มาเพื่อหาท่านโดยเฉพาะ”“หากเจ้าจะมาหาข้าคงไม่มาตอนกลางวันเช่นนี้ ฮ่องเต้คงมีรับสั่งให้ติดตามดูฮองเฮาใช่หรือไม่”“ขอรับ ท่านโหวคิดถูกแล้ว”“ในวังเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นอย่างนั้นหรือ จึงต้องให้เจ้าติดตามฮองเฮา”“อย่าเป็นกังวลไปเลยขอรับ ฮ่องเต้เพียงป้องกันไว้เท่านั้นท่านโหวอย่าได้ห่วงฮองเฮาเลย วันนี้ที่ข้ายังรั้งรออยู่ที่นี่เพราะมีเรื่องต้องบอกท่านโหว ฮ่องเต้ทรงส่งท่านอ๋องสามไปตรวจสอบท่านแม่ทัพที่ชายแดนแล้วนะขอรับ ข้าว่าท่านโหวควรจะบอกความจริงได้แล้ว ไม่อย่างนั้นเรื่องทั้งหมดอาจถูกคนอื่นรู้มากไปกว่านี้”“ใครตรวจเจอหลักฐานอย่างนั้นหรือ”“ฮ่องเต้ทรงมีเหล่าบัณฑิตพวกพ่อค้
“ท่านบอกว่านี่คือเรื่องแรก แล้วเรื่องที่สองล่ะ คือเรื่องอันใด”“เรื่องนี้เป็นเรื่องการขอพระราชทานงานแต่งระหว่างฝ่าบาทกับฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้ความจริงแล้วลี่อิงไม่ได้เป็นคนขอให้พ่อของนางใช้ความดีความชอบเข้าแลก แต่เป็นเพราะฮ่องเต้พระองค์ก่อนทรงเป็นคนขอให้แม่ทัพเยว่บุตรชายของกระหม่อมใช้ความดีความชอบเพื่อแลกกับการแต่งงานครั้งนั้น”“ทำไมเสด็จพ่อต้องทำเช่นนั้น” ห้าวเทียนฮ่องเต้มองหน้าชายชราอย่างสงสัย“ก็เพื่อจะปูทางการขึ้นเป็นองค์รัชทายาทและการขึ้นเป็นฮ่องเต้ของฝ่าบาทอย่างไรล่ะพ่ะย่ะค่ะ” ชายชรายกยิ้มให้หลานเขย“ปูทางอย่างนั้นหรือ”“พ่ะย่ะค่ะ เพราะหลังจากที่เสียองค์รัชทายาทพระองค์ก่อน เสด็จพ่อของพระองค์จึงรู้ว่าวังหน้ายื่นมือเข้าไปยังวังหลังจนเกิดเป็นอำนาจที่แน่นหนาเกินไป จนฮ่องเต้พระองค์ก่อนไม่สามารถที่จะจัดการได้ในสมัยของพระองค์ เสด็จพ่อของพระองค์เลยคิดจะทำในสมัยของฝ่าบาทแทน”“ทำไมเสด็จพ่อจึงไม่เคยตรัสกับข้ามาก่อน”“เพราะตอนนั้นพระองค์เป็นเพียงองค์ชายที่ชอบความอิสระ และทะนงตน หากฝ่าบาทตรัสออกไปตามตรงก็คิดว่าพระองค์จะไม่ยินยอม และในตอนนั้นก็ยังไม่อยากบอกพระองค์เรื่องที่จะเลือกพระองค์ให้
ฉินหวงกุ้ยเฟยเมื่อได้ยินว่าห้าวเทียนฮ่องเต้อนุญาตก็รีบเข้ามาในห้องทันที นางสวมเสื้อคลุมหนาเข้ามาแต่ยังไม่ทันที่จะถึงหน้าพระพักตร์ของห้าวเทียนฮ่องเต้ นางก็ให้นางกำนัลช่วยถอดออก ก่อนจะเดินเข้ามาย่อกายถวายพระพรอย่างอ่อนโยน เสื้อตัวนอกสีชมพูเบาบางจนเห็นเสื้อตัวในสีแดงที่รัดหน้าอกจนนูนขึ้นเป็นลูกอย่างเห็นได้ชัด ท่าทางของนางช่างยั่วยวนจนสตรีที่อยู่หลังม่านยังต้องมองกลับกันห้าวเทียนฮ่องเต้กลับนั่งจิบชานิ่ง ไม่ได้รู้สึกอันใดกับสตรีตรงหน้า เพราะมารยาหญิงเช่นนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้เห็น แตกต่างจากสตรีหลังม่านที่ไม่เคยเห็นเช่นนี้มาก่อน เพราะท่านแม่ของนางติดตามดูแลท่านพ่อไปยังชายแดนส่วนท่านย่าท่านยายก็เสียไปนานแล้ว ส่วนมากก็จะเป็นท่านปู่ท่านตาที่เลี้ยงดู จริตมารยาที่ต้องใช้ในห้องหอจึงไม่มีใครสั่งสอน และไม่เคยได้เห็นจริงกับตา จะมีเห็นก็ในหนังสือที่อี้หงแอบเอามาให้นางดู แต่ตัวนางเองไม่กล้าที่จะซื้อหามาอ่านเพราะกลัวว่าห้าวเทียนฮ่องเต้รู้จะหาว่านางเป็นสตรีมากตัณหาฉินหวงกุ้ยเฟยเห็นว่าห้าวเทียนฮ่องเต้ไม่ทรงเอ่ยอันใด จึงเลิกย่อกายและเดินเข้าไปหา และยกขนมยุเหวียนเซียว(ขนมบัวลอยจีน)กับชาใบหม่อนจากนางก
“ทำไมพระองค์ถึงมองหม่อมฉันแบบนั้นล่ะเพคะ”“เป็นเช่นไรขนมและน้ำชาอร่อยมากใช่หรือไม่ เจ้าคงไม่รู้เพราะเจ้าไม่เคยใช้เล่ห์เหลี่ยมนี้ แต่ก่อนที่เจ้าใช้ยั่วยวนข้ามีเพียงสายตา และการแต่งตัวที่เผยให้เห็นเพียงเล็กน้อย แต่เจ้าก็เห็นแล้วใช่หรือไม่ว่าฉินหวงกุ้ยเฟยแต่งตัวเช่นไร และท่าทางของนางเป็นเช่นไรแค่นี้เจ้าก็เทียบนางไม่ติดแล้ว ยังไม่รวมขนมกับชาที่เจ้ากินเข้าไปอีก”“ใช่สิเพคะ หม่อมฉันจะสู้นางได้อย่างไรไม่เพียงแค่การแต่งตัวที่ยั่วยวน แต่รสชาติขนมก็สู้ไม่ได้เลย” นางทำน้ำเสียงไม่พอใจห้าวเทียนฮ่องเต้เห็นใบหน้าของนางก็รับรู้ได้ทันทีว่านางกำลังไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการจะบอก จึงได้เอ่ยต่อ“นางมาในยามวิกาลและนำขนมกับน้ำชามาให้ เจ้าคิดว่านางต้องการนำมาให้ข้ากินเพื่อให้หลับสบายหรือให้ผ่อนคลายแล้วจะได้อ่านฎีกาต่อได้อย่างนั้นหรือ หญิงชายยามวิกาลเขาคิดเรื่องใดกันเล่า เช่นนั้นในน้ำชาและขนมย่อมมีอะไรพิเศษเป็นแน่”“หมายความว่าอย่างไรเพคะ”“บนโลกใบนี้มีสมุนไพรหลายอย่างไม่จำเป็นจะต้องทำเป็นยาจึงจะใช้ได้ผล บางอย่างกินแยกกันไม่เป็นไร แต่กินร่วมกันอาจส่งผลบางอย่าง”“ฝ่าบาทหมายความว่าในชากับขนมนี้!!!”ตอนนี้ไม
ตำหนักหูเตี๋ยเมื่อฮองเฮาไม่อยู่เรื่องทุกอย่างในวังหลังจึงมีสนมฉินหวงกุ้ยเฟยคอยดูแลแทน เช้านี้นางสนมทุกคนต่างมาเข้าเฝ้าถวายพระพรสนมฉินหวงกุ้ยเฟย ทุกคนราวไม่ได้มาเพื่อถวายพระพรแต่เหมือนมานั่งกินขนมจิบชาเสียมากกว่า เพราะสำหรับพวกนางสนมส่วนมากก็มาตำหนักหูเตี๋ยกันบ่อยอยู่แล้วทุกคนต่างนั่งจิบชากินขนมพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลิน จนมีสตรีนางหนึ่งเดินเข้ามาในตำหนัก ทำเอาคนที่อยู่ในห้องโถงรับแขกอึ้งไปตามๆ กัน คนดีใจที่ได้เจอก็มี คนแปลกใจก็มี คนตกใจและคนที่ไม่คิดว่านางจะมายืนอยู่ตรงนี้ได้ก็มี สีหน้าแต่ละคนแตกต่างกันออกไป“ถวายพระพรฮองเฮา ขอทรงอายุยืนหมื่นปี หมื่นๆ ปี” เหล่านางสนมเอ่ยพร้อมกัน“พระองค์เสด็จมาทำไมนางกำนัลด้านนอกถึงไม่แจ้ง หม่อมฉันจะต้องลงโทษพวกนางเสียหน่อยที่ทำให้หม่อมฉันเสียมารยาทไม่ออกไปรับเสด็จ” สนมฉินหวงกุ้ยเฟยเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“อย่าลงโทษพวกเขาเลย เราเป็นคนสั่งพวกนางเอง เราเพียงอยากรู้ว่าเวลาพวกเจ้าอยู่ด้วยกันโดยไม่มีข้า พวกเจ้าทำอันใดกัน คุยอันใดกัน สนุกกันมากหรือไม่” เยว่ฮองเฮาเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบทุกคนที่อยู่ในห้องเงียบราวไม่มีคนอยู่ บรรยากาศเปลี่ยนไปจากก่อนหน้านี้ ทุกค
“หากเจ้าอยากให้ข้าไว้ชีวิตคนในตระกูล เช่นนั้นเจ้าก็เล่าความจริงทั้งหมดมา แต่ถ้าเจ้ายังโกหกไม่สำนึกผิดอีก เราจะใช้โทษนี้ประหารเจ้าทั้งตระกูล และจะให้เจ้าเป็นคนสุดท้ายที่ถูกประหาร” เยว่ฮองเฮากล่าวด้วยน้ำเสียงดุดันสนมหยางกุ้ยเฟยถึงจะรู้ว่านี้คือคำขู่ แต่นางรู้ว่าโทษนี้เยว่ฮองเฮาสามารถเอาผิดกับครอบครัวของนางได้จริง ถึงนางจะไม่ได้ตั้งใจให้เป็นเช่นนี้ก็ตาม แต่ความโง่ของนางจะให้ตระกูลมาแบกรับไว้ไม่ได้“หม่อมฉันจะทูลตามความจริงทุกอย่างเพคะ เรื่องนี้เป็นเพราะสนมเหอกุ้ยเฟยเพคะ” สนมหยางกุ้ยเฟยยังพูดไม่ทันจบสนมเหอกุ้ยเฟยก็แทรกขึ้นมาทันที“ฮองเฮาเพคะ สนมหยางกุ้ยเฟยใส่ร้ายหม่อมฉันเพคะ” สนมเหอกุ้ยเฟยพูดด้วยน้ำเสียงลนลาน“หม่อมฉันพูดความจริงเพคะ” สนมหยางกุ้ยเฟยรีบเอ่ยขึ้นทันทีพระสนมทั้งสองคนต่างเถียงกันไปมา เยว่ฮองเฮากลับนั่งดูนิ่งไม่สนใจที่จะห้ามปราบ จนห้าวเทียนฮ่องเต้ทนไม่ไหวจึงตะคอกเสียงดังใส่พวกนาง“พวกเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้”ไม่ใช่แค่สนมหยางกุ้ยเฟยกับสนมเหอกุ้ยเฟยแต่สนมทั้งหลายต่างผวา เมื่อได้ยินบุรุษตวาดเสียงดังด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราดไม่เพียงสตรีสองนางที่เงียบลงทันที แม้แต่สนมนางอื่นก็เงียบนิ่งตามไป
บรรยากาศในห้องโถงเงียบราวไม่มีผู้คน ผู้เป็นใหญ่ทั้งสองที่นั่งอยู่ก็ไม่คิดจะเอ่ยอันใด สร้างความอึดอัดใจให้ทุกคนจนไม่กล้าแม้แต่จะยกชาขึ้นดื่ม ทุกคนต่างรอว่า เมื่อไรจะมีคนมาทำลายความเงียบนี้ลงเสียที เวลาผ่านไปเกือบครึ่งเค่อ (1เค่อเท่ากับ15นาที) ในที่สุดสิ่งที่ทุกคนรอคอยก็มา“ถวายพระพรเสด็จพี่ ถวายพระพรพี่สะใภ้”“ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮา”“ทั้งสองไม่ต้องมาพิธี”เพียงเสียงของเฟยห้าวหลานและเยว่ลี่หรงดังขึ้นก็ทำให้เหล่านางสนมทั้งหลายระบายลมหายใจออกอย่างช้าๆ ความอึดอัดค่อยๆ ถูกระบายออกไปตามลมหายใจเยว่ฮองเฮาใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เมื่อทั้งสองเข้ามายืนข้างๆ เพราะทั้งสองตั้งแต่ที่พบกันระหว่างทางกลับก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะคุยดีต่อกัน แต่เพียงผ่านไปคืนเดียวทั้งสองกลับเดินหน้าตายิ้มแย้มเข้ามาทั้งคู่เลยทำให้นางอดดีใจไม่ได้ เพราะเรื่องที่ทำให้เขาทั้งสองหมางใจกันก็คือเรื่องของนางกับเฟยห้าวเทียนและแน่นอนที่เยว่ฮองเฮาเงียบไม่เอ่ยวาจาอันใด เพราะพระองค์ทรงรอการมาของเฟยห้าวหลานและเยว่ลี่หรงอยู่นั้นเอง เพราะยังมีผู้ที่มากับทั้งสองคนนี้ด้วยที่นางเฝ้ารอ“พวกเจ้ายังมีผู้ใดอยากสารภาพเรื่องอันใดอีกหรือไม่
หลังจากที่พระสนมเหอกุ้ยเฟยและเสนาบดีกรมคลังกลับไปแล้ว เยว่ฮองเฮาก็ถึงกับหลั่งน้ำตาไม่หยุดเพราะสงสารพ่อลูกที่พากันพยุงเดินออกไปทั้งน้ำตา ห้าวเทียนได้แต่กอดนางและเอามือลูบหลังเบาๆ เพื่อปลอบประโลม เพราะเขารู้ดีว่านางเองก็คงรู้สึกผิดที่เลือกพระสนมเหอกุ้ยเฟยเข้ามาเป็นสนมและต้องมาเจอจุดจบเช่นนี้หลายวันต่อมาในที่สุดหลักฐานสำคัญที่จะใช้มัดตัวสนมฉินและอัครเสนาบดีฉินก็มาถึง นั่นก็คือซางกวนที่จริงเขาเป็นหมอรักษาพิษและมีความรู้เรื่องพิษ เขาจึงถูกบังคับจากคนสกุลฉินให้ปรุงพิษให้องค์รัชทายาทพระองค์ก่อนและเยว่ฮองเฮา แต่เพียงอัครเสนาบดีฉินได้ข่าวว่าห้าวเทียนฮ่องเต้ยังคงสืบเรื่องการตายของพี่ชายอยู่จึงคิดจะสังหารคนปรุงยาปิดปากเขาแอบพาครอบครัวหนีไปซ่อนตัวถึงชายแดน แต่คนของอัครเสนาบดีฉินก็ยังตามเขาเจอและฆ่าลูกเมียของเขา เขาคิดจะล้างแค้นอัครเสนาบดีฉินที่ฆ่าลูกเมีย เขาจึงไปขอความช่วยเหลือจากเยว่ลี่ต้าน้องชายของเยว่ฮองเฮา เพราะซางกวนรู้ดีว่าเขาจะได้รับความคุ้มครองเพื่อมาเป็นพยานเอาผิดคนที่วางยาเยว่ฮองเฮาเยว่ลี่ต้าแอบส่งข่าวนี้มายังห้าวเทียนฮ่องเต้อย่างลับๆ เพราะไม่อยากให้บิดาและท่านแม่เป็นห่วงพี่สาวที่ถู
เมื่อคืนนี้กว่าที่เขาจะหลับได้ก็ทรมานอยู่นาน เช้านี้หน้าตาของเขาจึงไม่สดใสต่างจากอีกคนที่มีหน้าตาเบิกบาน แต่นางก็ได้หาสนใจเขาไม่ ที่จริงวันนี้เขาคิดจะให้นางจัดการเอง แต่ก็เป็นห่วงกลัวนางจะรับมือกับอัครเสนาบดีฉินไม่ได้จึงมาด้วยขณะที่เดินไปอุทยานเกากงกงเอ่ยขอร้องกับเยว่ฮองเฮาให้ง้อห้าวเทียนฮ่องเต้เสียหน่อย เพราะไม่เช่นนั้นวันนี้เหล่านางกำนัลขันทีคงอยู่อย่างไม่เป็นสุขเยว่ฮองเฮาหันหลังไปมองก็เห็นสายตาที่เว้าวอนของนางกำนัลขันทีที่ตามเสด็จมาจึงได้พยักหน้าตอบ ห้าวเทียนฮ่องเต้เห็นที่เกากงกงแอบกระซิบกับเยว่ฮองเฮา เขาก็แอบดีใจเล็กน้อย“ฝ่าบาทให้คนไปตามบรรดาบิดาของพวกนางมาแล้วใช่หรือไม่เพคะ”เขาเงียบไม่ยอมตอบ จนเดินมาถึงศาลาในอุทยานเขาก็เข้าไปนั่งด้านในโดยหันหน้าไปทางอื่น ทำเป็นไม่สนใจนาง“ฝ่าบาทเพคะ” น้ำเสียงออดอ้อนแต่เขาก็ยังทำเมินเฉยใส่นาง ในเมื่อเขาไม่ใส่ใจนาง นางจึงไม่คิดจะเอ่ยต่อเมื่อผ่านไปครู่หนึ่งเขาเห็นว่านางเงียบนิ่งไปนานจึงได้หันมามอง แต่คราวนี้กลายเป็นนางที่ทำเมินใส่ เมื่อเยว่ฮองเฮาเห็นว่าเขาหันมามองนาง นางก็เลยทำเป็นหันหน้าหนีเหมือนที่เขาทำกับนางในคราวแรก ห้าวเทียนฮ่องเต้ถึงกับล
สองคืนที่ผ่านมาเยว่ฮองเฮาต้องฝืนตัวเองให้เคยชินกับมือหนวดปลาหมึกที่ไม่อยู่สุข ไม่เช่นนั้นนางคงไม่เป็นอันได้นอน เพราะเขาไม่เพียงกอดแต่ยังลูบไล้นางอยู่ตลอดทั้งคืน แต่วันนี้หลี่ฟางซินออกจากตำหนักเย็นวันแรกนางเลยคิดว่าคงจะได้นอนอย่างเป็นสุขเสียที เพราะตั้งแต่วันที่ออกเดินทางจนถึงวันนี้นางยังไม่ได้นอนแบบเต็มอิ่มสักวันวันนี้เพียงตะวันลับขอบฟ้าไม่นานเยว่ฮองเฮาก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมตัวเขานอนแล้ว นางอยากจะชดเชยให้ร่างกายตัวเองได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ แต่เพียงนางเอนตัวลงบนที่นอน อี้หงก็เดินเข้ามารายงานว่าห้าวเทียนฮ่องเต้เสด็จมาเยว่ฮองเฮาชักสีหน้าไม่พอใจทันทีที่ได้ยิน แต่ถึงอย่างไรนางก็ต้องต้อนรับเขา เพราะยังเหลืออีก3วันที่นางรับปากเขาไว้ แต่ยังไม่ทันที่นางจะลงจากเตียงบุรุษผู้นั้นก็เข้ามาด้านในห้องเสียแล้ว“เจ้าจะนอนแล้วอย่างนั้นหรือ เจ้าไม่สบายหรือเปล่า” ห้าวเทียนฮ่องเต้ไม่เคยเห็นนางเข้านอนเร็วขนาดนี้เลยคิดเป็นห่วงว่านางจะไม่สบาย“หม่อมฉันไม่ได้เป็นอะไรเพคะ เพียงแต่หลายวันมานี้มีคนกวนยามหลับเสมอ วันนี้ไม่มีผู้ใดกวนเลยอยากนอนเร็วขึ้นหน่อย”นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงประชดประชัน“เช่นนั้นหรือ
เมื่อเฟยห้าวเทียนเห็นว่าทำเช่นไรเยว่ลี่อิงก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมให้เขาค้างที่ตำหนัก และเขาเองก็ไม่คิดที่จะกลับไปนอนที่ตำหนักตนเองอย่างแน่นอน จึงได้อ้างเรื่องการหาหลักฐานที่นางยังหาไม่ได้มาเป็นข้ออ้าง“เจ้ายังหาหลักฐานเอาผิดสนมฉินหวงกุ้ยเฟยไม่ได้ใช่หรือไม่ วันนี้ถึงยังไม่ตัดสินความให้จบ” เฟยห้าวเทียนเอ่ยพร้อมจดจ้องใบหน้างามเพื่ออ่านความคิดของนางเยว่ลี่อิงที่นั่งทำสีหน้าไม่พอใจก็เปลี่ยนสีหน้าไปในทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของเฟยห้าวเทียน เพราะมันเป็นอย่างที่เฟยห้าวเทียนพูดจริงๆ นางยังไม่สามารถที่จะหาหลักฐานมากพอที่จะใช้มัดตัวสนมฉินได้ ที่จริงหากเป็นนางสนมนางอื่นเพียงหลักฐานที่วางยาห้ามครรภ์สนมทั้งหลายก็อาจมากเพียงพอ แต่สำหรับสนมฉินหวงกุ้ยเฟยมันไม่ง่ายเช่นนั้นเลย เพราะถ้าความผิดไม่มากพอท่านอัครเสนาบดีพ่อของนางย่อมเข้ามาช่วยเหลือนางเป็นแน่ห้าวเทียนฮ่องเต้โบกมือเพื่อไล่นางกำนัลขันทีในห้องออกไป ทุกคนต่างหันมามองที่เยว่ฮองเฮาว่าจะปฏิเสธหรือไม่ เพราะตั้งแต่เข้าห้องมาคนหนึ่งไล่คนหนึ่งเรียกจนพวกเขาทำตัวไม่ถูก แต่เมื่อเห็นว่าเยว่ฮองเฮานิ่งเงียบพวกเขาเลยรีบออกไปทันทีเกากงกงรีบเอ่ยให้ทุกคนถอยห่างจากหน้
ตำหนักเล่อโซ่วถางเมื่อกลับจากตำหนักหูเตี๋ยเยว่ลี่อิงก็มาหาไทเฮาที่ตำหนักเพื่อถวายพระพรไทเฮาและมาเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ไทเฮาฟังตามที่รับปากไว้ ไม่เพียงเยว่ลี่อิงที่มา เยว่ลี่หรง เฟยห้าวเทียน และเฟยห้าวหลานก็ตามมาด้วย ไทเฮาจึงชวนให้ทานข้าวเย็นด้วยกันที่ตำหนัก“สนมฉินหวงกุ้ยเฟยช่างบังอาจยิ่งนัก ถึงว่าข้าถึงไม่มีโอกาสได้อุ้มหลานเสียที” ไทเฮาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงโมโหเมื่อได้ยินเยว่ลี่อิงเล่าให้ฟังแต่ทุกคนต่างนิ่งเงียบไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงเรื่องที่เฟยห้าวเทียนไม่ได้เข้าหอกับพวกนาง เพราะพวกเขาไม่อยากให้ไทเฮาเป็นกังวลและต้องมานั่งฟังไทเฮาบ่นเรื่องนี้“แต่ไม่เป็นไรอีกไม่นานข้าก็จะได้อุ้มหลานจากเยว่ฮองเฮาแล้ว จริงหรือไม่ฝ่าบาท” หญิงชรายิ้มอย่างเบิกบาน“พ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่”เฟยห้าวเทียนรีบตอบรับมารดาทันทีแน่นอนอยู่แล้วเรื่องที่เยว่ลี่อิงกับเฟยห้าวเทียนเข้าหอกันมีหรือข่าวดีเช่นนี้เกากงกงจะไม่มารายงานไทเฮา เพียงรู้ข่าวก็ยิ้มร่าเริงมาทั้งวันจนถึงตอนนี้ แม้แต่เรื่องพระสนมที่ทำความผิดมากมายก็ยังไม่ทำให้อารมณ์ของไทเฮาขุ่นมัวได้นาน“เยว่ฮองเฮาเจ้าจะต้องบำรุงร่างกายให้มากๆ และมีหลานให้ข้าเร็วๆ เข้าใจหรือไ
เยว่ลี่อิงถึงจะอยากรู้เหตุผลจากเฟยห้าวเทียนว่าทำไมเขาถึงไม่รู้สึกรู้สาที่โดนสวมหมวกเขียวถึงเพียงนี้ แต่ในเมื่อเขายังไม่อยากอธิบายนางจึงไม่คิดจะเอ่ยถาม นางหันไปเห็นสนมเหอกุ้ยเฟยพยายามลุกขึ้นจึงได้สั่งให้ขันทีฉีเข้ามาพยุง และให้นางไปนั่งข้างถังป๋อเหวินโดยให้ขันทีฉีและองครักษ์คอยคุมตัวนางไว้ให้ดีอย่าให้ไปทำร้ายใครได้อีก“ดูจากที่สนมเหอกุ้ยเฟยคิดจะฆ่าเจ้า เพราะเจ้ารู้เรื่องที่สนมเหอกุ้ยเฟยไม่อยากให้ผู้ใดรู้กระมัง” เยว่ฮองเฮาเอ่ยถามนางกำนัลเถียน“ใช่แล้วเพคะ”“เช่นนั้นเจ้าบอกเราได้หรือไม่”“ได้เพคะ แต่ยกเว้นเรื่องพระสนมเหอกุ้ยเฟยทรงบอกรักและทรงนัดเจอกันกับคุณชายถังป๋อเหวินได้หรือไม่เพคะ”เพียงเยว่ฮองเฮาพยักหน้าตอบรับนางกำนัลเถียนก็เริ่มเล่าทุกอย่างให้ฟัง สนมเหอกุ้ยเฟยเดิมที่ไม่ได้มีใจคิดร้าย แต่โดนเยว่ฮองเฮารังแกบวกกับ เรื่องที่นางไม่ได้สมหวังในรักจึงรวมกันเป็นความแค้น และความคิดนางต้องมาเปลี่ยนไปเมื่อท่านเสนาบดีกรมคลังรู้เรื่องสนมเหอกุ้ยเฟยกับถังป๋อเหวิน จึงสั่งให้คนไปทำร้ายถังป๋อเหวินเพราะเรื่องนี้ถังป๋อเหวินจึงได้เขียนจดหมายราวตัดพ้อตนเองว่า แม้แต่ตนเองเขาก็ยังไม่สามารถปกป้องได้ และเป็
“ท่านอ๋องสาม ท่านกำลังกล่าวเรื่องอันใดหม่อมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลยเพคะ หม่อมฉันมีอำนาจอันใดที่จะส่งเสริมบัณฑิตถังป๋อเหวินให้เป็นขุนนางได้” สนมเหอกุ้ยเฟยเอ่ยเพื่อแก้ต่างให้ตนเอง“พระสนมเหอกุ้ยเฟยท่านยังไม่คิดจะยอมรับผิดอีกใช่หรือไม่”“หม่อมฉันก็รับผิดในส่วนที่หม่อมฉันได้กระทำแล้ว ตามที่หม่อมฉันได้ทูลให้ฮองเฮาฟังไปเมื่อครู่”“ในเมื่อเจ้ายังปากแข็ง ไม่ยอมรับความจริงเช่นนั้นข้าจะดูสิว่าเจ้าจะยังกล้าปฏิเสธอีกหรือไม่”ตอนเฟยห้าวหลานเข้ามายังตำหนักหูเตี๋ยพร้อมองครักษ์ที่หิ้วมือสังหารกับถังป๋อเหวินเข้ามา ก็พบว่านางกำนัลของสนมเหอกุ้ยเฟยมีท่าทีแปลกๆ เมื่อเห็นหน้ามือสังหารกับถังป๋อเหวิน จึงได้ให้องครักษ์พาตัวไปสอบสวน เมื่อองครักษ์เข้ามาบอกเฟยห้าวหลานว่านางกำนัลผู้นั้นยอมสารภาพ แต่จะบอกกับผู้ที่มีอำนาจมากกว่าสนมเหอกุ้ยเฟยเท่านั้น เขาจึงได้ออกไปเพื่อรับฟังคำสารภาพของนางกำนัลเฟยห้าวหลานเรียกองครักษ์ให้นำนางกำนัลผู้นั้นเข้ามา เมื่อสนมเหอกุ้ยเฟยเห็นก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นนางกำนัลของตน แต่ก็ยังทำสีหน้าราวไม่ทุกข์ไม่ร้อนอันใด“ว่าอย่างไรพระสนมเหอกุ้ยเฟย ท่านมีอันใดจะพูดหรือไม่” เฟยห้าวหลานเอ่ยถามพร้อมยกยิ
“ข้ารู้จักเขา เขาคือถังป๋อเหวินคนรักของสนมเหอกุ้ยเฟย” ห้าวเทียนฮ่องเต้กล่าวน้ำเสียงราบเรียบเยว่ฮองเฮาถึงกับตะลึงที่สนมเหอกุ้ยเฟยกล้าสวมหมวกเขียวให้ห้าวเทียนฮ่องเต้ แต่ที่ทำให้แปลกใจกว่าคือห้าวเทียนฮ่องเต้รู้เรื่องนี้แต่เขากลับไม่โกรธและไม่คิดจะลงทัณฑ์พวกเขาทั้งสอง“เจ้าทำเช่นนี้เพราะเกลียดฮองเฮาที่ทำให้เจ้ากับคนรักไม่สมหวังสินะ” ห้าวเทียนฮ่องเต้เอ่ยถาม“เพคะ หม่อมฉันเกลียดที่ฮองเฮาทรงเสนอให้พระองค์รับหม่อมฉันเข้ามาเป็นสนมทั้งที่หม่อมฉันไม่ต้องการและยังทรงทำร้ายหม่อมฉันอยู่บ่อยครั้ง” สนมเหอกุ้ยเฟยเอ่ยตอบ“ข้าไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนเลย ทั้งที่ข้าให้คนไปตรวจดูแล้วแท้ๆ ว่าสนมที่ข้าจะรับเข้ามามีใครมีคู่หมั้นคู่หมายแล้วหรือยัง หรือมีคนที่ชอบพออยู่แล้วหรือไม่ แต่ตอนนั้นประวัติของเจ้ากลับไม่มีบอกเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย” เยว่ฮองเฮาเอ่ยสนมเหอกุ้ยเฟยนิ่งเงียบไม่ได้เอ่ยต่อ เพราะนางไม่ได้มีคู่หมั้นหมายจริงๆ อย่างที่เยว่ฮองเฮาทรงตรัส ถึงเขากับนางจะรักกันแต่ก็ได้แต่หลบๆ ซ่อนๆ เพราะฐานะทางบ้านฝ่ายชายไม่คู่ควรกันกับนาง จึงไม่แปลกที่ฮองเฮาส่งคนไปตรวจสอบแล้วจะไม่เจอ นางรอเขาสอบให้ได้เป็นขุนนางเสียก่อนจึงค
บรรยากาศในห้องโถงเงียบราวไม่มีผู้คน ผู้เป็นใหญ่ทั้งสองที่นั่งอยู่ก็ไม่คิดจะเอ่ยอันใด สร้างความอึดอัดใจให้ทุกคนจนไม่กล้าแม้แต่จะยกชาขึ้นดื่ม ทุกคนต่างรอว่า เมื่อไรจะมีคนมาทำลายความเงียบนี้ลงเสียที เวลาผ่านไปเกือบครึ่งเค่อ (1เค่อเท่ากับ15นาที) ในที่สุดสิ่งที่ทุกคนรอคอยก็มา“ถวายพระพรเสด็จพี่ ถวายพระพรพี่สะใภ้”“ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮา”“ทั้งสองไม่ต้องมาพิธี”เพียงเสียงของเฟยห้าวหลานและเยว่ลี่หรงดังขึ้นก็ทำให้เหล่านางสนมทั้งหลายระบายลมหายใจออกอย่างช้าๆ ความอึดอัดค่อยๆ ถูกระบายออกไปตามลมหายใจเยว่ฮองเฮาใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เมื่อทั้งสองเข้ามายืนข้างๆ เพราะทั้งสองตั้งแต่ที่พบกันระหว่างทางกลับก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะคุยดีต่อกัน แต่เพียงผ่านไปคืนเดียวทั้งสองกลับเดินหน้าตายิ้มแย้มเข้ามาทั้งคู่เลยทำให้นางอดดีใจไม่ได้ เพราะเรื่องที่ทำให้เขาทั้งสองหมางใจกันก็คือเรื่องของนางกับเฟยห้าวเทียนและแน่นอนที่เยว่ฮองเฮาเงียบไม่เอ่ยวาจาอันใด เพราะพระองค์ทรงรอการมาของเฟยห้าวหลานและเยว่ลี่หรงอยู่นั้นเอง เพราะยังมีผู้ที่มากับทั้งสองคนนี้ด้วยที่นางเฝ้ารอ“พวกเจ้ายังมีผู้ใดอยากสารภาพเรื่องอันใดอีกหรือไม่