ตำหนักหูเตี๋ยเมื่อฮองเฮาไม่อยู่เรื่องทุกอย่างในวังหลังจึงมีสนมฉินหวงกุ้ยเฟยคอยดูแลแทน เช้านี้นางสนมทุกคนต่างมาเข้าเฝ้าถวายพระพรสนมฉินหวงกุ้ยเฟย ทุกคนราวไม่ได้มาเพื่อถวายพระพรแต่เหมือนมานั่งกินขนมจิบชาเสียมากกว่า เพราะสำหรับพวกนางสนมส่วนมากก็มาตำหนักหูเตี๋ยกันบ่อยอยู่แล้วทุกคนต่างนั่งจิบชากินขนมพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลิน จนมีสตรีนางหนึ่งเดินเข้ามาในตำหนัก ทำเอาคนที่อยู่ในห้องโถงรับแขกอึ้งไปตามๆ กัน คนดีใจที่ได้เจอก็มี คนแปลกใจก็มี คนตกใจและคนที่ไม่คิดว่านางจะมายืนอยู่ตรงนี้ได้ก็มี สีหน้าแต่ละคนแตกต่างกันออกไป“ถวายพระพรฮองเฮา ขอทรงอายุยืนหมื่นปี หมื่นๆ ปี” เหล่านางสนมเอ่ยพร้อมกัน“พระองค์เสด็จมาทำไมนางกำนัลด้านนอกถึงไม่แจ้ง หม่อมฉันจะต้องลงโทษพวกนางเสียหน่อยที่ทำให้หม่อมฉันเสียมารยาทไม่ออกไปรับเสด็จ” สนมฉินหวงกุ้ยเฟยเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“อย่าลงโทษพวกเขาเลย เราเป็นคนสั่งพวกนางเอง เราเพียงอยากรู้ว่าเวลาพวกเจ้าอยู่ด้วยกันโดยไม่มีข้า พวกเจ้าทำอันใดกัน คุยอันใดกัน สนุกกันมากหรือไม่” เยว่ฮองเฮาเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบทุกคนที่อยู่ในห้องเงียบราวไม่มีคนอยู่ บรรยากาศเปลี่ยนไปจากก่อนหน้านี้ ทุกค
“หากเจ้าอยากให้ข้าไว้ชีวิตคนในตระกูล เช่นนั้นเจ้าก็เล่าความจริงทั้งหมดมา แต่ถ้าเจ้ายังโกหกไม่สำนึกผิดอีก เราจะใช้โทษนี้ประหารเจ้าทั้งตระกูล และจะให้เจ้าเป็นคนสุดท้ายที่ถูกประหาร” เยว่ฮองเฮากล่าวด้วยน้ำเสียงดุดันสนมหยางกุ้ยเฟยถึงจะรู้ว่านี้คือคำขู่ แต่นางรู้ว่าโทษนี้เยว่ฮองเฮาสามารถเอาผิดกับครอบครัวของนางได้จริง ถึงนางจะไม่ได้ตั้งใจให้เป็นเช่นนี้ก็ตาม แต่ความโง่ของนางจะให้ตระกูลมาแบกรับไว้ไม่ได้“หม่อมฉันจะทูลตามความจริงทุกอย่างเพคะ เรื่องนี้เป็นเพราะสนมเหอกุ้ยเฟยเพคะ” สนมหยางกุ้ยเฟยยังพูดไม่ทันจบสนมเหอกุ้ยเฟยก็แทรกขึ้นมาทันที“ฮองเฮาเพคะ สนมหยางกุ้ยเฟยใส่ร้ายหม่อมฉันเพคะ” สนมเหอกุ้ยเฟยพูดด้วยน้ำเสียงลนลาน“หม่อมฉันพูดความจริงเพคะ” สนมหยางกุ้ยเฟยรีบเอ่ยขึ้นทันทีพระสนมทั้งสองคนต่างเถียงกันไปมา เยว่ฮองเฮากลับนั่งดูนิ่งไม่สนใจที่จะห้ามปราบ จนห้าวเทียนฮ่องเต้ทนไม่ไหวจึงตะคอกเสียงดังใส่พวกนาง“พวกเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้”ไม่ใช่แค่สนมหยางกุ้ยเฟยกับสนมเหอกุ้ยเฟยแต่สนมทั้งหลายต่างผวา เมื่อได้ยินบุรุษตวาดเสียงดังด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราดไม่เพียงสตรีสองนางที่เงียบลงทันที แม้แต่สนมนางอื่นก็เงียบนิ่งตามไป
บรรยากาศในห้องโถงเงียบราวไม่มีผู้คน ผู้เป็นใหญ่ทั้งสองที่นั่งอยู่ก็ไม่คิดจะเอ่ยอันใด สร้างความอึดอัดใจให้ทุกคนจนไม่กล้าแม้แต่จะยกชาขึ้นดื่ม ทุกคนต่างรอว่า เมื่อไรจะมีคนมาทำลายความเงียบนี้ลงเสียที เวลาผ่านไปเกือบครึ่งเค่อ (1เค่อเท่ากับ15นาที) ในที่สุดสิ่งที่ทุกคนรอคอยก็มา“ถวายพระพรเสด็จพี่ ถวายพระพรพี่สะใภ้”“ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮา”“ทั้งสองไม่ต้องมาพิธี”เพียงเสียงของเฟยห้าวหลานและเยว่ลี่หรงดังขึ้นก็ทำให้เหล่านางสนมทั้งหลายระบายลมหายใจออกอย่างช้าๆ ความอึดอัดค่อยๆ ถูกระบายออกไปตามลมหายใจเยว่ฮองเฮาใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เมื่อทั้งสองเข้ามายืนข้างๆ เพราะทั้งสองตั้งแต่ที่พบกันระหว่างทางกลับก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะคุยดีต่อกัน แต่เพียงผ่านไปคืนเดียวทั้งสองกลับเดินหน้าตายิ้มแย้มเข้ามาทั้งคู่เลยทำให้นางอดดีใจไม่ได้ เพราะเรื่องที่ทำให้เขาทั้งสองหมางใจกันก็คือเรื่องของนางกับเฟยห้าวเทียนและแน่นอนที่เยว่ฮองเฮาเงียบไม่เอ่ยวาจาอันใด เพราะพระองค์ทรงรอการมาของเฟยห้าวหลานและเยว่ลี่หรงอยู่นั้นเอง เพราะยังมีผู้ที่มากับทั้งสองคนนี้ด้วยที่นางเฝ้ารอ“พวกเจ้ายังมีผู้ใดอยากสารภาพเรื่องอันใดอีกหรือไม่
“ข้ารู้จักเขา เขาคือถังป๋อเหวินคนรักของสนมเหอกุ้ยเฟย” ห้าวเทียนฮ่องเต้กล่าวน้ำเสียงราบเรียบเยว่ฮองเฮาถึงกับตะลึงที่สนมเหอกุ้ยเฟยกล้าสวมหมวกเขียวให้ห้าวเทียนฮ่องเต้ แต่ที่ทำให้แปลกใจกว่าคือห้าวเทียนฮ่องเต้รู้เรื่องนี้แต่เขากลับไม่โกรธและไม่คิดจะลงทัณฑ์พวกเขาทั้งสอง“เจ้าทำเช่นนี้เพราะเกลียดฮองเฮาที่ทำให้เจ้ากับคนรักไม่สมหวังสินะ” ห้าวเทียนฮ่องเต้เอ่ยถาม“เพคะ หม่อมฉันเกลียดที่ฮองเฮาทรงเสนอให้พระองค์รับหม่อมฉันเข้ามาเป็นสนมทั้งที่หม่อมฉันไม่ต้องการและยังทรงทำร้ายหม่อมฉันอยู่บ่อยครั้ง” สนมเหอกุ้ยเฟยเอ่ยตอบ“ข้าไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนเลย ทั้งที่ข้าให้คนไปตรวจดูแล้วแท้ๆ ว่าสนมที่ข้าจะรับเข้ามามีใครมีคู่หมั้นคู่หมายแล้วหรือยัง หรือมีคนที่ชอบพออยู่แล้วหรือไม่ แต่ตอนนั้นประวัติของเจ้ากลับไม่มีบอกเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย” เยว่ฮองเฮาเอ่ยสนมเหอกุ้ยเฟยนิ่งเงียบไม่ได้เอ่ยต่อ เพราะนางไม่ได้มีคู่หมั้นหมายจริงๆ อย่างที่เยว่ฮองเฮาทรงตรัส ถึงเขากับนางจะรักกันแต่ก็ได้แต่หลบๆ ซ่อนๆ เพราะฐานะทางบ้านฝ่ายชายไม่คู่ควรกันกับนาง จึงไม่แปลกที่ฮองเฮาส่งคนไปตรวจสอบแล้วจะไม่เจอ นางรอเขาสอบให้ได้เป็นขุนนางเสียก่อนจึงค
“ท่านอ๋องสาม ท่านกำลังกล่าวเรื่องอันใดหม่อมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลยเพคะ หม่อมฉันมีอำนาจอันใดที่จะส่งเสริมบัณฑิตถังป๋อเหวินให้เป็นขุนนางได้” สนมเหอกุ้ยเฟยเอ่ยเพื่อแก้ต่างให้ตนเอง“พระสนมเหอกุ้ยเฟยท่านยังไม่คิดจะยอมรับผิดอีกใช่หรือไม่”“หม่อมฉันก็รับผิดในส่วนที่หม่อมฉันได้กระทำแล้ว ตามที่หม่อมฉันได้ทูลให้ฮองเฮาฟังไปเมื่อครู่”“ในเมื่อเจ้ายังปากแข็ง ไม่ยอมรับความจริงเช่นนั้นข้าจะดูสิว่าเจ้าจะยังกล้าปฏิเสธอีกหรือไม่”ตอนเฟยห้าวหลานเข้ามายังตำหนักหูเตี๋ยพร้อมองครักษ์ที่หิ้วมือสังหารกับถังป๋อเหวินเข้ามา ก็พบว่านางกำนัลของสนมเหอกุ้ยเฟยมีท่าทีแปลกๆ เมื่อเห็นหน้ามือสังหารกับถังป๋อเหวิน จึงได้ให้องครักษ์พาตัวไปสอบสวน เมื่อองครักษ์เข้ามาบอกเฟยห้าวหลานว่านางกำนัลผู้นั้นยอมสารภาพ แต่จะบอกกับผู้ที่มีอำนาจมากกว่าสนมเหอกุ้ยเฟยเท่านั้น เขาจึงได้ออกไปเพื่อรับฟังคำสารภาพของนางกำนัลเฟยห้าวหลานเรียกองครักษ์ให้นำนางกำนัลผู้นั้นเข้ามา เมื่อสนมเหอกุ้ยเฟยเห็นก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นนางกำนัลของตน แต่ก็ยังทำสีหน้าราวไม่ทุกข์ไม่ร้อนอันใด“ว่าอย่างไรพระสนมเหอกุ้ยเฟย ท่านมีอันใดจะพูดหรือไม่” เฟยห้าวหลานเอ่ยถามพร้อมยกยิ
เยว่ลี่อิงถึงจะอยากรู้เหตุผลจากเฟยห้าวเทียนว่าทำไมเขาถึงไม่รู้สึกรู้สาที่โดนสวมหมวกเขียวถึงเพียงนี้ แต่ในเมื่อเขายังไม่อยากอธิบายนางจึงไม่คิดจะเอ่ยถาม นางหันไปเห็นสนมเหอกุ้ยเฟยพยายามลุกขึ้นจึงได้สั่งให้ขันทีฉีเข้ามาพยุง และให้นางไปนั่งข้างถังป๋อเหวินโดยให้ขันทีฉีและองครักษ์คอยคุมตัวนางไว้ให้ดีอย่าให้ไปทำร้ายใครได้อีก“ดูจากที่สนมเหอกุ้ยเฟยคิดจะฆ่าเจ้า เพราะเจ้ารู้เรื่องที่สนมเหอกุ้ยเฟยไม่อยากให้ผู้ใดรู้กระมัง” เยว่ฮองเฮาเอ่ยถามนางกำนัลเถียน“ใช่แล้วเพคะ”“เช่นนั้นเจ้าบอกเราได้หรือไม่”“ได้เพคะ แต่ยกเว้นเรื่องพระสนมเหอกุ้ยเฟยทรงบอกรักและทรงนัดเจอกันกับคุณชายถังป๋อเหวินได้หรือไม่เพคะ”เพียงเยว่ฮองเฮาพยักหน้าตอบรับนางกำนัลเถียนก็เริ่มเล่าทุกอย่างให้ฟัง สนมเหอกุ้ยเฟยเดิมที่ไม่ได้มีใจคิดร้าย แต่โดนเยว่ฮองเฮารังแกบวกกับ เรื่องที่นางไม่ได้สมหวังในรักจึงรวมกันเป็นความแค้น และความคิดนางต้องมาเปลี่ยนไปเมื่อท่านเสนาบดีกรมคลังรู้เรื่องสนมเหอกุ้ยเฟยกับถังป๋อเหวิน จึงสั่งให้คนไปทำร้ายถังป๋อเหวินเพราะเรื่องนี้ถังป๋อเหวินจึงได้เขียนจดหมายราวตัดพ้อตนเองว่า แม้แต่ตนเองเขาก็ยังไม่สามารถปกป้องได้ และเป็
ตำหนักเล่อโซ่วถางเมื่อกลับจากตำหนักหูเตี๋ยเยว่ลี่อิงก็มาหาไทเฮาที่ตำหนักเพื่อถวายพระพรไทเฮาและมาเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ไทเฮาฟังตามที่รับปากไว้ ไม่เพียงเยว่ลี่อิงที่มา เยว่ลี่หรง เฟยห้าวเทียน และเฟยห้าวหลานก็ตามมาด้วย ไทเฮาจึงชวนให้ทานข้าวเย็นด้วยกันที่ตำหนัก“สนมฉินหวงกุ้ยเฟยช่างบังอาจยิ่งนัก ถึงว่าข้าถึงไม่มีโอกาสได้อุ้มหลานเสียที” ไทเฮาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงโมโหเมื่อได้ยินเยว่ลี่อิงเล่าให้ฟังแต่ทุกคนต่างนิ่งเงียบไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงเรื่องที่เฟยห้าวเทียนไม่ได้เข้าหอกับพวกนาง เพราะพวกเขาไม่อยากให้ไทเฮาเป็นกังวลและต้องมานั่งฟังไทเฮาบ่นเรื่องนี้“แต่ไม่เป็นไรอีกไม่นานข้าก็จะได้อุ้มหลานจากเยว่ฮองเฮาแล้ว จริงหรือไม่ฝ่าบาท” หญิงชรายิ้มอย่างเบิกบาน“พ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่”เฟยห้าวเทียนรีบตอบรับมารดาทันทีแน่นอนอยู่แล้วเรื่องที่เยว่ลี่อิงกับเฟยห้าวเทียนเข้าหอกันมีหรือข่าวดีเช่นนี้เกากงกงจะไม่มารายงานไทเฮา เพียงรู้ข่าวก็ยิ้มร่าเริงมาทั้งวันจนถึงตอนนี้ แม้แต่เรื่องพระสนมที่ทำความผิดมากมายก็ยังไม่ทำให้อารมณ์ของไทเฮาขุ่นมัวได้นาน“เยว่ฮองเฮาเจ้าจะต้องบำรุงร่างกายให้มากๆ และมีหลานให้ข้าเร็วๆ เข้าใจหรือไ
เมื่อเฟยห้าวเทียนเห็นว่าทำเช่นไรเยว่ลี่อิงก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมให้เขาค้างที่ตำหนัก และเขาเองก็ไม่คิดที่จะกลับไปนอนที่ตำหนักตนเองอย่างแน่นอน จึงได้อ้างเรื่องการหาหลักฐานที่นางยังหาไม่ได้มาเป็นข้ออ้าง“เจ้ายังหาหลักฐานเอาผิดสนมฉินหวงกุ้ยเฟยไม่ได้ใช่หรือไม่ วันนี้ถึงยังไม่ตัดสินความให้จบ” เฟยห้าวเทียนเอ่ยพร้อมจดจ้องใบหน้างามเพื่ออ่านความคิดของนางเยว่ลี่อิงที่นั่งทำสีหน้าไม่พอใจก็เปลี่ยนสีหน้าไปในทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของเฟยห้าวเทียน เพราะมันเป็นอย่างที่เฟยห้าวเทียนพูดจริงๆ นางยังไม่สามารถที่จะหาหลักฐานมากพอที่จะใช้มัดตัวสนมฉินได้ ที่จริงหากเป็นนางสนมนางอื่นเพียงหลักฐานที่วางยาห้ามครรภ์สนมทั้งหลายก็อาจมากเพียงพอ แต่สำหรับสนมฉินหวงกุ้ยเฟยมันไม่ง่ายเช่นนั้นเลย เพราะถ้าความผิดไม่มากพอท่านอัครเสนาบดีพ่อของนางย่อมเข้ามาช่วยเหลือนางเป็นแน่ห้าวเทียนฮ่องเต้โบกมือเพื่อไล่นางกำนัลขันทีในห้องออกไป ทุกคนต่างหันมามองที่เยว่ฮองเฮาว่าจะปฏิเสธหรือไม่ เพราะตั้งแต่เข้าห้องมาคนหนึ่งไล่คนหนึ่งเรียกจนพวกเขาทำตัวไม่ถูก แต่เมื่อเห็นว่าเยว่ฮองเฮานิ่งเงียบพวกเขาเลยรีบออกไปทันทีเกากงกงรีบเอ่ยให้ทุกคนถอยห่างจากหน้
เหล่านางกำนัลที่อยู่ด้านนอกพยายามห้ามเฟยห้าวซุนแล้วแต่ก็ห้ามไม่ได้ เพราะทุกคนต่างรู้ว่าหากเฟยห้าวซุนได้ร้องไห้แล้วจะไม่หยุดง่ายๆ พวกเขาจึงไม่กล้าขัดใจมากนัก เฟยห้าวซุนเมื่อเห็นบิดาเปิดประตูให้ก็รีบวิ่งเข้าไปด้านในทันที เยว่ลี่อิงเห็นบุตรชายวิ่งมาด้วยน้ำตาก็รีบเข้าโอบกอดบุตรชายไว้แน่น แต่นางกลับต้องแปลกใจเพราะครั้งนี้บุตรชายของนางกลับไม่ร้องไห้โวยวายนานเท่ากับครั้งที่ผ่านๆมาเฟยห้าวซุนลูบท้องมารดาเบาๆอยู่หลายครั้ง พร้อมทั้งทำหน้าทำตาราวกับมีความสงสัยอยากถามแต่ไม่ยอมเอ่ย นางจึงเป็นคนเอ่ยถามบุตรชายก่อน“เจ้าลูบท้องแม่เพราะอะไรอย่างนั้นหรือ”“ท่านอาฟางซินให้ลูกลูบท้องตอนน้องดิ้น ลูกเลยมาลองลูบท้องเสด็จแม่บ้าง เพื่อน้องจะดิ้น”เยว่ลี่อิงอดเอ็นดูในความใสซื่อของบุตรชายไม่ได้ จึงส่งยิ้มหวานให้เขา“ในท้องของแม่ไม่มีน้องอยู่ แล้วน้องจะดิ้นได้อย่างไร” นางเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม แต่บุตรชายกลับร้องไห้เสียงดังขึ้นมา ทำเอานางถึงกับตกใจเฟยห้าวเทียนรีบเข้ามาหาบุตรชายของตนเมื่อได้ยินคำสนทนาของแม่ลูก เขาใช้มือลูบหัวลูกชายเบาๆ แต่เขาก็ไม่ยอมหยุดร้อง“เจ้าอยากมีน้องอย่างนั้นหรือ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ค
4 ปีต่อมาเขานั่งมองบุตรชายที่วิ่งเล่นไปมากับเฟยห้าวเทียนก่อนที่จะหันมาหาภรรยาเพื่อจะชวนนางให้ออกไปจากอุทยานด้วยกันสองคน เพราะตั้งแต่เจ้าก้อนแป้งตัวน้อยลืมตาดูโลกเขากับนางก็แทบจะไม่ได้ร่วมหอกันเลยช่วงแรกๆเป็นเพราะนางอยากให้นมบุตรด้วยตนเองจึงเอาลูกเข้านอนด้วย ช่วงนั้นเขาก็มัวแต่ยุ่งกับการจัดการตระกูลฉินจึงไม่มีเวลามาคอยดูแลนางมากนัก เมื่อกลับมาเห็นนางอ่อนเพลียเขาจึงไม่กล้ารบกวนนาง ต่อมาเมื่อลูกชายโตขึ้นก็เริ่มติดแม่จนไม่ยอมออกห่างแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังพอมีเวลาที่บุตรชายหลับในการออดอ้อนนางบ้าง แต่ปีกว่าๆมานี้ลูกชายของเขาไม่ยอมให้เขาได้เข้าใกล้นางเลย แม้แต่เขาจะโดนเนื้อต้องตัวนางก็ยังยากต้องรอให้บุตรชายของเขาไม่เห็นเท่านั้นจึงจะสามารถทำได้ไม่ว่าเขาจะปะเหลาะบุตรชายอย่างไร เขาก็ไม่สามารถแตะต้องตัวภรรยาของเขาได้เสียที หากบุตรของเขาเห็นว่าเขาโดนเนื้อตัวมารดาก็มักจะร้องไห้ไม่หยุดไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ต้องหาวิธีปลอบใจอยู่นานถึงจะยอมเงียบได้“เสด็จแม่ ท่านจะไปไหน” เสียงเด็กน้อยดังขึ้น เมื่อเห็นเยว่ลี่อิงกำลังจะลุกจากตั่งนั่งเฟยห้าวเทียนได้แต่ถอนหายใจยาว เมื่อได้ยินเสียงบุตรชายเอ่ยเรียกภรรย
เฟยห้าวเทียนได้ยินคำพูดของนางก็แทบจะอดกลั้นอารมณ์ของตนเองไว้ไม่ไหว เขาพยายามผ่อนลมหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ เพื่อระงับความตื่นตัวของแก่นกายที่ตอนนี้ไม่รับฟังคำสั่งของเขาเสียเลยแต่เขากลับต้องสะดุ้งจนขนตามตัวลุกชันเมื่อมีมือน้อยๆสัมผัสโดนสิ่งที่พองโตอยู่ด้านล่าง เขารีบคว้ามือน้อยนั้นไว้ทันทีเพราะหากลูบคลำไปมากกว่านี้เขาเองคงต้านความปรารถนาไว้ไม่ไหว“ไม่ใช่ว่าข้าไม่ต้องการเจ้า แต่เพราะข้ากลัวจะทำรุนแรงเกินไปจนเป็นอันตรายต่อเจ้าและลูกได้”เยว่ลี่อิงกลับไม่สนใจฟังคำที่เขาเอ่ย เพราะนางรู้ดีว่าที่ผ่านมาเขาอดกลั้นมาตลอดเวลาที่นอนอยู่เคียงข้างนาง และวันนี้นางก็ได้ศึกษาและได้คำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์บวกกับนางได้ตรวจร่างกายมาเป็นอย่างดีแล้ว จึงไม่ได้คิดเป็นกังวลเรื่องอันใดอีก“พระองค์รู้หรือไม่เพคะ ว่าสตรีที่ตั้งครรภ์ในบางช่วงจะมีความต้องการในเรื่องแบบนี้สูง และหากไม่ได้ปลดปล่อยจะทำให้หงุดหงิดซึ่งไม่เป็นผลดีนัก”เฟยห้าวเทียนถึงกับอึ้งนิ่งไป และปล่อยมือออกจากมือของนางเมื่อได้ยินในสิ่งที่นางเอ่ย“เจ้าแน่ใจแน่แล้วใช่หรือไม่”“เพคะ หม่อมฉันแน่ใจ พระองค์เพียงปล่อยให้หม่อมฉันเป็นคนจัดการเองก็พอ”“เช่นนั้
“พวกท่านนี้ก็แปลกเสียจริง หากพระชายาของเราไม่ตั้งครรภ์พวกท่านก็จะให้เราแต่งชายารอง ตอนนี้นางตั้งครรภ์พวกท่านก็ยังจะให้เราแต่งชายารองอีก ตกลงพวกท่านต้องการอย่างไรกันแน่ หรือเพราะพวกท่านเพียงอยากส่งบุตรสาวของพวกท่านมาแต่งกับข้าจึงได้หาข้ออ้างให้ข้าแต่งชายารองใช่หรือไม่”ทุกคนต่างนิ่งเงียบไปชั่วหนึ่งจนอัครเสนาบดีฉินกระแอมดังขึ้นมา ขุนนางชราที่ยืนอยู่ข้างอัครเสนาบดีฉินก็รีบเอ่ยขึ้น“ทูลฝ่าบาท พวกกระหม่อมหาได้คิดดังเช่นองค์รัชทายาทตรัสไม่ เพียงแต่ข่าวลือหนาหูยิ่งนักว่าองค์รัชทายาททรงยอมปิดหน้าปิดตาสวมใส่หน้ากากเพื่อจะได้อยู่ใกล้กับพระชายา พวกกระหม่อมเลยคิดจะหาคนมาปรนนิบัติองค์รัชทายาท เพื่อไม่ให้องค์รัชทายาททรงต้องลำบากเพื่อไปหาพระชายาให้คอยปรนนิบัติ”“ขอบคุณเหล่าขุนนางทุกท่านที่เป็นห่วงเราจากใจ แต่เราไม่ได้มีความลำบากอย่างที่พวกท่านคิด เราไม่รู้ว่าภรรยาของพวกท่านไร้ความสามารถที่จะคอยดูแลปรนนิบัติพวกท่าน หรือเป็นที่พวกท่านมักมากกันแน่ แต่เพราะพระชายาเราดูแลเราดีมากพอ และเราก็หาใช่บุรุษที่มักมากแค่เพียงภรรยาตั้งครรภ์ก็ต้องหาสตรีอื่นมาปรนนิบัติ เช่นนั้นเราจึงไม่จำเป็นที่จะต้องมีชายาเพิ่มเช่น
ตำหนักบูรพาเมื่อกลับมาถึงตำหนักเฟยห้าวเทียนก็ให้หมอหลวงตรวจร่างกายของเยว่ลี่อิง เพราะระหว่างทางกลับมานางมีอาการแพ้ท้องมาตลอดทาง ไม่รู้ว่าเหตุใดยิ่งเขาเข้าใกล้นาง นางก็ยิ่งอาการหนักขึ้นจนนางต้องไล่เขาออกไปไกลๆ แต่พอให้คนอื่นมาพยุงนางกลับไม่เป็นอันใดเสียอย่างนั้น ทำให้เขารู้สึกลังเลใจเป็นอย่างมาก ว่าที่นางเป็นอยู่นี้นางเป็นจริงหรืออยากกลั่นแกล้งเอาคืนที่เขาเคยเฉยเมยต่อนาง“กราบทูลองค์รัชทายาทพระชายามีพระวรกายแข็งแรงดีไม่มีอันใดน่าเป็นห่วงพ่ะย่ะค่ะ ส่วนอาการคลื่นไส้ อาเจียนก็เป็นเรื่องธรรมดาของสตรีมีครรภ์เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”“เช่นนั้นทำไมถึงมีอาการแพ้เพียงตอนเราเข้าใกล้ แต่ทีกับคนอื่นกลับไม่เป็นอันใด” เฟยห้าวเทียนเอ่ยถามอย่างเป็นกังวลและสงสัยหมอหลวงอึ้งไปพักหนึ่งเพราะเขารู้ดีว่าองค์รัชทายาทย่อมรู้สึกหงุดหงิดที่ไม่สามารถเขาใกล้พระชายาของตนได้ แต่ยังโชคดีที่เขาเคยเห็นสตรีที่มีอาการแพ้ท้องสามีของตนเองมาก่อนจึงพอรู้วิธีแก้อยู่บ้าง แต่จะให้บอกสาเหตุเขาเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้“กระหม่อมไม่ทราบสาเหตุพ่ะย่ะค่ะ เพราะสตรีที่ตั้งครรภ์แต่ละคนจะแพ้ท้องไม่เหมือนกัน แต่กระหม่อมเคยพบเจอคนแพ้ท้องที่มีอาการแ
เมื่อได้ยินข้อแม้ของบิดาเฟยห้าวหลานหันมามองพี่ชายของตนด้วยสายตาไม่พอใจก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงดังฟังชัด“รอให้เสด็จพี่มีบุตร ลูกว่าเสด็จพ่อให้ลูกแต่งเข้าสกุลกงแล้วให้ลูกมีหลานให้เสด็จพ่อยังจะเร็วเสียกว่า ลูกจะไปถามหรงเอ๋อร์ว่าลูกคนแรกของเรายกให้ตระกูลเฟยได้หรือไม่”เฟยห้าวเทียนถึงกับตบโต๊ะเสียงดัง และชี้นิ้วไปยังน้องชายของเขา เฟยห้าวเทียนเองก็ไม่คาดคิดว่าจะถูกบิดาเล่นงานด้วยเช่นกัน แต่นั่นก็ไม่น่าโมโหเท่ากับคำพูดของน้องชาย“เจ้าช่างกล้าดูถูกข้ายิ่งนัก”สองสามีภรรยาที่นั่งดูบุตรชายทั้งสองอยู่กลับหัวเราะออกมาเสียงดัง เพราะเขารู้ดีว่าที่บุตรชายคนเล็กเอ่ยนั้นไม่ได้คิดจะดูถูกพี่ชายเพียงแต่จะกระตุ้นพี่ชายให้มีบุตรไวๆเท่านั้นเยว่ลี่อิงเห็นสามีกำลังโกรธน้องชายก็เอื้อมมือมาจับมือเขาและลูบหลังมือของเขาเบาๆเพื่อให้เขาใจเย็นลง ก่อนจะส่งยิ้มหวานให้เขา เฟยห้าวเทียนเมื่อหันมามองหน้าภรรยาก็ยิ่งนึกโกรธเพราะหลายวันมานี้นางไม่ยินยอมให้เขาค้างที่เรือนนอนด้วยยังไม่พอ ยังคอยหลบหน้าหลบตาเขาอีกด้วย แถมวันนี้น้องชายยังมาดูถูกเขาอีก และที่สำคัญตอนนี้นางทำเหมือนราวกับจะอาเจียนเมื่อมองหน้าเขา เขาจึงทำหน้าไม่พอใจใส่น
เฟยห้าวหลานได้ยินเสียงบิดาตวาดขึ้นมาก็นึกได้ว่าตนเผลอตัวไปเสียแล้ว จึงรีบเอ่ยขอโทษบิดาก่อนที่จะหาข้ออ้างแก้ตัวให้กับตนเอง“เสด็จพ่อลูกขอโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ ลูกเพียงแค่ได้ยินเรื่องน้องสาวของพี่สะใภ้แล้วรู้สึกเป็นห่วงนางจึงอุทานดังไปหน่อยเท่านั้น ไม่ได้เจตนาจะทำให้เสด็จพ่อต้องตกใจ”“เจ้าเป็นห่วงอันใดอย่างนั้นหรือ น้องชายของข้า” เฟยห้าวเทียนรีบเอ่ยถามเพื่อเย้าแหย่ผู้เป็นน้อง แต่น้องชายกับกล่าวอย่างจริงจังกลับมา“เสด็จพี่ลองคิดดูสิพ่ะย่ะค่ะว่าตระกูลชนชั้นสูงหรือเหล่าขุนนางใดที่จะยอมให้บุตรชายของตนไปแต่งเข้าบ้านสตรี หากจะมีก็น้อยยิ่งนัก ส่วนมากก็จะเป็นเพียงตระกูลของชาวบ้านธรรมดา และอีกอย่างข้ากลัวน้องสาวของพี่สะใภ้จะถูกผู้ชายไม่ดีคิดหวังในทรัพย์สมบัติมาหลอกลวง”“นั้นสินะ ก็จริงอย่างเจ้าว่า เสด็จพ่อเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะถ้าเป็นพระองค์จะยินยอมให้หลานเอ๋อร์แต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เฟยห้าวเทียนเอ่ยเห็นดีเห็นงามกับน้องชายก่อนที่จะหันไปถามบิดามารดาเพื่อหยั่งเชิงแทนน้องชายเฟยห้าวเทียนเหลือบสายตาดูน้องชายหลังจากที่เขาถามบิดามารดาเสร็จ ก็เห็นว่าน้องชายของเขาใจจดใจจ่ออยู่กับการรอฟังคำตอบเป็นอย
ตำหนักบูรพาตั้งแต่ที่เฟยห้าวเทียนได้รับแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาทเขาก็เริ่มจัดการทุกอย่างที่เขาได้เห็นในฝัน เพื่อเตรียมการทุกอย่างให้พร้อมและไม่อยากให้เหตุการณ์ที่ไม่ดีอย่างเช่นในฝันนั้นเกิดขึ้นเฟยห้าวเทียนขอฮ่องเต้เป็นผู้คุมสอบขุนนางและขอเป็นผู้ออกข้อสอบด้วยตนเอง ทำให้ขุนนางทั้งหลายไม่สามารถใช้เส้นสายในการโกงข้อสอบได้ และไม่สามารถฝากลูกหลานตนเองเข้ามาเป็นขุนนางได้ ทำให้ถังป๋อเหวินสามารถสอบขุนนางติดและกล้าไปเอ่ยขอเหอฟางหรงกับเสนาบดีกรมคลังเหอ ถึงตอนนี้เสนาบดีกรมคลังเหอจะยังไม่ยินยอม แต่เขาก็รับรู้แล้วว่าบุตรสาวมีคนที่อยู่ในใจแล้วส่วนตัวเฟยห้าวเทียนกับหลี่ฟางซินถึงจะพบหน้ากันยามที่นางมาหาเยว่ลี่อิงแต่เขาก็ไม่ได้คิดอันใดต่อนางอีกแล้ว ส่วนนางเองก็ดูเหมือนจะเสียใจอยู่พักหนึ่งจากที่เยว่ลี่อิงเล่าให้เขาฟัง เพราะในที่สุดหลี่ฟางซินก็บอกความจริงแก่เยว่ลี่อิงทุกเรื่อง แต่เยว่ลี่อิงก็ให้อภัยหลี่ฟางซินถึงตอนแรกจะโกรธแต่พอได้ต่อว่าไปบวกกับหลี่ฟางซินคอยแวะมาง้ออยู่สองสามครั้ง ทั้งสองก็กลับมาสนิทกันเหมือนเดิมราวกับไม่มีอันใดเกิดขึ้นส่วนตัวเขาเองก็ชดเชยที่หมางเมินต่อเยว่ลี่อิงมาตลอด ด้วยการดูแลเ
หลังจากเสร็จพิธีแต่งตั้งองค์รัชทายาท เฟยห้าวเทียนก็รีบไปหาหลี่ฟางซินตามที่ได้นัดหมายเอาไว้ก่อนหน้านี้“ถวายพระพรองค์รัชทายาทเพคะ” หลี่ฟางซินเอ่ยพร้อมทำความเคารพเฟยห้าวเทียนที่เพิ่งได้รับตำแหน่งองค์รัชทายาทด้วยท่าทางและน้ำเสียงหยอกล้อแต่เฟยห้าวเทียนกับนิ่งเงียบไม่ตอบโต้นางเหมือนเช่นที่ผ่านๆ มา เพราะปกติแล้วเขาจะต้องหัวเราะและเอ่ยตอบนาง เมื่อเห็นท่าทางที่นางเย้าแหย่เขา แต่บัดนี้หน้าตาเขาเรียบเฉยราวมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น“เกิดอันใดขึ้นหรือเพคะ ทำไมวันนี้พระองค์ดูเคร่งเครียดเหลือเกิน หรือพระชายาทำอะไรให้ไม่พอพระทัยมาอย่างนั้นหรือเพคะ”เฟยห้าวเทียนถอนหายใจออกเฮือกใหญ่ เพราะหลังจากที่เขารับตำแหน่งองค์รัชทายาทเสร็จเขาก็ลองตรวจสอบว่าสิ่งที่เขาฝันนั้นส่วนมากเป็นเรื่องจริงมากน้อยเพียงใดโดยเริ่มถามเสด็จพ่อเป็นคนแรกเรื่องเกี่ยวกับองครักษ์เงาที่ส่งมาคอยดูแลเขาว่าเป็นของคนที่ตระกูลเยว่ฝึกมาหรือไม่ และยังแอบกระซิบถามแม่ทัพเยว่เรื่องการใช้ความดีความชอบมาขออภิเษกระหว่างเขากับเยว่ลี่อิงอีกด้วยในเมื่อทั้งหมดมันตรงกับความฝันที่เขาได้ฝันถึง เขาจึงคิดจะยุติทุกอย่างเพื่อไม่ให้เรื่องเลวร้ายมันเกิดขึ้นตามที