เมื่อค้นพบจุดหมายของตัวเองอีกครั้งหลี่เจินนางจึงลงมือทำอาหารด้วยรอยยิ้ม จิตใจนั้นโปร่งโล่งขึ้น นางจะเดินตามความฝันที่ครั้งหนึ่งมันเคยพังทลายลง แต่ในครั้งนี้มันจะต้องดีกว่าเดิมเพราะนางมีอีกคนอยู่เคียงข้าง นางยังมีอนาคตของบุตรชายที่รอคอยให้นางผลักดันเขาให้มีอนาคตที่สดใส บุตรชายของนางจะต้องไม่มีมารดาเป็นเพียงสตรีขี้เมาไร้ประโยชน์ เขาจะต้องภูมิใจที่มีนางเป็นมารดา
หลี่เจินนางลงมือสับหมูด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มวันนี้นางจะทำขนมจีบกุ้งให้บุตรชายได้กิน เมื่อสับหมูเสร็จก็ต่อด้วยการสับกุ้ง จัดการกับของสดเสร็จเรียบร้อยก็หันมาเตรียมเครื่องผสมต่างๆ โดยโขลกรากผักชี กระเทียมและพริกไทยเข้าด้วยกัน นำมาผสมกับกุ้งสับ หมูสับ และต้นหอมซอย เติมเครื่องปรุงเล็กน้อยแล้วนวดทุกอย่างด้วยมือพักเอาไว้ จากนั้นจึงหันมาเตรียมส่วนผสมที่จะทำแผ่นเกี๊ยว
หลี่เจินนางมองหาภาชนะสำหรับผสมแป้งจนได้อ่างไม้ขนาดพอเหมาะมาใบหนึ่ง จากนั้นจึงนำแป้งสาลีมาใส่ในอ่างไม้ แล้วทำหลุมตรงกลาง ตอกไข่ไก่ใส่ลงไป ใส่เกลือเล็กน้อยตามด้วยน้ำมัน แล้วค่อยๆ ตะล่อมๆ ผสมแป้ง เติมน้ำเปล่าลงไปทีละนิดๆ แล้วค่อยๆ นวดให้ส่วนผสมเข้ากันดีจากนั้นก็นำผ้าขาวสะอาดมาคลุมแป้งเอาไว้เป็นการพักแป้ง
ระหว่างรอแป้งหลี่เจินนางก็เดินเข้ามาดูบุตรชาย เมื่อเห็นว่าตัวของเขาไม่ร้อนขึ้นมาอีกก็เบาใจเดินกลับเข้าไปในครัวอีกครั้ง เตรียมซึ้งนึ่งตั้งไฟเอาไว้แล้วหันมาเจียวกระเทียมเตรียมเอาไว้ ต่อด้วยการทำน้ำจิ้มขนมจีบง่ายๆ โดยการนำซีอิ๊วดำ ซีอิ๊วขาว น้ำตาลทรายและน้ำส้มสายชูมาผสมรวมกัน ตั้งไฟให้เดือดก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย หากต้องการรสที่จัดขึ้นก็เพียงเติมพริกที่นางซอยแยกเอาไว้ต่างหากใส่ลงไป
เมื่อเห็นว่าแป้งน่าจะใช้ได้แล้วก็นำออกมานวดอีกครั้งจนเนื้อแป้งเนียนละเอียดจึงนำมาวางบนเขียงไม้ โรยแป้งดิบลงไปเล็กน้อย รีดจนแป้งเป็นแผ่นบางๆ แล้วตัดเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมขนาดพอเหมาะ นำแผ่นแป้งที่ได้มาตัดมุมออกทั้งสี่ด้านอีกครั้ง แล้วนำมาห่อไส้ที่เตรียมเอาไว้จับจีบให้สวยงามแล้วนำไปนึ่ง เพียงไม่นานก็ได้ขนมจีบหน้าตาน่าทานโรยหน้าด้วยกระเทียมเจียวก็เป็นอันเสร็จสมบูรณ์ กลิ่นหอมของขนมจีบและกระเทียมเจียวนั้นหอมตลบอบอวลไปหมด
หลี่เจินนางคิดว่าจะผัดผักเพิ่มอีกจานเพื่อกินคู่กับข้าวสวยร้อนๆ เป็นอันต้องล้มเลิกความคิดนั้น เมื่อมาดูข้าวที่หุงด้วยไม้ฟืนครั้งแรกของนางปรากฏว่าข้าวนั้นยังไม่สุก มันทั้งแข็งและดิบ ดังนั้นมันจึงกลายมาเป็นข้าวผัดไข่ที่ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย
เปาเป่าที่กำลังหลับใหล เขารู้สึกหิวมากเมื่อได้กลิ่นความหอมของอาหารลอยเข้ามาในจมูก แต่ความนุ่มนิ่มราวกับนอนอยู่บนก้อนเมฆทำให้เขาไม่อยากที่จะลืมตาตื่น เขาเพียงหรี่ตาที่หนักอึ้งขึ้นมองเพียงเล็กน้อย เห็นเป็นสีฟ้าของท้องฟ้าที่สดใส เขาคงกำลังฝันอยู่และกลิ่นหอมนั้นก็เป็นเพียงแค่ความฝันเช่นกัน
"เจ้าแมวน้อยของแม่ลุกขึ้นมาทานข้าวได้แล้ว"
หลี่เจินเมื่อยกอาหารขึ้นโต๊ะเรียบร้อยแล้วก็ตรงมาปลุกบุตรชาย นางโน้มกายเข้าไปหาร่างเล็กๆ ที่ขดกายอยู่ใต้ผ้าห่มนวมผืนใหญ่อย่างน่าเอ็นดู นิ้วเรียวเกี่ยวเอาเส้นผมนุ่มออกจากใบหน้าเล็กๆ นั้นเอ่ยกับเขาอย่างอ่อนโยน
"ท่านแม่ ข้าหลับแล้วฝันไปขอรับ"
เปาเป่าน้อยงัวเงียตื่นขึ้นมาเอ่ยขึ้นทันทีเมื่อเห็นใบหน้าของผู้เป็นมารดา
"ฝันว่าอย่างไร หืม คนเก่ง ไหน ลองเล่าให้แม่ฟังซิ"
หลี่เจินนางเอ่ยถามเจ้าตัวเล็ก ใช้หลังมือแตะหน้าผากของเขา เมื่อเห็นว่าอุณหภูมินั้นปกติดีแล้วจึงลูบเส้นผมนุ่มที่ยุ่งเหยิงให้เป็นทรง
เปาเป่าน้อยที่ใช้ศีรษะเล็กๆ ของตนซุกอกมารดาราวกับลูกแมวน้อยกำลังออดอ้อน เอ่ยทั้งที่ยังหลับตาอยู่
"ข้าฝันว่านอนหลับอยู่บนก้อนเมฆก้อนใหญ่มันทั้งนุ่มและอุ่นมากๆ"
หลี่เจินได้ยินเช่นนั้นก็ยกยิ้มขึ้น หอมกระหม่อมน้อยๆ นั้นอย่างมันเขี้ยว
"ไหนลองลืมตาดูซิ ก้อนเมฆใหญ่ของเจ้าคล้ายกับฟูกนุ่มๆ ที่เจ้ากำลังนอนอยู่หรือไม่"
เปาเป่าที่ลืมตาขึ้นมองใบหน้าของมารดาที่กำลังส่งยิ้มให้เขาอย่างมึนงง ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆ กายด้วยดวงตากลมโต
"โอ้ ท่านแม่ข้ากำลังอยู่บนก้อนเมฆ"
เปาเป่าน้อยที่ผละจากอกของมารดา ลืมเลือนความเจ็บป่วย เขาลุกขึ้นกระโดดโลดเต้นแล้วล้มตัวลงนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนที่นอนหนานุ่มใบหน้านั้นเปี่ยมไปด้วยความสุข
หลี่เจินนางมองภาพนั้นด้วยรอยยิ้มกว้าง เอ่ยถามบุตรชายที่ดูท่าจะหายป่วยแล้วด้วยความยินดี
"ชอบหรือไม่"
เปาเป่ารีบกลิ้งมาหามารดา สองแขนเล็กยกขึ้นคล้องลำคออย่างต้องการให้มารดาอุ้ม นางจึงโอบอุ้มเขาเอาไว้ในอ้อมแขน
"ชอบขอรับ ชอบมากๆ"
เปาเป่าเอ่ยตอบมารดาด้วยรอยยิ้มเต็มหน้าจนสองตานั้นหยีเล็ก เขามีความสุขที่สุด
"เจ้าชอบก็ดีแล้ว แต่ตอนนี้ต้องไปทานข้าวก่อนเดี๋ยวเย็นชืดแล้วจะไม่อร่อย"
หลี่เจินนางอุ้มบุตรชายไปนั่งบนเก้าอี้ก่อนจะเช็ดหน้าเช็ดตาแล้วล้างมือให้เขา
เปาเป่ามองอาหารตรงหน้าพลางทำตาโต รีบเอามือปิดปากน้อยๆ นั้นเพราะกลัวว่าน้ำลายจะไหล กลิ่นของอาหารเหล่านี้คือกลิ่นเมื่อครู่ เมื่อได้เห็นด้วยตาและได้ดมกลิ่นใกล้ๆ ก็ยิ่งทำให้เขาหิว จนท้องน้อยๆ นั้นร้องออกมาให้อับอายมารดา
หลี่เจินที่หัวเราะเจ้าตัวน้อยด้วยความเอ็นดูเอ่ยกับเขา พร้อมกับคีบขนมจีบส่งเข้าปากเล็กๆ นั้น
"หิวก็กินเสีย มันเป็นของเจ้า"
เปาเป่าอ้าปากรีบรับอาหารที่มารดาป้อนให้ เคี้ยวมันจนปากเล็กจู๋ มันอร่อยมาก เขาเคี้ยวไปยิ้มไปนัยน์ตากลมโตนั้นฉ่ำวาว เพียงไม่นานอาหารบนโต๊ะก็หมดเกลี้ยง มารดายังใจดีให้เขากินลำไยแห้งต้มเม็ดบัวหวานชื่นใจเป็นของหวานล้างปาก มารดาของเขาดีที่สุด งดงามที่สุดและยังเก่งที่สุดอีกด้วย
ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันเปาเป่าน้อยก็กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม แก้มของเขาดูเหมือนมันจะป่องๆ ขึ้นมาแล้ว ในระหว่างที่รอให้เปาเป่าหายดี นางก็ได้นำแป้งมาแกะออกจากตลับใส่เอาไว้โถกระเบื้องที่นางนำมาต้มเพื่อเป็นการฆ่าเชื้อ กว่าจะได้เต็มโถก็ใช้เวลาไปไม่น้อยเลยทีเดียวเพราะนางต้องแกะแป้งออกแล้วใส่ตลับเปล่ากลับเข้าไปในแหวนเพื่อให้แป้งเต็มเช่นเดิม ทำวนอยู่เช่นนั้นจนแป้งเต็มโถ ดูเหมือนจะง่ายแต่ก็รู้สึกเหนื่อยล้าไปหมดเหมือนกัน
หลี่เจินนางจะใช้แป้งผัดหน้าเป็นสินค้าตัวแรกที่จะเป็นใบเบิกทางในการเปิดกิจการของนาง นางสำรวจดูเครื่องประทินโฉมของเจ้าของเดิมที่มีอยู่เต็มหีบ แป้งผัดหน้าที่มีอยู่หลายตลับนั้นล้วนมีเนื้อสัมผัสที่แตกต่างกัน บางตลับนั้นทำมาจากข้าวบดละเอียด แล้วยังมีบางตลับที่มีส่วนผสมของตะกั่ว แม้ว่าตะกั่วจะทำให้ผิวหน้าขาวขึ้นแต่มันก็เป็นอันตราย นอกจากนี้ยังมีตลับที่ทำจากผงไข่มุกแม้จะเป็นแป้งที่ดีมาก แต่ก็มีราคาแพง สตรีชาวบ้านธรรมดาล้วนไม่มีโอกาสที่จะได้ใช้หรือซื้อหาได้
ส่วนแป้งของนางนั้นคงไม่ต้องพูดถึงคุณสมบัติเพราะเป็นแป้งที่ผลิตขึ้นในยุคที่เทคโนโลยีทันสมัย ปลอดภัยและคุณภาพดีเยี่ยมอย่างแน่นอน และยังอัดแน่นไปด้วยประสิทธิภาพยังมีส่วนผสมจากผงทองคำและผงไข่มุกช่วยให้ผิวกระจ่างใสเรียบเนียน ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวพร้อมกับปกป้องผิวจากการเกิดริ้วรอย เนื้อแป้งเนียนละเอียด ไม่เป็นคราบ สามารถกลืนเข้ากับผิวได้อย่างเป็นธรรมชาติ พร้อมกับให้การปกปิดได้อย่างดีเยี่ยม แล้วเช่นนี้เงินทองจะไปไหนเสีย เพียงแค่นางต้องลงแรงให้มากหน่อยก็เท่านั้น
หลี่เจินนางยังออกแบบบรรจุภัณฑ์เอาไว้อย่างหลากหลาย เพื่อใช้สำหรับบรรจุเครื่องสำอางของนางให้กลมกลืนไปกับยุคสมัยนี้ แต่ก็เพิ่มลวดลายให้ดูงดงามและดึงดูดขึ้น เพราะนางวางแผนเอาไว้ว่าจะนำลิปสติกที่มีอยู่หลากหลายสีออกมาขายด้วย ยังมีดินสอเขียนคิ้วและบรัชออนปัดแก้ม นางต้องรวบรวมเงินจำนวนมากในการดำเนินกิจการ
แต่ถึงแม้ว่านางจะต้องเร่งหาเงินมากแค่ไหน แต่ก็ไม่อาจที่จะละเลยผู้เป็นบุตรชาย เมื่อรู้สึกเหนื่อยล้าจากการทำงาน หลี่เจินนางจึงเดินมาหาบุตรชายที่นั่งเล่นอยู่ตรงลานด้านหน้าเรือน เอ่ยชวนเขาไปเดินสำรวจบริเวณรอบๆ เรือน นางพบว่าด้านหลังของเรือนนั้นยังมีแปลงผักที่บิดาของเปาเป่าน้อยปลูกเอาไว้ แต่มันถูกปล่อยปละละเลยจนมีต้นหญ้าขึ้นอยู่เต็ม ส่วนผักนั้นตอนนี้มันกลายเป็นอาหารของไก่ที่กำลังคุ้ยเขี่ยหาอาหารอยู่สี่ตัว
"แม่คิดว่าเราคงต้องปลูกมันใหม่ทั้งหมด"
หลี่เจินนางก้มลงเอ่ยผู้เป็นบุตรชาย
"ข้าจะช่วยท่านแม่ถอนหญ้าและปลูกมันเองขอรับ"
หลี่เจินนางจึงตอบแทนความน่ารักของเจ้าตัวน้อยด้วยการลูบศีรษะของเขาแผ่วเบา
"เด็กดี"
"เช่นนั้นตอนนี้เจ้าช่วยแม่จับไก่ทั้งหมดมาขังเอาไว้ก่อนก็แล้วกันนะ"
จากนั้นสองแม่ลูกจึงช่วยกันจับไก่มาขังเอาไว้ เพราะสภาพของเล้าไก่ในตอนนี้ไม่อาจที่จะขังไก่เอาไว้ได้ คงต้องซ่อมแซมมันเสียก่อน
"เปาเป่า อาเป่า เจ้าอยู่หรือไม่"
เสียงตะโกนเรียกที่ดังขึ้นด้านหน้าเรือน ทำให้สองแม่ลูกต้องหันไปมอง
"เสียง ท่านพี่ต้าสุ่ย ขอรับท่านแม่"
กล่าวจบเด็กน้อยก็รีบวิ่งตรงไปยังหน้าเรือน นางได้แต่มองตามแผ่นหลังเล็กๆ นั้นอย่างเป็นห่วง กลัวว่าเขาจะหกล้มจนได้รับบาดเจ็บ ก่อนจะเร่งฝีเท้าตามออกไป
ร่างสูงโปร่งในชุดเดรสสีดำรัดรูปเดินทอดน่องไปตามทางเท้าที่ไร้ซึ่งผู้คน บนท้องถนนนั้นก็ดูโล่งจนน่าใจหาย ทั้งที่เมื่อไม่กี่เดือนก่อน รถลาบนท้องถนนนั้นแน่นขนัด ยิ่งเวลายามเย็นเช่นนี้ผู้คนที่เดินสัญจรบนทางเท้าแทบจะเดินชนกัน ดวงตาหมองเศร้าของหญิงสาวผู้นั้นกวาดมองไปรอบกายด้วยจิตใจที่เลื่อนลอย ใบหน้าซูบตอบของเธอมีสีดำเปรอะเปื้อนกระดำกระด่าง จากขอบตาจรดปลายคาง เธอร้องไห้ น้ำตาของเธอทำให้สีสันที่แต่งแต้มรอบดวงตานั้นไหลย้อยลงมา แต่เจ้าตัวกลับไม่ได้ให้ความสนใจ กลับก้าวเดินไปเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย หากมีคนจ้องมองดีๆ ก็จะรู้ได้ว่าสตรีนางนี้ไม่ใช่หญิงแท้ แต่เป็นสาวสองที่คล้ายคลึงสตรีอยู่มาก เจ้าหล่อนเดินจนมาหยุดอยู่ตรงสะพานที่เบื้องล่างนั้นคือแม่น้ำเชี่ยวกราก ด้านล่างคือผืนน้ำ ด้านบนคือผืนฟ้าที่ดวงอาทิตย์กำลังลาลับช่างเป็นภาพที่สวยงามมากเคธี่ หรือ เมธี คือชื่อของเธอ เธอเป็นเจ้าของร้านเสริมสวยที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก กิจการของเธอกำลังไปได้ดีเพราะการบริการที่ดีมากและฝีมือที่โดดเด่นของเธอ เธอเป็นสาวประเภทสองที่มีความสามารถรอบด้าน เพื่อนๆ ของเธอต่างบอกว่าเธอนั้นเป็นคนเก่ง หยิบจับอะไรก็ล้วนแต่ออกมา
...เมืองซีโจว แคว้นต้าหยวน...เมืองซีโจวนั้นเป็นเมืองขนาดใหญ่อยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงของแคว้นหลายพันลี้ แต่ทว่ากลับคึกคักไปด้วยผู้คนมากมายเพราะเป็นเมืองหน้าด่านเป็นศูนย์รวมของการค้า มีพื้นที่อุมสมบูรณ์ ทิศหนึ่งนั้นติดแม่น้ำกว้างใหญ่ที่ไม่มีวันแห้งเหือดเป็นสายน้ำที่หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คน และยังโอบล้อมไปด้วยภูเขาและป่าไม้ที่ยังคงอุดมสมบูรณ์ สิ่งปลูกสร้างต่างๆ เจริญรุ่งเรืองไม่แพ้กับเมืองหลวงเมืองซีโจวนั้นยังประกอบไปด้วยอีกหลายอำเภอที่มีนายอำเภอมาจากตระกูลใหญ่ หนึ่งในนั้นคืออำเภอซีซาอำเภอซีซา มีตระกูลเฉินปกครองมาหลายชั่วอายุคนจวนตระกูลเฉิน ในค่ำคืนนี้นั้นดูครึกครื้นเป็นอย่างยิ่ง เพราะวันนี้นั้นเป็นวันเฉลิมฉลองครบรอบหกสิบปีของฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลเฉิน มารดาของท่านนายอำเภอ เฉินสวีคัง ซึ่งในปีนี้นั้นถูกจัดขึ้นอย่างใหญ่โต แขกเหรื่อที่มาร่วมอวยพรล้วนมาจากตระกูลใหญ่ในขณะที่ทุกคนภายในงานนั้นกำลังชื่นชมการแสดงการร่ายรำของนางรำอันดับหนึ่ง ร่วมดื่มกินกันอย่างครื้นเครงนั้น แต่ภายในเรือนหลังหนึ่งกลับปรากฏร่างงดงามของสตรีนอนเปลือยกายบิดเร่าอยู่บนเตียงกว้างราวกับกำลังทรมานนางคือ เฉินหลี่เจิน คุณหนูใหญ
เสียงฝีเท้าของผู้คนมากมายที่มุ่งตรงมาทางนี้ ทำให้ฝ่ามือหนาของบุรุษที่กำลังจ้องมองแผ่นหลังบอบบางของสตรีที่นอนหมดเรี่ยวหมดแรงอยู่ข้างกายด้วยประกายเย็นชา ตวัดผ้าห่มผืนใหญ่ขึ้นมาคลุมร่างของนางเอาไว้ ก่อนตัวเขาจะลุกขึ้นมาคว้าเอาเสื้อผ้าที่เกลื่อนอยู่บนพื้นมาสวมใส่อย่างไม่ทุกข์ร้อนใจอันใด พอดีกับที่ประตูนั้นได้เปิดออกกว้าง พร้อมกับผู้คนมากมายที่กรูกันเข้ามาเฉินหลี่เจินที่หลับตาแน่น ปล่อยให้น้ำตาไหลนอง ริมฝีปากบวมช้ำกดลึกขึ้นอย่างเย้ยหยัน คนสารเลวพวกนั้นคงกำลังหัวเราะเยาะนางอยู่ในใจ เสียงหวีดร้องคุ้นหูที่ดังขึ้นราวกับตกใจหนักหนาของคนเหล่านั้น ทำให้มือเล็กกำเข้าหากันแน่นจนสั่นเทา ความเกลียดชังกลืนกินนางจนด้านชา ไม่สนใจความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเบื้องหลังแม้แต่น้อย ปล่อยให้คนพวกนั้นแสดงงิ้วกันตามแต่ใจสวรรค์เหตุใดจึงได้ใจร้ายกับนางนัก คนพวกนั้นร้ายกาจกับนางก่อนมิใช่หรอกหรือ สิ่งที่นางตอบโต้ล้วนแล้วแต่ต้องการที่จะปกป้องตัวเอง แล้วเหตุใดจึงลงโทษนางเช่นนี้หลังจากนี้นางก็พอจะรู้ถึงชะตากรรมของตัวเอง เฉินหลี่เจินนางได้แต่คิดอย่างขมขื่นใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นสร้างความอับอายขายหน้าให้กับตระกูลเฉินเป็นอย
หยางซานตง ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่กำยำ อดีตนั้นเขาเป็นเด็กผู้ชายใบหน้าน่ารักน่าเอ็นดูที่ตาเฒ่าหยางกระเตงกลับมาเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน เดิมนั้นเฒ่าหยางเป็นทหารอยู่ในกองทัพ แต่เมื่อครั้งที่ไปรบพลาดพลั้งถูกศัตรูฟาดฟันจนเสียแขน จึงทำให้ต้องออกจากการเป็นทหาร แต่ตอนที่กลับมานั้นเขาได้พาเด็กชายตัวน้อยกลับมาด้วย เฒ่าหยางบอกกับทุกคนว่าเด็กชายนั้นเป็นบุตรของเขาเอง แม้จะไม่มีผู้ใดเชื่อเพราะเด็กน้อยนั้นหล่อเหลาราวกับเทพเซียน ผิวพรรณหรือก็ผุดผ่องนุ่มนิ่มราวกับซาลาเปา ส่วนเฒ่าหยางตัวดำเหมือนกับก้นกระทะ แต่ไม่เชื่อแล้วอย่างไร พวกเขาจะทำเช่นไรได้ในเมื่อไม่ใช่เรื่องของตนเฒ่าหยางเมื่อกลับมาอยู่ในหมู่บ้านก็อาศัยอยู่ในผืนดินผืนเล็กท้ายหมู่บ้านซึ่งเป็นของบิดามารดาที่ทิ้งเอาไว้ให้ มีเพียงบ้านหลังเล็กให้พอได้อยู่อาศัย เก็บฟืนหาของป่าเลี้ยงตัวเองและบุตรชาย ต่อมาก็หันมาเผาถ่านขายเลี้ยงชีพวันเวลาผันผ่านเฒ่าหยางจากบุรุษในวัยฉกรรจ์ก็แก่ชราลง ส่วนเด็กชายตัวน้อยน่ารักน่าเอ็นดูในวันวาน ก็เติบโตขึ้นกลายเป็นหนุ่มน้อยหน้าตาหล่อเหลา จนกระทั่งเมื่อหลายปีก่อนเฒ่าหยางได้จบชีวิตลง ทิ้งผู้เป็นบุตรชายให้อยู่อย่างโดดเดี่ยว เดิม
ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่เฉินหลี่เจินนางได้ว่าจ้างให้คนส่งข่าวเกี่ยวกับคนตระกูลเฉินอยู่เสมอ และในวันนี้ข่าวที่ถูกส่งมาทำให้นางตัดสินใจลอบเข้าไปในตัวอำเภอเพราะความแค้นที่อัดแน่นอยู่ในอก เพียงรับรู้ว่าคนพวกนั้นอยู่ดีมีสุขนางก็รู้สึกโกรธแค้นมากพอแล้ว แต่เรื่องนี้กลับทำให้นางเจ็บแค้นแทบกระอัก เมื่อ เฉินอวี่จู น้องสาวต่างมารดาที่นางเกลียดชังอีกฝ่ายเข้ากระดูก นางได้ตบแต่งให้กับคุณชายตระกูลใหญ่ที่ตนเองเคยผูกสัมพันธ์ก็ยิ่งสร้างความเกลียดชังและคับแค้นใจแก่นาง จนต้องมาให้เห็นกับตา ภาพเกี้ยวเจ้าสาวที่ถูกประดับตกแต่งอย่างงดงามและขบวนสินเดิมยาวเหยียด ทำให้นางคับแค้นจนหลั่งน้ำตา แต่กลับไม่อาจทำสิ่งใดได้ ได้แต่ยืนมองความพ่ายแพ้ของตนเองอย่างเจ็บช้ำนางกลับมายังเรือนโกโรโกโสหลังนั้นด้วยความแค้นที่อัดแน่นสุมอก ใช้สุราดับไฟร้อน หมกตัวอยู่แต่ในเรือน นางกลายเป็นสตรีติดสุรา ปล่อยเนื้อปล่อยตัวไม่สนใจรูปโฉมที่นางภูมิอกภูมิใจหนักหนา ผิวพรรณที่เคยผ่องใสนั้นดูแห้งกร้าน ใบหน้าหมองคล้ำอมทุกข์"หยุดดื่มได้แล้ว"หยางซานตงเดินเข้ามาแล้วแย่งจอกสุราออกจากมือของนาง มิหนำซ้ำเขายังเอาไหสุราของนางเททิ้งจนหมด แม้อยากจะอาละวาดเ
นั่นเป็นเรื่องราวของเจ้าของร่างที่ทำให้ผู้มาใหม่ถึงกับกุมขมับ นี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้ตนมาอยู่ในที่แห่งนี้ นางนั่งสงบจิตสงบใจอยู่พักใหญ่หลังจากที่ฟื้นคืนสติกลับมาอีกครั้ง สายตาก็จ้องมองร่างเล็กๆ ที่ขดตัวอยู่มุมห้อง เด็กน้อยผู้นั้นได้หลับไปแล้ว นางนั่งมองก้อนกลมๆ ก้อนนั้นอย่างเวทนา ชีวิตเด็กคนนี้เหตุใดจึงได้น่าสงสารขนาดนี้กันคนเรานี่ก็แปลกนัก คนที่เขาอยากจะมีลูกพยายามแทบตาย หมดเงินหมดทองไปมากก็ไม่อาจสมหวัง แต่คนที่ไม่อยากจะมี ไม่พร้อมที่จะมี กลับมองไม่เห็นคุณค่าของชีวิตเล็กๆ นี้ เมื่อรู้ว่าเขามีค่ามากแค่ไหน ตอนนั้นก็สายเกินไปเสียแล้วนางมองเด็กน้อยตรงหน้า สงสารอีกฝ่ายจับใจ หัวใจดวงน้อยๆ ของเขาจะบอบช้ำมากเพียงใดกัน แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นก้อนซาลาเปาสีขุ่นที่วางอยู่ใกล้ๆ กับที่เด็กน้อยผู้นั้นนอนอยู่ นางยิ่งรู้สึกขมพร่าในลำคอ ดูก็รู้ว่าซาลาเปาก้อนนั้นไม่อาจที่จะกินได้อีก แต่เพราะความหิวเด็กน้อยจึงต้องกินมันร่างผอมบางจึงสูดลมเข้าปอดอึกใหญ่อย่างฮึดสู้เอาวะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว คงต้องลองดูกันสักตั้ง ถือเสียว่าสวรรค์ท่านประทานพรให้ตามคำขอของนาง ให้ตามคำขอทุกประการเสียด้วย นางได้เกิดเป็นหญิงสมใจ
เฉินหลี่เจินนางเก็บทุกอย่างล้างจนเสร็จเรียบร้อยก็เดินสำรวจทุกอย่างในครัว ซึ่งก็เป็นที่น่าพอใจอย่างมาก ข้าวสารนั้นมีอยู่เต็มถังไม้ใบใหญ่ ซึ่งยังไม่มีการตักใช้เลย ในตะกร้าก็มีไข่อยู่เต็ม แป้ง เกลือ น้ำตาลกรวด น้ำปรุงรส น้ำมัน ถั่วและพวกธัญพืชต่างๆ ล้วนถูกเติมเอาไว้เต็มโถ ผักดอง กุ้งแห้ง เนื้อปลาตากแห้งและยังมีเนื้อหมูตากแห้งอีกด้วย ทุกอย่างล้วนยังไม่ถูกนำมาใช้ คงเป็นบิดาของเด็กน้อยที่จัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้ให้ ช่างเป็นสามีและบิดาที่แสนดีจริงๆ และนางยังจำได้ว่าอีกฝ่ายได้มอบเงินเก็บทั้งหมดให้กับเจ้าของร่างก่อนไปด้วย แต่เจ้าของร่างนี้กลับไม่สนใจสิ่งใดเลยช่างน่าเศร้านัก แต่ไหนๆ อีกฝ่ายก็ตายไปแล้ว ตอนนี้นางคือเฉินหลี่เจิน จะไปต่อว่าคนตายก็กระไรอยู่ ต่อไปตนแค่ทำหน้าที่แทนนางให้ดีที่สุดก็พอคิดได้เช่นนั้นก็ลงมือจุดไฟ ซึ่งไม่ต้องกังวลเรื่องไม้ฟืนและถ่านที่ใช้สำหรับหุงหาอาหาร นางเห็นว่าตรงด้านหลังเรือนนั้นมีทั้งไม้ฟืนและถ่านอยู่เต็มโรงเก็บ ก็เจ้าของเรือนมีอาชีพเผาถานจะขาดแคลนได้อย่างไร อาหารมื้อแรกในวันนี้ นางจะทำข้าวต้มธรรมดาใส่พุทราจีนสักเล็กน้อย มีเครื่องเคียงเป็นเนื้อปลาตากแห้งทอดกรอบและผักด
"เปาเป่า"หลี่เจินนางเอ่ยเรียกเด็กน้อยเสียงเบา มองสบแววตากลมโตคู่นั้นอย่างไม่อาจที่จะบรรยายความรู้สึก แล้วเอ่ยประโยคที่ทำให้หัวใจของนางเต้นแรง"มาหา...แม่สิ"เมื่อเปล่งคำนั้นออกไป นางรับรู้ถึงความเต็มตื้นในจิตใจ รู้สึกรักและผูกพันกับเด็กชายตรงหน้าขึ้นมาอย่างประหลาด มือผอมบางทั้งสองค่อยๆ ยกขึ้น ยื่นไปด้านหน้า นางมองสบตาเด็กน้อยอย่างรอคอยเจ้าตัวเล็กนั้นจ้องมองการกระทำของสตรีตรงหน้าด้วยดวงตาสั่นไหว เขาเป็นเพียงเด็ก แค่เพียงเห็นความอ่อนโยนของคนตรงหน้าก็ลดอาการเกร็งตัวและหวาดกลัวลง ลืมเลือนความเจ็บปวดที่เคยได้รับจนหมดสิ้น ยิ่งคนตรงหน้าคือมารดา คือคนที่เขาโหยหาอ้อมกอดและอยากจะเป็นที่รักของนางมากที่สุด เขาจึงไม่ลังเลเลยที่จะโผเข้าหาอ้อมแขนนั้นร่างเล็กที่พุ่งเข้ามากอดนางเอาไว้แน่น ทำให้หลี่เจินผละไปด้านหลังเล็กน้อยกับแรงปะทะนั้น แม้จะตกใจบ้างในคราแรก แต่ต่อมานางก็ยิ้มและหัวเราะออกมา เมื่อรับรู้ถึงความยินดีของเจ้าตัวน้อย เอ่ยกับเจ้าลูกแมวที่ซุกใบหน้าอยู่ในอ้อมแขนของนางเสียงสั่นเครือ"ขอโทษ แม่...ขอโทษนะเปาเป่า"เสียงหวานเอ่ยออกมาอย่างสั่นเครือ รู้สึกจุกแน่นร้าวไปทั้งอก น้ำตาหลั่งไหลออกมาอย่า
เมื่อค้นพบจุดหมายของตัวเองอีกครั้งหลี่เจินนางจึงลงมือทำอาหารด้วยรอยยิ้ม จิตใจนั้นโปร่งโล่งขึ้น นางจะเดินตามความฝันที่ครั้งหนึ่งมันเคยพังทลายลง แต่ในครั้งนี้มันจะต้องดีกว่าเดิมเพราะนางมีอีกคนอยู่เคียงข้าง นางยังมีอนาคตของบุตรชายที่รอคอยให้นางผลักดันเขาให้มีอนาคตที่สดใส บุตรชายของนางจะต้องไม่มีมารดาเป็นเพียงสตรีขี้เมาไร้ประโยชน์ เขาจะต้องภูมิใจที่มีนางเป็นมารดาหลี่เจินนางลงมือสับหมูด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มวันนี้นางจะทำขนมจีบกุ้งให้บุตรชายได้กิน เมื่อสับหมูเสร็จก็ต่อด้วยการสับกุ้ง จัดการกับของสดเสร็จเรียบร้อยก็หันมาเตรียมเครื่องผสมต่างๆ โดยโขลกรากผักชี กระเทียมและพริกไทยเข้าด้วยกัน นำมาผสมกับกุ้งสับ หมูสับ และต้นหอมซอย เติมเครื่องปรุงเล็กน้อยแล้วนวดทุกอย่างด้วยมือพักเอาไว้ จากนั้นจึงหันมาเตรียมส่วนผสมที่จะทำแผ่นเกี๊ยว หลี่เจินนางมองหาภาชนะสำหรับผสมแป้งจนได้อ่างไม้ขนาดพอเหมาะมาใบหนึ่ง จากนั้นจึงนำแป้งสาลีมาใส่ในอ่างไม้ แล้วทำหลุมตรงกลาง ตอกไข่ไก่ใส่ลงไป ใส่เกลือเล็กน้อยตามด้วยน้ำมัน แล้วค่อยๆ ตะล่อมๆ ผสมแป้ง เติมน้ำเปล่าลงไปทีละนิดๆ แล้วค่อยๆ นวดให้ส่วนผสมเข้ากันดีจากนั้นก็นำผ้าขาวสะอาดมาคล
แสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาตามช่องหน้าต่างของเรือนทำให้หลี่เจินรู้สึกตัวตื่น วันนี้นางตื่นสายมากคงเป็นเพราะนางได้หลับไปช่วงรุ่งสาง แต่เปาเป่าบุตรชายของนางก็ยังไม่ตื่นเช่นกัน และสิ่งที่น่าตกใจคือตัวของเด็กชายนั้นร้อนมาก เขากำลังไม่สบายหลี่เจินนางรีบลุกพรวดจากที่นอนด้วยหัวใจที่สั่นระรัว กุลีกุจอเอาน้ำใส่อ่างเล็กและเช็ดตัวให้บุตรชาย เด็กน้อยตัวร้อนราวกับไฟ ริมฝีปากเล็กๆ นั้นแดงก่ำ นางสัมผัสได้ถึงลมหายใจของเขาที่ร้อนผ่าวและรัวเร็ว นางไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน มันทำให้นางรู้สึกกลัว มือนางสั่นน้อยๆ ในขณะเช็ดตัวให้บุตรชาย เพราะนี่คือครั้งแรกที่ต้องดูแลเด็กเล็กที่ป่วย เห็นเด็กน้อยผวาทุกครั้งที่นางใช้ผ้าเช็ดไปตามเนื้อตัวของเขา ดวงตาเด็กน้อยหรี่ขึ้นมองนาง นัยน์ตานั้นแดงเรื่อมีหยาดน้ำเอ่อคลอ เพียงเห็นใบหน้านางเขาก็คลี่ยิ้มออกมา ไม่งอแงแม้แต่น้อย ยอมให้นางเช็ดตัวโดยง่าย นางรู้สึกสงสารจับใจ หัวใจของนางราวกับจะอ่อนแอไปด้วย นี่คงเป็นความรู้สึกของคนเป็นแม่ นี่หรือคือกรรมที่นางต้องชดใช้ เหตุใดความทุกข์ทรมานจึงไม่เกิดแก่นางเพียงผู้เดียวกันเล่าที่นี่ไม่มีโรงพยาบาลมีเพียงหมอชาวบ้านและการใช้ยาต้ม ย
หลี่เจินนางนอนกระสับกระส่าย รู้สึกหนาวเย็นจนนอนไม่หลับ จึงได้ลืมตาตื่นขึ้น ภาพเบื้องหน้าที่เห็นทำให้รู้ได้ว่านางหลับไปแล้ว แต่กำลังอยู่ในห้วงแห่งความฝัน ในฝันนั้นนางกำลังยืนอยู่ท่ามกลางหิมะที่กำลังโปรยปราย ถึงว่าเหตุใดนางจึงรู้สึกหนาวจับใจ นางกวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะเห็นว่ามีผู้เฒ่าชราผมขาวราวกับไข่มุกเปล่งประกายยาวละพื้นกำลังมองนางอยู่ นางรู้ได้ในทันทีว่าท่านเป็นเทพเซียนที่นำพานางมายังสถานที่แห่งนี้ นางจึงได้ก้าวเข้าไปคารวะอีกฝ่ายแล้วนั่งลงตรงหน้า"ท่านผู้เฒ่า""ได้พบกันเสียทีนะนังหนู"เสียงแหบแห้งของท่านผู้เฒ่าเอ่ยกับนางอย่างมีเมตตา"ท่านต้องการพบข้า เพราะอยากจะให้พรข้าหรือเจ้าคะ"หลี่เจินนางส่งยิ้มหวานให้ผู้เฒ่าชราผู้นั้น ในหนังในละครก็เป็นเช่นนี้ แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้าให้นางน้อยๆ"เจ้านั้นมีกรรมที่ผูกพันกับคนที่นี่ จึงได้ต้องกลับมาชดใช้ ในภพชาติก่อนเจ้ายังกระทำกรรมกับชีวิตตนเอง หากข้ามอบพรวิเศษแก่เจ้า แล้วจักเรียกว่าชดใช้กรรมได้อย่างไร"หลี่เจินนั้นหุบยิ้มลงในทันใด สีหน้านั้นแสดงออกถึงความผิดหวัง ก่อนจะมองผู้อาวุโสตาปริบๆ"ข้อเดียวก็ไม่ได้หรือเจ้าค่ะ"เฒ่าชราระบายลมหายใจออกมาแล้วหลั
วันนี้ตลอดทั้งวันสองแม่ลูกต่างช่วยกันทำความสะอาดเรือนครั้งใหญ่ ในที่สุดเรือนหลังน้อยก็มีสภาพที่น่าอยู่มากยิ่งขึ้น ดูสะอาดสะอ้านสบายตา แต่ก็ยังมีอีกหลายจุดที่ต้องซ่อมแซม รอให้อะไรหลายๆ อย่างลงตัวมากกว่านี้ ค่อยมาว่ากันอีกที เมื่อดวงตะวันลาลับขอบฟ้า ความมืดมิดมาเยือน หลี่เจินนางจุดตะเกียงและเชิงเทียนทั้งหมดที่มีอยู่ แต่แสงสว่างของมันช่างน้อยนิด นางไม่คุ้นชินกับแสงสลัวเช่นนี้เลยเด็กน้อยเปาเป่าที่ดูจะง่วงงุนเต็มที คว้าเอาผ้าห่มและหมอนตรงไปยังมุมหนึ่งของห้องโถง สายตาของเด็กน้อยมองหาฟูกนอนของเขาที่นางได้เก็บออกไป นางมองการกระทำนั้นแล้วขมวดคิ้วมุ่น"เปาเป่านั่นลูกจะทำอะไรหรือ"เปาเป่าหันมามองมารดา ดวงตาที่หรี่ปรือนั้นฝืนขึ้นตอบผู้เป็นมารดา"ข้าจะเข้านอนขอรับท่านแม่"หลี่เจินเดินเข้ามาหาบุตรชายคว้าเอาหมอนและผ้าห่มในมือเด็กน้อยมาถือเอาไว้"แล้วเหตุใดจึงจะมานอนตรงนี้เล่า"คำถามของมารดาทำให้เปาเป่าน้อยมึนงง ว่าเหตุใดมารดาจึงถามเช่นนั้นก็ในเมื่อที่ตรงนี้เป็นที่ที่เขานอนในทุกคืน"ไป ไปนอนกับแม่"คำพูดของมารดาทำให้อาการง่วงงุนของเขาหายเป็นปลิดทิ้ง แต่มิได้ทันตั้งตัว หรือคิดทบทวนคำพูดนั้นซ้ำ ร่างเ
หลี่เจินนางจ้องมองเจ้าตัวเล็กที่ถูกนางจับอาบน้ำขัดถูขี้ไคลจนสะอาดสะอ้านด้วยตาเป็นประกาย เส้นผมหนานุ่มที่ปกคลุมศีรษะทุยเล็กถูกนางสระจนหอมกรุ่น ผิวของเขานุ่มนิ่มขาวนวลราวกับเต้าหู้ คิ้วตาจมูกปากล้วนได้รูปน่ามอง หากโตขึ้นเขาคงเป็นบุรุษที่รูปงามมาก"เปาเป่าของแม่รูปงามยิ่งนัก"เปาเป่าน้อยที่ตอนนี้ตัวหอมกรุ่น แก้มขาวๆ ของเขานั้นแดงเรื่อ ใบหูเล็กแดงก่ำอย่างน่าเอ็นดู เขารู้สึกเขินอายกับคำชมของมารดาเป็นอย่างมาก ท่าทางน่าเอ็นดูนั้นทำให้หลี่เจินไม่อาจอดใจไหวต้องดึงเจ้าตัวเล็กนั้นมากอดมาหอมเสียหลายฟอด นั่นยิ่งทำให้เปาเป่าหัวใจพองโต มารดาหอมแก้มเขานั่นหมายถึงมารดารักเขามาก ต่อไปเขาจะอาบน้ำทุกวันหลังจากขัดถูสิ่งสกปรกให้บุตรชายจนเกลี้ยงเกลา นางก็ปล่อยให้เขาได้เล่นน้ำสักครู่ ส่วนนางก็หันมาแกะเม็ดบัวออกจากฝัก ก่อนจะเดินมาถึงลำธาร เปาเป่านั้นบอกว่าจะพานางไปดูดอกเหลียนฮวาที่กำลังบานสะพรั่ง มันงดงามมาก เขาอยากให้นางได้เห็น ถัดไปจากลำธารเดินลงใต้ไปไม่ไกลมากนักเป็นบึงบัวขนาดใหญ่ที่ความยาวนั้นไกลสุดสายตา ดอกบัวกำลังพากันเบ่งบานเต็มบึงหลากหลายสี เหล่าผีเสื้อและแมลงบินวนโฉบไปโฉบมา บางตัวก็กำลังดอมดมดอกเหลี
"เปาเป่า"หลี่เจินนางเอ่ยเรียกเด็กน้อยเสียงเบา มองสบแววตากลมโตคู่นั้นอย่างไม่อาจที่จะบรรยายความรู้สึก แล้วเอ่ยประโยคที่ทำให้หัวใจของนางเต้นแรง"มาหา...แม่สิ"เมื่อเปล่งคำนั้นออกไป นางรับรู้ถึงความเต็มตื้นในจิตใจ รู้สึกรักและผูกพันกับเด็กชายตรงหน้าขึ้นมาอย่างประหลาด มือผอมบางทั้งสองค่อยๆ ยกขึ้น ยื่นไปด้านหน้า นางมองสบตาเด็กน้อยอย่างรอคอยเจ้าตัวเล็กนั้นจ้องมองการกระทำของสตรีตรงหน้าด้วยดวงตาสั่นไหว เขาเป็นเพียงเด็ก แค่เพียงเห็นความอ่อนโยนของคนตรงหน้าก็ลดอาการเกร็งตัวและหวาดกลัวลง ลืมเลือนความเจ็บปวดที่เคยได้รับจนหมดสิ้น ยิ่งคนตรงหน้าคือมารดา คือคนที่เขาโหยหาอ้อมกอดและอยากจะเป็นที่รักของนางมากที่สุด เขาจึงไม่ลังเลเลยที่จะโผเข้าหาอ้อมแขนนั้นร่างเล็กที่พุ่งเข้ามากอดนางเอาไว้แน่น ทำให้หลี่เจินผละไปด้านหลังเล็กน้อยกับแรงปะทะนั้น แม้จะตกใจบ้างในคราแรก แต่ต่อมานางก็ยิ้มและหัวเราะออกมา เมื่อรับรู้ถึงความยินดีของเจ้าตัวน้อย เอ่ยกับเจ้าลูกแมวที่ซุกใบหน้าอยู่ในอ้อมแขนของนางเสียงสั่นเครือ"ขอโทษ แม่...ขอโทษนะเปาเป่า"เสียงหวานเอ่ยออกมาอย่างสั่นเครือ รู้สึกจุกแน่นร้าวไปทั้งอก น้ำตาหลั่งไหลออกมาอย่า
เฉินหลี่เจินนางเก็บทุกอย่างล้างจนเสร็จเรียบร้อยก็เดินสำรวจทุกอย่างในครัว ซึ่งก็เป็นที่น่าพอใจอย่างมาก ข้าวสารนั้นมีอยู่เต็มถังไม้ใบใหญ่ ซึ่งยังไม่มีการตักใช้เลย ในตะกร้าก็มีไข่อยู่เต็ม แป้ง เกลือ น้ำตาลกรวด น้ำปรุงรส น้ำมัน ถั่วและพวกธัญพืชต่างๆ ล้วนถูกเติมเอาไว้เต็มโถ ผักดอง กุ้งแห้ง เนื้อปลาตากแห้งและยังมีเนื้อหมูตากแห้งอีกด้วย ทุกอย่างล้วนยังไม่ถูกนำมาใช้ คงเป็นบิดาของเด็กน้อยที่จัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้ให้ ช่างเป็นสามีและบิดาที่แสนดีจริงๆ และนางยังจำได้ว่าอีกฝ่ายได้มอบเงินเก็บทั้งหมดให้กับเจ้าของร่างก่อนไปด้วย แต่เจ้าของร่างนี้กลับไม่สนใจสิ่งใดเลยช่างน่าเศร้านัก แต่ไหนๆ อีกฝ่ายก็ตายไปแล้ว ตอนนี้นางคือเฉินหลี่เจิน จะไปต่อว่าคนตายก็กระไรอยู่ ต่อไปตนแค่ทำหน้าที่แทนนางให้ดีที่สุดก็พอคิดได้เช่นนั้นก็ลงมือจุดไฟ ซึ่งไม่ต้องกังวลเรื่องไม้ฟืนและถ่านที่ใช้สำหรับหุงหาอาหาร นางเห็นว่าตรงด้านหลังเรือนนั้นมีทั้งไม้ฟืนและถ่านอยู่เต็มโรงเก็บ ก็เจ้าของเรือนมีอาชีพเผาถานจะขาดแคลนได้อย่างไร อาหารมื้อแรกในวันนี้ นางจะทำข้าวต้มธรรมดาใส่พุทราจีนสักเล็กน้อย มีเครื่องเคียงเป็นเนื้อปลาตากแห้งทอดกรอบและผักด
นั่นเป็นเรื่องราวของเจ้าของร่างที่ทำให้ผู้มาใหม่ถึงกับกุมขมับ นี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้ตนมาอยู่ในที่แห่งนี้ นางนั่งสงบจิตสงบใจอยู่พักใหญ่หลังจากที่ฟื้นคืนสติกลับมาอีกครั้ง สายตาก็จ้องมองร่างเล็กๆ ที่ขดตัวอยู่มุมห้อง เด็กน้อยผู้นั้นได้หลับไปแล้ว นางนั่งมองก้อนกลมๆ ก้อนนั้นอย่างเวทนา ชีวิตเด็กคนนี้เหตุใดจึงได้น่าสงสารขนาดนี้กันคนเรานี่ก็แปลกนัก คนที่เขาอยากจะมีลูกพยายามแทบตาย หมดเงินหมดทองไปมากก็ไม่อาจสมหวัง แต่คนที่ไม่อยากจะมี ไม่พร้อมที่จะมี กลับมองไม่เห็นคุณค่าของชีวิตเล็กๆ นี้ เมื่อรู้ว่าเขามีค่ามากแค่ไหน ตอนนั้นก็สายเกินไปเสียแล้วนางมองเด็กน้อยตรงหน้า สงสารอีกฝ่ายจับใจ หัวใจดวงน้อยๆ ของเขาจะบอบช้ำมากเพียงใดกัน แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นก้อนซาลาเปาสีขุ่นที่วางอยู่ใกล้ๆ กับที่เด็กน้อยผู้นั้นนอนอยู่ นางยิ่งรู้สึกขมพร่าในลำคอ ดูก็รู้ว่าซาลาเปาก้อนนั้นไม่อาจที่จะกินได้อีก แต่เพราะความหิวเด็กน้อยจึงต้องกินมันร่างผอมบางจึงสูดลมเข้าปอดอึกใหญ่อย่างฮึดสู้เอาวะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว คงต้องลองดูกันสักตั้ง ถือเสียว่าสวรรค์ท่านประทานพรให้ตามคำขอของนาง ให้ตามคำขอทุกประการเสียด้วย นางได้เกิดเป็นหญิงสมใจ
ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่เฉินหลี่เจินนางได้ว่าจ้างให้คนส่งข่าวเกี่ยวกับคนตระกูลเฉินอยู่เสมอ และในวันนี้ข่าวที่ถูกส่งมาทำให้นางตัดสินใจลอบเข้าไปในตัวอำเภอเพราะความแค้นที่อัดแน่นอยู่ในอก เพียงรับรู้ว่าคนพวกนั้นอยู่ดีมีสุขนางก็รู้สึกโกรธแค้นมากพอแล้ว แต่เรื่องนี้กลับทำให้นางเจ็บแค้นแทบกระอัก เมื่อ เฉินอวี่จู น้องสาวต่างมารดาที่นางเกลียดชังอีกฝ่ายเข้ากระดูก นางได้ตบแต่งให้กับคุณชายตระกูลใหญ่ที่ตนเองเคยผูกสัมพันธ์ก็ยิ่งสร้างความเกลียดชังและคับแค้นใจแก่นาง จนต้องมาให้เห็นกับตา ภาพเกี้ยวเจ้าสาวที่ถูกประดับตกแต่งอย่างงดงามและขบวนสินเดิมยาวเหยียด ทำให้นางคับแค้นจนหลั่งน้ำตา แต่กลับไม่อาจทำสิ่งใดได้ ได้แต่ยืนมองความพ่ายแพ้ของตนเองอย่างเจ็บช้ำนางกลับมายังเรือนโกโรโกโสหลังนั้นด้วยความแค้นที่อัดแน่นสุมอก ใช้สุราดับไฟร้อน หมกตัวอยู่แต่ในเรือน นางกลายเป็นสตรีติดสุรา ปล่อยเนื้อปล่อยตัวไม่สนใจรูปโฉมที่นางภูมิอกภูมิใจหนักหนา ผิวพรรณที่เคยผ่องใสนั้นดูแห้งกร้าน ใบหน้าหมองคล้ำอมทุกข์"หยุดดื่มได้แล้ว"หยางซานตงเดินเข้ามาแล้วแย่งจอกสุราออกจากมือของนาง มิหนำซ้ำเขายังเอาไหสุราของนางเททิ้งจนหมด แม้อยากจะอาละวาดเ