“สวรรค์ฉันทำผิดอะไรมากนักอย่างนั้นเหรอ ฉันเพิ่งตกหน้าผาตายมาแท้ ๆ ทำไมส่งฉันมาตายอีกแล้ว หรือว่าครั้งก่อนฉันตายทรมานไม่พอ ครั้งนี้จึงส่งฉันมาให้ตาอ๋องผู้โหดเหี้ยมนั้นทรมานจนตายอีกรอบ”
จ้าวฉือลี่ยังไม่ทันจะกล่าวตัดพ้อในโชคชะตาของตนเองเสร็จ เสวี่ยเฟิงก็เอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน
“คุณหนูขอรับ ถึงข้าจะไม่รู้ว่าท่านพูดอันใดอยู่ แต่ยามนี้พวกเรากลับไปจวนตระกูลเผยก่อนเถอะขอรับ หากคนขององค์รัชทายาทหรือคนของชินอ๋องมาเจอพวกเราตอนนี้คงไม่อาจรักษาชีวิตไว้ได้ แต่หากเราไปถึงจวนตระกูลเผยพวกเราอาจมีทางรอด”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘อาจมีทางรอด’ จ้าวฉือลี่ถึงกับได้สติ ถึงเวลาจะกระชั้นชิดแต่ก็ถือว่ายังมีโอกาสให้ทุกคนรอดตาย
นางพยายามนึกถึงเนื้อเรื่องในนิยายเรื่องนี้เพื่อหาทางออก แต่เพราะนักเขียนเทงานไว้กลางทางลงตอนสุดท้ายไว้3เดือนแล้วไม่ยอมกลับมาแต่งต่อให้จบ ทำให้นางนั้นจำรายละเอียดทุกอย่างได้ไม่ชัดเจนนัก
นางจำได้ว่าตอนสุดท้ายเผยตั้นเยี่ยนและคนรับใช้ข้างกายทั้งสามถูกเว่ยเหวินเซียนทรมานจนตาย โดยการจับขึงไว้ที่กลางลานฝึกทหารส่วนตัวของเว่ยเหวินเซียน และใช้แส้เฆี่ยนตีทุกวันวันละ50ครั้ง มิหนำซ้ำบางวันเว่ยเหวินเซียนอารมณ์ไม่ดีก็จะมาระบายอารมณ์ลงมือทรมานนางด้วยตนเอง บางครั้งก็ใช้แส้เฆี่ยนตีบางครั้งก็ใช้มีดกรีดไปตามใบหน้าและลำตัวของนาง
พวกนางไม่ได้ทรมานจากการถูกลงทัณฑ์เท่านั้น แต่ยังต้องทนกับอาการป่วยแทรกซ้อนเพราะยามกลางวันตากแดด ยามกลางคืนถูกลมหนาว เมื่อบวกกับบาดแผลเผยตั้นเยี่ยนและคนรับใช้ทั้งสามก็ทนไม่ไหวล้มตายไปทีละคนภายในไม่ถึง7วันเท่านั้น
และคนสุดท้ายที่ตายก็คือเผยตั้นเยี่ยน เพราะเว่ยเหวินเซียนนั้นให้หมอมารักษานางเพื่อให้นางได้ดูการตายของคนรับใช้ข้างกาย และหวังจะยื้อนางให้ทรมานนานกว่านี้ แต่ทว่าไม่รู้ว่าโชคดีหรือไรที่นางไม่อาจทนไหวจึงตายตามคนรับใช้ไป
เพียงแค่จ้าวฉือลี่นึกถึงความตายที่แสนทรมานรออยู่ด้านหน้าก็ทำนางหวาดกลัวขึ้นมาทันที แต่สัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดของมนุษย์ก็ทำให้นางคิดหาทางออกขึ้นมาได้
“คนชุดดำผ่านไปหรือยัง” จ้าวฉือลี่จำได้ว่าเว่ยหลิงเฮ่อจะต้องส่งคนมา2ชุด ชุดแรกนั้นคงตามรถม้าไปแล้ว ส่วนอีกชุดจะใส่ชุดดำปลอมเป็นโจรมาปล้นตราพยัคฆ์ แต่ทว่าพวกของเว่ยหลิงเฮ่อทั้งสองชุดจะโดนคนของเว่ยเหวินเซียนสังหารทั้งหมด และหลังจากนั้นไม่ถึงหนึ่งเค่อเว่ยเหวินเซียนจะเจอพวกนางทั้งสามคน
“ชุดดำหรือเจ้าคะ” ฉุยฉุยเอ่ยถาม
“ดูจากที่เจ้าไม่รู้เรื่องแสดงว่าพวกเขายังไม่ผ่านไป เช่นนั้นก็ดีพวกเราจะได้มีเวลามากขึ้นอีกหน่อย” จ้าวฉือลี่ระบายลมหายใจออกมาก่อนจะเอ่ยถึงแผนการให้คนทั้งสองตรงหน้าฟัง
“เสวี่ยเฟิงเจ้าเอาตราพยัคฆ์กลับไปที่จวนของชินอ๋อง แล้วเอาตราพยัคฆ์ไปแอบไว้แถว ๆ เรือนนอนของบ่าวรับใช้ ยามนี้กำลังคนที่รักษาจวนชินอ๋องอยู่น่าจะน้อยลงมาก เพราะชินอ๋องนำคนออกมาตามหาข้าและตราพยัคฆ์ ด้วยฝีมือเจ้าน่าจะลอบเข้าไปได้ไม่ยาก หลังจากนั้นเจ้ารีบไปจวนตระกูลเผยเอารถม้าและตามคนมาบอกว่ามีคนดักทำร้ายข้า หลังจากนั้นก็แสร้งตามหาข้าตรงทางสามแยกข้างหน้าสักหนึ่งเค่อ แล้วค่อยไปแจ้งชินอ๋องว่าข้าหายตัวไป เจ้าทำได้หรือไม่”
“ทำได้ขอรับ แล้วคุณหนูจะทำอันใดต่อขอรับ” เสวี่ยเฟิงถามด้วยความเป็นห่วง เพราะหากเขาไปแล้วมีคนของเว่ยเหวินเซียนหรือเว่ยหลิงเฮ่อมา เพียงลำพังฉุยฉุยคงไม่อาจรับมือได้
“เจ้าไม่ต้องห่วง เดี๋ยวข้ากับฉุยฉุยจะไปหลบอยู่ในป่าไผ่แถว ๆ สามแยก หากชินอ๋องมาเจอข้าก็จะบอกว่ามีคนดักทำร้ายข้า และเพราะข้าได้รับบาดเจ็บจึงซ่อนตัวอยู่ตรงนั้น แล้วให้เจ้าไปตามคนมาช่วย จำเอาไว้ไม่ว่าจะถูกคาดคั้นมากเท่าใดก็บอกเพียงเท่านี้ก็พอ นอกนั้นข้าจะจัดการเอง”
เมื่อคนทั้งคู่ตรงหน้าพยักหน้ารับรู้นางก็ล้วงเข้าไปในแขนเสื้อหยิบตราพยัคฆ์ออกมาให้เสวี่ยเฟิง ขณะนั้นเองชายชุดดำก็ขี่ม้าผ่านไปพอดี ฉุยฉุยกับเสวี่ยเฟิงถึงกับดวงตาเบิกโตเพราะทั้งคู่ไม่รู้ว่าเหตุใดคุณหนูถึงรู้ว่าจะมีบุรุษชุดดำขี่ม้าผ่านมา
“ไปได้แล้วอย่ามัวชักช้า เวลาของพวกเราเหลือไม่มากแล้ว” จ้าวฉือลี่เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าทั้งคู่นั้นมัวแต่เหม่อลอย
“เสวี่ยเฟิงอย่าใช้เส้นทางเดิมที่นั่งรถม้ามา ให้เจ้าใช้เส้นทางอื่น” จ้าวฉือลี่เกือบลืมบอกไปแล้ว โชคดีที่นางนั้นนึกขึ้นมาได้ทัน ไม่เช่นนั้นเสวี่ยเฟิงต้องไปเจอกับคนของเว่ยเหวินเซียนแน่นอน
เสวี่ยเฟิงที่กำลังจะก้าวเท้าไป หันหน้ามาพยักหน้ารับรู้ทันที ก่อนจะรีบไปทำตามคำสั่งของผู้เป็นนาย ส่วนฉุยฉุยกับจ้าวฉือลี่ก็รีบเดินไปยังทางสามแยกอย่างรวดเร็ว ยามนี้นางนั้นหวังเพียงว่าขอให้เป็นไปตามที่นิยายเขียนเอาไว้ ที่จิ่งหลินนั้นบอกกับเว่ยเหวินเซียนว่าพวกนางโดนคนร้ายดักทำร้าย โดยไม่ทราบว่าคนเหล่านั้นเป็นใคร
จ้าวฉือลี่กับฉุยฉุยเดินเลยสามแยกที่แยกไปจวนชินอ๋องกับจวนตระกูลเผย ส่วนอีกเส้นทางคือทางที่พวกนางไปยังเรือนที่ใช้นัดพบกับเว่ยหลิงเฮ่อ เมื่อพวกนางมาถึงก็มิได้เดินต่อ นางเพียงหากอไผ่ขนาดใหญ่เพื่อซ่อนตัว ถึงนางจะรู้ว่าเว่ยเหวินเซียนจะต้องหาตัวนางเจอก็ตาม
พวกนางอยู่ในจุดที่ใช้ซ่อนตัวไม่ถึงครึ่งเค่อ เสียงฝีเท้าม้าและเสียงคนจำนวนมากก็ดังเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ หัวใจของจ้าวฉือลี่เต้นรัวเร็วและแรงเสียจนแทบจะทะลุออกมาจากอก เพราะนางนั้นไม่แน่ใจว่าจะสามารถโกหกเว่ยเหวินเซียนได้อย่างแนบเนียนหรือไม่ เพราะอย่างไรเขาก็เป็นพวกขึ้นชื่อเรื่องความฉลาดและมีความสามารถไม่เป็นรองใคร นางจึงกลัวว่าเขาจะจับผิดนางได้
ฉุยฉุยเอื้อมมือมาจับมือคุณหนูของนางเมื่อเห็นว่าสีหน้าและแววตานั้นฉายแววหวาดกลัววิตกกังวลจนชัดเจน มือขาวเนียนนุ่มของเผยตั้นเยี่ยนเย็นเฉียบ ฉุยฉุยถูมือให้คุณหนูของนางเพื่อทำให้อุ่น พร้อมกับเอ่ยเพื่อให้คุณหนูของนางสบายใจ
“คุณหนูเจ้าคะ อย่ากังวลเลยเจ้าค่ะ ฮูหยินที่อยู่บนสวรรค์จะต้องคุ้มครองคุณหนูให้ปลอดภัยอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
จ้าวฉือลี่หันไปมองฉุยฉุยพร้อมกับยิ้มแห้ง ๆ ‘เรื่องโกหกทั้งนั้น ถ้าคนตายคุ้มครองได้จริง พ่อแม่ของฉันที่ตายไปก็คงไม่ปล่อยให้ฉันหนีพวกทวงหนี้จนพลัดตกหน้าผาลงมาตายเช่นนี้หรอก’
“อย่าฝากความหวังไว้กับคนตายเลย เจ้าหาท่อนไม้มาถือเอาไว้ดีกว่า หากมีคนเข้ามาไม่ว่าใครก็ตีได้เลย แต่ไม่ต้องเผยวรยุทธ์ให้พวกเขารู้” จ้าวฉือลี่เอ่ยเสียงเบา ๆ ราวกับกระซิบ เพราะคนถือคบเพลิงใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แล้วเรื่องที่คนรับใช้ทั้งสามของเผยตั้นเยี่ยนมีวรยุทธ์นั้นมิมีผู้ใดรู้ นอกจากเผยตั้นเยี่ยนกับคหบดีหลิว หลิวชิงเยี่ยนท่านตาของนางเท่านั้น แต่จ้าวฉือลี่เคยอ่านนิยายเรื่องนี้มามีหรือนางจะไม่รู้ทั้งสามคนล้วนเป็นคนที่หลิวชิงเยี่ยนคัดเลือกมาด้วยตนเองก่อนจะส่งมาเพื่อคอยดูแลเผยตั้นเยี่ยน หลังจากที่หลิวชิงเยี่ยนนั้นสืบทราบสาเหตุการตายที่แท้จริงของบุตรสาวตนเองได้ว่าที่จริงแล้วนางนั้นมิได้ตายเพราะร่างกายอ่อนแอ แต่ทว่าตายเพราะถูกวางยา แต่หลิวชิงเยี่ยนยังไม่รู้ว่าใครคือคนวางยาบุตรสาวของตนจึงส่งคนมาอารักขาหลานสาวเอาไว้ก่อนอย่าว่าแต่หลิวชิงเยี่ยนเลยที่ไม่รู้ตัวคนร้าย แม้แต่จ้าวฉือลี่เองก็ยังไม่รู้ว่าใครคือคนวางยา เพราะนักเขียนเทนิยายไปเสียก่อนเพียงไม่นานนักแสงไฟจากคบเพลิงก็เข้ามาใกล้จุดที่พวกนางซ่อนตัวอยู่ เมื่อฉุยฉุยเห็นว่าระยะห่างจากแสงไฟนั้นเข้ามาใกล้ไม่ถึง5ก้าวแล้ว นางก็พุ่งตัวออกมาจากที่ซ่อนเ
จ้าวฉือลี่ไม่ทันได้ตั้งตัวเมื่อถูกจู่โจมประชิดตัวก็ถึงกับไปไม่เป็น ยิ่งได้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาในระยะเผาขนใบหน้าของนางก็ร้อนวูบวาบขึ้นมาทันที‘แบบนี้นี่เองเวลาแฟนคลับเห็นศิลปินสุดหล่อของตัวเองในระยะใกล้ถึงทำตัวไม่ถูก ความหล่อนี่มันช่างมีพลังทำลายล้างสูงเสียจริง ๆ ทำให้คนหลงใหลเคลิบเคลิ้มได้ในชั่วพริบตา’ จ้าวฉือลี่รีบก้มหน้าลงเพราะกลัวสติจะกระเจิงจนเผลอตัวทำอะไรลงไปจนเว่ยเหวินเซียนนั้นจับผิดได้ แต่เมื่อนางก้มลงมาเห็นว่ามือของเขานั้นจับเชือกผ้าคาดเอวของนางเอาไว้ ก็ทำให้นางโกรธขึ้นมาทันทีไม่ว่าเขาจะหล่อเหลามากเพียงใด แต่การที่ทำเช่นนี้ก็เท่ากับไม่ให้เกียรติผู้หญิงเลยแม้แต่น้อย ถึงนางจะไม่ได้เกิดในสมัยนี้แต่นางนั้นก็คิดว่าทุกยุคทุกสมัยบุรุษก็ควรให้เกียรติผู้หญิงเพศแม่เพราะตอนที่นางอยู่ในภพชาติของตนเอง นางนั้นต้องเรียนหนังสือไปด้วยหาเงินเลี้ยงตัวเองไปด้วยตั้งแต่อายุ16ปี ไม่ว่างานรับจ้างอะไรจ้าวฉือลี่ก็ไม่เคยเกี่ยง และงานที่ทำเป็นประจำหลังเลิกเรียนคืองานเด็กเสิร์ฟตามร้านอาหาร ถึงจะได้ทิปดีแต่เธอก็มักถูกลูกค้าแต๊ะอั๋งอยู่บ่อยครั้ง จึงทำให้นางเกลียดผู้ชายประเภทนี้ที่สุดจ้าวฉือลี่หันไปมองฉ
“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นให้ข้าไปส่งดีหรือไม่ อย่างไรก็ทางผ่าน” เว่ยหลิงเฮ่อเอ่ยถามเผยตั้นเยี่ยน“ไม่เพคะ/ไม่ต้อง” จ้าวฉือลี่และเว่ยเหวินเซียนเอ่ยพร้อมกันเว่ยหลิงเฮ่อมองบุรุษและสตรีที่อยู่ตรงหน้าสลับกันไปมา แต่เมื่อไตร่ตรองดูแล้วก็พอเข้าใจ เพราะหากเขาเป็นเผยตั้นเยี่ยนก็ไม่คิดจะให้เขาไปส่งแน่นอน เพราะกลัวว่าจะถูกสังหารส่วนที่เสด็จอาของเขาไม่อยากให้เขาเป็นคนส่งนางกลับ ก็คงเพราะอยากพานางกลับไปจัดการสอบสวนเรื่องตราพยัคฆ์ที่หายไปจึงไม่ยอมให้เขาไปส่งนาง แต่เพราะเหตุนี้แหละที่เว่ยหลิงเฮ่อกลัว เพราะหากเผยตั้นเยี่ยนปริปากบอกว่าขโมยตราพยัคฆ์ไปให้ใคร คราวนี้เสด็จอาของเขาคงไม่ยอมให้เขาขึ้นครองบัลลังก์ได้โดยง่ายอย่างแน่นอน“พอดีว่าสารถีของหม่อมฉันถูกคนของท่านอ๋องช่วยเอาไว้ ตอนนี้อยู่ที่จวนท่านอ๋อง หม่อมฉันเลยจะไปรับเขากลับด้วยเพคะ”จ้าวฉือลี่รู้ดีว่ามันฟังดูไม่ขึ้นเท่าใดนัก แต่ทว่ายามนี้นางนั้นก็หาทางออกไม่ได้แล้วจริง ๆ เพราะนางรู้ดีว่าหากไปกับเว่ยหลิงเฮ่อยามนี้ก็มีแต่ตายอย่างเดียว แต่หากไปกับเว่ยเหวินเซียนที่มีใจให้นาง หากเขาหาหลักฐานมัดตัวนางไม่ได้อย่างน้อยนางก็ยังพอใช้มารยาหญิงทำให้รอดตัวไปได้
‘ยาแย้มสัตย์คืออะไรอีก สวรรค์ท่านจะให้ข้าตายให้ได้เลยใช่หรือไม่’ นางบ่นในใจจ้าวฉือลี่ยังคงมึนงงเพราะนางไม่เคยอ่านเจอยาแย้มสัตย์ในนิยายเรื่องนี้ แต่ทว่านางนั้นก็รีบสาวเท้าตามเขาไป เพราะกลัวว่าหากขัดขืนจะเผยพิรุธให้เขารู้จ้าวฉือลี่เดินตามมาจนถึงเรือนหลักหลังใหญ่ เมื่อนางก้าวเท้าเข้าไปยังห้องนอนของเจ้าของจวนก็ถึงกับตาค้างไปกับของตกแต่งที่เพียงเห็นก็รับรู้ถึงราคาเครื่องใช้เครื่องประดับที่คนอย่างนางนั้นมิมีวันได้เป็นเจ้าของห้องนอนของเว่ยเหวินเซียนกว้างกว่าห้องที่นางเช่าอยู่เกือบสิบเท่า เพียงแค่เตียงนอนของเขาก็มีขนาดเท่ากับห้องเช่าที่นางเช่าอยู่แล้ว นางกวาดตามองไปรอบ ๆ จนได้ยินสุรเสียงเคร่งขรึมของเขาดังขึ้น นางจึงได้เลิกตื่นตาตื่นใจไปกับของตกแต่งห้องนอนของคนสูงศักดิ์“ถอดอาภรณ์และลงไปแช่น้ำในอ่างเสีย”จ้าวฉือลี่เลิกคิ้วขึ้นน้อย ๆ พร้อมกับเอียงคอมองเจ้าของห้องบรรทมด้วยความข้องใจว่าสิ่งที่นางได้ยินเป็นเพราะนางหูฟาดไป หรือเขาเอ่ยเช่นนั้นจริง ๆ“เจ้ามิได้ยินหรอกหรือว่าข้าสั่งให้เจ้าถอดอาภรณ์ออกแล้วลงไปแช่น้ำ” สุรเสียงของเว่ยเหวินเซียนดังขึ้นกว่าเก่าอีกทั้งยังปนไปด้วยโทสะจ้าวฉือลี่กางนิ้วมือ
“สิงเวย เจ้าพาคนไปค้นหาตราพยัคฆ์แถวเรือนนอนของบ่าวรับใช้ผู้นั้นเดี๋ยวนี้” สุรเสียงของเขาดังก้อง เขาเอ่ยพร้อมกับจ้องมองเข้าไปในดวงตานางเพียงจ้าวฉือลี่ได้ยินรับสั่งที่เว่ยเหวินเซียนสั่งหานสิงเวยองครักษ์คนสนิทก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย นางหวังว่าฟ้าจะมีตาให้ทหารเหล่านั้นเจอตราพยัคฆ์โดยเร็วหานสิงเวยที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องบรรทมของเว่ยเหวินเซียนขานรับบัญชาของผู้เป็นนายแล้วรีบออกคำสั่งให้ทหาร2 คนด้านหลังของเขาคอยดูฉุยฉุยเอาไว้ ส่วนทหารที่เหลือให้ตามเขาไปยังเรือนนอนของบ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านหลังจวนหลังจากเว่ยเหวินเซียนได้ยินเสียงฝีเท้าของเหล่าทหารไกลออกไปจากเรือนนอนของเขาแล้ว เขาจึงสั่งให้สาวใช้นำสุราเข้ามาให้เพื่อดื่มระหว่างรอจ้าวฉือลี่ประสานมือที่หน้าท้องด้วยท่าทีสงบเสงี่ยมขณะที่ยืนรอหานสิงเวยกลับมารายงาน แต่ทว่าหัวใจของนางกลับแตกต่างจากท่าทางยิ่งนัก เพราะยามนี้ใจนางเต้นตูมตามเพราะยืนลุ้นอยู่ตลอดเวลาว่ายามใดองครักษ์คนสนิทของเว่ยเหวินเซียนจะพบตราพยัคฆ์เสียทีขณะที่เว่ยเหวินเซียนกำลังนั่งรอรายงานเขาก็ยกจอกสุราเข้าปากเรื่อย ๆ ไม่หยุด พร้อมกับจ้องมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่วางตาเช่นกัน จนในที่สุดเวลาก
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ พบตราพยัคฆ์แล้วพ่ะย่ะค่ะ” เสียงขององครักษ์คนสนิทดังขึ้นที่หน้าประตูเว่ยเหวินเซียนถึงกับใบหน้าเปลี่ยนสีไปในทันที เขาปล่อยข้อมือทั้งสองข้างของนางเป็นอิสระ พร้อมกับเบี่ยงหน้าหนีก่อนจะก้าวออกมาจากอ่างน้ำ เขายื่นนิ่งหน้าชาทำตัวไม่ถูกในใจทั้งโมโหตนเองและโมโหองครักษ์คนสนิทที่มาช้าเช่นนี้หญิงสาวขาอ่อนยวบนางนั่งลงในอ่างน้ำ พร้อมปล่อยให้สายธารจากดวงตาไหลออกมา นางเม้มปากแน่นเพื่อไม่ให้เขาได้ยินเสียงสะอื้นจ้าวฉือลี่ไม่คิดว่าตนเองต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เพราะชาติก่อนนางก็ถูกเจ้าหนี้นอกระบบจับตัวนางไปและบังคับให้ขายบริการ โชคดีที่ระหว่างรอรับแขกอยู่ในห้องของโรงแรมนางเห็นว่าห้องที่นางอยู่เป็นชั้นสองที่ด้านข้างหน้าต่างมีท่อน้ำอยู่ใกล้ ๆ นางจึงรูดท่อน้ำลงมาและขอความช่วยเหลือจากคนแถวนั้นจนหนีรอดมาได้ แต่สวรรค์มิเคยดีกับนางนานนัก เพราะหลังจากนั้นไม่นานนางก็ถูกตามตัวจนเจอ นางหนีมารับจ้างขายของที่วัดเสวียนคงหรือวัดแขวนหน้าผา แต่ทว่าพวกมันกลับหานางจนเจอนางวิ่งหนีจนพลาดท่าตกลงมาจากหน้าผาสูงจนตาย‘จ้าวฉือลี่หากวันนี้เจ้ารอดตายไปได้ เจ้าก็จะมีชีวิตสุขสบายแล้ว เขาก็แค่ฉีกเสื้อผ้าเจ้าเอง
จวนตระกูลเผยหลังจากขึ้นรถม้าจ้าวฉือลี่ก็หลับตาพักผ่อน เพราะนางรู้ว่าฉุยฉุยคงอยากจะถามนางเรื่องที่เกิดขึ้นภายในห้องบรรทมของเว่ยเหวินเซียน แต่นางนั้นรู้สึกเหนื่อยล้าจึงยังไม่อยากพูดอันใดทั้งนั้น จึงได้แสร้งหลับตาลง ทว่าเพราะความอ่อนเพลียจึงทำให้นางนั้นเผลอหลับไปจริง ๆเมื่อรถม้าเคลื่อนตัวมาถึงจวนตระกูลเผย ฉุยฉุยจึงเรียกคุณหนูของนางให้ตื่นขึ้น จ้าวฉือลี่ขยี้ตาด้วยความงัวเงียแต่ก็มิได้อิดออดอันใด นางเปิดผ้าม่านด้านข้างเพื่อดูบ้านที่นางต้องอาศัยอยู่นับตั้งแต่วันนี้นางระบายลมหายใจยาวออกมาเพราะรู้ว่าตนนั้นยังต้องมารับมือกับพ่อและแม่เลี้ยงของเผยตั้นเยี่ยนอีก ‘ทั้งที่รู้ว่าบุตรสาวถูกโจรดักทำร้าย ก็ไม่คิดเป็นห่วงเลยสักนิด ไม่แปลกตัวละครตัวนี้จึงคิดใฝ่สูงอยากหาที่พึ่งพิงให้ตนเองกับน้องชาย’ จ้าวฉือลี่ได้แต่เวทนาเผยตั้นเยี่ยนอยู่ในใจก่อนที่จะปิดม่านแล้วลงจากรถม้าเพียงประตูจวนเปิดออกสาวรับใช้ในจวนที่ยืนรออยู่ตรงประตูจวนก็รีบเข้ามาเชิญจ้าวฉือลี่เข้าไปด้านในห้องโถงทันที เพราะยามนี้เผยจือคุนได้รอนางอยู่ในห้องโถงนานแล้วเมื่อเข้ามาในห้องโถงจ้าวฉือลี่ก็กวาดตามองไปโดยรอบ ๆ ห้องทันที ถึงนางจะไม่รู้ว่า
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ จ้าวฉือลี่ก็เอนกายลงบนเตียงเพื่อหวังว่าจะได้พักผ่อนให้หายเหนื่อย แต่ในขณะที่กึ่งหลับกึ่งตื่นนางก็ได้ยินเสียงสะอื้นดังลอดผ่านเข้ามาในหู นางลุกขึ้นนั่งกอดผ้าห่มในความมืดด้วยความกลัวอย่างรวดเร็วจ้าวฉือลี่พยายามตั้งใจฟังเสียงสะอื้นว่าดังมาจากที่ใด หรือว่านางเพียงหูแว่วไปเท่านั้น นางนั่งฟังสะอึกสะอื้นอยู่สักพักจึงมั่นใจว่านางนั้นมิได้หูฝาด ถึงเสียงสะอื้นไห้จะไม่ดังสม่ำเสมอ และเงียบไปเป็นพัก ๆ แต่นางเชื่อมั่นว่าจะต้องมีคนร้องไห้อยู่เป็นแน่ ถึงอีกใจจะคิดว่ามิใช่คน แต่นางก็พยายามคิดในแง่ดีเอาไว้ก่อนนางลุกเดินไปตามเสียงที่ได้ยิน แต่ทว่าเพียงนางก้าวเท้าไปไม่กี่ก้าว เสียงสะอื้นนั้นก็เงียบหายไปทันที นางกวาดตามองไปรอบ ๆ ด้วยความระแวงในที่สุดสายตาของนางก็ไปสะดุดกับร่างของใครบางคนที่นั่งกอดเข่าอยู่ที่มุมห้องมืด ๆ หญิงสาวขนลุกชันขาทั้งสองข้างคล้ายเป็นอัมพาตด้วยความรู้สึกหวาดกลัวจ้าวฉือลี่เบิกตากว้างนางถึงกับตกใจอย่างสุดขีดเมื่อเจ้าของร่างในเงามืดเงยหน้าขึ้นสบตากับนาง นางกรีดร้องออกมาจนสุดเสียงด้วยความกลัว เพียงจ้าวฉือลี่ส่งเสียงร้องร่างเงามืดก็พุ่งตัวเข้ามาหานางอย่างรวดเ
ตั้งแต่ก้าวเท้าเดินเข้ามาในเรือนเขาก็รู้แล้วว่าสตรีทั้งหกอยู่ที่บ่อน้ำพุ ถึงยามแรกจะไม่คิดว่าสตรีทั้งหมดจะลงไปแช่ตัว แต่เมื่อเห็นองครักษ์ตะโกนเสียงดัง อีกทั้งเผยตั้นเยี่ยนเดินมาหาเขาเพียงลำพัง จึงทำให้มั่นใจว่าสตรีที่เหลือลงแช่บ่อน้ำพุร้อน ไม่เช่นนั้นคนใช้ทั้งสามจะปล่อยให้เผยตั้นเยี่ยนไปไหนมาไหนโดยไม่เดินตามได้เช่นไรเผยตั้นเยี่ยนรู้ดีว่าไม่อาจขัดขืนบุรุษตัวสูงได้จึงไม่เอ่ยอันใด เพราะนี่คงเป็นวิธีการทรมานนางอย่างหนึ่งที่เขาใช้ ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่กล้าที่จะขัดขืนเพราะกลัวว่าจะเป็นเหมือนครั้งก่อนที่ถูกเขากระทำอย่างรุนแรง“ถอยออกไป หากข้าไม่ได้เรียกอย่าคิดเข้ามาใกล้ และอย่าให้ผู้ใดมารบกวนข้ากับพระชายาเข้าใจหรือไม่” เว่ยชินอ๋องหันมาเอ่ยกับองครักษ์ที่เดินตามมาก่อนจะเดินต่อไปยังห้องนอนของตนเองเมื่อมาถึงห้องบุรุษหนุ่มวัยกำหนัดก็มิรอช้าวางหญิงสาวในอ้อมแขนลงบนเตียงอย่างนิ่มนวล ทว่าภาพอุ่นเตียงคราก่อนยังฝังลึกอยู่ในหัวของสตรีร่างบาง ร่างกายจึงสั่นระริกขึ้นมาอย่างไม่อาจหักห้ามได้“กลัวข้าสินะ ต่อไปข้าจะไม่รุนแรงกับเจ้าเช่นนั้นอีก ดีหรือไม่”
หลังจากทรมานบุรุษตระกูลหยางเสร็จอ๋องหนุ่มก็ไม่รอช้าควบม้ากลับไปยังจวนข้างค่ายทหารของตนทันที แล้วปล่อยให้ลูกน้องที่ตนเองไว้ใจสองคนตรวจสอบจวนขุนนางร่วมกับแม่ทัพใหญ่เหยียน เพราะอย่างไรขุนนางจวนต่อไปก็เขียนหนังสือสำนึกผิดแล้วในเมื่อแค่ต้องเข้าไปในจวนเพื่อตรวจสอบขุนนางว่าเขียนสารภาพผิดตามความจริงหรือไม่ ไยจะต้องให้อ๋องหนุ่มเช่นเขาลงมือทำด้วย เพราะอย่างไรเรื่องลงทัณฑ์เสด็จพี่ของเขาก็เป็นผู้ตัดสินอยู่แล้ว เว่ยชินอ๋องจึงไม่อยากเสียเวลาที่จะได้อยู่กับสตรีที่ตนรักไปกับเหล่าขุนนางพวกนี้จวนนอกเมืองของชินอ๋องขณะที่เมืองหลวงกำลังวุ่นวาย คุณหนูทั้งสามคนที่อยู่ในจวนข้างค่ายทหารของเว่ยชินอ๋องกลับกำลังพักผ่อนอย่างสบายใจ เพราะจวนของอ๋องหนุ่มแห่งนี้มีบ่อน้ำพุร้อนจากธรรมชาติอยู่ในจวน ถึงการตกแต่งจวนจะไม่หรูหราแต่มองแล้วสบายตายิ่งนักจวนแห่งนี้มีรั้วกั้นสูงมองไม่เห็นภายใน คราแรกที่คุณหนูทั้งสามเห็นก็รู้สึกหวั่นวิตกอยู่มาก แต่เพียงเดินเข้ามายังด้านในกลับเสมือนมีคนนำเรือนหลังหนึ่งมาวางเอาไว้ท่ามกลางน้ำตก ที่โดยรอบมีดอกไม้และต้นไม้สูงต่ำสลับกันไป
เช้าวันต่อมา ณ ท้องพระโรงเหวินหลิงฮ่องเต้สาดสายตามองเหล่าขุนนางที่ยืนอยู่ตรงหน้า นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่เขาขึ้นครองราชย์ที่ได้เห็นสีหน้าท่าทางของเหล่าขุนนางที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันมากถึงเพียงนี้เก้าในสิบส่วนของขุนนางในท้องพระโรงมีสีหน้าหม่นหมองดุจเมฆฝน ใบหน้าเคร่งเครียดส่อความรู้สึกราวกับกำลังแบกโลกเอาไว้ทั้งใบ หัวคิ้วของแต่ละคนย่นชนกันอย่างไม่รู้ตัว ทำเอาเจ้าของบัลลังก์รู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่เห็นขุนนางของตนเป็นเช่นนี้“ข้าคิดว่าเมื่อคืนพวกท่านจะนอนหลับอย่างสบายใจเสียอีก ที่มีทหารรักษาเมืองหลวงคอยคุ้มกันจวนไม่ให้มือสังหารเข้าไปในจวนของพวกเจ้า ทว่าดูจากขอบตาของพวกเจ้าแล้วข้าคงคาดเดาผิดไปสินะ หากเรื่องของชาวบ้านพวกเจ้าวิตกกังวลกันจนเป็นสภาพเช่นนี้ ต้าเว่ยของข้าคงจะดีมากขึ้นไม่น้อย” ถึงสุรเสียงของฮ่องเต้แห่งต้าเว่ยจะเรียบเฉย ทว่ากลับกดดันให้สีหน้าของเหล่าขุนนางหม่นหมองลงไปอีก“ฝ่าบาททรงเข้าใจพวกกระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ เมืองหลวงวุ่นวายไปทั่วเช่นนี้ จะให้พวกกระหม่อมข่มตาหลับลงได้เช่นใดกันพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เสนาบ
“ว่าแต่เจ้าไม่เป็นอันใดจริง ๆ ใช่หรือไม่”“พ่ะย่ะค่ะ ลูกไม่เป็นอันใดจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”“เสด็จอาของเจ้าเล่นใหญ่ไปแล้วกระมัง ใยถึงได้สั่งให้คนยิงธนูใส่เจ้าเฉียดฉิวถึงเพียงนี้ หากโดนเนื้อตัวของเจ้าขึ้นมาเสด็จแม่ของเจ้าคงไม่พบหน้าข้านานนับเดือนเป็นแน่” ช่วงประโยคหลังเหวินหลิงฮ่องเต้เอ่ยเสียงเบาลงเรื่องที่ห่วงบุตรของตนก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่เป็นกังวลไม่ต่างกันคือเรื่องที่สตรีคู่บัลลังก์จะโกรธ เพราะเรื่องตระกูลอวี๋คราก่อน กว่าจะเอาใจให้เสิ่นฮองเฮาพูดดีกับเขาได้ก็ใช้เวลาอยู่นานบุรุษอายุน้อยกว่าถึงกับหลุดหัวเราะออกมา เมื่อได้ยินบิดาเอ่ยพึมพำถึงมารดา ทว่าเมื่อเห็นสายตาของบิดามองมาจึงกลั้นหัวเราะเอาไว้“เสด็จพ่อวางใจเถอะพ่ะย่ะค่ะ คนที่เสด็จอาส่งมาล้วนเป็นยอดฝีมือทั้งนั้น มิเพียงลูกธนูจะไม่โดนลูกแต่ยังไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บอีกด้วย” เว่ยหลิงเฮ่อมิอยากให้เสด็จพ่อตำหนิเสด็จอาจึงช่วยเอ่ย ถึงเขาเองก็คิดว่าเสด็จอาเล่นใหญ่มากจริง ๆ ที่ยิงธนูจวนโดนตัวเขาคราแรกที่ได้ยินแผนของเว่ยเหวินเซียน เจ้าของตำหนักบูรพาก็เตรียม
“อ้อ! ยังมีอีกเรื่อง เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าข้าไว้วางใจเจ้ามากเพียงใดจึงให้เจ้าอยู่ในตำแหน่งนี้ ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้”“กระหม่อมไม่มีส่วนรู้เห็นในเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ และกระหม่อมจะไม่มีทางทำให้ฝ่าบาทผิดหวังในตัวกระหม่อม กระหม่อมขอใช้ชีวิตของคนตระกูลเหยียนเป็นเดิมพันพ่ะย่ะค่ะ”“ดี เช่นนั้นเจ้าก็ไปทำตามที่เราสั่งเถอะ”“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปทำตามรับสั่งเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพผู้บัญชาการใหญ่รักษาเมืองหลวงตอบรับทันที ก่อนจะลุกขึ้นโค้งคำนับแล้วถอยหลังออกไป“เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ ให้เสด็จอาเป็นผู้จัดการเรื่องนี้ดีหรือไม่ เพราะมือสังหารที่ถูกทหารองครักษ์ของเสด็จอาฆ่าตาย น่าจะทิ้งหลักฐานเอาไว้ไม่มากก็น้อย และป่านี้เสด็จอาคงสืบได้เบาะแสแล้วเป็นแน่”“ได้ ทำตามเจ้าว่า” เหวินหลิงฮ่องเต้ผินพระพักตร์ไปหาขันทีข้างกาย“ไป๋กงกง ส่งคนไปตามเหวินเซียน บอกให้เขากลับเมืองหลวงมาสืบคดี”“พ่ะย่ะค่ะ” ไป๋กงกงรีบต
“ทูลเสด็จพ่อ โปรดออกคำสั่งให้แม่ทัพใหญ่เหยียนส่งทหารไปล้อมจวนขุนนางน้อยใหญ่ไว้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขุนนางที่อยู่ในห้องโถงต่างตกตะลึงปนไม่พอใจที่อยู่ ๆ องค์รัชทายาทหลิงเฮ่อจะให้ทหารไปล้อมจวนของพวกเขา เหล่าขุนนางหันหน้ามองกันพลางส่งสายตาเพื่อจะหาคนเอ่ยคัดค้าน ทว่ายังมิทันที่จะหาคนกราบทูลได้เหวินหลิงฮ่องเต้ก็ทรงตรัสออกมาเสียก่อน“เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเอ่ยวาจาไร้สาระอันใดออกมา”“เสด็จพ่อ ท่านรู้หรือไม่ว่าวันนี้ขณะที่คุณหนูทั้งสองตระกูลกำลังจะกลับเมืองหลวงพวกนางถูกนักฆ่าดักทำร้าย เดิมที่ข้าคิดว่ามีคนอยากแก้แค้นคุณหนูใหญ่ตระกูลเผย หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะเรื่องตำแหน่งพระชายาของเสด็จอา” บุรุษหนุ่มสายเลือดมังกรจงใจหยุดคำพูดของตน ก่อนใช้สายตาเหลือบมองเหล่าขุนนางเพียงได้ยินประโยคท้ายของโอรสสายเลือดมังกร ขุนนางตระกูลอวี๋กับตระกูลหยางก็หน้าซีดเผือดขึ้นมาอวี๋หลี่เฉียงรีบแก้ตัวเป็นพัลวันด้วยเกรงว่าบุรุษสายเลือดมังกรจะเข้าใจเขาผิด เนื่องจากคราก่อนที่เว่ยชินอ๋องมายังจวนของเขาได้เอ่ยว่าจะปล่อยบุตรสาวของเขาให้อยู่ท
เมื่ออ๋องหนุ่มเห็นเผิงเจียวเจี๋ยควบม้าจากไป จึงหันไปกระซิบกับองครักษ์ของตนเพื่อสั่งการเรื่องบางอย่าง ก่อนจะหันกลับมาหาหลานชายของตนเอง“เสด็จอา เช่นนั้นข้าจะตามท่านไปจัดการคนตระกูลหยางเอง” เว่ยหลิงเฮ่อเอ่ยอาสา เมื่อเห็นว่ามีเพียงตนเองที่ยังไร้ประโยชน์“เรื่องนั้นไม่จำเป็น ตอนนี้ข้ามีเรื่องอื่นให้เจ้าทำ” พูดจบเว่ยเหวินเซียนก็เดินเข้าไปใกล้บุรุษอายุน้อยกว่า แล้วเอ่ยกระซิบเรื่องที่ต้องการให้เจ้าของตำหนักบูรพาทำเมื่อได้ยินคำสั่งของผู้เป็นอา เว่ยหลิงเฮ่อก็พยักหน้าขึ้นลงอย่างช้า ๆ เพื่อตอบรับคำสั่งของบุรุษอายุมากกว่า ครั้นรู้ว่าตนเองต้องทำอันใดเจ้าของตำหนักบูรพาก็ไม่รีรอเดินไปสั่งลูกน้องของตนให้ปิดปากเรื่องในวันนี้ ก่อนจะขึ้นหลังม้าแล้วควบกลับเมืองหลวงในระหว่างที่ควบม้ากลับเมืองหลวง เจ้าของตำหนักบูรพาก็นึกไตร่ตรองถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้บุรุษสายเลือดมังกรรู้ว่าการที่เขานั่งอยู่ในตำแหน่งองค์รัชทายาทได้อย่างมั่นคงในตอนนี้ ไม่ใช่เพราะมีขุนนางน้อยใหญ่เข้าข้างเขา แต่เป็นเพราะเสด็จอากับเสด็จพ่อของเขาที่คอยปกป้องเขาอยู่อย่างลับ ๆถึงเว่ยหลิงเฮ่อจะไม่พอใจที่เสด็จอากับเสด็จพ่อมีความลับก
“เจ้าพบเจออันใดอย่างนั้นหรือ” เว่ยหลิงเฮ่อที่เดินมาทันได้ยินเอ่ยถามด้วยสีหน้าอยากรู้“ขอหม่อมฉันตรวจสอบอีกสักครู่เพคะ”ครั้นได้เสื้อของมือสังหารที่ตระกูลหยางส่งมา เหมิงเหมิงก็รีบใช้นิ้วมือลูบตรงจุดเดียวกันกับเสื้อตัวก่อนทันที“หม่อมฉันเจอแล้วเพคะ พวกเขาสวมชุดที่ปักลายตรงข้อมือของเสื้อเอาไว้ แต่ที่พวกเราไม่เห็นเป็นเพราะพวกมันใช้ด้ายสีเดียวกับเสื้อ หากไม่สังเกตดี ๆ ก็จะเห็นได้ยากเพคะ” เหมิงเหมิงเอ่ยพร้อมยื่นเสื้อให้กับเว่ยชินอ๋องได้ทอดพระเนตรเว่ยเหวินเซียนรับมามองดูพร้อมกับใช้นิ้วมือลูบวนไปตามฝีปักก่อนยกยิ้ม ทว่าเพียงวูบเดียวใบหน้าของเขากลับบึ้งตึงดวงตาขึงขังเส้นเลือดตรงขมับปูดโปน“เหมิงเหมิงเจ้าตรวจสอบอีกสองสามชุดเพื่อความแน่ใจ” น้ำเสียงของเว่ยชินอ๋องยามนี้ผสานกับสีหน้าแววตา ทำให้ทุกคนที่อยู่โดยรอบคาดเดาได้ว่าจะต้องมีการนองเลือดเป็นแน่“เสด็จอา เหตุใดอยู่ ๆ จึงได้โกรธขึ้นมาเช่นนี้” เจ้าของตำหนักบูรพาข้องใจ เพราะก่อนหน้ายังเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนใบหน้าถึงจะไม่กี่ลมหายใจก็ตาม แต่เ
“พวกเราไปกันเถอะ”ถึงบุรุษทั้งสองจะยังสับสนอยู่ แต่เมื่ออ๋องหนุ่มให้องครักษ์คนสนิทรั้งอยู่ที่นี่เพื่อดูแลเหล่าสตรี พวกเขาก็พอเดาออกว่าสตรีที่เดินไปขึ้นรถม้าก่อนหน้านี้มิใช่สตรีที่เพิ่งดวลสุรากับพวกเขายามนี้ในใจของเว่ยหลิงเฮ่อกลับเปลี่ยนไป เขาเดินตามเสด็จอาไปด้วยความเดือดดาลที่ปะทุขึ้นมา ครั้นนึกขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้เสด็จอาของเขาบอกว่าจะพาเขาไปจัดการกับคนที่คิดทำร้ายว่าที่พระชายาของเขา ถึงเจ้าของตำหนักบูรพาจะยังไม่รู้ว่าเว่ยเหวินเซียนวางแผนไว้อย่างไร ทว่าการที่คนผู้นั้นกล้าคิดสังหารสตรีนางนั้นทั้งที่รู้ว่านางจะมาเป็นพระชายาของเขาในอนาคตก็ทำให้โทสะในใจของเขาเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วบุรุษที่กำลังขุ่นเคืองจึงตั้งมั่นในใจ ‘ข้าจะไม่มีทางปล่อยให้พวกเจ้ามีชีวิตรอดไปทำร้ายพระชายาตัวจริงของข้าแน่นอน’บุรุษหนุ่มทั้งสามคนควบม้ามาตามทางที่รถม้าของอ๋องหนุ่มใช้เดินทางไปยังเมืองหลวง พร้อมด้วยทหารตระกูลเผิงจำนวนหนึ่งกับองครักษ์จากตำหนักบูรพา ส่วนองครักษ์ของเว่ยชินอ๋องทั้งหมดบวกกับทหารตระกูลเผิงที่เหลืออยู่ถูกสั่งให้คุ้มครองสตรีทั้งสามโด