เฉินหลี่เจินนางเก็บทุกอย่างล้างจนเสร็จเรียบร้อยก็เดินสำรวจทุกอย่างในครัว ซึ่งก็เป็นที่น่าพอใจอย่างมาก ข้าวสารนั้นมีอยู่เต็มถังไม้ใบใหญ่ ซึ่งยังไม่มีการตักใช้เลย ในตะกร้าก็มีไข่อยู่เต็ม แป้ง เกลือ น้ำตาลกรวด น้ำปรุงรส น้ำมัน ถั่วและพวกธัญพืชต่างๆ ล้วนถูกเติมเอาไว้เต็มโถ ผักดอง กุ้งแห้ง เนื้อปลาตากแห้งและยังมีเนื้อหมูตากแห้งอีกด้วย ทุกอย่างล้วนยังไม่ถูกนำมาใช้ คงเป็นบิดาของเด็กน้อยที่จัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้ให้ ช่างเป็นสามีและบิดาที่แสนดีจริงๆ และนางยังจำได้ว่าอีกฝ่ายได้มอบเงินเก็บทั้งหมดให้กับเจ้าของร่างก่อนไปด้วย แต่เจ้าของร่างนี้กลับไม่สนใจสิ่งใดเลยช่างน่าเศร้านัก แต่ไหนๆ อีกฝ่ายก็ตายไปแล้ว ตอนนี้นางคือเฉินหลี่เจิน จะไปต่อว่าคนตายก็กระไรอยู่ ต่อไปตนแค่ทำหน้าที่แทนนางให้ดีที่สุดก็พอ
คิดได้เช่นนั้นก็ลงมือจุดไฟ ซึ่งไม่ต้องกังวลเรื่องไม้ฟืนและถ่านที่ใช้สำหรับหุงหาอาหาร นางเห็นว่าตรงด้านหลังเรือนนั้นมีทั้งไม้ฟืนและถ่านอยู่เต็มโรงเก็บ ก็เจ้าของเรือนมีอาชีพเผาถานจะขาดแคลนได้อย่างไร อาหารมื้อแรกในวันนี้ นางจะทำข้าวต้มธรรมดาใส่พุทราจีนสักเล็กน้อย มีเครื่องเคียงเป็นเนื้อปลาตากแห้งทอดกรอบและผักดอง การที่เด็กอดอาหารมาเป็นเวลานานก็ควรจะทานอาหารอ่อนๆ ก่อน ไม่เช่นนั้นจะปวดท้องได้ เพิ่มไข่ต้มอีกสักสองฟองก็ถือว่าได้รับสารอาหารที่ดี
เมื่อคิดเมนูได้จึงลงมือต้มข้าวต้มเป็นสิ่งแรก ในขณะที่รอให้ข้าวต้มเดือด ก็เก็บกวาดเช็ดถูจนในห้องครัวสะอาดเอี่ยม ข้าวของทุกอย่างล้วนถูกจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบ หยิบใช้ได้ง่าย แม้ห้องครัวจะเล็กและแคบไปบ้างแต่ก็ดูสบายตาน่าใช้สอยขึ้นเป็นกอง คอยเดินมาคนข้าวต้มในหม้อเป็นระยะเพื่อไม่ให้ข้าวจับตัวเป็นก้อน เมื่อข้าวต้มได้ที่ ก็ทอดเนื้อปลาตากแห้งต่อ ในระหว่างที่ทอดปลาก็หั่นผักดองไปด้วยเลย นางแบ่งผักดองออกเป็นสองถ้วย ถ้วยใบเล็กนั้นสำหรับเด็กน้อย ส่วนอีกถ้วยนางปรุงรสให้มีรสจัดขึ้นเติมพริกและเครื่องปรุงนิดหน่อย และแน่นอนมันเป็นของนาง หลี่เจินนางทำทุกอย่างอย่างคล่องแคล่วและรวดเร็ว ไม่ปล่อยให้เวลาสูญเปล่า ฝีมือในการทำอาหารของนางก็ถือว่าดีมาก เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นก็เหลือเพียงต้มไข่ นางต้มไข่ทิ้งไว้บนเตาที่เหลือเพียงไฟอ่อนๆ เมื่อไข่สุกไฟคงมอดพอดี
นางอยากจะเก็บกวาดห้องนอนห้องนั้นของนางให้เสร็จเรียบร้อยภายในวันนี้ หากให้นอนในสภาพเช่นตอนที่ฟื้นขึ้นมา นางคงไม่อาจรับไหว นางคงต้องตายอีกรอบเพราะกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่อวลอยู่ในห้อง ส่วนบริเวณห้องโถงนี้ไว้ค่อยเก็บเป็นลำดับต่อไป เรือนหลังนี้แบ่งออกเป็นสามห้อง มีเพียงห้องครัว ห้องนอนของนางและห้องโถงที่เป็นห้องสารพัดประโยชน์ทั้งใช้ทานข้าวและเป็นที่หลับนอนของสองพ่อลูก ตรงมุมหนึ่งของห้องโถงนั้นเป็นที่เด็กน้อยใช้อาศัยนอนในทุกคืน มีเพียงฟูกบางๆ ใช้รองนอน หมอนหนึ่งใบและผ้าห่มที่ถูกพับเอาไว้อย่างเรียบร้อยวางอยู่บนหีบขนาดกลาง คงจะเอาไว้สำหรับเก็บเสื้อผ้า และคงมีเพียงมุมนี้กระมังที่ดูเป็นระเบียบที่สุดในเรือน
เมื่อเข้ามาภายในห้องนอนอีกครั้งปรากฏว่าบุตรชายตัวน้อยนั้นยังไม่ตื่น นางไม่อยากจะปลุกเขา เพราะดูท่าว่าเขาจะอ่อนเพลียมาก เขาคงจะดูแลผู้เป็นมารดาตลอดทั้งคืน หลี่เจินนางเดินตรงไปเปิดหน้าต่างภายในห้องเป็นอย่างแรก สายตากวาดมองรอบห้องอย่างหวาดระแวง นางกลัวว่าจะมีหนูตัวโตโผล่ออกมาอีก นางไม่ชอบหนูเลยให้ตายเถอะ ห้องรกและสกปรกขนาดนี้คงไม่ต้องพูดถึงแมลงสาบ เพียงแค่นึกถึงขนอ่อนของนางก็ลุกพรึบ นางไม่ชอบสถานการณ์เช่นนี้เลยจริงๆ
หลี่เจินนางเริ่มจากเก็บผ้าสกปรกคล้ายดังผ้าขี้ริ้วที่กองอยู่ตามพื้นออกไปทิ้งอย่างระมัดระวัง เมื่อเก็บหมดก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งใจที่ไม่มีตัวอะไรโผล่ออกมาให้เห็น จากนั้นจึงรื้อฟูกนอนและเครื่องนอนทุกชิ้นออกไปผึ่งเอาไว้ด้านนอกให้แสงแดดช่วยขจัดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ แต่ดูจากสภาพแล้วคงจะมีเพียงฟูกนอนเท่านั้นที่ยังพอจะใช้งานได้ ผ้าห่มและหมอนนั้นเปื่อยยุ่ยจนแทบจะเป็นผ้าเน่า ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ว่าเจ้าของร่างเดิมจะเคยได้ชื่อว่าเป็นโฉมสะคราญผู้งดงามเป็นหนึ่ง
เมื่อเดินกลับเข้าไปในเรือนจึงลงมือปัดกวาดเช็ดถูจนแทบจะไม่เหลือเค้าโครงของห้องที่สกปรกเลอะเทอะ กว่าห้องนี้จะสะอาดเล่นเอานางแทบจะหมดแรง แต่ผลที่ออกมาก็ถือเป็นที่น่าพอใจ มือบอบบางยกขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลซึมหน้าผาก ก่อนจะยกหีบทั้งหมดของเจ้าของเดิมออกมาสำรวจ แต่ยังไม่ทันได้เปิดออกดูสายตาก็เหลือบไปเห็นดวงตากลมโตของเจ้าลูกแมวน้อยกำลังจ้องมองนางอยู่ สายตาคู่นั้นมองนางอย่างตื่นตะลึงอยู่ไม่น้อย อาจจะเป็นเพราะนางดูสะอาดสะอ้านขึ้นกระมัง
"ตื่นแล้วหรือ เปาเป่า"
เสียงหวานที่เอ่ยออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม เอ่ยถามเขาอย่างอ่อนโยน ท่านแม่ยิ้มให้เขา รอยยิ้มที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ดวงตาใสแจ๋วคู่นั้นดูเคลิบเคลิ้ม ท่านแม่ยิ้มแล้วงามมาก เขาคงกำลังอยู่ในห้วงแห่งฝันเป็นแน่ ช่างเป็นความฝันที่ดีที่สุด จนเขาไม่อยากที่จะตื่น
"เปาเป่า"
หลี่เจินเอ่ยเรียกเจ้าลูกแมวน้อยที่กำลังจ้องมองนางตาไม่กะพริบ จนทำให้นางรู้สึกอึดอัดอยู่ไม่น้อย แต่ดวงตาที่ทอประกายแห่งความสุขในดวงตาแวววาวคู่นั้นช่างน่าเอ็นดูยิ่งนัก
เสียงอันอ่อนหวานนั้นทำให้เด็กน้อยพลันได้สติ เขาเกร็งกายขึ้นเมื่อสัมผัสได้ว่ามันมิใช่ความฝัน จ้องมองผู้เป็นมารดาอยู่เช่นนั้น เขาไม่กล้าขยับ แม้แต่หายใจแรงๆ ก็ไม่กล้า แม้จะสงสัยว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับผู้เป็นมารดา เขาไม่กล้ากะพริบตาด้วยซ้ำเพราะกลัวว่าภาพตรงหน้าจะหายไป
"เปาเป่า"หลี่เจินนางเอ่ยเรียกเด็กน้อยเสียงเบา มองสบแววตากลมโตคู่นั้นอย่างไม่อาจที่จะบรรยายความรู้สึก แล้วเอ่ยประโยคที่ทำให้หัวใจของนางเต้นแรง"มาหา...แม่สิ"เมื่อเปล่งคำนั้นออกไป นางรับรู้ถึงความเต็มตื้นในจิตใจ รู้สึกรักและผูกพันกับเด็กชายตรงหน้าขึ้นมาอย่างประหลาด มือผอมบางทั้งสองค่อยๆ ยกขึ้น ยื่นไปด้านหน้า นางมองสบตาเด็กน้อยอย่างรอคอยเจ้าตัวเล็กนั้นจ้องมองการกระทำของสตรีตรงหน้าด้วยดวงตาสั่นไหว เขาเป็นเพียงเด็ก แค่เพียงเห็นความอ่อนโยนของคนตรงหน้าก็ลดอาการเกร็งตัวและหวาดกลัวลง ลืมเลือนความเจ็บปวดที่เคยได้รับจนหมดสิ้น ยิ่งคนตรงหน้าคือมารดา คือคนที่เขาโหยหาอ้อมกอดและอยากจะเป็นที่รักของนางมากที่สุด เขาจึงไม่ลังเลเลยที่จะโผเข้าหาอ้อมแขนนั้นร่างเล็กที่พุ่งเข้ามากอดนางเอาไว้แน่น ทำให้หลี่เจินผละไปด้านหลังเล็กน้อยกับแรงปะทะนั้น แม้จะตกใจบ้างในคราแรก แต่ต่อมานางก็ยิ้มและหัวเราะออกมา เมื่อรับรู้ถึงความยินดีของเจ้าตัวน้อย เอ่ยกับเจ้าลูกแมวที่ซุกใบหน้าอยู่ในอ้อมแขนของนางเสียงสั่นเครือ"ขอโทษ แม่...ขอโทษนะเปาเป่า"เสียงหวานเอ่ยออกมาอย่างสั่นเครือ รู้สึกจุกแน่นร้าวไปทั้งอก น้ำตาหลั่งไหลออกมาอย่า
หลี่เจินนางจ้องมองเจ้าตัวเล็กที่ถูกนางจับอาบน้ำขัดถูขี้ไคลจนสะอาดสะอ้านด้วยตาเป็นประกาย เส้นผมหนานุ่มที่ปกคลุมศีรษะทุยเล็กถูกนางสระจนหอมกรุ่น ผิวของเขานุ่มนิ่มขาวนวลราวกับเต้าหู้ คิ้วตาจมูกปากล้วนได้รูปน่ามอง หากโตขึ้นเขาคงเป็นบุรุษที่รูปงามมาก"เปาเป่าของแม่รูปงามยิ่งนัก"เปาเป่าน้อยที่ตอนนี้ตัวหอมกรุ่น แก้มขาวๆ ของเขานั้นแดงเรื่อ ใบหูเล็กแดงก่ำอย่างน่าเอ็นดู เขารู้สึกเขินอายกับคำชมของมารดาเป็นอย่างมาก ท่าทางน่าเอ็นดูนั้นทำให้หลี่เจินไม่อาจอดใจไหวต้องดึงเจ้าตัวเล็กนั้นมากอดมาหอมเสียหลายฟอด นั่นยิ่งทำให้เปาเป่าหัวใจพองโต มารดาหอมแก้มเขานั่นหมายถึงมารดารักเขามาก ต่อไปเขาจะอาบน้ำทุกวันหลังจากขัดถูสิ่งสกปรกให้บุตรชายจนเกลี้ยงเกลา นางก็ปล่อยให้เขาได้เล่นน้ำสักครู่ ส่วนนางก็หันมาแกะเม็ดบัวออกจากฝัก ก่อนจะเดินมาถึงลำธาร เปาเป่านั้นบอกว่าจะพานางไปดูดอกเหลียนฮวาที่กำลังบานสะพรั่ง มันงดงามมาก เขาอยากให้นางได้เห็น ถัดไปจากลำธารเดินลงใต้ไปไม่ไกลมากนักเป็นบึงบัวขนาดใหญ่ที่ความยาวนั้นไกลสุดสายตา ดอกบัวกำลังพากันเบ่งบานเต็มบึงหลากหลายสี เหล่าผีเสื้อและแมลงบินวนโฉบไปโฉบมา บางตัวก็กำลังดอมดมดอกเหลี
วันนี้ตลอดทั้งวันสองแม่ลูกต่างช่วยกันทำความสะอาดเรือนครั้งใหญ่ ในที่สุดเรือนหลังน้อยก็มีสภาพที่น่าอยู่มากยิ่งขึ้น ดูสะอาดสะอ้านสบายตา แต่ก็ยังมีอีกหลายจุดที่ต้องซ่อมแซม รอให้อะไรหลายๆ อย่างลงตัวมากกว่านี้ ค่อยมาว่ากันอีกที เมื่อดวงตะวันลาลับขอบฟ้า ความมืดมิดมาเยือน หลี่เจินนางจุดตะเกียงและเชิงเทียนทั้งหมดที่มีอยู่ แต่แสงสว่างของมันช่างน้อยนิด นางไม่คุ้นชินกับแสงสลัวเช่นนี้เลยเด็กน้อยเปาเป่าที่ดูจะง่วงงุนเต็มที คว้าเอาผ้าห่มและหมอนตรงไปยังมุมหนึ่งของห้องโถง สายตาของเด็กน้อยมองหาฟูกนอนของเขาที่นางได้เก็บออกไป นางมองการกระทำนั้นแล้วขมวดคิ้วมุ่น"เปาเป่านั่นลูกจะทำอะไรหรือ"เปาเป่าหันมามองมารดา ดวงตาที่หรี่ปรือนั้นฝืนขึ้นตอบผู้เป็นมารดา"ข้าจะเข้านอนขอรับท่านแม่"หลี่เจินเดินเข้ามาหาบุตรชายคว้าเอาหมอนและผ้าห่มในมือเด็กน้อยมาถือเอาไว้"แล้วเหตุใดจึงจะมานอนตรงนี้เล่า"คำถามของมารดาทำให้เปาเป่าน้อยมึนงง ว่าเหตุใดมารดาจึงถามเช่นนั้นก็ในเมื่อที่ตรงนี้เป็นที่ที่เขานอนในทุกคืน"ไป ไปนอนกับแม่"คำพูดของมารดาทำให้อาการง่วงงุนของเขาหายเป็นปลิดทิ้ง แต่มิได้ทันตั้งตัว หรือคิดทบทวนคำพูดนั้นซ้ำ ร่างเ
หลี่เจินนางนอนกระสับกระส่าย รู้สึกหนาวเย็นจนนอนไม่หลับ จึงได้ลืมตาตื่นขึ้น ภาพเบื้องหน้าที่เห็นทำให้รู้ได้ว่านางหลับไปแล้ว แต่กำลังอยู่ในห้วงแห่งความฝัน ในฝันนั้นนางกำลังยืนอยู่ท่ามกลางหิมะที่กำลังโปรยปราย ถึงว่าเหตุใดนางจึงรู้สึกหนาวจับใจ นางกวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะเห็นว่ามีผู้เฒ่าชราผมขาวราวกับไข่มุกเปล่งประกายยาวละพื้นกำลังมองนางอยู่ นางรู้ได้ในทันทีว่าท่านเป็นเทพเซียนที่นำพานางมายังสถานที่แห่งนี้ นางจึงได้ก้าวเข้าไปคารวะอีกฝ่ายแล้วนั่งลงตรงหน้า"ท่านผู้เฒ่า""ได้พบกันเสียทีนะนังหนู"เสียงแหบแห้งของท่านผู้เฒ่าเอ่ยกับนางอย่างมีเมตตา"ท่านต้องการพบข้า เพราะอยากจะให้พรข้าหรือเจ้าคะ"หลี่เจินนางส่งยิ้มหวานให้ผู้เฒ่าชราผู้นั้น ในหนังในละครก็เป็นเช่นนี้ แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้าให้นางน้อยๆ"เจ้านั้นมีกรรมที่ผูกพันกับคนที่นี่ จึงได้ต้องกลับมาชดใช้ ในภพชาติก่อนเจ้ายังกระทำกรรมกับชีวิตตนเอง หากข้ามอบพรวิเศษแก่เจ้า แล้วจักเรียกว่าชดใช้กรรมได้อย่างไร"หลี่เจินนั้นหุบยิ้มลงในทันใด สีหน้านั้นแสดงออกถึงความผิดหวัง ก่อนจะมองผู้อาวุโสตาปริบๆ"ข้อเดียวก็ไม่ได้หรือเจ้าค่ะ"เฒ่าชราระบายลมหายใจออกมาแล้วหลั
แสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาตามช่องหน้าต่างของเรือนทำให้หลี่เจินรู้สึกตัวตื่น วันนี้นางตื่นสายมากคงเป็นเพราะนางได้หลับไปช่วงรุ่งสาง แต่เปาเป่าบุตรชายของนางก็ยังไม่ตื่นเช่นกัน และสิ่งที่น่าตกใจคือตัวของเด็กชายนั้นร้อนมาก เขากำลังไม่สบายหลี่เจินนางรีบลุกพรวดจากที่นอนด้วยหัวใจที่สั่นระรัว กุลีกุจอเอาน้ำใส่อ่างเล็กและเช็ดตัวให้บุตรชาย เด็กน้อยตัวร้อนราวกับไฟ ริมฝีปากเล็กๆ นั้นแดงก่ำ นางสัมผัสได้ถึงลมหายใจของเขาที่ร้อนผ่าวและรัวเร็ว นางไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน มันทำให้นางรู้สึกกลัว มือนางสั่นน้อยๆ ในขณะเช็ดตัวให้บุตรชาย เพราะนี่คือครั้งแรกที่ต้องดูแลเด็กเล็กที่ป่วย เห็นเด็กน้อยผวาทุกครั้งที่นางใช้ผ้าเช็ดไปตามเนื้อตัวของเขา ดวงตาเด็กน้อยหรี่ขึ้นมองนาง นัยน์ตานั้นแดงเรื่อมีหยาดน้ำเอ่อคลอ เพียงเห็นใบหน้านางเขาก็คลี่ยิ้มออกมา ไม่งอแงแม้แต่น้อย ยอมให้นางเช็ดตัวโดยง่าย นางรู้สึกสงสารจับใจ หัวใจของนางราวกับจะอ่อนแอไปด้วย นี่คงเป็นความรู้สึกของคนเป็นแม่ นี่หรือคือกรรมที่นางต้องชดใช้ เหตุใดความทุกข์ทรมานจึงไม่เกิดแก่นางเพียงผู้เดียวกันเล่าที่นี่ไม่มีโรงพยาบาลมีเพียงหมอชาวบ้านและการใช้ยาต้ม ย
เมื่อค้นพบจุดหมายของตัวเองอีกครั้งหลี่เจินนางจึงลงมือทำอาหารด้วยรอยยิ้ม จิตใจนั้นโปร่งโล่งขึ้น นางจะเดินตามความฝันที่ครั้งหนึ่งมันเคยพังทลายลง แต่ในครั้งนี้มันจะต้องดีกว่าเดิมเพราะนางมีอีกคนอยู่เคียงข้าง นางยังมีอนาคตของบุตรชายที่รอคอยให้นางผลักดันเขาให้มีอนาคตที่สดใส บุตรชายของนางจะต้องไม่มีมารดาเป็นเพียงสตรีขี้เมาไร้ประโยชน์ เขาจะต้องภูมิใจที่มีนางเป็นมารดาหลี่เจินนางลงมือสับหมูด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มวันนี้นางจะทำขนมจีบกุ้งให้บุตรชายได้กิน เมื่อสับหมูเสร็จก็ต่อด้วยการสับกุ้ง จัดการกับของสดเสร็จเรียบร้อยก็หันมาเตรียมเครื่องผสมต่างๆ โดยโขลกรากผักชี กระเทียมและพริกไทยเข้าด้วยกัน นำมาผสมกับกุ้งสับ หมูสับ และต้นหอมซอย เติมเครื่องปรุงเล็กน้อยแล้วนวดทุกอย่างด้วยมือพักเอาไว้ จากนั้นจึงหันมาเตรียมส่วนผสมที่จะทำแผ่นเกี๊ยว หลี่เจินนางมองหาภาชนะสำหรับผสมแป้งจนได้อ่างไม้ขนาดพอเหมาะมาใบหนึ่ง จากนั้นจึงนำแป้งสาลีมาใส่ในอ่างไม้ แล้วทำหลุมตรงกลาง ตอกไข่ไก่ใส่ลงไป ใส่เกลือเล็กน้อยตามด้วยน้ำมัน แล้วค่อยๆ ตะล่อมๆ ผสมแป้ง เติมน้ำเปล่าลงไปทีละนิดๆ แล้วค่อยๆ นวดให้ส่วนผสมเข้ากันดีจากนั้นก็นำผ้าขาวสะอาดมาคล
หลี่เจินเมื่อเดินออกมาก็เห็นเป็นเด็กผู้ชายตัวอวบอ้วนผู้หนึ่ง ที่ดูจากรูปร่างแล้วก็คงจะอายุมากกว่าเปาเป่าของนางอยู่หลายปี แต่เสียงของบุตรชายนางและเจ้าเด็กอ้วนนามต้าสุ่ยผู้นั้นที่คุยกันทำให้นางต้องชะงักฝีเท้าลง"พี่ต้าสุ่ยท่านมาหาข้ามีสิ่งใดหรือขอรับ"เด็กน้อยเอ่ยถามพร้อมกับเปิดประตูรั้วไม้เตี้ยๆ ให้อีกฝ่าย ต้าสุ่ยเมื่อเดินเข้ามายังลานด้านหน้าเรือนให้รู้สึกแปลกประหลาดเมื่อตอนนี้รอบๆ เรือนนั้นดูสะอาดสะอ้านแปลกตา จางต้าสุ่ย บุตรชายของบ้านตระกูลจางที่อยู่ไม่ไกลจากเรือนของหลี่เจินมากเท่าใดนัก ปีนี้เขามีอายุได้เก้าหนาวแล้ว ครอบครัวของพวกเขานั้นทำนาและเก็บของป่า ต้าสุ่ยนั้นเป็นเพื่อนเล่นเพียงคนเดียวที่เปาเป่าให้ความสนิทสนมด้วยและเป็นคนเดียวที่คอยปกป้องเขาไม่ให้เด็กในหมู่บ้านนั้นกลั่นแกล้งรังแก ครอบครัวจางนั้นก็น่าสงสารอยู่ไม่น้อย บิดาของต้าสุ่ยเองก็ต้องเข้าร่วมกับกองทัพเช่นกันทั้งๆ ที่มารดาของเขาพึ่งจะคลอดน้องสาวได้เพียงห้าเดือน นั่นทำให้พวกเขานั้นลำบากมาก แต่ก็ยังมีใจแบ่งอาหารให้เปาเป่าอยู่บ่อยครั้งต้าสุ่ยกวาดสายตาไปด้านหลังของเด็กน้อย เขากำลังมองหาใครบางคน ซึ่งใครคนนั้นก็คือมารดาของเด็กน
หลี่เจินเมื่อออกมาจากร้านแลกเงิน นางก็เดินไปตามท้องถนน สองข้างทางนั้นเต็มไปด้วยร้านรวง ร้านค้าต่างๆ มีข้าวของและสินค้ามากมายให้เลือกสรร ร้านเล็กใหญ่ปะปนกันไป ตลอดสองข้างทางนั้นยังมีการตั้งแผงขายของ เครื่องประดับและของกินมากมาย แม้จะอยู่ในช่วงของศึกสงครามแต่ผู้คนก็ยังหนาตาแม้จะไม่คึกคักเช่นก่อนหน้าก็ตามเหลาอาหารที่มีอยู่หลายแห่งยังหนาแน่นไปด้วยผู้คน มีเพียงโรงเตี๊ยมที่ตอนนี้คล้ายจะดูซบเซาเพราะไม่มีผู้คนและพ่อค้าต่างถิ่นมาเข้าพัก แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาเมื่อเกิดภัยสงครามขึ้นทุกอย่างย่อมต้องหยุดชะงักลง เมืองซีโจวนั้นเป็นเมืองหน้าด่านเป็นศูนย์รวมของการค้า เมื่อมีสงครามก็จำเป็นที่จะต้องปิดเมือง ผลกระทบจึงเกิดไปทั่วเมือง ผู้คนที่เคยหลั่งไหลเข้ามาทำการค้าต่างก็หวาดกลัวภัยสงคราม การค้าที่เคยคึกคักก็หยุดชะงักลง เหล่าชาวบ้านชาวเมืองต่างก็ภาวนาให้ศึกครั้งนี้จบลงโดยเร็ว และฝ่ายตนเป็นผู้กุมชัย บ้านเมืองจะได้ขับเคลื่อนต่อไปเสียที บุตรชายและสามีที่ไปร่วมรบจะได้กลับมาอยู่พร้อมหน้า แต่ถึงแม้ว่าผู้คนจะไม่คึกคักดังเก่า แต่ในอำเภอแห่งนี้ก็ยังมีผู้คนอยู่มากมาย ทางการนั้นเพียงระบุให้แต่ละครอบครัว
เสียงเปิดปิดประตูดังขึ้นอย่างแผ่วเบา ก่อนร่างสูงของบุรุษเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาที่ตอนนี้มีหนวดเคราบางเบาส่งให้เขายิ่งดูหล่อคมมีเสน่ห์น่าหลงใหลซานตงก้าวเดินเข้ามาอย่างแผ่วเบาแล้วหยุดอยู่ตรงด้านหน้าเตียงนอนหลังใหญ่ที่มีร่างอวบอิ่มของภรรยาที่กำลังนอนตะแคงด้านข้างขดกายอย่างน่าเอ็นดู ตอนนี้อายุครรภ์ของนางย่างเข้าเดือนที่เจ็ดแล้วอีกเพียงไม่นานบุตรของเขาก็จะออกมาลืมตาดูโลกเขาจ้องมองใบหน้างดงามของภรรยาที่หลับตาพริ้ม ริมฝีปากอวบอิ่มเผยอขึ้นเล็กน้อยดูมีความสุขราวกับตอนนี้นางกำลังหลับฝันดี แม้นางจะกำลังตั้งครรภ์แต่ก็ยังงดงามเย้ายวนอย่างที่สุด จนคนแอบมองใจกระตุกสั่นไหว เขาอยากจะทักทายเจ้าก้อนแป้งอีกแล้วมือหนาจึงค่อยๆ ปลดอาภรณ์ออกจากเรือนกายแข็งแกร่งที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามจนเหลือเพียงกางเกงตัวในบางเบา เคลื่อนกายหนาเข้าไปนอนซ้อนแผ่นหลังเล็กแผ่วเบาหลี่เจินที่รับรู้ถึงสัมผัสแผ่วเบาของมือใหญ่ที่ลูบไล้ไปตามเนื้อตัวของนาง ศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยเส้นผมดกดำเงางามกับกลิ่นหอมอันคุ้นเคยกำลังซุกไซ้ดอมดมไปทั่วซอกคอและลาดไหล่ขาวนวลที่ไม่รู้ว่าเปล่าเปลือยไปตั้งแต่เมื่อไหร่"ท่านพี่ อ่า"มือเล็กที่ตั้งใจจะยกขึ้นดันศ
แล้วในที่สุดวันมงคลของคุณหนูฉีหลานเฟิ่งและท่านแม่ทัพต้วนฝูชิงก็มาถึง เจ้าสาวในวันนี้นั้นงดงามเป็นอย่างมาก จนผู้ที่มีส่วนในความสำเร็จครั้งนี้นั้นยิ้มแก้มปริ หลี่เจินรู้สึกยินดีกับเด็กสาวผู้นั้นเป็นอย่างมากที่นางจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเสียที เรื่องราวของคุณหนูฉีหลานเฟิ่งและคนรัก ดูเหมือนว่าจะลงเอยกันได้ด้วยดี ดูได้จากสีหน้าของเจ้าบ่าวที่อิ่มเอิบแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข แต่ได้ยินมาว่ากว่าจะปรับความเข้าใจกันได้แม่ทัพต้วนฝูชิงผู้ยิ่งใหญ่แทบจะหลั่งน้ำตากันเลยทีเดียว ต่อจากนี้ไปนางได้แต่อวยพรให้ชีวิตคู่ของทั้งสองมีแต่ความสุข ครองรักกันไปจนแก่เฒ่าวันเวลาผันผ่าน ผู้คนต่างใช้ชีวิตดำเนินไปตามวิถีทางของตัวเอง มีเรื่องราวผ่านมามากมาย รวมไปถึงข่าวคราวจากชายแดนที่ร่ำลือกันอย่างหนาหู ผู้คนที่แวะเวียนเข้ามาใช้บริการในหอเหม่ยฮวาต่างก็กล่าวถึงเรื่องนี้ ข่าวที่ได้รับฟังมานั้นทำให้หลี่เจินตกตะลึงอยู่ไม่น้อย ว่ากันว่าในค่ายทหารรักษาชายแดนมีหญิงงามผู้เป็นนางคณิกาที่ลือเลื่องถึงความร้อนแรง สามารถสร้างความเกษมสำราญให้บรรดาเหล่าทหารกลัดมันจนเลี่ยงชื่อไปทั้งค่าย ใช้เวลาเพียงไม่นานก็ปีนป่ายเป็นนางคณ
เช้าวันรุ่งขึ้นผู้คนต่างโจษจันเกี่ยวกับเรื่องราวในตระกูลเฉินที่ในตอนนี้จวนนายอำเภอถูกปิดเงียบ ไร้เงาของคนภายในจวนไม่เว้นแม้แต่บ่าวไพร่ เฉินอวี่จูถูกสามีหย่าขาดในข้อหาคบชู้สู่ชาย สร้างความอับอายให้แก่ตระกูลเป็นอย่างมาก เดิมทีโทษของนางคือห้าม้าแยกร่าง แต่ด้วยความเมตตาของท่านเจ้าเมืองและเห็นแก่หน้าบิดาของลูกสะใภ้ จึงเพียงเนรเทศนางออกจากเมืองซีโจวไปยังชายแดนทุรกันดาร หลังจากเฉินอวี่จูถูกเนรเทศออกไป ต่อมาก็มีข่าวการแต่งเข้าไปเป็นอนุภรรยาจวนตระกูลฮวนของเฉินอี้ซินผู้เป็นน้องสาวต่างมารดาของเฉินอวี่จู และนั่นก็เป็นที่กล่าวถึงของผู้คนอีกครั้งจนไม่มีผู้ใดที่ไม่รู้เกี่ยวกับถึงเรื่องนี้แม้แต่แม่ทัพตระกูลต้วน ต้วนฝูชิง บุรุษที่ผู้คนต่างรับรู้ว่าเขาคือคนรักของเฉินอี้ซิน ที่มีข่าวคราวรักสามเส้าออกมาให้ได้ยินอยู่บ่อยครั้ง คนผู้นั้นคงโศกเศร้าอยู่เป็นแน่แต่เปล่าเลย ตอนนี้ผู้ที่ทุกคนต่างคิดว่าเขาคงกำลังเศร้าโศกเสียใจที่สตรีคนรักกลายเป็นภรรยาของผู้อื่นกลับกำลังนั่งดื่มด่ำกับสุรารสเลิศบนชั้นสามของโรงเตี๊ยมอันดับหนึ่งอย่างสบายอกสบายใจ ข่าวนี้ช่างเป็นข่าวที่น่ายินดีที่สุดในรอบปี เขารู้สึกโล่งใจและยินดีเป็น
จบสิ้นกันเสียทีหลี่เจินมองบ่าวไพร่ที่ลากเอาคนทั้งสองไปคุมขังเอาไว้ก่อนตามคำสั่งของเจ้าของจวนเพื่อรอคำตัดสินในวันรุ่งขึ้น กลิ่นอายและคราบความใคร่ที่ทั้งสองทิ้งเอาไว้ทำให้หลี่เจินรู้สึกพะอืดพะอมใบหน้าของนางประเดี๋ยวซีดขาวประเดี๋ยวแดงก่ำ จนต้องรีบหันกายเร่งฝีเท้าตามทุกคนออกไประหว่างที่ทุกคนกำลังพากันออกไปยังห้องโถงกลางเพื่อหารือเรื่องการตัดสินโทษของเฉินอวี่จูที่ได้กระทำการทุกอย่าง หยางซานตงที่เห็นว่าใบหน้างามของภรรยานั้นแดงก่ำจึงคิดขึ้นได้ว่านางนั้นก็อาจจะโดนพิษยาปลุกกำหนัดด้วยเช่นกัน จึงโน้มใบหน้าลงมากระซิบชิดใบหูเล็ก"เจินเอ๋อ ให้พี่ขับพิษกำหนัดให้ก่อนดีหรือไม่ ยังพอจะมีเวลานะ"คำของผู้เป็นสามีทำให้หลี่เจินตัวแข็ง มองอีกฝ่ายอย่างไม่อยากจะเชื่อ สายตาพราวระยับที่สื่อความนัยนั้นทำให้นางสะบัดร้อนสะบัดหนาว สถานการณ์เช่นนี้เขายังมีอารมณ์คิดเรื่องอย่างว่า"นี่ท่าน...ข้ามิได้ถูกพิษกำหนัดเสียหน่อย"หลี่เจินฟาดฝ่ามือลงบนบ่าแกร่งของบุรุษบ้าตัณหาเต็มแรง ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินตามทุกคนไปยังห้องโถงไม่อาจที่จะทนมองหน้าอีกฝ่ายที่หื่นไม่ดูเวล่ำเวลาหยางซานตงยิ้มให้กับท่าทางเขินอายของภรรยาตัวน้อย ก่อนคิ้
หลี่เจินเดินตามหญิงรับใช้นางนั้นมาจนถึงห้องห้องหนึ่ง เมื่อส่งนางถึงที่หมายหญิงรับใช้ผู้นั้นก็ปลีกตัวออกไปในทันที นางยืนชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะผลักบานประตูเข้าไป หลังประตูบานนั้นสตรีที่นางต้องการเจอตัวกำลังนั่งด้วยท่าทางเกียจคร้านละเลียดจิบสุราในมือด้วยใบหน้ามีความสุขยิ่ง สายตาที่ใช้จ้องมองนางวาววับดูไม่น่าไว้ใจแม้แต่น้อย"เจ้าต้องการอะไร มีสิ่งใดก็พูดมา"หลี่เจินเอ่ยถามอีกฝ่าย สายตานั้นจ้องมองสตรีจิตวิปลาสตรงหน้าอย่างระมัดระวัง"ใจร้อนเหมือนเดิมเลยนะเจ้าคะ พี่สาว"เสียงอ่อนหวานของเฉินอวี่จูนั้นฟังดูช่างเยือกเย็น ริมฝีปากที่แต้มชาดสีสดนั้นแสยะยิ้มที่ทำให้คนมองนึกถึงฆาตกรโรคจิต สตรีนางนี้เกินเยียวยาแล้วจริงๆ"เจ้ามิต้องกล่าวให้มากความ ถุงหอมใบนี้ไปอยู่กับเจ้าได้เช่นไร"หลี่เจินกดข่มความหวาดผวาที่ชวนให้หนาวเยือกเอ่ยถามอีกฝ่ายราวกับกำลังควบคุมโทสะ ท่าทางของนางทำให้สตรีตรงหน้าหัวเราะขึ้นมาราวกับกำลังเจอเรื่องตลกขบขัน"เอ...ข้าเอาถุงหอมใบนี้มาได้เช่นไรนะ เจ้าอยากรู้จริงๆ น่ะหรือ พี่สาว"เฉินอวี่จูเอ่ยกับสตรีหน้าโง่ตรงหน้าด้วยรอยยิ้มยั่วเย้า นางรู้สึกสมเพชเวทนาอีกฝ่ายยิ่งนัก เพียงนางให้บ่า
แล้วงานเลี้ยงฉลองครบรอบวันเกิดของท่านนายอำเภอเฉินก็มาถึง ผู้คนในอาภรณ์งดงามหรูหราต่างหลั่งไหลเข้ามาร่วมอวยพรให้กับเจ้าของงานเลี้ยงผู้เป็นใหญ่ในอำเภอซีซาแห่งนี้ ผู้ที่มาร่วมงานต่างเป็นคนใหญ่คนโตและมีหน้ามีตาในสังคมชั้นสูงทั้งสิ้น และในครั้งนี้ดูท่าว่าจะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่กว่าในทุกปี คาดว่าคงมีสิ่งพิเศษเป็นแน่เฉินอวี่จูในอาภรณ์งดงามหรูหรา ใบหน้าหวานนั้นถูกแต่งแต้มจนงามล้ำต่างได้รับคำชื่นชมและความสนใจจากผู้คนที่มาร่วมงาน นางหยัดยิ้มกว้างเคียงคู่มากับบุรุษรูปร่างสูงโปร่งใบหน้าหล่อเหลาคล้ายดังบัณฑิตผู้ทรงภูมิที่เหล่าสตรียังไม่ออกเรือนต่างชม้ายชายตามอง แม้ข้างกายของเขานั้นจะมีฮูหยินเช่นนางเคียงกายอนิจจาสายตาชื่นชมระคนอิจฉาเหล่านั้นหาได้ทำให้นางรู้สึกพอใจไม่ อันว่ามนุษย์นั้นมิรู้จักพอย่อมจะเป็นคำกล่าวที่มิได้เกินจริงแม้แต่น้อย รัก โลภ โกรธ หลง หากมันจะมีอย่างพอดีก็คงมิมีอันใดผิด แต่หากทะเยอทะยาน อยากได้ อยากมีมากจนเกินไปก็สามารถสร้างหายนะให้แก่ชีวิต แต่ดูเหมือนจิตใจของนางจะมืดบอดเกินกว่าจะมองเห็นเสียแล้ว ภายในจิตใจยังครุ่นคิดถึงแต่ชายอื่น ผู้ซึ่งมีฐานะเป็นสามีของพี่สาวต่างมารดา สายตาหวานน
ร่างบอบบางของสตรีนางหนึ่งที่นอนคว่ำหน้าเปลือยแผ่นหลังและสะโพกมนอยู่บนตั่งเตียง ปล่อยให้บ่าวรับใช้ทายาลงบนร่องรอยฟกช้ำตรงสะโพกงามงอนและแผ่นหลัง ยังมีรอยขีดข่วนตรงเรียวขาขาวที่ทำให้ผิวเนื้อนวลมีตำหนิไม่น่ามอง สองมือของสตรีนางนั้นสั่นเทาดึงขย่ำระบายความเจ็บปวดลงบนผ้าปูเตียงจนยับย่น แต่ไหนเลยเจ็บปวดกายจะเท่าความเจ็บปวดที่ใจ ดวงตาหวานบัดนี้นั้นแดงก่ำเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำแห่งความคับแค้น ความเจ็บแค้นอัดแน่นภายในอก ไม่เคยมีใครทำเช่นนี้กับนางมาก่อน บุรุษผู้นั้นไม่เพียงกล้าเมินนาง แต่กลับทำร้ายนางโดยไม่กะพริบตาเฉินอวี่จูคิดอย่างคับแค้นใจ น้ำตาอุ่นร้อนหลั่งไหลอาบแก้ม เหตุใดนังเฉินหลี่เจินจึงได้ครอบครองบุรุษผู้นั้น เหตุใดชีวิตของมันถึงได้ดูมีความสุขและเพียบพร้อมไปเสียทุกอย่าง มันยังคงชูคออยู่เหนือนาง ทุกอย่างมันกลับตาลปัตรไปหมด บุรุษที่นางมองอย่างสมเพชในกาลก่อน กลับรูปงามสมชายชาตรี แต่เขากลับไม่แม้แต่จะชายตามองนาง แต่ยิ่งไม่อาจครอบครองอีกฝ่ายดังใจ นางยิ่งรู้สึกปรารถนา เพียงแค่หลับตาใบหน้าคร้ามคมและกลิ่นกายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความแข็งแกร่งของบุรุษเพศที่ได้สัมผัสเพียงชั่วครู่นั้น ทำให้นางยิ่งเกิดควา
ดวงตาวาววับของภรรยาที่จ้องมองมา ทำให้ลำคอของหยางซานตงแห้งผาก มองริมฝีปากอวบอิ่มที่เม้มเข้าหากันแน่นแล้วคลายออกแต่ทว่ามันกลับเริ่มสั่นระริก ดวงตาที่เมื่อครู่นั้นดูกราดเกรี้ยว เมื่อเห็นว่าเขาไม่ยอมเอ่ยปากเสียทีบัดนี้มันดูรวดร้าว"ไม่เป็นไรในเมื่อท่านไม่อยากเอ่ยก็ไม่เป็นไร"น้ำเสียงแหบเครือเอ่ยขึ้นก่อนร่างบอบบางจะลุกออกจากตักของเขา"เจินเอ๋อ อย่าโกรธพี่เลยนะ เป็นสตรีไร้ยางอายนางนั้นต่างหาก"หยางซานตงกอดกระชับร่างบางเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อยนางออกจากอ้อมแขน เพียงเห็นดวงตาหม่นหมองนั้นดวงใจของเขาก็แทบร้าวราน เขากลืนน้ำลายลงคอแล้วเอ่ยถึงเหตุการณ์น่าโมโหนั้นจนหมดเปลือก ไม่คิดปิดบังแม้แต่น้อย สายตาคมมองใบหน้างดงามที่มืดครึ้มลงเรื่อยๆ ของภรรยาเมื่อเขานั้นเอ่ยถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น มองนางด้วยสายตาละห้อย"พี่สาบานได้ ว่าไม่ได้ล่วงเกินหรือเกินเลยกับนางแม้แต่น้อย"ตบท้ายด้วยการยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง ไม่ว่าสตรีคนใดก็ไม่อาจที่จะทำให้เขาหวั่นไหวได้อีกแล้ว หัวใจและร่างกายของเขามันตอบสนองเพียงสัมผัสจากภรรยาเท่านั้นหลี่เจินหรี่ตามองผู้เป็นสามี สายตานั้นไล่มองเขาจนคนถูกมองใจไม่ดี นางไม่เชื่อเขาหรือ แล
ภายในห้องทำงานของนายหญิงเจ้าของหอเหม่ยฮวา สตรีสองนางนั้นกำลังนั่งสบตากันอยู่ ก่อนที่ผู้เป็นเจ้าของหอจะกล่าวขึ้น"หากข้าจะบอกเจ้าว่าข้าคือคุณหนูใหญ่ของตระกูลเฉินเล่า เจ้าจะว่าอย่างไร"หลี่เจินเอ่ยกับคุณหนูฉีหลานเฟิ่งอย่างตรงไปตรงมา จนใบหน้าของสตรีตรงหน้าดูตื่นตะลึงอย่างเห็นได้ชัด ฉีหลานเฟิ่งมองใบหน้างดงามด้วยดวงตาสั่นไหว เหตุเพราะบนใบหน้านางนั้นอัปลักษณ์มีตุ่มหนองจึงหมกตัวอยู่เพียงในเรือนไม่ออกไปเที่ยวเล่นเช่นดังเด็กสาวในวัยเดียวกัน จึงทำให้นางไม่มีสหายที่จะคบค้าสมาคมด้วยและไม่เคยรับรู้ความเป็นไปด้านนอกจวนมากนัก แต่นางก็ไม่เคยเห็นสตรีนางนี้มาก่อน ตระกูลเฉินนั้นเป็นตระกูลของผู้ปกครองอำเภอแห่งนี้ผู้คนต่างรับรู้ว่านายอำเภอเฉินมีบุตรีสามนางที่เลอโฉม ทั้งสามนางนั้นก็เคยพบหน้ามาก่อน หรือนางจะเป็นคุณหนูเฉินหลี่เจินที่มีเรื่องอื้อฉาวเมื่อหลายปีก่อน ในตอนนั้นใบหน้าของนางยังเป็นเพียงตุ่มเล็กๆ มิได้ช้ำเลือดช้ำหนองเช่นตอนนี้ จึงพอจะรับรู้ข่าวมาบ้าง"ท่านคือคุณหนูใหญ่เฉินหลี่เจินหรือ"น้ำเสียงของสตรีนางนั้นฟังดูแหบแห้งจนน่าสงสารอยู่ไม่น้อยเฉินอี้ซิน คือสตรีที่บุรุษที่ฉีหลานเฟิ่งรักปรารถนา นางงดงา