“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ พบตราพยัคฆ์แล้วพ่ะย่ะค่ะ” เสียงขององครักษ์คนสนิทดังขึ้นที่หน้าประตูเว่ยเหวินเซียนถึงกับใบหน้าเปลี่ยนสีไปในทันที เขาปล่อยข้อมือทั้งสองข้างของนางเป็นอิสระ พร้อมกับเบี่ยงหน้าหนีก่อนจะก้าวออกมาจากอ่างน้ำ เขายื่นนิ่งหน้าชาทำตัวไม่ถูกในใจทั้งโมโหตนเองและโมโหองครักษ์คนสนิทที่มาช้าเช่นนี้หญิงสาวขาอ่อนยวบนางนั่งลงในอ่างน้ำ พร้อมปล่อยให้สายธารจากดวงตาไหลออกมา นางเม้มปากแน่นเพื่อไม่ให้เขาได้ยินเสียงสะอื้นจ้าวฉือลี่ไม่คิดว่าตนเองต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เพราะชาติก่อนนางก็ถูกเจ้าหนี้นอกระบบจับตัวนางไปและบังคับให้ขายบริการ โชคดีที่ระหว่างรอรับแขกอยู่ในห้องของโรงแรมนางเห็นว่าห้องที่นางอยู่เป็นชั้นสองที่ด้านข้างหน้าต่างมีท่อน้ำอยู่ใกล้ ๆ นางจึงรูดท่อน้ำลงมาและขอความช่วยเหลือจากคนแถวนั้นจนหนีรอดมาได้ แต่สวรรค์มิเคยดีกับนางนานนัก เพราะหลังจากนั้นไม่นานนางก็ถูกตามตัวจนเจอ นางหนีมารับจ้างขายของที่วัดเสวียนคงหรือวัดแขวนหน้าผา แต่ทว่าพวกมันกลับหานางจนเจอนางวิ่งหนีจนพลาดท่าตกลงมาจากหน้าผาสูงจนตาย‘จ้าวฉือลี่หากวันนี้เจ้ารอดตายไปได้ เจ้าก็จะมีชีวิตสุขสบายแล้ว เขาก็แค่ฉีกเสื้อผ้าเจ้าเอง
จวนตระกูลเผยหลังจากขึ้นรถม้าจ้าวฉือลี่ก็หลับตาพักผ่อน เพราะนางรู้ว่าฉุยฉุยคงอยากจะถามนางเรื่องที่เกิดขึ้นภายในห้องบรรทมของเว่ยเหวินเซียน แต่นางนั้นรู้สึกเหนื่อยล้าจึงยังไม่อยากพูดอันใดทั้งนั้น จึงได้แสร้งหลับตาลง ทว่าเพราะความอ่อนเพลียจึงทำให้นางนั้นเผลอหลับไปจริง ๆเมื่อรถม้าเคลื่อนตัวมาถึงจวนตระกูลเผย ฉุยฉุยจึงเรียกคุณหนูของนางให้ตื่นขึ้น จ้าวฉือลี่ขยี้ตาด้วยความงัวเงียแต่ก็มิได้อิดออดอันใด นางเปิดผ้าม่านด้านข้างเพื่อดูบ้านที่นางต้องอาศัยอยู่นับตั้งแต่วันนี้นางระบายลมหายใจยาวออกมาเพราะรู้ว่าตนนั้นยังต้องมารับมือกับพ่อและแม่เลี้ยงของเผยตั้นเยี่ยนอีก ‘ทั้งที่รู้ว่าบุตรสาวถูกโจรดักทำร้าย ก็ไม่คิดเป็นห่วงเลยสักนิด ไม่แปลกตัวละครตัวนี้จึงคิดใฝ่สูงอยากหาที่พึ่งพิงให้ตนเองกับน้องชาย’ จ้าวฉือลี่ได้แต่เวทนาเผยตั้นเยี่ยนอยู่ในใจก่อนที่จะปิดม่านแล้วลงจากรถม้าเพียงประตูจวนเปิดออกสาวรับใช้ในจวนที่ยืนรออยู่ตรงประตูจวนก็รีบเข้ามาเชิญจ้าวฉือลี่เข้าไปด้านในห้องโถงทันที เพราะยามนี้เผยจือคุนได้รอนางอยู่ในห้องโถงนานแล้วเมื่อเข้ามาในห้องโถงจ้าวฉือลี่ก็กวาดตามองไปโดยรอบ ๆ ห้องทันที ถึงนางจะไม่รู้ว่า
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ จ้าวฉือลี่ก็เอนกายลงบนเตียงเพื่อหวังว่าจะได้พักผ่อนให้หายเหนื่อย แต่ในขณะที่กึ่งหลับกึ่งตื่นนางก็ได้ยินเสียงสะอื้นดังลอดผ่านเข้ามาในหู นางลุกขึ้นนั่งกอดผ้าห่มในความมืดด้วยความกลัวอย่างรวดเร็วจ้าวฉือลี่พยายามตั้งใจฟังเสียงสะอื้นว่าดังมาจากที่ใด หรือว่านางเพียงหูแว่วไปเท่านั้น นางนั่งฟังสะอึกสะอื้นอยู่สักพักจึงมั่นใจว่านางนั้นมิได้หูฝาด ถึงเสียงสะอื้นไห้จะไม่ดังสม่ำเสมอ และเงียบไปเป็นพัก ๆ แต่นางเชื่อมั่นว่าจะต้องมีคนร้องไห้อยู่เป็นแน่ ถึงอีกใจจะคิดว่ามิใช่คน แต่นางก็พยายามคิดในแง่ดีเอาไว้ก่อนนางลุกเดินไปตามเสียงที่ได้ยิน แต่ทว่าเพียงนางก้าวเท้าไปไม่กี่ก้าว เสียงสะอื้นนั้นก็เงียบหายไปทันที นางกวาดตามองไปรอบ ๆ ด้วยความระแวงในที่สุดสายตาของนางก็ไปสะดุดกับร่างของใครบางคนที่นั่งกอดเข่าอยู่ที่มุมห้องมืด ๆ หญิงสาวขนลุกชันขาทั้งสองข้างคล้ายเป็นอัมพาตด้วยความรู้สึกหวาดกลัวจ้าวฉือลี่เบิกตากว้างนางถึงกับตกใจอย่างสุดขีดเมื่อเจ้าของร่างในเงามืดเงยหน้าขึ้นสบตากับนาง นางกรีดร้องออกมาจนสุดเสียงด้วยความกลัว เพียงจ้าวฉือลี่ส่งเสียงร้องร่างเงามืดก็พุ่งตัวเข้ามาหานางอย่างรวดเ
ถึงจ้าวฉือลี่จะไม่ใช่คนที่เกิดในยุคสมัยนี้ แต่เพราะต้องดิ้นรนเอาตัวรอดจึงต้องสังเกตสีหน้าของผู้คนอยู่บ้าง นางจึงพอจะคาดเดาสีหน้าของฉุยฉุยออก จึงได้เอ่ยถามหญิงสาววัยเดียวกันที่นั่งอยู่ข้าง ๆ"ฉุยฉุยเจ้ามีอะไรจะถามข้าหรือสงสัยอันใดก็ถามมาเถอะ”นางเอ่ยถามตรงไปตรงมาเพราะนับจากวันนี้นางตัดสินใจแล้วว่าจะร่วมทุกข์ร่วมสุขไปกับ ฉุยฉุย จิ่งหลิน และเสวี่ยเฟิง เพราะจากบทบาทของตัวละครทั้งสามคนพวกเขาคือคนที่ไม่มีวันทรยศเผยตั้นเยี่ยน และดูจากที่ทั้งสามถูกทรมานจนตายก็ยังไม่ปริปากบอกเว่ยเหวินเซียน เพราะเหตุนี้จ้าวฉือลี่จึงรู้ว่าสามารถฝากชีวิตไว้กับคนทั้งสามได้อย่างสบายใจ และรู้ว่าพวกเขาจะทำทุกอย่างเพื่อนางแม้กระทั่งยอมตายเพราะอย่างนั้นหากพวกเขาทั้งสามมีเรื่องอะไรคับข้องใจหรือเกิดอันใดขึ้นกับพวกเขา นางในฐานะที่เป็นคุณหนูก็ต้องออกหน้าปกป้องพวกเขาเช่นกัน ไม่เช่นนั้นแล้วหากพวกเขาทั้งสามคนเกิดเป็นอันใดขึ้นมา นางก็จะไม่มีคนที่ไว้ใจได้อยู่ข้างกายอีก เพราะเบื้องหน้าเบื้องหลังในจวนตระกูลเผยก็ใช่ว่าจะดีนักไม่เช่นนั้นแล้วเรื่องการตายของหลิวเหมยเหมยมารดาของเผยตั้นเยี่ยนคงไม่ปิดได้มิดชิดเช่นนี้ ส่วนผู้วางยานั้นจ
จากใบหน้าตื่นตกใจก็กลายเป็นความรู้สึกเบื่อหน่าย จ้าวฉือลี่คิ้วขมวดพร้อมย่นหน้า“ข้ายังไม่ทันได้เขียนจดหมายไปแจ้ง เขาก็รีบส่งคนมาหาข้าแล้ว ยังไม่ทันได้หายใจโล่งปอด ก็เอาดาบมาพาดคอข้าอีกแล้วน่าเบื่อจริง ๆ ”“ตอนนี้รีบไปอาบน้ำบ้วนปากก่อนเถอะเจ้าค่ะ หากปล่อยให้นางกำนัลขององค์รัชทายาทรอนาน ข้าน้อยกลัวว่านายท่านเผยจะไม่พอใจนะเจ้าคะ”จ้าวฉือลี่ลุกไปทำตามที่ฉุยฉุยบอกด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก เมื่ออาบน้ำแต่งตัวเสร็จ จ้าวฉือลี่ก็เดินไปยังห้องโถงหลักทันที โดยมีฉุยฉุยเดินตามมาไม่ห่าง เมื่อมาถึงจ้าวฉือลี่ก็ประสานมือโค้งตัวทำความเคารพเผยจือคุน เผยฮูหยิน และนางกำนัลที่มารอนางอยู่“ขออภัยที่ข้าแต่งตัวช้าไป ทำให้ท่านต้องรอนานแล้ว” จ้าวฉือลี่เอ่ยกับนางกำนัลที่มาจากตำหนักบูรพา“คุณหนูใหญ่เผยอย่าได้คิดมาก ข้าน้อยต่างหากที่ต้องขอโทษที่รบกวนท่าน”“รบกวนอันใดกัน ไม่เลยเจ้าค่ะ”ในใจจ้าวฉือลี่ก็คิดว่ารบกวนจริง ๆ แต่คนที่รบกวนนางมิใช่นางกำนัลแต่เป็นเว่ยหลิงเฮ่อต่างหาก เพราะหากเขาไม่สั่งมีหรือนางกำนัลจากตำหนักบูรพาจะมาเหยียบที่จวนตระกูลเผยเช่นนี้ได้“องค์รัชทายาททรงกำชับกับข้าน้อยว่าเมื่อคืนคุณหนูเพิ่งเจอเรื่องไม่ดี
เผยจือคุนยกถ้วยชาขึ้นจิบ แต่ทว่ายังไม่ทันจะได้กลืนน้ำชาลงคอไป น้ำชาที่อยู่ในปากก็พุ่งออกมาเสียก่อน เมื่อเขาเห็นหานสิงเวยองครักษ์คนสนิทของชินอ๋องมาพร้อมกับทหารแปดคนและหีบใบใหญ่อีกสี่ใบ โดยมีภรรยาของเขาหลินเยว่ฉีเดินตามมาด้านหลัง“นี่มันอะไรกัน!!” เผยจือคุนกับจ้าวฉือลี่อุทานออกมาพร้อมกัน‘คงไม่ได้จะมาสู่ขอข้าไปเป็นพระชายาหรอกนะ’ จ้าวฉือลี่ภาวนาในใจไม่ให้เป็นดั่งที่นางคิดเผยจือคุนตั้งสติได้ก็รีบลุกขึ้นไปต้อนรับขับสู้หานสิงเวยทันที เพราะหานสิงเวยเป็นถึงองครักษ์คนสนิทของชินอ๋องเหวินเซียน และยังมีตระกูลหานที่เป็นตระกูลแม่ทัพมาสามชั่วคนคอยหนุนหลัง หากไม่ติดว่าอำนาจทางทหารจะมากเกินไปหานสิงเวยก็จะได้เป็นแม่ทัพรุ่นที่4ของตระกูลแต่เพื่อแสดงความจงภักดีต่อเหวินหลิงฮ่องเต้ และเพื่อไม่ให้เป็นที่ระแวงตระกูลหานจึงไม่ยอมให้หานสิงเวยเป็นแม่ทัพรุ่นที่4 แต่ทว่าชินอ๋องเล็งเห็นความสามารถจึงนำมาไว้ใกล้ตัวเว่ยเหวินเซียนชอบออกรบเมื่อเจอกับหานสิงเวยที่มีสายเลือดแม่ทัพเต็มตัว และผ่านความเป็นความตายในสมรภูมิรบมาด้วยกันนับครั้งไม่ถ้วน จึงกลายเป็นองครักษ์คนสนิทที่รู้ใจกันมาถึงทุกวันนี้เผยจือคุนโค้งคำนับผู้มาเย
‘ข้าจะบ้าตายกับอาหลานคู่นี้จริง ๆ คนหลานส่งคนมาออกคำสั่งให้ไปหา ส่วนคนอาไม่รับของก็ต้องไปส่งคืน รับไว้ก็ต้องไปขอบคุณ นี่มันเท่ากับบังคับให้ข้าไปหาชัด ๆ’จ้าวฉือลี่แทบอยากจะกรี๊ดลั่นออกมา แต่ทว่าเมื่อเห็นสายตาที่มองมาของคนในจวน นางจึงทำได้เพียงแต่เก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้ในใจเท่านั้น“ท่านพ่อข้าขอกลับเรือนก่อนนะขอรับ” เผยจือชิ่นเอ่ยขึ้นเผยจือชิ่นไม่อยากได้ยินบิดาเอ่ยเรื่องบีบบังคับให้เผยตั้นเยี่ยนแบ่งข้าวของที่ชินอ๋องเหวินเซียนส่งมาให้ เพราะทุกครั้งที่คหบดีหลิวส่งของมาให้เผยตั้นเยี่ยน บิดาของเขาก็มักจะพูดให้น้องสาวต่างมารดาแบ่งของเหล่านั้นให้กับน้องสาวมารดาเดียวกันกับเขาเสมอ ครั้งนี้เผยจือชิ่นจึงคิดว่าบิดาของเขาก็คงทำไม่ต่างกัน ถึงหลายครั้งที่เผยตั้นเยี่ยนนั้นไม่ยอมแบ่งให้และบิดาก็ไม่อาจบังคับมาได้ แต่สำหรับเขาแล้วมันเป็นภาพที่เขาไม่อยากเห็นมากที่สุด“พี่ใหญ่จะรีบไปไหนเจ้าคะ”เมื่อได้ยินเสียงใสเอ่ยเรียกฝีเท้าที่กำลังจะถอยหลังเดินจากไปก็หยุดทันที เผยจือชิ่นมองหน้าเจ้าของเสียง นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่ฮูหยินใหญ่หลิวเสียชีวิตไปที่หญิงสาวผู้นี้เรียกเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานจ้าวฉือลี่รู้ด
‘หรือว่าเผยจือชิ่นเพียงแสร้งจะช่วย แต่ความจริงคือจะล้วงความลับและเอามาใช้ขูดรีดเงินจากข้า’ ทว่าเมื่อจ้าวฉือลี่เห็นแววตาของเผยจือชิ่นก็รู้ได้ในชั่วพริบตาว่าเขานั้นมิได้คิดร้ายต่อนาง เพราะแววตาของเขานั้นเปี่ยมไปด้วยความเศร้าผสานความรู้สึกผิดหาได้มองแล้วดูเจ้าเล่ห์หรือคิดร้ายต่อนางไม่“ท่าทางพี่ใหญ่จะลำบากใจ เช่นนั้นข้าก็ไม่คิดจะสร้างความลำบากใจให้ท่านพี่ แต่หากข้าต้องการความช่วยเหลือ พี่ใหญ่จะช่วยข้าใช่หรือไม่” จ้าวฉือลี่ไม่คิดจะเล่าให้เขาฟังอยู่แล้ว เพียงแต่จะเรียกคะแนนความสงสารเท่านั้น และอีกอย่างนางเองก็ยังไม่มั่นใจในตัวของเขาถึงขั้นจะเปิดเผยความจริงให้รู้“แน่นอน ขอเพียงเจ้าไม่เปิดเผยเรื่องที่ข้าเป็นพันธมิตรกับเจ้าข้าย่อมยินดี”จ้าวฉือลี่พยักหน้าพร้อมยกยิ้มอย่างจริงใจให้เผยจือชิ่นก่อนที่จะยื่นของในมือให้อีกครั้ง ครั้งนี้เผยจือชิ่นยอมรับเอาไว้แต่โดยดี จ้าวฉือลี่จึงได้หมุนตัวหวังจะไปจัดการกับหีบทั้ง4ใบที่เว่ยเหวินเซียนมอบให้ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินน้ำเสียงอบอุ่นจากเผยจือชิ่น“ข้าเป็นพี่ใหญ่ของเจ้า และยังคงเป็นมาเสมอ เช่นนั้นต่อให้ใครคิดร้ายกับเจ้าแต่ข้าไม่เคยคิดเลยสักครั้ง”จ้าวฉือ
ตั้งแต่ก้าวเท้าเดินเข้ามาในเรือนเขาก็รู้แล้วว่าสตรีทั้งหกอยู่ที่บ่อน้ำพุ ถึงยามแรกจะไม่คิดว่าสตรีทั้งหมดจะลงไปแช่ตัว แต่เมื่อเห็นองครักษ์ตะโกนเสียงดัง อีกทั้งเผยตั้นเยี่ยนเดินมาหาเขาเพียงลำพัง จึงทำให้มั่นใจว่าสตรีที่เหลือลงแช่บ่อน้ำพุร้อน ไม่เช่นนั้นคนใช้ทั้งสามจะปล่อยให้เผยตั้นเยี่ยนไปไหนมาไหนโดยไม่เดินตามได้เช่นไรเผยตั้นเยี่ยนรู้ดีว่าไม่อาจขัดขืนบุรุษตัวสูงได้จึงไม่เอ่ยอันใด เพราะนี่คงเป็นวิธีการทรมานนางอย่างหนึ่งที่เขาใช้ ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่กล้าที่จะขัดขืนเพราะกลัวว่าจะเป็นเหมือนครั้งก่อนที่ถูกเขากระทำอย่างรุนแรง“ถอยออกไป หากข้าไม่ได้เรียกอย่าคิดเข้ามาใกล้ และอย่าให้ผู้ใดมารบกวนข้ากับพระชายาเข้าใจหรือไม่” เว่ยชินอ๋องหันมาเอ่ยกับองครักษ์ที่เดินตามมาก่อนจะเดินต่อไปยังห้องนอนของตนเองเมื่อมาถึงห้องบุรุษหนุ่มวัยกำหนัดก็มิรอช้าวางหญิงสาวในอ้อมแขนลงบนเตียงอย่างนิ่มนวล ทว่าภาพอุ่นเตียงคราก่อนยังฝังลึกอยู่ในหัวของสตรีร่างบาง ร่างกายจึงสั่นระริกขึ้นมาอย่างไม่อาจหักห้ามได้“กลัวข้าสินะ ต่อไปข้าจะไม่รุนแรงกับเจ้าเช่นนั้นอีก ดีหรือไม่”
หลังจากทรมานบุรุษตระกูลหยางเสร็จอ๋องหนุ่มก็ไม่รอช้าควบม้ากลับไปยังจวนข้างค่ายทหารของตนทันที แล้วปล่อยให้ลูกน้องที่ตนเองไว้ใจสองคนตรวจสอบจวนขุนนางร่วมกับแม่ทัพใหญ่เหยียน เพราะอย่างไรขุนนางจวนต่อไปก็เขียนหนังสือสำนึกผิดแล้วในเมื่อแค่ต้องเข้าไปในจวนเพื่อตรวจสอบขุนนางว่าเขียนสารภาพผิดตามความจริงหรือไม่ ไยจะต้องให้อ๋องหนุ่มเช่นเขาลงมือทำด้วย เพราะอย่างไรเรื่องลงทัณฑ์เสด็จพี่ของเขาก็เป็นผู้ตัดสินอยู่แล้ว เว่ยชินอ๋องจึงไม่อยากเสียเวลาที่จะได้อยู่กับสตรีที่ตนรักไปกับเหล่าขุนนางพวกนี้จวนนอกเมืองของชินอ๋องขณะที่เมืองหลวงกำลังวุ่นวาย คุณหนูทั้งสามคนที่อยู่ในจวนข้างค่ายทหารของเว่ยชินอ๋องกลับกำลังพักผ่อนอย่างสบายใจ เพราะจวนของอ๋องหนุ่มแห่งนี้มีบ่อน้ำพุร้อนจากธรรมชาติอยู่ในจวน ถึงการตกแต่งจวนจะไม่หรูหราแต่มองแล้วสบายตายิ่งนักจวนแห่งนี้มีรั้วกั้นสูงมองไม่เห็นภายใน คราแรกที่คุณหนูทั้งสามเห็นก็รู้สึกหวั่นวิตกอยู่มาก แต่เพียงเดินเข้ามายังด้านในกลับเสมือนมีคนนำเรือนหลังหนึ่งมาวางเอาไว้ท่ามกลางน้ำตก ที่โดยรอบมีดอกไม้และต้นไม้สูงต่ำสลับกันไป
เช้าวันต่อมา ณ ท้องพระโรงเหวินหลิงฮ่องเต้สาดสายตามองเหล่าขุนนางที่ยืนอยู่ตรงหน้า นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่เขาขึ้นครองราชย์ที่ได้เห็นสีหน้าท่าทางของเหล่าขุนนางที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันมากถึงเพียงนี้เก้าในสิบส่วนของขุนนางในท้องพระโรงมีสีหน้าหม่นหมองดุจเมฆฝน ใบหน้าเคร่งเครียดส่อความรู้สึกราวกับกำลังแบกโลกเอาไว้ทั้งใบ หัวคิ้วของแต่ละคนย่นชนกันอย่างไม่รู้ตัว ทำเอาเจ้าของบัลลังก์รู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่เห็นขุนนางของตนเป็นเช่นนี้“ข้าคิดว่าเมื่อคืนพวกท่านจะนอนหลับอย่างสบายใจเสียอีก ที่มีทหารรักษาเมืองหลวงคอยคุ้มกันจวนไม่ให้มือสังหารเข้าไปในจวนของพวกเจ้า ทว่าดูจากขอบตาของพวกเจ้าแล้วข้าคงคาดเดาผิดไปสินะ หากเรื่องของชาวบ้านพวกเจ้าวิตกกังวลกันจนเป็นสภาพเช่นนี้ ต้าเว่ยของข้าคงจะดีมากขึ้นไม่น้อย” ถึงสุรเสียงของฮ่องเต้แห่งต้าเว่ยจะเรียบเฉย ทว่ากลับกดดันให้สีหน้าของเหล่าขุนนางหม่นหมองลงไปอีก“ฝ่าบาททรงเข้าใจพวกกระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ เมืองหลวงวุ่นวายไปทั่วเช่นนี้ จะให้พวกกระหม่อมข่มตาหลับลงได้เช่นใดกันพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เสนาบ
“ว่าแต่เจ้าไม่เป็นอันใดจริง ๆ ใช่หรือไม่”“พ่ะย่ะค่ะ ลูกไม่เป็นอันใดจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”“เสด็จอาของเจ้าเล่นใหญ่ไปแล้วกระมัง ใยถึงได้สั่งให้คนยิงธนูใส่เจ้าเฉียดฉิวถึงเพียงนี้ หากโดนเนื้อตัวของเจ้าขึ้นมาเสด็จแม่ของเจ้าคงไม่พบหน้าข้านานนับเดือนเป็นแน่” ช่วงประโยคหลังเหวินหลิงฮ่องเต้เอ่ยเสียงเบาลงเรื่องที่ห่วงบุตรของตนก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่เป็นกังวลไม่ต่างกันคือเรื่องที่สตรีคู่บัลลังก์จะโกรธ เพราะเรื่องตระกูลอวี๋คราก่อน กว่าจะเอาใจให้เสิ่นฮองเฮาพูดดีกับเขาได้ก็ใช้เวลาอยู่นานบุรุษอายุน้อยกว่าถึงกับหลุดหัวเราะออกมา เมื่อได้ยินบิดาเอ่ยพึมพำถึงมารดา ทว่าเมื่อเห็นสายตาของบิดามองมาจึงกลั้นหัวเราะเอาไว้“เสด็จพ่อวางใจเถอะพ่ะย่ะค่ะ คนที่เสด็จอาส่งมาล้วนเป็นยอดฝีมือทั้งนั้น มิเพียงลูกธนูจะไม่โดนลูกแต่ยังไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บอีกด้วย” เว่ยหลิงเฮ่อมิอยากให้เสด็จพ่อตำหนิเสด็จอาจึงช่วยเอ่ย ถึงเขาเองก็คิดว่าเสด็จอาเล่นใหญ่มากจริง ๆ ที่ยิงธนูจวนโดนตัวเขาคราแรกที่ได้ยินแผนของเว่ยเหวินเซียน เจ้าของตำหนักบูรพาก็เตรียม
“อ้อ! ยังมีอีกเรื่อง เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าข้าไว้วางใจเจ้ามากเพียงใดจึงให้เจ้าอยู่ในตำแหน่งนี้ ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้”“กระหม่อมไม่มีส่วนรู้เห็นในเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ และกระหม่อมจะไม่มีทางทำให้ฝ่าบาทผิดหวังในตัวกระหม่อม กระหม่อมขอใช้ชีวิตของคนตระกูลเหยียนเป็นเดิมพันพ่ะย่ะค่ะ”“ดี เช่นนั้นเจ้าก็ไปทำตามที่เราสั่งเถอะ”“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปทำตามรับสั่งเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพผู้บัญชาการใหญ่รักษาเมืองหลวงตอบรับทันที ก่อนจะลุกขึ้นโค้งคำนับแล้วถอยหลังออกไป“เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ ให้เสด็จอาเป็นผู้จัดการเรื่องนี้ดีหรือไม่ เพราะมือสังหารที่ถูกทหารองครักษ์ของเสด็จอาฆ่าตาย น่าจะทิ้งหลักฐานเอาไว้ไม่มากก็น้อย และป่านี้เสด็จอาคงสืบได้เบาะแสแล้วเป็นแน่”“ได้ ทำตามเจ้าว่า” เหวินหลิงฮ่องเต้ผินพระพักตร์ไปหาขันทีข้างกาย“ไป๋กงกง ส่งคนไปตามเหวินเซียน บอกให้เขากลับเมืองหลวงมาสืบคดี”“พ่ะย่ะค่ะ” ไป๋กงกงรีบต
“ทูลเสด็จพ่อ โปรดออกคำสั่งให้แม่ทัพใหญ่เหยียนส่งทหารไปล้อมจวนขุนนางน้อยใหญ่ไว้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขุนนางที่อยู่ในห้องโถงต่างตกตะลึงปนไม่พอใจที่อยู่ ๆ องค์รัชทายาทหลิงเฮ่อจะให้ทหารไปล้อมจวนของพวกเขา เหล่าขุนนางหันหน้ามองกันพลางส่งสายตาเพื่อจะหาคนเอ่ยคัดค้าน ทว่ายังมิทันที่จะหาคนกราบทูลได้เหวินหลิงฮ่องเต้ก็ทรงตรัสออกมาเสียก่อน“เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเอ่ยวาจาไร้สาระอันใดออกมา”“เสด็จพ่อ ท่านรู้หรือไม่ว่าวันนี้ขณะที่คุณหนูทั้งสองตระกูลกำลังจะกลับเมืองหลวงพวกนางถูกนักฆ่าดักทำร้าย เดิมที่ข้าคิดว่ามีคนอยากแก้แค้นคุณหนูใหญ่ตระกูลเผย หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะเรื่องตำแหน่งพระชายาของเสด็จอา” บุรุษหนุ่มสายเลือดมังกรจงใจหยุดคำพูดของตน ก่อนใช้สายตาเหลือบมองเหล่าขุนนางเพียงได้ยินประโยคท้ายของโอรสสายเลือดมังกร ขุนนางตระกูลอวี๋กับตระกูลหยางก็หน้าซีดเผือดขึ้นมาอวี๋หลี่เฉียงรีบแก้ตัวเป็นพัลวันด้วยเกรงว่าบุรุษสายเลือดมังกรจะเข้าใจเขาผิด เนื่องจากคราก่อนที่เว่ยชินอ๋องมายังจวนของเขาได้เอ่ยว่าจะปล่อยบุตรสาวของเขาให้อยู่ท
เมื่ออ๋องหนุ่มเห็นเผิงเจียวเจี๋ยควบม้าจากไป จึงหันไปกระซิบกับองครักษ์ของตนเพื่อสั่งการเรื่องบางอย่าง ก่อนจะหันกลับมาหาหลานชายของตนเอง“เสด็จอา เช่นนั้นข้าจะตามท่านไปจัดการคนตระกูลหยางเอง” เว่ยหลิงเฮ่อเอ่ยอาสา เมื่อเห็นว่ามีเพียงตนเองที่ยังไร้ประโยชน์“เรื่องนั้นไม่จำเป็น ตอนนี้ข้ามีเรื่องอื่นให้เจ้าทำ” พูดจบเว่ยเหวินเซียนก็เดินเข้าไปใกล้บุรุษอายุน้อยกว่า แล้วเอ่ยกระซิบเรื่องที่ต้องการให้เจ้าของตำหนักบูรพาทำเมื่อได้ยินคำสั่งของผู้เป็นอา เว่ยหลิงเฮ่อก็พยักหน้าขึ้นลงอย่างช้า ๆ เพื่อตอบรับคำสั่งของบุรุษอายุมากกว่า ครั้นรู้ว่าตนเองต้องทำอันใดเจ้าของตำหนักบูรพาก็ไม่รีรอเดินไปสั่งลูกน้องของตนให้ปิดปากเรื่องในวันนี้ ก่อนจะขึ้นหลังม้าแล้วควบกลับเมืองหลวงในระหว่างที่ควบม้ากลับเมืองหลวง เจ้าของตำหนักบูรพาก็นึกไตร่ตรองถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้บุรุษสายเลือดมังกรรู้ว่าการที่เขานั่งอยู่ในตำแหน่งองค์รัชทายาทได้อย่างมั่นคงในตอนนี้ ไม่ใช่เพราะมีขุนนางน้อยใหญ่เข้าข้างเขา แต่เป็นเพราะเสด็จอากับเสด็จพ่อของเขาที่คอยปกป้องเขาอยู่อย่างลับ ๆถึงเว่ยหลิงเฮ่อจะไม่พอใจที่เสด็จอากับเสด็จพ่อมีความลับก
“เจ้าพบเจออันใดอย่างนั้นหรือ” เว่ยหลิงเฮ่อที่เดินมาทันได้ยินเอ่ยถามด้วยสีหน้าอยากรู้“ขอหม่อมฉันตรวจสอบอีกสักครู่เพคะ”ครั้นได้เสื้อของมือสังหารที่ตระกูลหยางส่งมา เหมิงเหมิงก็รีบใช้นิ้วมือลูบตรงจุดเดียวกันกับเสื้อตัวก่อนทันที“หม่อมฉันเจอแล้วเพคะ พวกเขาสวมชุดที่ปักลายตรงข้อมือของเสื้อเอาไว้ แต่ที่พวกเราไม่เห็นเป็นเพราะพวกมันใช้ด้ายสีเดียวกับเสื้อ หากไม่สังเกตดี ๆ ก็จะเห็นได้ยากเพคะ” เหมิงเหมิงเอ่ยพร้อมยื่นเสื้อให้กับเว่ยชินอ๋องได้ทอดพระเนตรเว่ยเหวินเซียนรับมามองดูพร้อมกับใช้นิ้วมือลูบวนไปตามฝีปักก่อนยกยิ้ม ทว่าเพียงวูบเดียวใบหน้าของเขากลับบึ้งตึงดวงตาขึงขังเส้นเลือดตรงขมับปูดโปน“เหมิงเหมิงเจ้าตรวจสอบอีกสองสามชุดเพื่อความแน่ใจ” น้ำเสียงของเว่ยชินอ๋องยามนี้ผสานกับสีหน้าแววตา ทำให้ทุกคนที่อยู่โดยรอบคาดเดาได้ว่าจะต้องมีการนองเลือดเป็นแน่“เสด็จอา เหตุใดอยู่ ๆ จึงได้โกรธขึ้นมาเช่นนี้” เจ้าของตำหนักบูรพาข้องใจ เพราะก่อนหน้ายังเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนใบหน้าถึงจะไม่กี่ลมหายใจก็ตาม แต่เ
“พวกเราไปกันเถอะ”ถึงบุรุษทั้งสองจะยังสับสนอยู่ แต่เมื่ออ๋องหนุ่มให้องครักษ์คนสนิทรั้งอยู่ที่นี่เพื่อดูแลเหล่าสตรี พวกเขาก็พอเดาออกว่าสตรีที่เดินไปขึ้นรถม้าก่อนหน้านี้มิใช่สตรีที่เพิ่งดวลสุรากับพวกเขายามนี้ในใจของเว่ยหลิงเฮ่อกลับเปลี่ยนไป เขาเดินตามเสด็จอาไปด้วยความเดือดดาลที่ปะทุขึ้นมา ครั้นนึกขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้เสด็จอาของเขาบอกว่าจะพาเขาไปจัดการกับคนที่คิดทำร้ายว่าที่พระชายาของเขา ถึงเจ้าของตำหนักบูรพาจะยังไม่รู้ว่าเว่ยเหวินเซียนวางแผนไว้อย่างไร ทว่าการที่คนผู้นั้นกล้าคิดสังหารสตรีนางนั้นทั้งที่รู้ว่านางจะมาเป็นพระชายาของเขาในอนาคตก็ทำให้โทสะในใจของเขาเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วบุรุษที่กำลังขุ่นเคืองจึงตั้งมั่นในใจ ‘ข้าจะไม่มีทางปล่อยให้พวกเจ้ามีชีวิตรอดไปทำร้ายพระชายาตัวจริงของข้าแน่นอน’บุรุษหนุ่มทั้งสามคนควบม้ามาตามทางที่รถม้าของอ๋องหนุ่มใช้เดินทางไปยังเมืองหลวง พร้อมด้วยทหารตระกูลเผิงจำนวนหนึ่งกับองครักษ์จากตำหนักบูรพา ส่วนองครักษ์ของเว่ยชินอ๋องทั้งหมดบวกกับทหารตระกูลเผิงที่เหลืออยู่ถูกสั่งให้คุ้มครองสตรีทั้งสามโด