จ้าวฉือลี่มุ่งหน้าไปยังจวนตระกูลหลิวตระกูลคหบดีอันดับต้น ๆ ของเมืองหลวงเพื่อไปหาท่านตาของเผยตั้นเยี่ยน เพียงจิ่งหลินจอดรถม้าที่หน้าจวนพ่อบ้านตระกูลหลิวเห็นก็รีบให้คนไปแจ้งนายท่านเจ้าของจวนทันทีความจริงหลิวชิงเยี่ยนเคยไปขอหลานสาวและหลานชายกลับมาเลี้ยงเองแต่ทว่าเผยจือคุนนั้นไม่ยอมให้มา เพราะกลัวว่าจะเป็นที่ครหาว่าไร้ปัญญาเลี้ยงดูบุตรจึงต้องส่งกลับไปให้ตระกูลเดิมของฮูหยินเลี้ยงดู ไม่เพียงเท่านั้นภรรยารักยังอาจถูกผู้อื่นนินทาว่าเป็นแม่เลี้ยงใจร้ายจนลูกเลี้ยงนั้นอยู่ไม่ได้ต้องกลับไปอยู่บ้านเดิมของมารดาแต่ความจริงแล้วหลิวชิงเยี่ยนรู้ดีว่าหลินเยว่ฉีเป่าหูเผยจือคุนเพราะหากหลานทั้งสองของเขาออกมาแล้ว ต่อไปหากตระกูลเผยมีเรื่องเดือดร้อนก็คงยากที่เขาจะยื่นมือช่วยจ้าวฉือลี่เดินตามพ่อบ้านเข้าไปในจวน จวนของหลิวชิงเยี่ยนใหญ่โตหรูหราสมกับที่เป็นคหบดี จ้าวฉือลี่ยอมรับในความทะนงตัวของเผยตั้นเยี่ยนเพราะถึงเผยตั้นเยี่ยนจะลำบากก็ไม่เคยมาเล่าหรือมาขอความช่วยเหลือจากท่านตาของนางเลยสักครั้ง เพราะไม่อยากให้ท่านตาของนางไม่สบายใจ แต่ถึงอย่างนั้นท่านตาของนางก็มักจะส่งของไปให้นางเสมอ เพราะกลัวนางจะขาดแคลนแต่ไม่ย
เมื่อนำหีบทั้ง4ใบมาถึงจุดหมายแล้ว นางจึงให้คนคุ้มกันกลับไปพร้อมกับเกวียนพวงที่นำมา ส่วนจ้าวฉือลี่ก็เดินทางไปยังสถานที่ต่อไปนั่นก็คือจวนชินอ๋องเหวินเซียน นางจะไปเพื่อขอบคุณสำหรับของที่มอบให้และตัดความสัมพันธ์ให้จบ ๆขณะที่นั่งอยู่ในรถม้าจ้าวฉือลี่ก็นั่งมองฉุยฉุยและยกยิ้มขึ้นมา “คุณหนูมองข้าน้อยเช่นนี่มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” คิ้วของสาวใช้ข้างกายย่นเข้าหากันเล็กน้อย“มีเรื่องดี ๆ ข้าก็ต้องยิ้มสิ” นางเอ่ยไปยิ้มไปฉุยฉุยย่นคิ้วหนักขึ้น เพราะตั้งแต่อยู่กับคุณหนูเผยมาไม่เคยเห็นคุณหนูของนางแสดงความรู้สึกให้ผู้อื่นเห็นได้ชัดเจนเช่นนี้ เพราะปกติเผยตั้นเยี่ยนมักจะเก็บซ่อนอารมณ์ของตนเอาไว้เป็นอย่างดี ไม่ให้คนอื่นรู้ว่ายามนี้ตนเองกำลังดีใจหรือเสียใจอยู่เรื่องที่ทำให้จ้าวฉือลี่ดีใจนั้นไม่เพียงเรื่องที่นางจะมีกิจการเป็นของตนเอง แต่ยังมีอีกเรื่องคือ นางไม่ต้องให้ฉุยฉุยไปขายของที่ตลาดมืดแล้ว เพราะคราแรกจ้าวฉือลี่คิดว่าจะให้ฉุยฉุยทำยาไปขายในตลาดมืดเพื่อหาเงินมาลงทุน แต่ยามนี้เห็นทีว่าสวรรค์จะเห็นใจนาง จึงได้ส่งทุนมาให้นางโดยที่ไม่ให้นางต้องเปลืองแรงมากนัก และฉุยฉุยไม่ต้องไปเสี่ยงเจอคนของชินอ๋องในตลาด
จ้าวฉือลี่รู้ว่ายาพิษเหล่านี้อาจไม่ได้ออกฤทธิ์ทันที ไม่เหมือนกับยาพิษที่ฉุยฉุยฉาบเอาไว้ในอาวุธลับของนาง แต่ก็พอตัดกำลังคู่ต่อสู้ไปได้ เพราะนอกจากวิธีนี้นางก็ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไร“ยาพิษตัวไหนใช้กินได้อย่างเดียว” จ้าวฉือลี่หันมาถามฉุยฉุยที่นั่งพิงประตูอยู่ด้านในรถม้า“ตัวที่มีอักษรสีแดงบนขวดเจ้าค่ะ” เสียงของนางแหบพร่าจนทำให้ใจของจ้าวฉือลี่ไหวสั่น นางยกกล่องยามาวางข้างฉุยฉุย“ฉุยฉุยเจ้าอดทนหน่อย เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปหาหมอ ตอนนี้เจ้ารักษาตัวเองเบื้องต้นไปก่อน” จ้าวฉือลี่กลัวว่าหากนางมัวแต่เสียเวลาปฐมพยาบาลให้ฉุยฉุย บุรุษอีกสองคนจะต้านไว้ไม่อยู่ ครานี้คงได้ตายกันหมดแน่ ๆ และอีกอย่างร่างของเผยตั้นเยี่ยนก็บอบบางไร้เรี่ยวแรง หากนางพยุงฉุยฉุยไม่ดีแล้วล้มลงไปฉุยฉุยจะเจ็บหนักกว่าเดิมเมื่อเห็นสาวใช้ข้างกายพยักหน้าตอบรับพร้อมรอยยิ้มจ้าวฉือลี่ก็ใจชื้นขึ้นมา นางนำยาพิษที่ใช้ภายนอกได้ออกมา ก่อนจะเททั้งหมดลงไปในกาน้ำ เพราะบางอย่างเป็นผงนางกลัวว่าลมจะพัดมาโดนตัวนางเองหรือไม่ก็พัดไปโดนคนของนาง จึงเอายาผสมลงไปในน้ำ“เสวี่ยเฟิงต้านพวกมันเอาไว้” จ้าวฉือลี่ตะโกนเสียงดัง
จ้าวฉือลี่หันมามองสตรีที่อยู่ข้างกาย ใบหน้าของฉุยฉุยยามนี้ซีดขาวไร้สีเลือด ใบหน้าอ่อนระโหยโรยแรงลมหายใจแผ่วเบา สตรีร่างบางจึงไม่อาจชักช้าได้อีกต่อไป“จิ่งหลินไปโรงหมอเดี๋ยวนี้” นางเอ่ยเสียงดัง จ้าวฉือลี่ไม่อาจเสียเวลาโต้เถียงกับบุรุษด้านนอกได้อีก“ช้าก่อน” เผิงเจียวเจี๋ยเอ่ยเสียงดังเพียงบุรุษอาภรณ์ขาวเอ่ยเหล่าผู้ติดตามของเขาก็ขี่ม้ามาล้อมรถม้าของเผยตั้นเยี่ยนทันที จิ่งหลินกับเสวี่ยเฟิงจับดาบพร้อมมองไปยังบุรุษอาภรณ์ขาว“คุณชายรองเผิง ท่านขวางข้าเช่นนี้หมายความว่าเยี่ยงไร” น้ำเสียงของจ้าวฉือลี่เต็มไปด้วยโทสะ“คุณหนูใหญ่เผยคงรู้สินะว่าใครส่งพวกเขามา เช่นนั้นไม่ทราบว่าคุณหนูจะบอกสาเหตุได้หรือไม่ว่าเหตุใดจึงถูกสั่งฆ่าเช่นนี้” เขาอยากรู้ว่าคนผู้นั้นที่ฮ่องเต้ไว้ใจกล้าใช้คนมาทำเรื่องส่วนตัวเช่นนี้เพราะสาเหตุใดกันแน่ ความอยากรู้อยากเห็นทำให้เขาเอ่ยถามเพราะหน่วยสายลับเงามีหน้าที่คัดคนมีฝีมือและกล้าที่จะตายเพื่อปกป้องผู้เป็นนาย รวมทั้งยอมตายเพื่อภารกิจที่ได้รับมอบหมายด้วย ยามที่พวกเขายังไม่เข้าวั
จ้าวฉือลี่หันไปมองเสวี่ยเฟิงที่นอนทำแผลด้วยสีหน้าเจ็บปวดก่อนจะหันไปยังห้องที่ฉุยฉุยรักษาตัวอยู่ นางรู้ดีว่าที่ทั้งคู่ไม่มีเสียงร้องโอดครวญออกมาเลยนั้นเป็นเพราะไม่อยากให้นางเป็นกังวลมิใช่ว่าไม่รู้สึกเจ็บ“จิ่งหลินเจ้าคอยดูแลฉุยฉุยกับเสวี่ยเฟิงให้ดี เดี๋ยวข้ากลับมา”“ไม่ขอรับข้าจะไปกับคุณหนูด้วย ที่นี่เป็นโรงหมอของนายท่านหลิว คนของที่นี่ย่อมดูแลทั้งสองเป็นอย่างดีอยู่แล้ว แต่คุณหนูไม่มีใครอยู่ข้างกายเลยข้าไม่มีทางให้คุณหนูไปตามลำพังเด็ดขาด” จิ่งหลินเอ่ยน้ำเสียงหนักแน่นเมื่อได้ฟังคำของสารถีคนสนิทจ้าวฉือลี่ก็พยักหน้าตอบรับก่อนจะเดินไปขึ้นรถม้าที่ภายในยังคงมีคราบเลือดติดอยู่ ตลอดเส้นทางไปยังภัตตาคารเจียวลู่จ้าวฉือลี่จ้องมองคราบเลือด และบอกกับตนเองด้วยปณิธานอันแน่วแน่‘ในเมื่อพวกเขาต่างปกป้องข้าในฐานะที่ข้าเป็นเผยตั้นเยี่ยน เช่นนั้นต่อไปนี้ข้าก็จะอยู่อย่างเผยตั้นเยี่ยนไม่ใช่จ้าวฉือลี่ที่อ่อนแอ ไร้ที่พึ่งไร้คนข้างกายและยากไร้อีกต่อไป จ้าวฉือลี่ผู้นั้นได้ตายไปแล้วนับตั้งแต่ตอนนี้ข้าคือคุณหนูใหญ่เผย เผยตั้นเยี่ยนที่ทำได้ทุกอย่างขอ
แน่นอนว่าเผยตั้นเยี่ยนมิมีทางที่จะอยู่ข้างกายของเว่ยเหวินเซียนเพื่อเป็นหมากให้เว่ยหลิงเฮ่ออย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นนางก็จะติดอยู่ในวังวนเช่นนี้ไม่จบไม่สิ้น“แต่หม่อมฉันคิดว่าหากหม่อมฉันยังอยู่ข้างกายท่านอ๋องอาจส่งผลเสียมากกว่าผลดีนะเพคะ เพราะเมื่อคืนนี้ตอนท่านอ๋องสอบปากคำหม่อมฉัน ท่านอ๋องบอกกับหม่อมฉันว่ามีคนรายงานว่าหม่อมฉันกับองค์รัชทายาทไปมาหาสู่กัน แต่หม่อมฉันก็อธิบายไปตามที่เคยนัดแนะกับพระองค์แล้วว่าเป็นเพราะความต้องการของบิดาของหม่อมฉัน” เผยตั้นเยี่ยนหยุดพูดพร้อมจงใจทำหน้าเหมือนลังเลใจไม่กล้าพูดออกมาเว่ยหลิงเฮ่อเมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางเหมือนจะพูดแต่ก็ตัดสินใจไม่พูดออกมาของสตรีตรงหน้า ก็ไม่อาจเก็บความสงสัยเอาไว้ได้จึงได้เอ่ยถามออกไป“มีอะไรอย่างนั้นหรือ หรือว่าเสด็จอาไม่เชื่อคำพูดของเจ้า” วรกายสูงถามพร้อมยกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง“ไม่ใช่เพคะ ท่านอ๋องทรงเชื่อคำพูดของหม่อมฉันเพคะ แต่ว่า....” นางหยุดเอ่ยอีกครั้งก่อนจะแสร้งเป็นก้มมองมือของตนเองและเงยหน้ามองหน้าบุรุษที่อยู่ตรงหน้าพลางเม้มปากแน่นก่อนจะหลบสายตาคมที่จ้องมองมาราวกับไม่มั่นใจในเรื่องที่จะเอ่ยเว่ยหลิงเฮ่อจ้องมองสตรีตรงหน้าอย่างใจ
“องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องเสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ” เติ้งจื่ออวี๋เอ่ยน้ำเสียงร้อนรนเพียงได้ยินว่าผู้มาเยือนคือใครเผยตั้นเยี่ยนถึงกับเผลอยกยิ้มที่มุมปาก ทว่าก็แค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นจึงทำให้บุรุษทั้งสองที่อยู่ไม่ห่างมิทันได้เห็น ที่นางดีใจเพราะว่านางจะได้ไม่เสียเวลาวางแผนว่าจะไปบอกเว่ยเหวินเซียนอย่างไรดีว่านางถูกคนลอบสังหารถึงเผยตั้นเยี่ยนจะไม่รู้ว่าเป็นสตรีของใคร แต่ทว่านางรู้นิสัยของอาหลานคู่นี้ดี เว่ยเหวินเซียนหากเห็นนางใส่อาภรณ์เปื้อนเลือดเช่นนี้ย่อมต้องเดือดดาลเป็นแน่ และคนอย่างเขามีหรือที่จะไม่ระบายโทสะกับคนผู้นั้นที่คิดจะฆ่านางส่วนเว่ยหลิงเฮ่อถึงเขาจะไม่ได้รักนาง แต่หน่วยสายลับเงาเป็นหน่วยงานที่เสด็จพ่อของเขาให้ขุนนางที่ไว้ใจดูแลเพื่อฝึกองครักษ์เงาก่อนจะเข้ามาถวายงาน แต่ขุนนางผู้นั้นกลับเอามาใช้งานตามใจชอบ เช่นนี้เว่ยหลิงเฮ่อที่มีนิสัยขี้ระแวงอยู่แล้วจะไม่กลัวหรือว่าองครักษ์เงาที่ส่งมาจะกลายเป็นมือสังหารมาลอบฆ่าเขาแทนที่จะมาคุ้มกัน‘มาก็ดี จะได้รู้ว่าเป็นสตรีของผู้ใดกันที่กล้าส่งคนมาสังหารข้า และข้าจะได้ยืมมือบุรุษที่โหดเหี้
“ถามอันใดอย่างนั้นหรือเพคะ” นางถามกลับอย่างงง ๆ เพราะนางมัวแต่ตกใจในการกระทำของเว่ยเหวินเซียนจนลืมไปเลยว่าเขาถามอันใดนาง“ข้าถามว่าเจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่” น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความเป็นห่วง“หม่อมฉันไม่เป็นอันใดเพคะ” นางตอบเสียงราบเรียบ แต่ทว่าในใจก็เกิดกังวล เพราะนางไม่รู้ว่าเขารู้ได้เช่นไร‘หรือเขาจะให้คนสะกดรอยตามเรา หากเป็นเช่นนั้นเขาก็ต้องรู้แล้วสิว่าคนรับใช้ข้างกายทั้งสามคนของเรามีวรยุทธ์’“ท่านอ๋องทราบได้เช่นใดเพคะว่าหม่อมฉันถูกคนดักทำร้าย” นางย่นคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย ทั้งที่ในใจของนางยามนี้นั้นกำลังกระวนกระวายเขาล้วงเข้าไปในอกเสื้อแล้วหยิบหยกห้อยเอวของเผยตั้นเยี่ยนออกมา เมื่อหญิงสาวเห็นก็รีบเอื้อมมือไปคว้าทันที แต่บุรุษกลับชักมือหนี“ทำไม!อยากได้คืนอย่างนั้นหรือ แล้วตอนนั้นทำไมถึงได้ใจกล้าให้บุรุษแปลกหน้าไปเล่า” ถึงสีหน้าจะนิ่งราวไม่ได้รู้สึกอันใด ทว่าน้ำเสียงของเว่ยเหวินเซียนกลับเจือไปด้วยความไม่พอใจเผยตั้นเยี่ยนมองหน้าเว่ยเหวินเซียนนางรู้ว่าบุ
“ส่งร่างไร้วิญญาณนี้ไปให้คุณหนูสามอวี๋ บอกนางว่าข้ามอบให้เป็นของขวัญ” เมื่อเว่ยหลิงเฮ่อสั่งองครักษ์คนสนิทเสร็จก็หันมาเอ่ยกับเหล่าองครักษ์เงา“ยามนี้พวกเจ้าคือองครักษ์เงาของข้า มีแค่ข้าที่เป็นเจ้านายเท่านั้น หากไม่อยากเป็นองครักษ์เงาของข้า ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าถอนตัวเสียตอนนี้ แต่หากพวกเจ้าตัดสินใจยังอยู่และคิดทรยศข้า คราหน้าข้าจะไม่ใจดีเช่นนี้แน่นอน”“พวกกระหม่อมจะจงรักภักดีและเชื่อฟังเพียงคำสั่งขององค์รัชทายาทเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์เงาเอ่ยพร้อมกันเสียงดังหนักแน่น พวกเขารู้ดีว่าต้องตายเพื่อใครตั้งแต่คืนป้ายประจำตัวให้หน่วยสายลับเงาไปแล้วองค์รัชทายาทพยักหน้ารับรู้ก่อนจะสะบัดมือให้พวกเขาไปทำหน้าที่ ส่วนคราบเลือดก็ถูกทหารองครักษ์เช็ดทำความสะอาดทันที“ข้าขอโทษด้วยทั้งที่ชวนเจ้ามาฟังดนตรีดูการร่ายรำเพื่อให้ลืมเรื่องแย่ ๆ แต่กลับทำให้เจ้าเจอเรื่องที่แย่ยิ่งกว่าเก่า” เว่ยหลิงเฮ่อเอ่ยเมื่อเห็นว่าใบหน้าของเผยตั้นเยี่ยนยังมีความตกใจปรากฏอยู่เล็กน้อยกับเรื่องเมื่อครู่“ไม่เป็นไรเพคะ มิใช่ความผิดของพระองค์เลย อย่าโทษตัวเองเลยเพคะ” นางเอ่ยตามมารยาทเท่านั้น แต่ในใจกลับสวนทางกับคำพูด“เช่นนั้นเร
เว่ยเหวินเซียนพยักหน้าเนิบนาบ ก่อนจะหันไปหาหลานชายของตน “แล้วองค์รัชทายาทคิดเช่นไรกับนาง” แน่นอนว่าเว่ยอ๋องย่อมต้องจัดการทวงความเป็นธรรมให้สตรีของตน แต่หากสตรีผู้นั้นเป็นคนที่หลานชายเขามีใจให้ เขาก็จะยอมลงโทษสถานเบาลง“ความจริงข้าก็พอรู้มาบ้างว่าตาเฒ่าอวี๋อยากให้บุตรีมาเป็นพระชายาของข้า แต่สตรีเช่นนางข้ามิมีทางเอามาเป็นพระชายาอย่างแน่นอน นางถือดีว่าบิดาเป็นขุนนางที่เสด็จพ่อไว้ใจก็กล้าสอดมือมาถึงตำหนักบูรพา อีกทั้งยังใช้คนของหน่วยสายลับเงากำจัดสตรีรอบ ๆ ตัวข้า หากวันหน้านางเป็นฮองเฮาวังหลังของข้ามิต้องนองเลือดอย่างนั้นหรือ”“องค์รัชทายาทคิดเช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าลงมือก่อนแล้วกัน” เว่ยเหวินเซียนเอ่ยเสียงราบเรียบ“เช่นนั้นวันนี้ข้าจะส่งของขวัญไปให้คนแช่อวี๋ก่อนแล้วกัน” เว่ยหลิงเฮ่อเอ่ยเสียงราบเรียบ สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึมขึ้นทันตา“ออกมา” เสียงเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกเพียงพริบตาเดียวบุรุษชุดดำก็มายืนเรียงกันอยู่ด้านหน้าของเว่ยหลิงเฮ่อ ซึ่งอยู่ทางด้านหลังของเผยตั้นเยี่ยนหญิงสา
เดิมทีตอนที่เว่ยเหวินเซียนกับเว่ยหลิงเฮ่อเห็นป้ายประจำตัวของหน่วยสายลับเงาจากสตรีที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ พวกเขาทั้งสองต่างคิดว่าเสนาบดีสำนักตรวจราชการอวี๋ อวี๋หลี่เฉียง ส่งหน่วยสายลับเงาไปจัดการเผยตั้นเยี่ยนเพียงเพราะไม่อยากให้เผยตั้นเยี่ยนแต่งเป็นพระชายาของเว่ยเหวินเซียน และคิดจะหาสตรีของขุนนางที่เป็นขั้วอำนาจฝ่ายตนเองมาเป็นพระชายา เพราะอีกไม่ถึง7วันจะมีงานชมบุปผาที่ไทเฮากับฮองเฮาจัดขึ้น เพื่อเลือกบุตรสาวจากตระกูลขุนนางมาเป็นพระชายาของทั้งสองพระองค์ลำพังคิดว่าอวี๋หลี่เฉียงขุนนางชราใช้คนในหน่วยสายลับเงาทำงานให้ตัวเอง สองอาหลานก็รู้สึกไม่พอใจมากแล้ว ยามนี้เมื่อรู้ว่าแม้แต่บุตรสาวของอวี๋หลี่เฉียงก็มีอำนาจสั่งหน่วยสายลับเงาทั้งคู่ก็รู้สึกเดือดดาลมากขึ้นกว่าเก่า เพราะหน่วยสายลับเงามีหน้าที่ฝึกองครักษ์ที่ใช้ปกป้องฮ่องเต้และว่าที่ฮ่องเต้ในอนาคต แต่บัดนี้กลับถูกใครก็ได้ใช้ได้ตามอำเภอใจความจริงแล้วเว่ยเหวินเซียนไม่ได้โกรธหากหลานชายกับสตรีที่ตนชอบจะมีใจให้กัน เพราะอย่างไรเขากับนางก็ยังไม่ได้ชัดเจนถึงขั้นที่เขานั้นจะขวางนางไม่ให้คบกับบุรุษที่นางมีใจได้ เพราะเขามิใช่บุรุษที่จะบังคับให้สตรีที่ไม่มี
เว่ยเหวินเซียนคิดจะเอ่ยอธิบายและขอโทษนาง ทว่าไม่ทันแล้วเมื่อเผยตั้นเยี่ยนราวจงใจไม่ให้เขาเอ่ยออกมา โดยการพูดขึ้นมาเสียก่อน“ดูแล้วบุรุษชุดดำที่พกป้ายนี้คงไม่ใช่คนธรรมดาสินะเพคะ ทั้งที่หม่อมฉันเป็นฝ่ายถูกกระทำ แต่ทุกคนกลับทำราวกับหม่อมฉันเป็นเหมือนคนร้าย แต่อย่างว่าจะธรรมดาได้เช่นไร แม้แต่คนคุ้มกันที่หม่อมฉันจ้างมายังรับมือแทบไม่ไหวทั้งที่จำนวนคนก็มากกว่า มิเช่นนั้นคนรับใช้ของหม่อมฉันคงไม่ต้องออกหน้าปกป้องหม่อมฉันจนได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้” หญิงสาวหยุดเอ่ยพร้อมเงยหน้าขึ้นเพื่อกลั้นน้ำตา แต่ก็ไม่ปล่อยให้บุรุษทั้งสองได้เอ่ย“แต่จะโทษใครได้ ต้องโทษหม่อมฉันเอง หม่อมฉันโง่เขลาคิดว่าเป็นโจรทั่วไปและอีกทั้งยังมีเพียงแค่4คนจึงไม่ได้คิดหนี หากหม่อมฉันเฉลียวใจสักนิด ก็คงคิดได้ว่าโจรธรรมดาคงไม่มากันเพียงเท่านี้ ทั้งที่พวกมันก็เห็นว่าคนคุ้มกันมากันตั้งมากมายเช่นนั้น หากไม่ได้ฉุยฉุยรับดาบนั้นแทน ป่านี้โลหิตที่เปื้อนตัวหม่อมฉันอยู่คงเป็นเลือดของหม่อมฉันแล้ว” ในเมื่อจะหลอกให้แนบเนียนยอมต้องมีทั้งเรื่องจริงทั้งเรื่องโกหกผสมกันไปเผยตั้นเยี่ยนปล่อยให้
“ถามอันใดอย่างนั้นหรือเพคะ” นางถามกลับอย่างงง ๆ เพราะนางมัวแต่ตกใจในการกระทำของเว่ยเหวินเซียนจนลืมไปเลยว่าเขาถามอันใดนาง“ข้าถามว่าเจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่” น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความเป็นห่วง“หม่อมฉันไม่เป็นอันใดเพคะ” นางตอบเสียงราบเรียบ แต่ทว่าในใจก็เกิดกังวล เพราะนางไม่รู้ว่าเขารู้ได้เช่นไร‘หรือเขาจะให้คนสะกดรอยตามเรา หากเป็นเช่นนั้นเขาก็ต้องรู้แล้วสิว่าคนรับใช้ข้างกายทั้งสามคนของเรามีวรยุทธ์’“ท่านอ๋องทราบได้เช่นใดเพคะว่าหม่อมฉันถูกคนดักทำร้าย” นางย่นคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย ทั้งที่ในใจของนางยามนี้นั้นกำลังกระวนกระวายเขาล้วงเข้าไปในอกเสื้อแล้วหยิบหยกห้อยเอวของเผยตั้นเยี่ยนออกมา เมื่อหญิงสาวเห็นก็รีบเอื้อมมือไปคว้าทันที แต่บุรุษกลับชักมือหนี“ทำไม!อยากได้คืนอย่างนั้นหรือ แล้วตอนนั้นทำไมถึงได้ใจกล้าให้บุรุษแปลกหน้าไปเล่า” ถึงสีหน้าจะนิ่งราวไม่ได้รู้สึกอันใด ทว่าน้ำเสียงของเว่ยเหวินเซียนกลับเจือไปด้วยความไม่พอใจเผยตั้นเยี่ยนมองหน้าเว่ยเหวินเซียนนางรู้ว่าบุ
“องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องเสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ” เติ้งจื่ออวี๋เอ่ยน้ำเสียงร้อนรนเพียงได้ยินว่าผู้มาเยือนคือใครเผยตั้นเยี่ยนถึงกับเผลอยกยิ้มที่มุมปาก ทว่าก็แค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นจึงทำให้บุรุษทั้งสองที่อยู่ไม่ห่างมิทันได้เห็น ที่นางดีใจเพราะว่านางจะได้ไม่เสียเวลาวางแผนว่าจะไปบอกเว่ยเหวินเซียนอย่างไรดีว่านางถูกคนลอบสังหารถึงเผยตั้นเยี่ยนจะไม่รู้ว่าเป็นสตรีของใคร แต่ทว่านางรู้นิสัยของอาหลานคู่นี้ดี เว่ยเหวินเซียนหากเห็นนางใส่อาภรณ์เปื้อนเลือดเช่นนี้ย่อมต้องเดือดดาลเป็นแน่ และคนอย่างเขามีหรือที่จะไม่ระบายโทสะกับคนผู้นั้นที่คิดจะฆ่านางส่วนเว่ยหลิงเฮ่อถึงเขาจะไม่ได้รักนาง แต่หน่วยสายลับเงาเป็นหน่วยงานที่เสด็จพ่อของเขาให้ขุนนางที่ไว้ใจดูแลเพื่อฝึกองครักษ์เงาก่อนจะเข้ามาถวายงาน แต่ขุนนางผู้นั้นกลับเอามาใช้งานตามใจชอบ เช่นนี้เว่ยหลิงเฮ่อที่มีนิสัยขี้ระแวงอยู่แล้วจะไม่กลัวหรือว่าองครักษ์เงาที่ส่งมาจะกลายเป็นมือสังหารมาลอบฆ่าเขาแทนที่จะมาคุ้มกัน‘มาก็ดี จะได้รู้ว่าเป็นสตรีของผู้ใดกันที่กล้าส่งคนมาสังหารข้า และข้าจะได้ยืมมือบุรุษที่โหดเหี้
แน่นอนว่าเผยตั้นเยี่ยนมิมีทางที่จะอยู่ข้างกายของเว่ยเหวินเซียนเพื่อเป็นหมากให้เว่ยหลิงเฮ่ออย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นนางก็จะติดอยู่ในวังวนเช่นนี้ไม่จบไม่สิ้น“แต่หม่อมฉันคิดว่าหากหม่อมฉันยังอยู่ข้างกายท่านอ๋องอาจส่งผลเสียมากกว่าผลดีนะเพคะ เพราะเมื่อคืนนี้ตอนท่านอ๋องสอบปากคำหม่อมฉัน ท่านอ๋องบอกกับหม่อมฉันว่ามีคนรายงานว่าหม่อมฉันกับองค์รัชทายาทไปมาหาสู่กัน แต่หม่อมฉันก็อธิบายไปตามที่เคยนัดแนะกับพระองค์แล้วว่าเป็นเพราะความต้องการของบิดาของหม่อมฉัน” เผยตั้นเยี่ยนหยุดพูดพร้อมจงใจทำหน้าเหมือนลังเลใจไม่กล้าพูดออกมาเว่ยหลิงเฮ่อเมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางเหมือนจะพูดแต่ก็ตัดสินใจไม่พูดออกมาของสตรีตรงหน้า ก็ไม่อาจเก็บความสงสัยเอาไว้ได้จึงได้เอ่ยถามออกไป“มีอะไรอย่างนั้นหรือ หรือว่าเสด็จอาไม่เชื่อคำพูดของเจ้า” วรกายสูงถามพร้อมยกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง“ไม่ใช่เพคะ ท่านอ๋องทรงเชื่อคำพูดของหม่อมฉันเพคะ แต่ว่า....” นางหยุดเอ่ยอีกครั้งก่อนจะแสร้งเป็นก้มมองมือของตนเองและเงยหน้ามองหน้าบุรุษที่อยู่ตรงหน้าพลางเม้มปากแน่นก่อนจะหลบสายตาคมที่จ้องมองมาราวกับไม่มั่นใจในเรื่องที่จะเอ่ยเว่ยหลิงเฮ่อจ้องมองสตรีตรงหน้าอย่างใจ
จ้าวฉือลี่หันไปมองเสวี่ยเฟิงที่นอนทำแผลด้วยสีหน้าเจ็บปวดก่อนจะหันไปยังห้องที่ฉุยฉุยรักษาตัวอยู่ นางรู้ดีว่าที่ทั้งคู่ไม่มีเสียงร้องโอดครวญออกมาเลยนั้นเป็นเพราะไม่อยากให้นางเป็นกังวลมิใช่ว่าไม่รู้สึกเจ็บ“จิ่งหลินเจ้าคอยดูแลฉุยฉุยกับเสวี่ยเฟิงให้ดี เดี๋ยวข้ากลับมา”“ไม่ขอรับข้าจะไปกับคุณหนูด้วย ที่นี่เป็นโรงหมอของนายท่านหลิว คนของที่นี่ย่อมดูแลทั้งสองเป็นอย่างดีอยู่แล้ว แต่คุณหนูไม่มีใครอยู่ข้างกายเลยข้าไม่มีทางให้คุณหนูไปตามลำพังเด็ดขาด” จิ่งหลินเอ่ยน้ำเสียงหนักแน่นเมื่อได้ฟังคำของสารถีคนสนิทจ้าวฉือลี่ก็พยักหน้าตอบรับก่อนจะเดินไปขึ้นรถม้าที่ภายในยังคงมีคราบเลือดติดอยู่ ตลอดเส้นทางไปยังภัตตาคารเจียวลู่จ้าวฉือลี่จ้องมองคราบเลือด และบอกกับตนเองด้วยปณิธานอันแน่วแน่‘ในเมื่อพวกเขาต่างปกป้องข้าในฐานะที่ข้าเป็นเผยตั้นเยี่ยน เช่นนั้นต่อไปนี้ข้าก็จะอยู่อย่างเผยตั้นเยี่ยนไม่ใช่จ้าวฉือลี่ที่อ่อนแอ ไร้ที่พึ่งไร้คนข้างกายและยากไร้อีกต่อไป จ้าวฉือลี่ผู้นั้นได้ตายไปแล้วนับตั้งแต่ตอนนี้ข้าคือคุณหนูใหญ่เผย เผยตั้นเยี่ยนที่ทำได้ทุกอย่างขอ
จ้าวฉือลี่หันมามองสตรีที่อยู่ข้างกาย ใบหน้าของฉุยฉุยยามนี้ซีดขาวไร้สีเลือด ใบหน้าอ่อนระโหยโรยแรงลมหายใจแผ่วเบา สตรีร่างบางจึงไม่อาจชักช้าได้อีกต่อไป“จิ่งหลินไปโรงหมอเดี๋ยวนี้” นางเอ่ยเสียงดัง จ้าวฉือลี่ไม่อาจเสียเวลาโต้เถียงกับบุรุษด้านนอกได้อีก“ช้าก่อน” เผิงเจียวเจี๋ยเอ่ยเสียงดังเพียงบุรุษอาภรณ์ขาวเอ่ยเหล่าผู้ติดตามของเขาก็ขี่ม้ามาล้อมรถม้าของเผยตั้นเยี่ยนทันที จิ่งหลินกับเสวี่ยเฟิงจับดาบพร้อมมองไปยังบุรุษอาภรณ์ขาว“คุณชายรองเผิง ท่านขวางข้าเช่นนี้หมายความว่าเยี่ยงไร” น้ำเสียงของจ้าวฉือลี่เต็มไปด้วยโทสะ“คุณหนูใหญ่เผยคงรู้สินะว่าใครส่งพวกเขามา เช่นนั้นไม่ทราบว่าคุณหนูจะบอกสาเหตุได้หรือไม่ว่าเหตุใดจึงถูกสั่งฆ่าเช่นนี้” เขาอยากรู้ว่าคนผู้นั้นที่ฮ่องเต้ไว้ใจกล้าใช้คนมาทำเรื่องส่วนตัวเช่นนี้เพราะสาเหตุใดกันแน่ ความอยากรู้อยากเห็นทำให้เขาเอ่ยถามเพราะหน่วยสายลับเงามีหน้าที่คัดคนมีฝีมือและกล้าที่จะตายเพื่อปกป้องผู้เป็นนาย รวมทั้งยอมตายเพื่อภารกิจที่ได้รับมอบหมายด้วย ยามที่พวกเขายังไม่เข้าวั