เผยจือคุนและเผยจือชิ่นออกไปทำงานตามปกติ แต่เพียงทั้งสองทราบข่าวเรื่องจวนตระกูลหยางในหัวก็คิดถึงความปลอดภัยของคนในจวนวนซ้ำ ๆ ไม่รู้จบ เพราะเมื่อวานนี้เผยตั้นเหม่ยเล่าเรื่องราวทั้งหมดในวังให้พวกเขาฟังหมดแล้ว จึงรู้ว่าผู้ตายในจวนตระกูลหยางเป็นใคร สองพ่อลูกรู้ดีว่าผู้นำตระกูลหยางมิยอมจบง่าย ๆ เป็นแน่ และจะให้ไปทวงหนี้ชีวิตนี้กับเว่ยชินอ๋องก็คงไม่ได้ เช่นนั้นบัญชีแค้นนี้ก็คงหนีไม่พ้นเผยตั้นเยี่ยนที่จะต้องเป็นผู้ชดใช้ และเพราะยังไม่ได้แต่งตั้งอย่างเป็นทางการ จึงยังไม่มีอำนาจใด ๆ จะสั่งเหล่าทหารหรือองครักษ์มาคอยคุ้มกัน ทำให้บุรุษสกุลเผยทั้งสองอดที่จะร้อนรนพะวงใจไม่ได้
วันนี้นอกจากความว้าวุ่นที่อยู่ในใจ ทั้งสองพ่อลูกยังจะต้องหนักใจเมื่อต้องรับมือกับคนรอบข้างในที่ทำงานอีกด้วย ถึงแม้ทั้งสองจะทำงานต่างที่กันแต่ก็มีความรู้สึกไม่ต่างกันเมื่อรับรู้ได้ว่าคนที่ทำงานต่างมองพวกเขาต่างออกไปจากเดิม คนที่มักทักทายแปรเปลี่ยนไปราวกับมีท่าทีจะหลบเลี่ยงไม่อยากพบหน้า หรือไม่ก็ทำเมินเฉยราวกับไม่รู้จัก คำพูดยามสนทนาก็ห้วน ๆ สั้น ๆ เหมือนไม่อยากพูดคุยด้วย บุรุษแซ่เผยทั้งสองจึงคิดทบทวนเรื่องที่เผยตั้นเยี่
โชคดีที่เผยตั้นเหม่ยเป็นคนอ่านง่าย เมื่อสนทนากันจึงรู้ว่าอีกฝ่ายคิดเช่นไร ทั้งคู่ราวไม่รู้จักกันมาก่อนเผยตั้นเยี่ยนจึงเริ่มจากการถามถึงความชอบและสิ่งที่อยากทำ คำตอบของน้องสาวต่างมารดาช่างสมกับเป็นสตรีในยุคนี้ เพราะความต้องการของนางมีเพียงแต่งงานกับบุรุษตระกูลใหญ่ที่รักและให้เกียรตินางเมื่อรับรู้เช่นนั้นหญิงยุคใหม่ก็มิอาจจะทนอยู่เฉยได้ เพราะไม่ว่าจะยุคไหนหากเป็นที่รักก็ไม่จำเป็นต้องพูดว่าผู้ชายจะปรนนิบัติดีเพียงใด แต่เมื่อใดไร้รักการที่สตรีต้องพึ่งพาแต่บุรุษย่อมต้องอดทนกล้ำกลืนเท่านั้น เพราะมิว่าพวกเขาจะทำสิ่งใดให้เจ็บช้ำใจมากเท่าใดก็ตาม หญิงสาวที่ไม่มีหนทางให้ไปก็ทำได้เพียงทนอยู่ เผยตั้นเยี่ยนจึงต้องเอ่ยเตือนสติหญิงสาวอายุน้อยกว่า“น้องสาม ถึงข้าจะยังมิได้ออกเรือนและไม่รู้ว่าบุรุษที่เจ้าจะแต่งงานด้วยนั้นเป็นคนดีมากเพียงใด แต่ในฐานะที่เป็นพี่หญิงของเจ้าข้าก็อยากให้เจ้าพึ่งพาตนเองได้ มิใช่ยังมิแต่งงานก็อาศัยบิดามารดาแต่งออกไปก็อาศัยสามี หากวันหน้าเกิดอันใดขึ้นอย่างน้อยเจ้าก็สามารถช่วยตนเองหรือสามีของเจ้าได้ หรือไม่หากสามีของเจ้าทำให้เจ้าคับข้องใจ เจ้าก็ยังมิต้องอด
“เพราะข้ารู้ถึงได้วางแผนเหล่านี้ให้พวกท่านอย่างไรล่ะเจ้าค่ะ ข้าเคยใช้แซ่เผยต่อให้แต่งออกไปหากตระกูลเผยมีปัญหาข้าเองก็ต้องเดือดร้อน หรือแม้แต่วันหน้าข้าเดือดร้อนตระกูลเผยก็ไม่อาจอยู่เป็นสุขได้ ท่านแม่ว่าจริงหรือไม่” เผยตั้นเยี่ยนไม่รอช้าที่จะตอบกลับ เพื่อจะเอ่ยให้เผยฮูหยินรู้ว่าหากนางมีภัยคนตระกูลเผยก็ต้องช่วยนางเช่นกัน“ในเมื่อไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพวกเราก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน ข้าจึงอยากจัดการเรื่องทุกอย่างให้เสร็จสิ้นก่อนที่จะแต่งเข้าจวนอ๋อง เมื่อข้าไปอยู่ที่จวนอ๋องแล้วจะได้ไม่ต้องพะวงหน้าพะวงหลัง และอีกอย่างหากข้าออกเรือนไปแล้วท่านแม่คิดจะให้ข้านำเงินมาจุนเจือในจวนอีกอย่างนั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้นท่านอ๋องจะมองพวกท่านเช่นไร เช่นนั้นยามที่ข้ายังอยู่ที่จวนมิสู้พวกท่านรีบปูทางให้ตนเองไม่ดีหรือ อย่างไรเสียหากข้าต้องการสิ่งใดเพื่อตระกูลตนเองในยามนี้จะเอ่ยปากกับท่านอ๋องก็ยังมิดูน่าเกลียด ท่านแม่ว่าจริงหรือไม่”ใบหน้าของหลินเยว่ฉีทำให้เผยตั้นเยี่ยนรู้ว่านางสามารถโน้มน้าวได้สำเร็จเป็นแน่ ถึงเผยฮูหยินจะยังไม่พูดออกมาแต่ในใจของสตรีวัยกลางคนก็น่าจะคล้อยตามนา
เผยตั้นเยี่ยนไม่คิดรอให้เว่ยเหวินเซียนเอ่ยบทลงโทษสตรีทั้งสอง เพราะนางรู้ว่าหากมีรับสั่งออกมาแล้ว การกลับคำต่อหน้าผู้ใต้บัญชาการจะทำให้บุรุษที่ปกครองเหล่าแม่ทัพอย่างเขาขาดความน่าเชื่อถือได้ จึงรีบกล่าวช่วยสตรีทั้งสองคนอย่างรวดเร็ว พร้อมกับก้าวเท้าลงมาจากเตียง“ท่านอ๋องเพคะ หากจะลงโทษพวกนางก็ลงโทษหม่อมฉันก่อนเถอะเพคะ เพราะหม่อมฉันเป็นคนสั่งให้พวกนางไปซื้อของเอง พวกนางมิได้ละเลยหน้าที่เลยแม้แต่น้อย” เผยตั้นเยี่ยนเอ่ยเสียงหนักแน่นเมื่อเห็นว่าบุรุษสูงศักดิ์นิ่งเงียบ หญิงสาวจึงได้หันไปหาสตรีสองคนที่คุกเข่าอยู่ “พวกเจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ”ลี่มี่กับเหมิงเหมิงไม่รอช้ารีบลุกขึ้นยอบกายออกจากห้องไปทันที พวกนางรีบกลับไปยังเรือนพักของตนเอง เนื่องจากคืนนี้พวกนางไม่จำเป็นจะต้องเป็นห่วงพระชายาชินอ๋องแล้ว ที่พวกนางมาถึงห้องนอนของเผยตั้นเยี่ยนได้อย่างรวดเร็ว เพราะพวกนางกลัวว่าจะทำหน้าที่พลาดอีก จึงได้เดินสำรวจรอบบริเวณไม่ยอมกลับห้องนอนของตนเองเมื่อสาวรับใช้ทั้งสองเดินมาถึงเรือนนอน ก็พบกับฉุยฉุยที่เพิ่งเดินมาถึงห้องนอนเช่นกัน “เจ้าไปไหนมาอย่างน
จันทรากลมโตบนนภาสาดแสงส่องลงมากระทบบุรุษที่ยืนอยู่ข้างริมหน้าต่าง บุรุษใบหน้าสง่างามรูปร่างสูงโปร่งท่วงท่าดูองอาจสุขุม ดวงตาของเขานุ่มลึกชวนให้คนยกย่อง แต่ทว่าผิวของเขากลับขาวดั่งหยกประหนึ่งคุณชายเจ้าสำราญบุรุษท่าทางองอาจรอคอยการมาของสตรีนางหนึ่งอยู่ในห้องที่ไม่ใหญ่นัก เขาทอดสายตามองออกมาทางหน้าต่างเพื่อมองทางเพียงเส้นทางเดียวที่จะมาถึงยังเรือนหลังนี้อย่างใจจดใจจ่อเวลาผ่านไปไม่ถึงสองเค่อ [1] ก็มีรถม้าวิ่งมาตามทางที่บุรุษสูงศักดิ์คอยมองอยู่ การรอคอยของเขาจบสิ้นเสียที เขาเดินไปนั่งพร้อมยกถ้วยชาที่มีไอร้อนลอยขึ้นมาจากถ้วยแล้วค่อย ๆ จิบอย่างช้า ๆ ยามนี้ในใจของเขาได้แต่คาดหวังว่านางจะมาพร้อมกับสิ่งที่เขาต้องการ“องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ คุณหนูสกุลเผยมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้กระหม่อมให้นางรออยู่ที่โถงรับแขกแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เติ้งจื่ออวี๋องครักษ์คนสนิทของเว่ยหลิงเฮ่อรีบเข้ามารายงานผู้เป็นนาย“นางได้ตราพยัคฆ์มาหรือไม่” เว่ยหลิงเฮ่อสุรเสียงราบเรียบ“ได้มาพ่ะย่ะค่ะ พระองค์จะเสด็จไปหานางหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เว่ยหลิงเฮ่อเมื่อได้ยินคำตอบจากองครักษ์ข้างกายมุมปากของเขาก็ยกโค้งขึ้น “ใยข้าจะต้องไปหานางด้วย เ
เมื่อเติ้งจื่ออวี๋ได้ยินคำสั่งของผู้เป็นนายเขานั้นก็ไม่รอช้า เขาหมุนตัวออกไปจัดการตามรับสั่งทันที ส่วนเว่ยหลิงเฮ่อลุกขึ้นไปยืนที่ริมหน้าต่างมองถนนเส้นเดิมที่ยาวไปสุดความมืด ถึงเขาจะไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ ๆ เผยตั้นเยี่ยนถึงหนีไป แต่เขาก็ไม่ใคร่อยากรู้จนต้องเก็บชีวิตของนางเอาไว้เพื่อหาคำตอบ เพราะจุดประสงค์เดียวที่เขายอมพูดจาราวกับมีใจให้นางมาตลอดนั้น เป็นเพราะตราพยัคฆ์ที่อยู่กับเว่ยเหวินเซียนเท่านั้นรถม้าที่วิ่งด้วยความเร็ว บวกกับถนนเส้นนี้ไม่ใช่ถนนที่มีผู้คนสัญจรผ่านไปผ่านมาทางจึงทั้งแคบทั้งขรุขระ ทำให้รถม้าโคลงเคลงไปมาจึงไม่แปลกที่คนนั่งข้างในรถม้านั้นจะวิงเวียนศีรษะแต่ในยามที่ความตายกำลังมาเยือน ต่อให้เวียนหัวจนต้องอ้วกออกมาเผยตั้นเยี่ยนก็ไม่คิดที่จะให้สารถีลดความเร็วเป็นแน่ เผยตั้นเยี่ยนทั้งเวียนหัวทั้งปวดหัว เพราะนางพยายามจะหาทางออกแต่ทว่าคิดเท่าใดก็คิดไม่ออกเสียทีฉุยฉุยสาวใช้คนสนิทที่นั่งอยู่ด้านข้างเห็นใบหน้าเคร่งเครียดของคุณหนูก็นึกสงสาร เพราะอีกก้าวเดียวเท่านั้นสิ่งที่คุณหนูของนางปรารถนาก็จะสำเร็จแล้ว แต่สุดท้ายไม่เพียงไม่เป็นไปดังหวังแม้แต่ชีวิตก็ไม่แน่ว่าจะรักษาไว้ได้‘เฟี้ยว!
“สวรรค์ฉันทำผิดอะไรมากนักอย่างนั้นเหรอ ฉันเพิ่งตกหน้าผาตายมาแท้ ๆ ทำไมส่งฉันมาตายอีกแล้ว หรือว่าครั้งก่อนฉันตายทรมานไม่พอ ครั้งนี้จึงส่งฉันมาให้ตาอ๋องผู้โหดเหี้ยมนั้นทรมานจนตายอีกรอบ”จ้าวฉือลี่ยังไม่ทันจะกล่าวตัดพ้อในโชคชะตาของตนเองเสร็จ เสวี่ยเฟิงก็เอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน“คุณหนูขอรับ ถึงข้าจะไม่รู้ว่าท่านพูดอันใดอยู่ แต่ยามนี้พวกเรากลับไปจวนตระกูลเผยก่อนเถอะขอรับ หากคนขององค์รัชทายาทหรือคนของชินอ๋องมาเจอพวกเราตอนนี้คงไม่อาจรักษาชีวิตไว้ได้ แต่หากเราไปถึงจวนตระกูลเผยพวกเราอาจมีทางรอด”เมื่อได้ยินคำว่า ‘อาจมีทางรอด’ จ้าวฉือลี่ถึงกับได้สติ ถึงเวลาจะกระชั้นชิดแต่ก็ถือว่ายังมีโอกาสให้ทุกคนรอดตายนางพยายามนึกถึงเนื้อเรื่องในนิยายเรื่องนี้เพื่อหาทางออก แต่เพราะนักเขียนเทงานไว้กลางทางลงตอนสุดท้ายไว้3เดือนแล้วไม่ยอมกลับมาแต่งต่อให้จบ ทำให้นางนั้นจำรายละเอียดทุกอย่างได้ไม่ชัดเจนนักนางจำได้ว่าตอนสุดท้ายเผยตั้นเยี่ยนและคนรับใช้ข้างกายทั้งสามถูกเว่ยเหวินเซียนทรมานจนตาย โดยการจับขึงไว้ที่กลางลานฝึกทหารส่วนตัวของเว่ยเหวินเซียน และใช้แส้เฆี่ยนตีทุกวันวันละ50ครั้ง มิหนำซ้ำบางวันเว่ยเหวินเซียนอารมณ์ไ
“อย่าฝากความหวังไว้กับคนตายเลย เจ้าหาท่อนไม้มาถือเอาไว้ดีกว่า หากมีคนเข้ามาไม่ว่าใครก็ตีได้เลย แต่ไม่ต้องเผยวรยุทธ์ให้พวกเขารู้” จ้าวฉือลี่เอ่ยเสียงเบา ๆ ราวกับกระซิบ เพราะคนถือคบเพลิงใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แล้วเรื่องที่คนรับใช้ทั้งสามของเผยตั้นเยี่ยนมีวรยุทธ์นั้นมิมีผู้ใดรู้ นอกจากเผยตั้นเยี่ยนกับคหบดีหลิว หลิวชิงเยี่ยนท่านตาของนางเท่านั้น แต่จ้าวฉือลี่เคยอ่านนิยายเรื่องนี้มามีหรือนางจะไม่รู้ทั้งสามคนล้วนเป็นคนที่หลิวชิงเยี่ยนคัดเลือกมาด้วยตนเองก่อนจะส่งมาเพื่อคอยดูแลเผยตั้นเยี่ยน หลังจากที่หลิวชิงเยี่ยนนั้นสืบทราบสาเหตุการตายที่แท้จริงของบุตรสาวตนเองได้ว่าที่จริงแล้วนางนั้นมิได้ตายเพราะร่างกายอ่อนแอ แต่ทว่าตายเพราะถูกวางยา แต่หลิวชิงเยี่ยนยังไม่รู้ว่าใครคือคนวางยาบุตรสาวของตนจึงส่งคนมาอารักขาหลานสาวเอาไว้ก่อนอย่าว่าแต่หลิวชิงเยี่ยนเลยที่ไม่รู้ตัวคนร้าย แม้แต่จ้าวฉือลี่เองก็ยังไม่รู้ว่าใครคือคนวางยา เพราะนักเขียนเทนิยายไปเสียก่อนเพียงไม่นานนักแสงไฟจากคบเพลิงก็เข้ามาใกล้จุดที่พวกนางซ่อนตัวอยู่ เมื่อฉุยฉุยเห็นว่าระยะห่างจากแสงไฟนั้นเข้ามาใกล้ไม่ถึง5ก้าวแล้ว นางก็พุ่งตัวออกมาจากที่ซ่อนเ
จ้าวฉือลี่ไม่ทันได้ตั้งตัวเมื่อถูกจู่โจมประชิดตัวก็ถึงกับไปไม่เป็น ยิ่งได้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาในระยะเผาขนใบหน้าของนางก็ร้อนวูบวาบขึ้นมาทันที‘แบบนี้นี่เองเวลาแฟนคลับเห็นศิลปินสุดหล่อของตัวเองในระยะใกล้ถึงทำตัวไม่ถูก ความหล่อนี่มันช่างมีพลังทำลายล้างสูงเสียจริง ๆ ทำให้คนหลงใหลเคลิบเคลิ้มได้ในชั่วพริบตา’ จ้าวฉือลี่รีบก้มหน้าลงเพราะกลัวสติจะกระเจิงจนเผลอตัวทำอะไรลงไปจนเว่ยเหวินเซียนนั้นจับผิดได้ แต่เมื่อนางก้มลงมาเห็นว่ามือของเขานั้นจับเชือกผ้าคาดเอวของนางเอาไว้ ก็ทำให้นางโกรธขึ้นมาทันทีไม่ว่าเขาจะหล่อเหลามากเพียงใด แต่การที่ทำเช่นนี้ก็เท่ากับไม่ให้เกียรติผู้หญิงเลยแม้แต่น้อย ถึงนางจะไม่ได้เกิดในสมัยนี้แต่นางนั้นก็คิดว่าทุกยุคทุกสมัยบุรุษก็ควรให้เกียรติผู้หญิงเพศแม่เพราะตอนที่นางอยู่ในภพชาติของตนเอง นางนั้นต้องเรียนหนังสือไปด้วยหาเงินเลี้ยงตัวเองไปด้วยตั้งแต่อายุ16ปี ไม่ว่างานรับจ้างอะไรจ้าวฉือลี่ก็ไม่เคยเกี่ยง และงานที่ทำเป็นประจำหลังเลิกเรียนคืองานเด็กเสิร์ฟตามร้านอาหาร ถึงจะได้ทิปดีแต่เธอก็มักถูกลูกค้าแต๊ะอั๋งอยู่บ่อยครั้ง จึงทำให้นางเกลียดผู้ชายประเภทนี้ที่สุดจ้าวฉือลี่หันไปมองฉ
เผยตั้นเยี่ยนไม่คิดรอให้เว่ยเหวินเซียนเอ่ยบทลงโทษสตรีทั้งสอง เพราะนางรู้ว่าหากมีรับสั่งออกมาแล้ว การกลับคำต่อหน้าผู้ใต้บัญชาการจะทำให้บุรุษที่ปกครองเหล่าแม่ทัพอย่างเขาขาดความน่าเชื่อถือได้ จึงรีบกล่าวช่วยสตรีทั้งสองคนอย่างรวดเร็ว พร้อมกับก้าวเท้าลงมาจากเตียง“ท่านอ๋องเพคะ หากจะลงโทษพวกนางก็ลงโทษหม่อมฉันก่อนเถอะเพคะ เพราะหม่อมฉันเป็นคนสั่งให้พวกนางไปซื้อของเอง พวกนางมิได้ละเลยหน้าที่เลยแม้แต่น้อย” เผยตั้นเยี่ยนเอ่ยเสียงหนักแน่นเมื่อเห็นว่าบุรุษสูงศักดิ์นิ่งเงียบ หญิงสาวจึงได้หันไปหาสตรีสองคนที่คุกเข่าอยู่ “พวกเจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ”ลี่มี่กับเหมิงเหมิงไม่รอช้ารีบลุกขึ้นยอบกายออกจากห้องไปทันที พวกนางรีบกลับไปยังเรือนพักของตนเอง เนื่องจากคืนนี้พวกนางไม่จำเป็นจะต้องเป็นห่วงพระชายาชินอ๋องแล้ว ที่พวกนางมาถึงห้องนอนของเผยตั้นเยี่ยนได้อย่างรวดเร็ว เพราะพวกนางกลัวว่าจะทำหน้าที่พลาดอีก จึงได้เดินสำรวจรอบบริเวณไม่ยอมกลับห้องนอนของตนเองเมื่อสาวรับใช้ทั้งสองเดินมาถึงเรือนนอน ก็พบกับฉุยฉุยที่เพิ่งเดินมาถึงห้องนอนเช่นกัน “เจ้าไปไหนมาอย่างน
“เพราะข้ารู้ถึงได้วางแผนเหล่านี้ให้พวกท่านอย่างไรล่ะเจ้าค่ะ ข้าเคยใช้แซ่เผยต่อให้แต่งออกไปหากตระกูลเผยมีปัญหาข้าเองก็ต้องเดือดร้อน หรือแม้แต่วันหน้าข้าเดือดร้อนตระกูลเผยก็ไม่อาจอยู่เป็นสุขได้ ท่านแม่ว่าจริงหรือไม่” เผยตั้นเยี่ยนไม่รอช้าที่จะตอบกลับ เพื่อจะเอ่ยให้เผยฮูหยินรู้ว่าหากนางมีภัยคนตระกูลเผยก็ต้องช่วยนางเช่นกัน“ในเมื่อไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพวกเราก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน ข้าจึงอยากจัดการเรื่องทุกอย่างให้เสร็จสิ้นก่อนที่จะแต่งเข้าจวนอ๋อง เมื่อข้าไปอยู่ที่จวนอ๋องแล้วจะได้ไม่ต้องพะวงหน้าพะวงหลัง และอีกอย่างหากข้าออกเรือนไปแล้วท่านแม่คิดจะให้ข้านำเงินมาจุนเจือในจวนอีกอย่างนั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้นท่านอ๋องจะมองพวกท่านเช่นไร เช่นนั้นยามที่ข้ายังอยู่ที่จวนมิสู้พวกท่านรีบปูทางให้ตนเองไม่ดีหรือ อย่างไรเสียหากข้าต้องการสิ่งใดเพื่อตระกูลตนเองในยามนี้จะเอ่ยปากกับท่านอ๋องก็ยังมิดูน่าเกลียด ท่านแม่ว่าจริงหรือไม่”ใบหน้าของหลินเยว่ฉีทำให้เผยตั้นเยี่ยนรู้ว่านางสามารถโน้มน้าวได้สำเร็จเป็นแน่ ถึงเผยฮูหยินจะยังไม่พูดออกมาแต่ในใจของสตรีวัยกลางคนก็น่าจะคล้อยตามนา
โชคดีที่เผยตั้นเหม่ยเป็นคนอ่านง่าย เมื่อสนทนากันจึงรู้ว่าอีกฝ่ายคิดเช่นไร ทั้งคู่ราวไม่รู้จักกันมาก่อนเผยตั้นเยี่ยนจึงเริ่มจากการถามถึงความชอบและสิ่งที่อยากทำ คำตอบของน้องสาวต่างมารดาช่างสมกับเป็นสตรีในยุคนี้ เพราะความต้องการของนางมีเพียงแต่งงานกับบุรุษตระกูลใหญ่ที่รักและให้เกียรตินางเมื่อรับรู้เช่นนั้นหญิงยุคใหม่ก็มิอาจจะทนอยู่เฉยได้ เพราะไม่ว่าจะยุคไหนหากเป็นที่รักก็ไม่จำเป็นต้องพูดว่าผู้ชายจะปรนนิบัติดีเพียงใด แต่เมื่อใดไร้รักการที่สตรีต้องพึ่งพาแต่บุรุษย่อมต้องอดทนกล้ำกลืนเท่านั้น เพราะมิว่าพวกเขาจะทำสิ่งใดให้เจ็บช้ำใจมากเท่าใดก็ตาม หญิงสาวที่ไม่มีหนทางให้ไปก็ทำได้เพียงทนอยู่ เผยตั้นเยี่ยนจึงต้องเอ่ยเตือนสติหญิงสาวอายุน้อยกว่า“น้องสาม ถึงข้าจะยังมิได้ออกเรือนและไม่รู้ว่าบุรุษที่เจ้าจะแต่งงานด้วยนั้นเป็นคนดีมากเพียงใด แต่ในฐานะที่เป็นพี่หญิงของเจ้าข้าก็อยากให้เจ้าพึ่งพาตนเองได้ มิใช่ยังมิแต่งงานก็อาศัยบิดามารดาแต่งออกไปก็อาศัยสามี หากวันหน้าเกิดอันใดขึ้นอย่างน้อยเจ้าก็สามารถช่วยตนเองหรือสามีของเจ้าได้ หรือไม่หากสามีของเจ้าทำให้เจ้าคับข้องใจ เจ้าก็ยังมิต้องอด
เผยจือคุนและเผยจือชิ่นออกไปทำงานตามปกติ แต่เพียงทั้งสองทราบข่าวเรื่องจวนตระกูลหยางในหัวก็คิดถึงความปลอดภัยของคนในจวนวนซ้ำ ๆ ไม่รู้จบ เพราะเมื่อวานนี้เผยตั้นเหม่ยเล่าเรื่องราวทั้งหมดในวังให้พวกเขาฟังหมดแล้ว จึงรู้ว่าผู้ตายในจวนตระกูลหยางเป็นใคร สองพ่อลูกรู้ดีว่าผู้นำตระกูลหยางมิยอมจบง่าย ๆ เป็นแน่ และจะให้ไปทวงหนี้ชีวิตนี้กับเว่ยชินอ๋องก็คงไม่ได้ เช่นนั้นบัญชีแค้นนี้ก็คงหนีไม่พ้นเผยตั้นเยี่ยนที่จะต้องเป็นผู้ชดใช้ และเพราะยังไม่ได้แต่งตั้งอย่างเป็นทางการ จึงยังไม่มีอำนาจใด ๆ จะสั่งเหล่าทหารหรือองครักษ์มาคอยคุ้มกัน ทำให้บุรุษสกุลเผยทั้งสองอดที่จะร้อนรนพะวงใจไม่ได้วันนี้นอกจากความว้าวุ่นที่อยู่ในใจ ทั้งสองพ่อลูกยังจะต้องหนักใจเมื่อต้องรับมือกับคนรอบข้างในที่ทำงานอีกด้วย ถึงแม้ทั้งสองจะทำงานต่างที่กันแต่ก็มีความรู้สึกไม่ต่างกันเมื่อรับรู้ได้ว่าคนที่ทำงานต่างมองพวกเขาต่างออกไปจากเดิม คนที่มักทักทายแปรเปลี่ยนไปราวกับมีท่าทีจะหลบเลี่ยงไม่อยากพบหน้า หรือไม่ก็ทำเมินเฉยราวกับไม่รู้จัก คำพูดยามสนทนาก็ห้วน ๆ สั้น ๆ เหมือนไม่อยากพูดคุยด้วย บุรุษแซ่เผยทั้งสองจึงคิดทบทวนเรื่องที่เผยตั้นเยี่
เมื่อถึงเวลาประชุมเช้า ขุนนางทุกคนก็เข้ายืนประจำที่ของตน วันนี้ไม่เพียงเสนาบดีสำนักราชเลขานุการหยางกับรองเสนาบดีสำนักราชเลขานุการหยางที่ไม่มาร่วมประชุม แต่เว่ยเหวินเซียนก็ไม่มาเช่นกันเพราะปกติเขาจะเข้ามายังท้องพระโรงก็ต่อเมื่อมีเรื่องสำคัญจริง ๆ หรือไม่ก็เหวินหลิงฮ่องเต้เรียกให้เข้าประชุมด้วย ขุนนางที่อยู่ฝ่ายอำนาจของตระกูลหยางจึงได้ทีเอ่ยเรื่องคุณหนูตระกูลหยางขึ้นมาหลังจากที่ทูลเรื่องอื่น ๆ ของราชสำนักเสร็จแล้ว“ฝ่าบาทพวกกระหม่อมขอบังอาจทูลทวงความเป็นธรรมให้คุณหนูตระกูลหยางพ่ะย่ะค่ะ ถึงนางจะตายไปแล้วแต่เรื่องที่ไม่ได้ทำก็ไม่ควรให้คนตายต้องแบกรับ และยิ่งไม่ควรให้ใครมากล่าวถึงตระกูลหยางแบบเสีย ๆ หาย ๆ ด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางวัยกลางคนเอ่ยขึ้น“กระหม่อมก็เห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ อย่างไรเสียคุณหนูตระกูลเผยก็กล่าวโดยไม่มีหลักฐาน จึงควรจะสอบสวนเรื่องนี้เพื่อมิให้ชื่อเสียงของตระกูลขุนนางใหญ่ต้องเสียหายเพียงเพราะถูกคุณหนูผู้หนึ่งกล่าวหานะพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางอีกคนรีบกล่าวเสริมเหวินหลิงฮ่องเต้นิ่งเงียบไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ใช้เพียงสายตากวาดมองขุนนางคนอื่น ๆ ที่ยื
หยางฮูหยินผู้เฒ่าถึงกับเป็นลมล้มพับไปทันที หยางหวังหย่งจึงต้องเรียกคนที่อยู่ด้านนอกมาพามารดาออกไป ส่วนหยางฮูหยินถึงจะหน้ามืดยืนเซไร้เรี่ยวแรงราวกับจะเป็นลมไปอีกคน กลับพยายามทนฝืนเพราะอยากอยู่ข้าง ๆ บุตรสาว สาวรับใช้ที่เข้ามาพยุงจึงประคองพาไปนั่งที่เก้าอี้ข้าง ๆ เตียงนอนบุรุษทั้งสองต่างเอ่ยวิงวอนขอร้องไห้หมอหลวงที่ตามมายื้อชีวิตคุณหนูสายตรงของจวนที่นอนอยู่ ทว่าหมอหลวงกลับทำได้เพียงส่ายหน้าไปมาอย่างละอายใจที่ไร้ความสามารถไม่อาจช่วยคุณหนูตระกูลหยางให้พ้นเงื้อมมือมัจจุราชได้เมื่อไม่อาจช่วยเหลือได้หมอหลวงจึงขอตัวออกมาจากห้องนอนของหญิงสาว เพื่อไปตรวจหยางฮูหยินผู้เฒ่า และเพื่อปล่อยให้ผู้ที่กำลังหายใจอ่อนแรงได้มีโอกาสร่ำลาคนในครอบครัวเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินทางไปยังแม่น้ำลืมเลือน ผู้เป็นปู่เป็นพ่อถึงจะเศร้าเสียใจแต่ก็ยังพอรักษาท่าทีขุนนางใหญ่เอาไว้ได้ มีเพียงน้ำตาที่ไม่อาจกลั้นเอาไว้อยู่ที่หลั่งไหลออกมาแทนความรู้สึกที่มีอยู่ในใจทว่าหยางฮูหยินผู้เป็นมารดาไม่อาจยับยั้งอารมณ์ของตนได้ นางร่ำไห้ออกมาเมื่อเห็นสตรีร่างบางที่นางเลี้ยงมาอย่างถนอมมีสภาพบอบช้ำมากถึงเพียงนี้ ห
“น้องรองเหตุใดเจ้ามิบอกว่ามีเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นกับเจ้า” ความเป็นห่วงและความรู้สึกผิดในใจเกินกว่าที่เขาจะปิดบังความรู้สึกตนเองเอาไว้ได้ ยามนี้เผยจือชิ่นไม่สนใจว่ามารดาของเขาจะคิดเช่นไรอีกแล้ว“ความสัมพันธ์ของข้ากับพวกท่านจะให้ข้าพูดเช่นไร เพียงแค่อ้าปากคุยกันดี ๆ แต่ละครั้งก็ยังยาก ถึงพักหลังมาจะพูดกันดี ๆ ได้หลายประโยค แต่ข้าบอกไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมา อย่างไรเสียพวกท่านก็ทำอันใดไม่ได้อยู่ดี พลอยทำให้พวกท่านวิตกกังวลและหวาดกลัวไปเสียเปล่า ๆ”คำพูดของเผยตั้นเยี่ยนราวกับมีดแหลมที่แทงทะลุร่างของสองบุรุษแซ่เผย ความรู้สึกผิดแล่นวาบขึ้นมาตามสันหลังของบุรุษทั้งสอง เผยจือคุนถึงกับไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบสายตากับบุตรสาวคนโต ส่วนเผยจือชิ่นเองก็ได้แต่กล่าวโทษตนเองที่ไร้ความสามารถซ้ำ ๆ ในใจ“เยี่ยนเอ๋อร์พูดถูกแล้ว เจ้ารู้ความขึ้นมากจริง ๆ อีกทั้งยังรู้จักแก้ปัญหาเองแล้ว ไม่นำเรื่องเดือดร้อนมาให้ที่บ้านต้องลำบากใจ ข้าภูมิใจในตัวเจ้ายิ่งนัก” ใบหน้าหลินเยว่ฉีเต็มไปด้วยรอยยิ้มการค้า ในใจของนางรู้สึกโล่งอกที่เผยตั้นเยี่ยนคิดได้เช่นนี้ ภัยอันตรายต่
“ใครได้เป็นพระชายาเอกและพระชายารองของชินอ๋องและองค์รัชทายาทอย่างนั้นหรือ”เมื่อสาวรับใช้และบ่าวรับใช้ออกไปไกลแล้วเผยจือคุนจึงไม่รั้งรอที่จะเอ่ยถาม น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวังว่าบุตรสาวคนโตของตนเองจะได้เป็นพระชายาเอกของชินอ๋อง ตามที่เหล่าสหายในที่ทำงานต่างพูดถึง เนื่องจากตระกูลเผยเป็นตระกูลเดียวที่ได้รับเทียบเชิญจากขันทีข้างกายของมู่หรงไทเฮา ถึงคุณสมบัติหลายสิ่งหลายอย่างของบุตรสาวเมื่อเทียบกับคุณหนูตระกูลใหญ่ จะทำให้ผู้นำตระกูลเผยประมาณตนได้ว่ามู่หรงไทเฮาอาจไม่ยอมรับบุตรสาวของเขาเป็นพระชายาเอก แต่ด้วยเว่ยเหวินเซียนเป็นโอรสองค์โปรดก็พอจะทำให้เผยจือคุนพอมีลุ้นว่ามู่หรงไทเฮาจะตามใจโอรสองค์นี้สักครา แต่ต่อให้มู่หรงไทเฮาไม่ยินดีให้เผยตั้นเยี่ยนเป็นพระชายาเอกแต่การส่งขันทีคนสนิทมาอย่างน้อยตำแหน่งพระชายารองก็ต้องได้เป็น“วันนี้เกิดเรื่องขึ้นจึงยังไม่มีการประกาศออกมาว่าผู้ใดได้เป็นพระชายาเอกหรือพระชายารองเจ้าค่ะท่านพ่อ” เผยตั้นเหม่ยเอ่ยตอบด้วยสีหน้าเบิกบาน“เกิดเรื่องขึ้นอย่างนั้นหรือ!” เผยจือคุน หลินเยว่ฉีและเผยจือชิ่นมีสีหน้าตกใจไม่ต่างกันเลยเผยจือคุนรู
ครั้นพ่อบ้านจวนตระกูลเผยได้รับรายงานจากบ่าวเฝ้าประตูจวนว่ามีรถม้าของจวนขุนนางหลายท่านผ่านหน้าจวน พ่อบ้านก็รีบไปแจ้งนายท่านนายหญิงและคุณชายอย่างรวดเร็วตามที่เหล่าเจ้านายได้สั่งการเอาไว้ เนื่องจากงานเลี้ยงในครั้งนี้ตระกูลเผยเป็นตระกูลที่มีฐานะต่ำสุด พวกเขาจึงอดเป็นกังวลไม่ได้ว่าบุตรีตระกูลเผยจะถูกคุณหนูตระกูลอื่นกลั่นแกล้งหรือไม่ จึงได้เฝ้ารออย่างกระวนกระวายตลอดเวลาเมื่อทั้งสามคนได้ยินพ่อบ้านมารายงานก็รีบออกไปยืนรอหน้าประตูจวน พร้อมชะเง้อมองดูว่าเมื่อไรรถม้าตระกูลตนเองจะมาเสียที เวลาผ่านไปเกือบสองเค่อแต่ก็ยังไร้วี่แวว ทำให้เผยจือคุนกับเผยฮูหยินร้อนใจหนักขึ้นจนไม่อาจยืนนิ่ง ๆ ได้ ทั้งสองเดินวนไปวนมาอยู่หน้าจวน มีเพียงเผยจือชิ่นที่ยังคงพยายามกดอารมณ์ของตนเองอยู่หน้าประตูจวน ถึงในใจเขาจะกระสับกระส่ายมากก็ตามในที่สุดความพะวงที่อยู่ในใจก็สงบลง เมื่อทั้งสามคนเห็นรถม้าตระกูลเผยกำลังมุ่งหน้ามายังจวน เพียงล้อรถม้าหยุดสนิทสตรีตระกูลเผยทั้งสองก็ทยอยลงจากรถม้า เผยจือคุนกับหลินเยว่ฉีรีบเข้าไปหาเผยตั้นเหม่ยเพื่อสำรวจบุตรสาวทันทีด้วยความเป็นห่วงว่าบุตรสาวจะถูกคุณหนูตระกูลอื่นข่มเหงรั