“เจ้านำแบบพวกนี้ไปให้ท่านพี่ชิงหยางเลือกเถอะ ตอนที่ข้าให้ฉุยฉุยไปบอกกับท่านลุงว่าข้าต้องการให้ท่านลุงหาขนสุนัขจิ้งจอกดำให้ ฉุยฉุยบอกกับข้าว่าท่านพี่ชิงหยางก็ให้ท่านลุงหามาตั้งนานแล้วแต่ยังไม่พบสักที เช่นนั้นขนสุนัขจิ้งจอกดำนี้ก็ให้กับคนที่ต้องการมันเถอะ” หญิงสาวเอ่ยพร้อมยิ้มอ่อน ๆ
เดิมที่เผยตั้นเยี่ยนเห็นว่าเว่ยเหวินเซียนมักชอบไปทำเรื่องเสี่ยงด้วยตนเองบ่อยครั้ง และการแอบแฝงตัวหรือปกปิดตัวตนมักต้องใส่เสื้อผ้าสีดำสนิท และอีกไม่นานจะเข้าเหมันตฤดูแล้ว นางจึงอยากทำชุดคลุมสีดำให้กับเว่ยเหวินเซียน
ทว่ายามนี้เผยตั้นเยี่ยนคิดว่าหากให้ไปก็เกรงว่าเวยชินอ๋องจะเผาเสียคลุมทิ้ง จึงคิดว่าของที่หายากเช่นนี้อีกทั้งยังแลกมาด้วยชีวิต ถึงจะเป็นชีวิตของสัตว์ก็ตาม ก็ควรจะให้กับผู้ที่เห็นคุณค่าของมัน
เสวี่ยเฟิงมองหน้าคุณหนูของตนอย่างงุนงงสงสัย จนหัวคิ้วทั้งสองของเขาแทบชนกัน เพราะไม่ง่ายเลยที่จะได้ขนสุนัขจิ้งจอกดำสนิทมา แต่คุณหนูเผยตั้นเยี่ยนกลับยกให้ลูกพี่ลูกน้องอย่างไม่มีท่าทีลังเลเลยแม้แต่น้อย แต่ในเมื่อเป็นคำสั่งของนาย เขาจึงตอบรับโดยไม่คิดถาม
“ขอรับ เช่นนั้
สามเค่อ [1] ก่อนที่เผยตั้นเยี่ยนจะตื่นเว่ยเหวินเซียนให้ฉุยฉุยคอยดูแลเผยตั้นเยี่ยน ก่อนที่เขาจะเรียกหานสิงเวยและทหารองครักษ์ที่ดักโจมตีสตรีของเขาไปยังลานจวนตระกูลเผย เขาเลือกช่วงเวลาที่หญิงสาวหลับ เพราะกลัวว่าจะทำให้นางลำบากใจที่เห็นหานสิงเวยโดนลงโทษเพราะนางสาเหตุที่อ๋องหนุ่มลงโทษคนทั้งหมดที่ลานจวนตระกูลเผย มิใช่จงใจจะประจานลูกน้องตนเองให้ผู้อื่นเห็น เพียงแต่เขาอยากให้คนในจวนตระกูลเผยทั้งนายและบ่าวได้เห็นว่าแม้แต่องครักษ์คนสนิทของเขา หากทำให้สตรีอันเป็นที่รักของเขาได้รับบาดเจ็บ ก็ถูกลงทัณฑ์ไม่มีข้อยกเว้น เช่นนั้นคนอื่นที่ไม่สนิทก็อย่าได้คิดร้องขอความเมตตาหากทำร้ายพระชายาของเขาเว่ยชินอ๋องรอให้สองพ่อลูกตระกูลเผยกลับมาจากที่ทำงาน แล้วจึงเรียกทุกคนมาดูการลงทัณฑ์ ไม่เว้นแม้กระทั่งคนที่เฝ้ายามอยู่หน้าประตูจวน“พวกเจ้าทุกคนดูเอาไว้ หากวันหน้าผู้ใดกล้าทำให้พระชายาของข้าต้องเจ็บแม้เพียงเล็กน้อย โทษที่มันผู้นั้นจะได้รับจะมากกว่าพวกเขาเป็นสิบเท่า” สุรเสียงทรงอำนาจประกาศดังก้องตรัสจบเว่ยเหวินเซียนก็พยักหน้าให้กั
เว่ยเหวินเซียนมองดูทหารองครักษ์พาตัวหานสิงเวยไป ก่อนจะลุกจากเก้าอี้แล้วใช้สายตากวาดมองไปรอบ ๆ ก่อนจะมาหยุดสายตาที่สามคนพ่อแม่ลูกแซ่เผย“ในอดีตที่เกิดขึ้นหากพระชายาของข้ามิเอาความ ข้าเองก็ไม่ถือสา แต่นับจากบัดนี้เป็นต้นไป มิว่าผู้ใดทำให้พระชายาของข้าต้องเจ็บปวดจะทางกายก็ดีทางใจก็ดี ข้าจะลากมันผู้นั้นมาลงโทษด้วยตนเอง และมิเพียงเท่านั้นข้าจะจับมันผู้นั้นแห่ให้ทุกคนในเมืองหลวงได้รับรู้ ถึงความกล้าหาญที่กล้าทำร้ายสตรีของข้า” พูดจบเว่ยเหวินเซียนก็สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินกลับไปยังเรือนนอนของเผยตั้นเยี่ยนทันทีเมื่อเขาเข้ามาในห้องนอนของภรรยาตัวน้อย บุรุษหนุ่มเห็นฉุยฉุยกำลังนั่งซับเหงื่อให้กับสตรีที่นอนหลับไม่รู้สึกตัวอยู่บนเตียง จึงได้ให้สาวรับใช้ถอยออกมาแล้วตนเองเข้าไปนั่งแทนที่เพื่อเช็ดซับเหงื่อให้เผยตั้นเยี่ยน“พระชายาของข้าความจำเสื่อมตั้งแต่เมื่อใด” เว่ยเหวินเซียนเอ่ยถามออกมาตรง ๆ ในขณะที่มือกำลังซับเหงื่อให้สตรีที่หลับใหลอยู่ เพราะเขาคิดว่าในบรรดาคนรับใช้ทั้งสามฉุยฉุยน่าจะรู้เรื่องของเผยตั้นเยี่ยนมากที่สุด“ทูลท่านอ๋อง ตั้งแต่วันท
ครั้นม้าของเว่ยเหวินเซียนเหยียบเข้าเมืองหลวง เขาก็ขอพระเชษฐาแยกไปยังจวนของตนเองทันที เจ้าของบัลลังก์ไม่คิดห้ามเพราะรู้ว่าพรุ่งนี้พระอนุชาของเขายังมีเรื่องสำคัญต้องทำอีกเนื่องจากมาถึงเมืองหลวงพระอาทิตย์ก็ตกดินไปแล้ว หากเว่ยเหวินเซียนยังไปที่จวนตระกูลเผยก็กลัวคนจะพูดกันไปต่าง ๆ นานาจึงมิได้ไปหาเผยตั้นเยี่ยน ทว่าก็ยังมิวายเรียกคนของตนให้มารายงานอาการของนางวันต่อมาเว่ยเหวินเซียนนำรถม้าประจำตำแหน่งมารับเผยตั้นเยี่ยนกับเผยตั้นเหม่ยที่หน้าจวน เพื่อจะไปยังเรือนนอกเมืองของตระกูลเผิงตามที่คุณหนูใหญ่เผยกับคุณหนูสามเผิงได้ตกลงกันไว้ ที่เขานำรถม้าส่วนตัวมาในครั้งนี้เพื่อประกาศให้ทุกคนได้ล่วงรู้ว่าเขาไปที่ใดและมีผู้ใดไปด้วยบ้าง และอีกหนึ่งเหตุผลคือเขาอยากร่วมนั่งในรถม้าไปกับพระชายาของตนเอง เพราะหากนั่งกันสามคนรถม้าทั่วไปคงเล็กเกินกว่าที่จะให้บุรุษอย่างเขานั่งร่วมไปกับสตรีทั้งสองเพียงรถม้าของเว่ยเหวินเซียนมาจอดหน้าจวนตระกูลเผยได้ไม่นาน เผิงซิ่วอิงกับเผิงเจียวเจี๋ยและเว่ยหลิงเฮ่อก็มาถึงจวนตระกูลเผยเช่นกันเผยตั้นเหม่ยยังคงรู้สึกหวาดกลัวเว่ยเหวินเซียนกับเรื่องที่เขาลงท
คำพูดของสตรีตรงหน้าบวกกับน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจ ทำให้บุรุษตัวสูงราวถูกตบอย่างแรงจากบุรุษร่างกำยำ ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาจนจุกอยู่ในอก เขารู้ว่าต่อให้พร่ำขอโทษนางเป็นร้อยเป็นพันครั้ง นางก็ไม่ยินดีที่จะฟังและไม่คิดยกโทษให้ เนื่องจากครั้งนี้มิใช่ครั้งแรกที่เขาทำผิดต่อนาง เว่ยเหวินเซียนจึงคิดใช้การกระทำเป็นเครื่องพิสูจน์ เพราะคงเป็นการดีกว่ามานั่งอธิบายให้เอ่ยคำทำร้ายจิตใจกันไปเรื่อย ๆ เช่นตอนนี้เผยตั้นเยี่ยนเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้โต้ตอบกลับจึงเอ่ยต่อ “อีกอย่างเมื่อวานตอนที่เสวี่ยเฟิงมารายงานหม่อมฉัน ท่านอ๋องก็ทรงได้ยินความชั่วของหม่อมฉันในวัยเด็กไปแล้วมิใช่หรือเพคะ เช่นนั้นครั้งนี้หม่อมฉันลงมือเองน่าจะเป็นผลดีต่อท่านอ๋องนะเพคะ เมื่อถึงเวลาที่ท่านอ๋องสังหารหม่อมฉันจะได้ไม่ต้องเสียเวลาหาข้ออ้างมาอธิบายให้ไทเฮาและเหล่าขุนนางฟัง ท่านอ๋องเพียงบอกไปว่าหม่อมฉันเป็นสตรีที่อกตัญญูเผาบ้านทำลายทรัพย์สินตระกูล อีกทั้งยังฟ้องศาลเอาผิดบิดาผู้ให้กำเนิดและมารดาผู้เลี้ยงดู มิเพียงเท่านั้นยังเป็นสตรีจิตใจชั่วช้าพาน้องสาววัยเยาว์ไปปล่อยทิ้งให้หลงทาง สตรีเช่นนี้ย่อมไม่สมควรได้เป็นพระชายา แต่เพรา
เผิงซิ่วอิงเห็นสีหน้าของเว่ยหลิงเฮ่อที่แสดงออกชัดว่าไม่พอใจ ที่พี่ชายของนางให้ความสำคัญกับเว่ยชินอ๋องมากกว่า จึงเอ่ยเพื่อปลอบใจ“องค์รัชทายาทเพคะ อยากโกรธไปเลยเพคะ พี่รองของหม่อมฉันมิได้เห็นว่าท่านอ๋องสำคัญกว่าองค์รัชทายาทหรอกเพคะ เพียงแต่พี่รองรู้ว่าหากเชิญท่านไปพร้อมท่านอ๋อง ทั้งสองพระองค์ก็จะทะเลาะกันไม่จบไม่สิ้น แต่หากจะให้หม่อมฉันเป็นคนนำทางท่านอ๋อง ก็กลัวหม่อมฉันประหม่าเพราะระหว่างท่านอ๋องกับองค์รัชทายาท หม่อมฉันคุ้นเคยกับองค์รัชทายาทมากกว่าเพคะ” คุณหนูแซ่เผิงพยายามเอ่ยอย่างสตรีในห้องหอเมื่อไตร่ตรองตามคำพูดของเผิงซิ่วอิง เว่ยหลิงเฮ่อก็พอเข้าใจได้ทว่าในใจก็ยังรู้สึกฉุนเฉียวอยู่หลายส่วน “เข้าใจแล้ว” เขาตอบห้วน ๆ“ท่านนี่ไม่ต่างจากแต่ก่อนเลยนะเพคะ” น้ำเสียงของเผิงซิ่วอิงบ่งบอกถึงความไม่พอใจ‘ในเมื่อเจ้ามิคิดพูดจากับข้าเหมือนสตรีทั่วไป เช่นนั้นข้าก็มิจำเป็นจะต้องใช้คำพูดอ่อนโยนกับเจ้าเช่นกัน’ คุณหนูสามตระกูลเผิงรู้สึกหงุดหงิดที่ตนเองพยายามอ่อนโยน แต่บุรุษตรงหน้ากลับพูดเหมือนไม่พอใจนาง อีกทั
“การแข่งขันในครั้งนี้ไม่เร่งร้อนหาผู้ชนะ ขอเพียงตลอดงานเลี้ยงในวันนี้ผู้ใดที่ดื่มสุราได้มากที่สุดก็จะถือเป็นผู้ชนะ แต่หากผู้ใดอาเจียนหรือสลบไปก่อนจะถือว่าแพ้ทันที เช่นนั้นหวังว่าทุกคนจะประมาณตนเองได้ ส่วนรางวัลของผู้ชนะคือจะมีสิทธิ์ขออะไรก็ได้จากคนแพ้โดยที่คนแพ้จะต้องห้ามปฏิเสธ และทำตามคำขออย่างเต็มใจไม่คิดแค้นต่อกันในภายหลัง มิทราบว่ามีผู้ใดไม่พอใจกับกฎการแข่งขันนี้หรือไม่ หรือว่ามีผู้ใดรู้ตัวว่าจะแพ้และกลัวจะต้องทำตามคำขอของผู้ชนะ ก็สามารถถอนตัวก่อนที่จะเริ่มแข่งขันได้เลยนะเจ้าคะ” เผิงซิ่วอิงเอ่ยพลางกวาดตามองเหล่าบุรุษทั้งสามหญิงสาวจากตระกูลเผิงรู้ว่าบุรุษทั้งสามต้องยอมรับกติกาอย่างแน่นอน เพราะหากไม่ยอมรับก็จะเท่ากับตนเองแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มแข่ง บุรุษทุกคนล้วนกลัวเสียหน้ามีหรือจะไม่เห็นด้วยกับกฎและรางวัลที่นางตั้งขึ้นซึ่งการที่สตรีแซ่เผิงตั้งกฎนี้ขึ้นมา นางก็ได้คำนวณทุกอย่างเอาไว้แล้ว อีกทั้งยังหาวิธีให้พี่ชายของนางชนะการดวลสุราในครั้งนี้อีกด้วย เผิงซิ่วอิงใช้ช่วงเวลาที่กำลังปรับเปลี่ยนสถานที่ใหม่ ไปหาฉุยฉุยเพื่อถามหายาที่ช่วยให้ไม่เมา ซึ่งถือว่าสวร
“หากยังดื่มไปเรื่อย ๆ เช่นนี้ก็คงยืดเยื้อกินเวลาอีกเป็นชั่วยาม เช่นนั้นเรามาดวลกันไปเลยดีหรือไม่ จะได้ไม่เสียเวลาไปมากกว่านี้ เพราะหากยังดื่มกันแบบนี้ดูท่าแล้วพระอาทิตย์ตกดินพวกเจ้าก็คงไม่ยอมแพ้เสียที” เว่ยเหวินเซียนตอบกลับหลานชายหน้านิ่ง ไม่แม้แต่จะหันไปมอง“หม่อมฉันยอมแพ้เพคะ” เผยตั้นเยี่ยนรู้ตัวดีว่าสุขภาพยังไม่แข็งแรงดีดั่งเดิม แต่ที่ยอมร่วมแข่งขันด้วยเนื่องจากอยากร่วมสนุกกับสหายเท่านั้น“หม่อมฉันก็ขอยอมแพ้เช่นกันเพคะ หากดื่มมากไปกว่านี้กลัวว่าสภาพที่กลับไปถึงจวนคงทำให้ตระกูลขายหน้าแล้ว” เผยตั้นเหม่ยกลัวว่าหากเมาอาจทำเรื่องน่าขายหน้าต่อหน้าบุรุษผู้สูงศักดิ์แล้วจะส่งผลไปถึงวงศ์ตระกูลเว่ยหลิงเฮ่อกับเผิงเจียวเจี๋ยได้ยินบุตรีคนรองตระกูลเผยกล่าวก็คิดขึ้นมาได้ หากพวกเขายังคิดเอาชนะเว่ยชินอ๋องอีก นอกจากจะอับอายเพราะพ่ายแพ้ยังอาจจะต้องอับอายเพราะเผลอทำเรื่องขายขี้หน้าเนื่องจากไม่มีสติอีกด้วย‘หากยังดื่มต่อเราเองก็อาจทำตัวเสียอาการต่อหน้าพวกนาง ถึงอย่างไรจะเอาชนะคนที่มีท่าทางราวกับดื่มน้ำเปล่าคงเป็นไปได้ยาก’
“เจียวเจี๋ยก็แค่เสนอความคิดเห็นด้วยความหวังดีเท่านั้น เสด็จอาอย่าทรงเป็นกังวลไปเลย ตราบใดที่เสด็จอาดูแลตั้นเยี่ยนได้ดี พวกเราก็เป็นบุรุษใจกว้างพอที่จะให้ตั้นเยี่ยนอยู่กับบุรุษที่ดีกับนาง ทว่าหากไม่ใช่” เว่ยหลิงเฮ่อหยุดไม่พูดต่อปล่อยให้บุรุษอายุมากกว่าคิดเอง“เช่นนั้นพวกเจ้าก็มีชีวิตให้นานอีกหน่อย เผื่อจะมีโอกาสได้ดูแลนาง” สุรเสียงของเขาเย็นยะเยือกเมื่อบุรุษแซ่เว่ยทั้งสองปะทะฝีปากกันคนที่นั่งอยู่ตรงกลางก็รู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก แต่ยังถือว่าฟ้ายังมีเมตตาที่ส่งฉุยฉุยเข้ามาทำลายบรรยากาศนี้ลง“ท่านอ๋อง น้ำแกงสร่างเมาได้แล้วเพคะ”ฉุยฉุยนำถ้วยใส่น้ำแกงสร่างเมาวางบนโต๊ะของบุรุษทั้งสาม ก่อนจะรีบออกไปจากบริเวณนั้น เพราะนางก็รับรู้ได้ถึงบรรยากาศอันน่าอึดอัดลอยอยู่ทั่วบริเวณเมื่อบุรุษทั้งสามดื่มน้ำแกงสร่างเมาเสร็จ เว่ยเหวินเซียนจึงคิดว่าถึงเวลาที่จะทำตามเป้าหมายของการมาที่นี่ให้สำเร็จเสียที“ในเมื่อเหล่าสตรีไปกันหมดแล้ว พวกเราก็มาสะสางเรื่องในใจให้จบลงตรงนี้เถอะ เจียวเจี๋ยเจ้ากลับไปบอกท่านผู้เฒ่าเผิง
ตั้งแต่ก้าวเท้าเดินเข้ามาในเรือนเขาก็รู้แล้วว่าสตรีทั้งหกอยู่ที่บ่อน้ำพุ ถึงยามแรกจะไม่คิดว่าสตรีทั้งหมดจะลงไปแช่ตัว แต่เมื่อเห็นองครักษ์ตะโกนเสียงดัง อีกทั้งเผยตั้นเยี่ยนเดินมาหาเขาเพียงลำพัง จึงทำให้มั่นใจว่าสตรีที่เหลือลงแช่บ่อน้ำพุร้อน ไม่เช่นนั้นคนใช้ทั้งสามจะปล่อยให้เผยตั้นเยี่ยนไปไหนมาไหนโดยไม่เดินตามได้เช่นไรเผยตั้นเยี่ยนรู้ดีว่าไม่อาจขัดขืนบุรุษตัวสูงได้จึงไม่เอ่ยอันใด เพราะนี่คงเป็นวิธีการทรมานนางอย่างหนึ่งที่เขาใช้ ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่กล้าที่จะขัดขืนเพราะกลัวว่าจะเป็นเหมือนครั้งก่อนที่ถูกเขากระทำอย่างรุนแรง“ถอยออกไป หากข้าไม่ได้เรียกอย่าคิดเข้ามาใกล้ และอย่าให้ผู้ใดมารบกวนข้ากับพระชายาเข้าใจหรือไม่” เว่ยชินอ๋องหันมาเอ่ยกับองครักษ์ที่เดินตามมาก่อนจะเดินต่อไปยังห้องนอนของตนเองเมื่อมาถึงห้องบุรุษหนุ่มวัยกำหนัดก็มิรอช้าวางหญิงสาวในอ้อมแขนลงบนเตียงอย่างนิ่มนวล ทว่าภาพอุ่นเตียงคราก่อนยังฝังลึกอยู่ในหัวของสตรีร่างบาง ร่างกายจึงสั่นระริกขึ้นมาอย่างไม่อาจหักห้ามได้“กลัวข้าสินะ ต่อไปข้าจะไม่รุนแรงกับเจ้าเช่นนั้นอีก ดีหรือไม่”
หลังจากทรมานบุรุษตระกูลหยางเสร็จอ๋องหนุ่มก็ไม่รอช้าควบม้ากลับไปยังจวนข้างค่ายทหารของตนทันที แล้วปล่อยให้ลูกน้องที่ตนเองไว้ใจสองคนตรวจสอบจวนขุนนางร่วมกับแม่ทัพใหญ่เหยียน เพราะอย่างไรขุนนางจวนต่อไปก็เขียนหนังสือสำนึกผิดแล้วในเมื่อแค่ต้องเข้าไปในจวนเพื่อตรวจสอบขุนนางว่าเขียนสารภาพผิดตามความจริงหรือไม่ ไยจะต้องให้อ๋องหนุ่มเช่นเขาลงมือทำด้วย เพราะอย่างไรเรื่องลงทัณฑ์เสด็จพี่ของเขาก็เป็นผู้ตัดสินอยู่แล้ว เว่ยชินอ๋องจึงไม่อยากเสียเวลาที่จะได้อยู่กับสตรีที่ตนรักไปกับเหล่าขุนนางพวกนี้จวนนอกเมืองของชินอ๋องขณะที่เมืองหลวงกำลังวุ่นวาย คุณหนูทั้งสามคนที่อยู่ในจวนข้างค่ายทหารของเว่ยชินอ๋องกลับกำลังพักผ่อนอย่างสบายใจ เพราะจวนของอ๋องหนุ่มแห่งนี้มีบ่อน้ำพุร้อนจากธรรมชาติอยู่ในจวน ถึงการตกแต่งจวนจะไม่หรูหราแต่มองแล้วสบายตายิ่งนักจวนแห่งนี้มีรั้วกั้นสูงมองไม่เห็นภายใน คราแรกที่คุณหนูทั้งสามเห็นก็รู้สึกหวั่นวิตกอยู่มาก แต่เพียงเดินเข้ามายังด้านในกลับเสมือนมีคนนำเรือนหลังหนึ่งมาวางเอาไว้ท่ามกลางน้ำตก ที่โดยรอบมีดอกไม้และต้นไม้สูงต่ำสลับกันไป
เช้าวันต่อมา ณ ท้องพระโรงเหวินหลิงฮ่องเต้สาดสายตามองเหล่าขุนนางที่ยืนอยู่ตรงหน้า นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่เขาขึ้นครองราชย์ที่ได้เห็นสีหน้าท่าทางของเหล่าขุนนางที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันมากถึงเพียงนี้เก้าในสิบส่วนของขุนนางในท้องพระโรงมีสีหน้าหม่นหมองดุจเมฆฝน ใบหน้าเคร่งเครียดส่อความรู้สึกราวกับกำลังแบกโลกเอาไว้ทั้งใบ หัวคิ้วของแต่ละคนย่นชนกันอย่างไม่รู้ตัว ทำเอาเจ้าของบัลลังก์รู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่เห็นขุนนางของตนเป็นเช่นนี้“ข้าคิดว่าเมื่อคืนพวกท่านจะนอนหลับอย่างสบายใจเสียอีก ที่มีทหารรักษาเมืองหลวงคอยคุ้มกันจวนไม่ให้มือสังหารเข้าไปในจวนของพวกเจ้า ทว่าดูจากขอบตาของพวกเจ้าแล้วข้าคงคาดเดาผิดไปสินะ หากเรื่องของชาวบ้านพวกเจ้าวิตกกังวลกันจนเป็นสภาพเช่นนี้ ต้าเว่ยของข้าคงจะดีมากขึ้นไม่น้อย” ถึงสุรเสียงของฮ่องเต้แห่งต้าเว่ยจะเรียบเฉย ทว่ากลับกดดันให้สีหน้าของเหล่าขุนนางหม่นหมองลงไปอีก“ฝ่าบาททรงเข้าใจพวกกระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ เมืองหลวงวุ่นวายไปทั่วเช่นนี้ จะให้พวกกระหม่อมข่มตาหลับลงได้เช่นใดกันพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เสนาบ
“ว่าแต่เจ้าไม่เป็นอันใดจริง ๆ ใช่หรือไม่”“พ่ะย่ะค่ะ ลูกไม่เป็นอันใดจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”“เสด็จอาของเจ้าเล่นใหญ่ไปแล้วกระมัง ใยถึงได้สั่งให้คนยิงธนูใส่เจ้าเฉียดฉิวถึงเพียงนี้ หากโดนเนื้อตัวของเจ้าขึ้นมาเสด็จแม่ของเจ้าคงไม่พบหน้าข้านานนับเดือนเป็นแน่” ช่วงประโยคหลังเหวินหลิงฮ่องเต้เอ่ยเสียงเบาลงเรื่องที่ห่วงบุตรของตนก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่เป็นกังวลไม่ต่างกันคือเรื่องที่สตรีคู่บัลลังก์จะโกรธ เพราะเรื่องตระกูลอวี๋คราก่อน กว่าจะเอาใจให้เสิ่นฮองเฮาพูดดีกับเขาได้ก็ใช้เวลาอยู่นานบุรุษอายุน้อยกว่าถึงกับหลุดหัวเราะออกมา เมื่อได้ยินบิดาเอ่ยพึมพำถึงมารดา ทว่าเมื่อเห็นสายตาของบิดามองมาจึงกลั้นหัวเราะเอาไว้“เสด็จพ่อวางใจเถอะพ่ะย่ะค่ะ คนที่เสด็จอาส่งมาล้วนเป็นยอดฝีมือทั้งนั้น มิเพียงลูกธนูจะไม่โดนลูกแต่ยังไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บอีกด้วย” เว่ยหลิงเฮ่อมิอยากให้เสด็จพ่อตำหนิเสด็จอาจึงช่วยเอ่ย ถึงเขาเองก็คิดว่าเสด็จอาเล่นใหญ่มากจริง ๆ ที่ยิงธนูจวนโดนตัวเขาคราแรกที่ได้ยินแผนของเว่ยเหวินเซียน เจ้าของตำหนักบูรพาก็เตรียม
“อ้อ! ยังมีอีกเรื่อง เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าข้าไว้วางใจเจ้ามากเพียงใดจึงให้เจ้าอยู่ในตำแหน่งนี้ ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้”“กระหม่อมไม่มีส่วนรู้เห็นในเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ และกระหม่อมจะไม่มีทางทำให้ฝ่าบาทผิดหวังในตัวกระหม่อม กระหม่อมขอใช้ชีวิตของคนตระกูลเหยียนเป็นเดิมพันพ่ะย่ะค่ะ”“ดี เช่นนั้นเจ้าก็ไปทำตามที่เราสั่งเถอะ”“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปทำตามรับสั่งเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพผู้บัญชาการใหญ่รักษาเมืองหลวงตอบรับทันที ก่อนจะลุกขึ้นโค้งคำนับแล้วถอยหลังออกไป“เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ ให้เสด็จอาเป็นผู้จัดการเรื่องนี้ดีหรือไม่ เพราะมือสังหารที่ถูกทหารองครักษ์ของเสด็จอาฆ่าตาย น่าจะทิ้งหลักฐานเอาไว้ไม่มากก็น้อย และป่านี้เสด็จอาคงสืบได้เบาะแสแล้วเป็นแน่”“ได้ ทำตามเจ้าว่า” เหวินหลิงฮ่องเต้ผินพระพักตร์ไปหาขันทีข้างกาย“ไป๋กงกง ส่งคนไปตามเหวินเซียน บอกให้เขากลับเมืองหลวงมาสืบคดี”“พ่ะย่ะค่ะ” ไป๋กงกงรีบต
“ทูลเสด็จพ่อ โปรดออกคำสั่งให้แม่ทัพใหญ่เหยียนส่งทหารไปล้อมจวนขุนนางน้อยใหญ่ไว้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขุนนางที่อยู่ในห้องโถงต่างตกตะลึงปนไม่พอใจที่อยู่ ๆ องค์รัชทายาทหลิงเฮ่อจะให้ทหารไปล้อมจวนของพวกเขา เหล่าขุนนางหันหน้ามองกันพลางส่งสายตาเพื่อจะหาคนเอ่ยคัดค้าน ทว่ายังมิทันที่จะหาคนกราบทูลได้เหวินหลิงฮ่องเต้ก็ทรงตรัสออกมาเสียก่อน“เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเอ่ยวาจาไร้สาระอันใดออกมา”“เสด็จพ่อ ท่านรู้หรือไม่ว่าวันนี้ขณะที่คุณหนูทั้งสองตระกูลกำลังจะกลับเมืองหลวงพวกนางถูกนักฆ่าดักทำร้าย เดิมที่ข้าคิดว่ามีคนอยากแก้แค้นคุณหนูใหญ่ตระกูลเผย หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะเรื่องตำแหน่งพระชายาของเสด็จอา” บุรุษหนุ่มสายเลือดมังกรจงใจหยุดคำพูดของตน ก่อนใช้สายตาเหลือบมองเหล่าขุนนางเพียงได้ยินประโยคท้ายของโอรสสายเลือดมังกร ขุนนางตระกูลอวี๋กับตระกูลหยางก็หน้าซีดเผือดขึ้นมาอวี๋หลี่เฉียงรีบแก้ตัวเป็นพัลวันด้วยเกรงว่าบุรุษสายเลือดมังกรจะเข้าใจเขาผิด เนื่องจากคราก่อนที่เว่ยชินอ๋องมายังจวนของเขาได้เอ่ยว่าจะปล่อยบุตรสาวของเขาให้อยู่ท
เมื่ออ๋องหนุ่มเห็นเผิงเจียวเจี๋ยควบม้าจากไป จึงหันไปกระซิบกับองครักษ์ของตนเพื่อสั่งการเรื่องบางอย่าง ก่อนจะหันกลับมาหาหลานชายของตนเอง“เสด็จอา เช่นนั้นข้าจะตามท่านไปจัดการคนตระกูลหยางเอง” เว่ยหลิงเฮ่อเอ่ยอาสา เมื่อเห็นว่ามีเพียงตนเองที่ยังไร้ประโยชน์“เรื่องนั้นไม่จำเป็น ตอนนี้ข้ามีเรื่องอื่นให้เจ้าทำ” พูดจบเว่ยเหวินเซียนก็เดินเข้าไปใกล้บุรุษอายุน้อยกว่า แล้วเอ่ยกระซิบเรื่องที่ต้องการให้เจ้าของตำหนักบูรพาทำเมื่อได้ยินคำสั่งของผู้เป็นอา เว่ยหลิงเฮ่อก็พยักหน้าขึ้นลงอย่างช้า ๆ เพื่อตอบรับคำสั่งของบุรุษอายุมากกว่า ครั้นรู้ว่าตนเองต้องทำอันใดเจ้าของตำหนักบูรพาก็ไม่รีรอเดินไปสั่งลูกน้องของตนให้ปิดปากเรื่องในวันนี้ ก่อนจะขึ้นหลังม้าแล้วควบกลับเมืองหลวงในระหว่างที่ควบม้ากลับเมืองหลวง เจ้าของตำหนักบูรพาก็นึกไตร่ตรองถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้บุรุษสายเลือดมังกรรู้ว่าการที่เขานั่งอยู่ในตำแหน่งองค์รัชทายาทได้อย่างมั่นคงในตอนนี้ ไม่ใช่เพราะมีขุนนางน้อยใหญ่เข้าข้างเขา แต่เป็นเพราะเสด็จอากับเสด็จพ่อของเขาที่คอยปกป้องเขาอยู่อย่างลับ ๆถึงเว่ยหลิงเฮ่อจะไม่พอใจที่เสด็จอากับเสด็จพ่อมีความลับก
“เจ้าพบเจออันใดอย่างนั้นหรือ” เว่ยหลิงเฮ่อที่เดินมาทันได้ยินเอ่ยถามด้วยสีหน้าอยากรู้“ขอหม่อมฉันตรวจสอบอีกสักครู่เพคะ”ครั้นได้เสื้อของมือสังหารที่ตระกูลหยางส่งมา เหมิงเหมิงก็รีบใช้นิ้วมือลูบตรงจุดเดียวกันกับเสื้อตัวก่อนทันที“หม่อมฉันเจอแล้วเพคะ พวกเขาสวมชุดที่ปักลายตรงข้อมือของเสื้อเอาไว้ แต่ที่พวกเราไม่เห็นเป็นเพราะพวกมันใช้ด้ายสีเดียวกับเสื้อ หากไม่สังเกตดี ๆ ก็จะเห็นได้ยากเพคะ” เหมิงเหมิงเอ่ยพร้อมยื่นเสื้อให้กับเว่ยชินอ๋องได้ทอดพระเนตรเว่ยเหวินเซียนรับมามองดูพร้อมกับใช้นิ้วมือลูบวนไปตามฝีปักก่อนยกยิ้ม ทว่าเพียงวูบเดียวใบหน้าของเขากลับบึ้งตึงดวงตาขึงขังเส้นเลือดตรงขมับปูดโปน“เหมิงเหมิงเจ้าตรวจสอบอีกสองสามชุดเพื่อความแน่ใจ” น้ำเสียงของเว่ยชินอ๋องยามนี้ผสานกับสีหน้าแววตา ทำให้ทุกคนที่อยู่โดยรอบคาดเดาได้ว่าจะต้องมีการนองเลือดเป็นแน่“เสด็จอา เหตุใดอยู่ ๆ จึงได้โกรธขึ้นมาเช่นนี้” เจ้าของตำหนักบูรพาข้องใจ เพราะก่อนหน้ายังเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนใบหน้าถึงจะไม่กี่ลมหายใจก็ตาม แต่เ
“พวกเราไปกันเถอะ”ถึงบุรุษทั้งสองจะยังสับสนอยู่ แต่เมื่ออ๋องหนุ่มให้องครักษ์คนสนิทรั้งอยู่ที่นี่เพื่อดูแลเหล่าสตรี พวกเขาก็พอเดาออกว่าสตรีที่เดินไปขึ้นรถม้าก่อนหน้านี้มิใช่สตรีที่เพิ่งดวลสุรากับพวกเขายามนี้ในใจของเว่ยหลิงเฮ่อกลับเปลี่ยนไป เขาเดินตามเสด็จอาไปด้วยความเดือดดาลที่ปะทุขึ้นมา ครั้นนึกขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้เสด็จอาของเขาบอกว่าจะพาเขาไปจัดการกับคนที่คิดทำร้ายว่าที่พระชายาของเขา ถึงเจ้าของตำหนักบูรพาจะยังไม่รู้ว่าเว่ยเหวินเซียนวางแผนไว้อย่างไร ทว่าการที่คนผู้นั้นกล้าคิดสังหารสตรีนางนั้นทั้งที่รู้ว่านางจะมาเป็นพระชายาของเขาในอนาคตก็ทำให้โทสะในใจของเขาเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วบุรุษที่กำลังขุ่นเคืองจึงตั้งมั่นในใจ ‘ข้าจะไม่มีทางปล่อยให้พวกเจ้ามีชีวิตรอดไปทำร้ายพระชายาตัวจริงของข้าแน่นอน’บุรุษหนุ่มทั้งสามคนควบม้ามาตามทางที่รถม้าของอ๋องหนุ่มใช้เดินทางไปยังเมืองหลวง พร้อมด้วยทหารตระกูลเผิงจำนวนหนึ่งกับองครักษ์จากตำหนักบูรพา ส่วนองครักษ์ของเว่ยชินอ๋องทั้งหมดบวกกับทหารตระกูลเผิงที่เหลืออยู่ถูกสั่งให้คุ้มครองสตรีทั้งสามโด