เมื่อเติ้งจื่ออวี๋ได้ยินคำสั่งของผู้เป็นนายเขานั้นก็ไม่รอช้า เขาหมุนตัวออกไปจัดการตามรับสั่งทันที ส่วนเว่ยหลิงเฮ่อลุกขึ้นไปยืนที่ริมหน้าต่างมองถนนเส้นเดิมที่ยาวไปสุดความมืด ถึงเขาจะไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ ๆ เผยตั้นเยี่ยนถึงหนีไป แต่เขาก็ไม่ใคร่อยากรู้จนต้องเก็บชีวิตของนางเอาไว้เพื่อหาคำตอบ เพราะจุดประสงค์เดียวที่เขายอมพูดจาราวกับมีใจให้นางมาตลอดนั้น เป็นเพราะตราพยัคฆ์ที่อยู่กับเว่ยเหวินเซียนเท่านั้น
รถม้าที่วิ่งด้วยความเร็ว บวกกับถนนเส้นนี้ไม่ใช่ถนนที่มีผู้คนสัญจรผ่านไปผ่านมาทางจึงทั้งแคบทั้งขรุขระ ทำให้รถม้าโคลงเคลงไปมาจึงไม่แปลกที่คนนั่งข้างในรถม้านั้นจะวิงเวียนศีรษะ
แต่ในยามที่ความตายกำลังมาเยือน ต่อให้เวียนหัวจนต้องอ้วกออกมาเผยตั้นเยี่ยนก็ไม่คิดที่จะให้สารถีลดความเร็วเป็นแน่ เผยตั้นเยี่ยนทั้งเวียนหัวทั้งปวดหัว เพราะนางพยายามจะหาทางออกแต่ทว่าคิดเท่าใดก็คิดไม่ออกเสียที
ฉุยฉุยสาวใช้คนสนิทที่นั่งอยู่ด้านข้างเห็นใบหน้าเคร่งเครียดของคุณหนูก็นึกสงสาร เพราะอีกก้าวเดียวเท่านั้นสิ่งที่คุณหนูของนางปรารถนาก็จะสำเร็จแล้ว แต่สุดท้ายไม่เพียงไม่เป็นไปดังหวังแม้แต่ชีวิตก็ไม่แน่ว่าจะรักษาไว้ได้
‘เฟี้ยว!ฉึก!ฉึก!ฉึก!’
ยังไม่ทันที่เผยตั้นเยี่ยนจะคิดหาหนทางออก เสียงอาวุธแหวกอากาศก็ดังขึ้น ลูกธนูเสียดแทงเข้ามาภายในรถม้า แต่ทว่าโชคดีที่มิได้โดนใคร แต่เพียงไม่นานรถม้าก็เสียหลักเมื่อมีธนูดอกหนึ่งปักเข้าที่ขาของม้า
จิ่งหลินสารถีที่บังคับม้า รู้ดีว่าหากเขามัวแต่เสียเวลาไปกับการปราบพยศม้าในยามนี้พวกที่ตามมาคงมาถึงตัวในไม่ช้า และยามนี้ม้าก็ได้รับบาดเจ็บแล้ว หากจะวิ่งต่อก็คงไปได้ไม่ไกลนัก
“เสวี่ยเฟิงเจ้ากับฉุยฉุยพาคุณหนูไปแอบในป่าไผ่ก่อน เดี๋ยวข้าจะหลอกล่อพวกมันไปเอง” จิ่งหลินบอกกับบุรุษที่นั่งอยู่ด้านข้าง
ถึงม้าตัวนี้จะตื่นกลัวเพราะบาดเจ็บจนไม่ฟังคำสั่งของเขาแล้ว แต่ด้วยกำลังของม้าก็ยังสามารถวิ่งได้อีกระยะหนึ่ง ซึ่งอย่างน้อยเขาก็ยังพอซื้อเวลาให้คุณหนูของเขาหนีได้
เสวี่ยเฟิงเมื่อได้ยินก็มิคิดออกความคิดเห็นใด ๆ เพราะเขาเชื่อว่าบุรุษที่นั่งอยู่ข้างเขานั้นต้องคิดดีแล้วว่าวิธีนี้คือวิธีที่ดีที่สุดในยามนี้ เสวี่ยเฟิงจึงเข้าไปในรถม้า เพื่อจะนำคุณหนูสกุลเผยออกมา แต่ทว่าเมื่อเขาเปิดผ้าที่กั้นอยู่นั้น เขาก็เห็นคุณหนูสกุลเผยสลบไปเสียแล้ว
“ฉุยฉุย! คุณหนูเป็นอะไร” น้ำเสียงของเสวี่ยเฟิงวิตกกังวลเป็นอย่างมาก
“เมื่อครู่ตอนรถม้าเสียหลักหัวของคุณหนูกระแทกอย่างแรง แต่ข้าจับชีพจรแล้วคุณหนูแค่สลบไปเท่านั้น” ฉุยฉุยหันมาตอบ
“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ ชักช้าเดี๋ยวจะไม่ทันการ”
เสวี่ยเฟิงพูดจบก็เข้าไปอุ้มเผยตั้นเยี่ยนออกมา จิ่งหลินดับไฟในโคมรถม้าทันที ยามนี้มีเพียงแสงจากดวงจันทร์เท่านั้นที่ส่องแสง แต่ทว่าก็มิอาจส่องสว่างได้มากมายนัก จึงทำให้เห็นเพียงระยะสั้น ๆ เท่านั้น เช่นนั้นแล้วมิต้องถามถึงคนที่ขี่ม้าตามหลังมาเลยว่าจะเห็นเหตุการณ์ที่อยู่ข้างหน้าหรือไม่
“ฝากคุณหนูด้วย” จิ่งหลินเอ่ย
เสวี่ยเฟิงที่อุ้มเผยตั้นเยี่ยนอยู่หันมาพยักหน้าให้จิ่งหลินก่อนที่จะใช้วิชาตัวเบากระโดดออกจากรถม้า โดยมีฉุยฉุยกระโดดตามมาทีหลัง
เมื่อออกมาจากรถม้าแล้วพวกเขาก็ซ่อนตัวอยู่ในป่าไผ่ รอจนคนของเว่ยหลิงเฮ่อที่ตามมานั้นผ่านไปแล้วฉุยฉุยจึงหยิบแผงเข็มออกมาจากอกเสื้อ ก่อนที่จะใช้เข็มปักไปตามจุดต่าง ๆ เพื่อทำให้คุณหนูของนางฟื้น
เผยตั้นเยี่ยนเหมือนจะรู้สึกตัวแต่ทว่ากลับไม่ยอมลืมตาตื่น ฉุยฉุยกับเสวี่ยเฟิงทั้งเขย่าทั้งเรียกชื่อ แต่เผยตั้นเยี่ยนก็ยังไม่ยอมลืมตา จนฉุยฉุยนั้นไม่รู้จะทำเยี่ยงไรดี จึงตบหน้าเผยตั้นเยี่ยนไปหนึ่งทีอย่างเต็มแรง
‘เพียะ’
“โอ๊ย!! เจ็บ” สตรีที่ถูกตบร้องครางออกมาเสียงดัง
“คุณหนูฟื้นแล้ว คุณหนูฟื้นแล้ว” ฉุยฉุยเอ่ยด้วยน้ำเสียงดีใจ
เมื่อสตรีที่สลบฟื้นขึ้นมาก็ลูบแก้มที่ขึ้นรอยมือแดงไปมาด้วยความรู้สึกเจ็บ ก่อนจะจับไปตามแขนและลำตัวของตนเอง แล้วก็สำรวจเสื้อผ้าที่ตนเองใส่อยู่ และมองไปรอบ ๆ
‘นี่เราใส่เสื้อผ้าอะไรอยู่ แล้วที่นี่ที่ไหนกัน มืด ๆ แบบนี้นรกอย่างงั้นเหรอ’
ขณะที่สตรีที่เพิ่งฟื้นสับสนมึนงงอยู่นั้น สายตาของฉุยฉุยกับเสวี่ยเฟิงที่นั่งมองท่าทีที่แปลกไปของสตรีที่เพิ่งได้สติ ก็หันหน้ามามองกันด้วยความฉงนและหวังว่าอีกคนจะอธิบายได้ แต่ทว่าเมื่อต่างคนต่างเห็นหัวคิ้วของอีกฝ่ายก็เข้าใจได้ทันทีว่าอีกคนก็คงจะคลายข้อสงสัยนี้ไม่ได้เหมือนกัน เพราะคิ้วของทั้งสองตอนนี้แทบจะขมวดกันเป็นปม
ในที่สุดฉุยฉุยก็ทนไม่ไหวจึงได้เอ่ยถาม “คุณหนูเป็นอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ”
สตรีที่เพิ่งได้สติเงยหน้ามองบุรุษและสตรีที่นั่งอยู่ตรงหน้าด้วยท่าทางมึนงง เพราะไม่แน่ใจว่าเมื่อครู่ผู้หญิงคนนี้พูดกับนางหรือไม่
“คุณพูดกับฉันอย่างนั้นเหรอ”
ฉุยฉุยดวงตาเบิกกว้างเมื่อได้ยินคำถามจากคุณหนูของนาง “คุณหนูจำข้าไม่ได้หรือเจ้าคะ”
‘คุณหนูอย่างงั้นเหรอ หรือว่าข้าตายแล้วทะลุมิติมาเหมือนในนิยาย ขอบคุณสวรรค์ที่ให้ข้าทะลุมายังร่างนี้’
เพราะจากที่นางสำรวจดูชุดที่นางใส่ก่อนหน้านี้ ก็รู้ว่าเป็นชุดที่มีราคาเช่นนั้นนางก็คงมีกินมีใช้ไม่ต้องอดยาก
ขณะที่นางพูดกับตนเองอยู่ในใจ ปากของนางก็ฉีกยิ้มกว้าง ทำเอาสองคนที่นั่งมองอยู่ถึงกับรู้สึกกลัว เพราะยามนี้พวกเขาก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย แต่คุณหนูของพวกเขากลับยิ้มกว้างออกมาได้แบบหน้าตาเฉย
“คุณหนูท่านคิดแผนการรับมือองค์รัชทายาทกับชินอ๋องได้แล้วอย่างนั้นหรือเจ้าคะ” ฉุยฉุยคิดว่าเรื่องที่ทำให้คุณหนูของนางฉีกยิ้มกว้างได้เช่นนี้คงมีเรื่องนี้เรื่องเดียว คือคุณหนูสามารถหาทางออกได้แล้ว
“ทำไมฉัน!ไม่ใช่ ทำไมข้าต้องรับมือองค์รัชทายาทกับชินอ๋องด้วย” นางเผลอลืมตัวพูดผิดไป แต่โชคดีที่นางนั้นดูซีรีส์จีนบ่อยจึงพอจะจำวิธีการพูดได้บ้าง
“ฉุยฉุยหรือว่าคุณหนูจะความจำเสื่อม” เสวี่ยเฟิงเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าคุณหนูจำเรื่องที่ผ่านมาเพียงไม่ถึงหนึ่งเค่อไม่ได้
“ท่านพี่เฟิง แล้วเราจะทำอย่างไรดี หรือว่าเราจะกลับไปจวนตระกูลเผยก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที” ฉุยฉุยเอ่ยอย่างร้อนใจ
‘ฉุยฉุย ท่านพี่เฟิง ตระกูลเผยอย่างนั้นหรือ หวังว่าข้าจะไม่ได้เข้ามาในนิยายเรื่องนั้นหรอกนะ’
เมื่อนางนึกขึ้นได้ถึงชื่อตัวละครในนิยายเรื่องหนึ่งที่นางติดตามอ่าน ก็ถึงกับเบิกตาโตและภาวนาว่าอย่าให้นางทะลุมาเป็นตัวร้ายในนิยายเรื่องนั้นเลย
“ฉุยฉุย เจ้าบอกข้าหน่อยว่าข้าชื่ออะไร แล้วองค์รัชทายาทกับชินอ๋องที่เจ้าพูดถึงพระนามว่าอะไรอย่างนั้นหรือ”
ฉุยฉุยถึงกับอ้าปากพะงาบ ๆ ไม่มีเสียงใด ๆ หลุดออกมา สมองของนางนั้นว่างเปล่า ส่วนเสวี่ยเฟิงนั้นอ้าปากหวอใบหน้าแปลกประหลาด
นางร้อนใจอยากรู้ว่าใช่ชื่อที่นางนั้นคิดไว้หรือไม่จึงกระตุกแขนเสื้อของฉุยฉุยพร้อมเอ่ยเพื่อเรียกสติ
“ฉุยฉุยเจ้าตอบข้าหน่อย”
เมื่อถูกคุณหนูดึงแขนเสื้อ ฉุยฉุยก็เอ่ยปากตอบไปตามสัญชาตญาณทั้งที่ความจริงนางนั้นยังตั้งสติไม่ได้
“คุณหนูชื่อเผยตั้นเยี่ยน ส่วนพระนามขององค์รัชทายาทคือเว่ยหลิงเฮ่อ พระนามของชินอ๋องคือเว่ยเหวินเซียนเจ้าค่ะ”
เพียงได้คำตอบจ้าวฉือลี่ที่อยู่ในร่างของเผยตั้นเยี่ยนก็แทบเป็นลม นางมองไปเห็นดวงจันทร์กลมใหญ่ทำให้คิดถึงช่วงก่อนที่จะตายขึ้นมาทันที เพราะตอนที่นางตกลงมาจากหน้าผาก็เห็นดวงจันทร์เต็มดวงเช่นนี้เช่นกัน
“สวรรค์ฉันทำผิดอะไรมากนักอย่างนั้นเหรอ ฉันเพิ่งตกหน้าผาตายมาแท้ ๆ ทำไมส่งฉันมาตายอีกแล้ว หรือว่าครั้งก่อนฉันตายทรมานไม่พอ ครั้งนี้จึงส่งฉันมาให้ตาอ๋องผู้โหดเหี้ยมนั้นทรมานจนตายอีกรอบ”
“สวรรค์ฉันทำผิดอะไรมากนักอย่างนั้นเหรอ ฉันเพิ่งตกหน้าผาตายมาแท้ ๆ ทำไมส่งฉันมาตายอีกแล้ว หรือว่าครั้งก่อนฉันตายทรมานไม่พอ ครั้งนี้จึงส่งฉันมาให้ตาอ๋องผู้โหดเหี้ยมนั้นทรมานจนตายอีกรอบ”จ้าวฉือลี่ยังไม่ทันจะกล่าวตัดพ้อในโชคชะตาของตนเองเสร็จ เสวี่ยเฟิงก็เอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน“คุณหนูขอรับ ถึงข้าจะไม่รู้ว่าท่านพูดอันใดอยู่ แต่ยามนี้พวกเรากลับไปจวนตระกูลเผยก่อนเถอะขอรับ หากคนขององค์รัชทายาทหรือคนของชินอ๋องมาเจอพวกเราตอนนี้คงไม่อาจรักษาชีวิตไว้ได้ แต่หากเราไปถึงจวนตระกูลเผยพวกเราอาจมีทางรอด”เมื่อได้ยินคำว่า ‘อาจมีทางรอด’ จ้าวฉือลี่ถึงกับได้สติ ถึงเวลาจะกระชั้นชิดแต่ก็ถือว่ายังมีโอกาสให้ทุกคนรอดตายนางพยายามนึกถึงเนื้อเรื่องในนิยายเรื่องนี้เพื่อหาทางออก แต่เพราะนักเขียนเทงานไว้กลางทางลงตอนสุดท้ายไว้3เดือนแล้วไม่ยอมกลับมาแต่งต่อให้จบ ทำให้นางนั้นจำรายละเอียดทุกอย่างได้ไม่ชัดเจนนักนางจำได้ว่าตอนสุดท้ายเผยตั้นเยี่ยนและคนรับใช้ข้างกายทั้งสามถูกเว่ยเหวินเซียนทรมานจนตาย โดยการจับขึงไว้ที่กลางลานฝึกทหารส่วนตัวของเว่ยเหวินเซียน และใช้แส้เฆี่ยนตีทุกวันวันละ50ครั้ง มิหนำซ้ำบางวันเว่ยเหวินเซียนอารมณ์ไ
“อย่าฝากความหวังไว้กับคนตายเลย เจ้าหาท่อนไม้มาถือเอาไว้ดีกว่า หากมีคนเข้ามาไม่ว่าใครก็ตีได้เลย แต่ไม่ต้องเผยวรยุทธ์ให้พวกเขารู้” จ้าวฉือลี่เอ่ยเสียงเบา ๆ ราวกับกระซิบ เพราะคนถือคบเพลิงใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แล้วเรื่องที่คนรับใช้ทั้งสามของเผยตั้นเยี่ยนมีวรยุทธ์นั้นมิมีผู้ใดรู้ นอกจากเผยตั้นเยี่ยนกับคหบดีหลิว หลิวชิงเยี่ยนท่านตาของนางเท่านั้น แต่จ้าวฉือลี่เคยอ่านนิยายเรื่องนี้มามีหรือนางจะไม่รู้ทั้งสามคนล้วนเป็นคนที่หลิวชิงเยี่ยนคัดเลือกมาด้วยตนเองก่อนจะส่งมาเพื่อคอยดูแลเผยตั้นเยี่ยน หลังจากที่หลิวชิงเยี่ยนนั้นสืบทราบสาเหตุการตายที่แท้จริงของบุตรสาวตนเองได้ว่าที่จริงแล้วนางนั้นมิได้ตายเพราะร่างกายอ่อนแอ แต่ทว่าตายเพราะถูกวางยา แต่หลิวชิงเยี่ยนยังไม่รู้ว่าใครคือคนวางยาบุตรสาวของตนจึงส่งคนมาอารักขาหลานสาวเอาไว้ก่อนอย่าว่าแต่หลิวชิงเยี่ยนเลยที่ไม่รู้ตัวคนร้าย แม้แต่จ้าวฉือลี่เองก็ยังไม่รู้ว่าใครคือคนวางยา เพราะนักเขียนเทนิยายไปเสียก่อนเพียงไม่นานนักแสงไฟจากคบเพลิงก็เข้ามาใกล้จุดที่พวกนางซ่อนตัวอยู่ เมื่อฉุยฉุยเห็นว่าระยะห่างจากแสงไฟนั้นเข้ามาใกล้ไม่ถึง5ก้าวแล้ว นางก็พุ่งตัวออกมาจากที่ซ่อนเ
จ้าวฉือลี่ไม่ทันได้ตั้งตัวเมื่อถูกจู่โจมประชิดตัวก็ถึงกับไปไม่เป็น ยิ่งได้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาในระยะเผาขนใบหน้าของนางก็ร้อนวูบวาบขึ้นมาทันที‘แบบนี้นี่เองเวลาแฟนคลับเห็นศิลปินสุดหล่อของตัวเองในระยะใกล้ถึงทำตัวไม่ถูก ความหล่อนี่มันช่างมีพลังทำลายล้างสูงเสียจริง ๆ ทำให้คนหลงใหลเคลิบเคลิ้มได้ในชั่วพริบตา’ จ้าวฉือลี่รีบก้มหน้าลงเพราะกลัวสติจะกระเจิงจนเผลอตัวทำอะไรลงไปจนเว่ยเหวินเซียนนั้นจับผิดได้ แต่เมื่อนางก้มลงมาเห็นว่ามือของเขานั้นจับเชือกผ้าคาดเอวของนางเอาไว้ ก็ทำให้นางโกรธขึ้นมาทันทีไม่ว่าเขาจะหล่อเหลามากเพียงใด แต่การที่ทำเช่นนี้ก็เท่ากับไม่ให้เกียรติผู้หญิงเลยแม้แต่น้อย ถึงนางจะไม่ได้เกิดในสมัยนี้แต่นางนั้นก็คิดว่าทุกยุคทุกสมัยบุรุษก็ควรให้เกียรติผู้หญิงเพศแม่เพราะตอนที่นางอยู่ในภพชาติของตนเอง นางนั้นต้องเรียนหนังสือไปด้วยหาเงินเลี้ยงตัวเองไปด้วยตั้งแต่อายุ16ปี ไม่ว่างานรับจ้างอะไรจ้าวฉือลี่ก็ไม่เคยเกี่ยง และงานที่ทำเป็นประจำหลังเลิกเรียนคืองานเด็กเสิร์ฟตามร้านอาหาร ถึงจะได้ทิปดีแต่เธอก็มักถูกลูกค้าแต๊ะอั๋งอยู่บ่อยครั้ง จึงทำให้นางเกลียดผู้ชายประเภทนี้ที่สุดจ้าวฉือลี่หันไปมองฉ
“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นให้ข้าไปส่งดีหรือไม่ อย่างไรก็ทางผ่าน” เว่ยหลิงเฮ่อเอ่ยถามเผยตั้นเยี่ยน“ไม่เพคะ/ไม่ต้อง” จ้าวฉือลี่และเว่ยเหวินเซียนเอ่ยพร้อมกันเว่ยหลิงเฮ่อมองบุรุษและสตรีที่อยู่ตรงหน้าสลับกันไปมา แต่เมื่อไตร่ตรองดูแล้วก็พอเข้าใจ เพราะหากเขาเป็นเผยตั้นเยี่ยนก็ไม่คิดจะให้เขาไปส่งแน่นอน เพราะกลัวว่าจะถูกสังหารส่วนที่เสด็จอาของเขาไม่อยากให้เขาเป็นคนส่งนางกลับ ก็คงเพราะอยากพานางกลับไปจัดการสอบสวนเรื่องตราพยัคฆ์ที่หายไปจึงไม่ยอมให้เขาไปส่งนาง แต่เพราะเหตุนี้แหละที่เว่ยหลิงเฮ่อกลัว เพราะหากเผยตั้นเยี่ยนปริปากบอกว่าขโมยตราพยัคฆ์ไปให้ใคร คราวนี้เสด็จอาของเขาคงไม่ยอมให้เขาขึ้นครองบัลลังก์ได้โดยง่ายอย่างแน่นอน“พอดีว่าสารถีของหม่อมฉันถูกคนของท่านอ๋องช่วยเอาไว้ ตอนนี้อยู่ที่จวนท่านอ๋อง หม่อมฉันเลยจะไปรับเขากลับด้วยเพคะ”จ้าวฉือลี่รู้ดีว่ามันฟังดูไม่ขึ้นเท่าใดนัก แต่ทว่ายามนี้นางนั้นก็หาทางออกไม่ได้แล้วจริง ๆ เพราะนางรู้ดีว่าหากไปกับเว่ยหลิงเฮ่อยามนี้ก็มีแต่ตายอย่างเดียว แต่หากไปกับเว่ยเหวินเซียนที่มีใจให้นาง หากเขาหาหลักฐานมัดตัวนางไม่ได้อย่างน้อยนางก็ยังพอใช้มารยาหญิงทำให้รอดตัวไปได้
‘ยาแย้มสัตย์คืออะไรอีก สวรรค์ท่านจะให้ข้าตายให้ได้เลยใช่หรือไม่’ นางบ่นในใจจ้าวฉือลี่ยังคงมึนงงเพราะนางไม่เคยอ่านเจอยาแย้มสัตย์ในนิยายเรื่องนี้ แต่ทว่านางนั้นก็รีบสาวเท้าตามเขาไป เพราะกลัวว่าหากขัดขืนจะเผยพิรุธให้เขารู้จ้าวฉือลี่เดินตามมาจนถึงเรือนหลักหลังใหญ่ เมื่อนางก้าวเท้าเข้าไปยังห้องนอนของเจ้าของจวนก็ถึงกับตาค้างไปกับของตกแต่งที่เพียงเห็นก็รับรู้ถึงราคาเครื่องใช้เครื่องประดับที่คนอย่างนางนั้นมิมีวันได้เป็นเจ้าของห้องนอนของเว่ยเหวินเซียนกว้างกว่าห้องที่นางเช่าอยู่เกือบสิบเท่า เพียงแค่เตียงนอนของเขาก็มีขนาดเท่ากับห้องเช่าที่นางเช่าอยู่แล้ว นางกวาดตามองไปรอบ ๆ จนได้ยินสุรเสียงเคร่งขรึมของเขาดังขึ้น นางจึงได้เลิกตื่นตาตื่นใจไปกับของตกแต่งห้องนอนของคนสูงศักดิ์“ถอดอาภรณ์และลงไปแช่น้ำในอ่างเสีย”จ้าวฉือลี่เลิกคิ้วขึ้นน้อย ๆ พร้อมกับเอียงคอมองเจ้าของห้องบรรทมด้วยความข้องใจว่าสิ่งที่นางได้ยินเป็นเพราะนางหูฟาดไป หรือเขาเอ่ยเช่นนั้นจริง ๆ“เจ้ามิได้ยินหรอกหรือว่าข้าสั่งให้เจ้าถอดอาภรณ์ออกแล้วลงไปแช่น้ำ” สุรเสียงของเว่ยเหวินเซียนดังขึ้นกว่าเก่าอีกทั้งยังปนไปด้วยโทสะจ้าวฉือลี่กางนิ้วมือ
“สิงเวย เจ้าพาคนไปค้นหาตราพยัคฆ์แถวเรือนนอนของบ่าวรับใช้ผู้นั้นเดี๋ยวนี้” สุรเสียงของเขาดังก้อง เขาเอ่ยพร้อมกับจ้องมองเข้าไปในดวงตานางเพียงจ้าวฉือลี่ได้ยินรับสั่งที่เว่ยเหวินเซียนสั่งหานสิงเวยองครักษ์คนสนิทก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย นางหวังว่าฟ้าจะมีตาให้ทหารเหล่านั้นเจอตราพยัคฆ์โดยเร็วหานสิงเวยที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องบรรทมของเว่ยเหวินเซียนขานรับบัญชาของผู้เป็นนายแล้วรีบออกคำสั่งให้ทหาร2 คนด้านหลังของเขาคอยดูฉุยฉุยเอาไว้ ส่วนทหารที่เหลือให้ตามเขาไปยังเรือนนอนของบ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านหลังจวนหลังจากเว่ยเหวินเซียนได้ยินเสียงฝีเท้าของเหล่าทหารไกลออกไปจากเรือนนอนของเขาแล้ว เขาจึงสั่งให้สาวใช้นำสุราเข้ามาให้เพื่อดื่มระหว่างรอจ้าวฉือลี่ประสานมือที่หน้าท้องด้วยท่าทีสงบเสงี่ยมขณะที่ยืนรอหานสิงเวยกลับมารายงาน แต่ทว่าหัวใจของนางกลับแตกต่างจากท่าทางยิ่งนัก เพราะยามนี้ใจนางเต้นตูมตามเพราะยืนลุ้นอยู่ตลอดเวลาว่ายามใดองครักษ์คนสนิทของเว่ยเหวินเซียนจะพบตราพยัคฆ์เสียทีขณะที่เว่ยเหวินเซียนกำลังนั่งรอรายงานเขาก็ยกจอกสุราเข้าปากเรื่อย ๆ ไม่หยุด พร้อมกับจ้องมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่วางตาเช่นกัน จนในที่สุดเวลาก
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ พบตราพยัคฆ์แล้วพ่ะย่ะค่ะ” เสียงขององครักษ์คนสนิทดังขึ้นที่หน้าประตูเว่ยเหวินเซียนถึงกับใบหน้าเปลี่ยนสีไปในทันที เขาปล่อยข้อมือทั้งสองข้างของนางเป็นอิสระ พร้อมกับเบี่ยงหน้าหนีก่อนจะก้าวออกมาจากอ่างน้ำ เขายื่นนิ่งหน้าชาทำตัวไม่ถูกในใจทั้งโมโหตนเองและโมโหองครักษ์คนสนิทที่มาช้าเช่นนี้หญิงสาวขาอ่อนยวบนางนั่งลงในอ่างน้ำ พร้อมปล่อยให้สายธารจากดวงตาไหลออกมา นางเม้มปากแน่นเพื่อไม่ให้เขาได้ยินเสียงสะอื้นจ้าวฉือลี่ไม่คิดว่าตนเองต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เพราะชาติก่อนนางก็ถูกเจ้าหนี้นอกระบบจับตัวนางไปและบังคับให้ขายบริการ โชคดีที่ระหว่างรอรับแขกอยู่ในห้องของโรงแรมนางเห็นว่าห้องที่นางอยู่เป็นชั้นสองที่ด้านข้างหน้าต่างมีท่อน้ำอยู่ใกล้ ๆ นางจึงรูดท่อน้ำลงมาและขอความช่วยเหลือจากคนแถวนั้นจนหนีรอดมาได้ แต่สวรรค์มิเคยดีกับนางนานนัก เพราะหลังจากนั้นไม่นานนางก็ถูกตามตัวจนเจอ นางหนีมารับจ้างขายของที่วัดเสวียนคงหรือวัดแขวนหน้าผา แต่ทว่าพวกมันกลับหานางจนเจอนางวิ่งหนีจนพลาดท่าตกลงมาจากหน้าผาสูงจนตาย‘จ้าวฉือลี่หากวันนี้เจ้ารอดตายไปได้ เจ้าก็จะมีชีวิตสุขสบายแล้ว เขาก็แค่ฉีกเสื้อผ้าเจ้าเอง
จวนตระกูลเผยหลังจากขึ้นรถม้าจ้าวฉือลี่ก็หลับตาพักผ่อน เพราะนางรู้ว่าฉุยฉุยคงอยากจะถามนางเรื่องที่เกิดขึ้นภายในห้องบรรทมของเว่ยเหวินเซียน แต่นางนั้นรู้สึกเหนื่อยล้าจึงยังไม่อยากพูดอันใดทั้งนั้น จึงได้แสร้งหลับตาลง ทว่าเพราะความอ่อนเพลียจึงทำให้นางนั้นเผลอหลับไปจริง ๆเมื่อรถม้าเคลื่อนตัวมาถึงจวนตระกูลเผย ฉุยฉุยจึงเรียกคุณหนูของนางให้ตื่นขึ้น จ้าวฉือลี่ขยี้ตาด้วยความงัวเงียแต่ก็มิได้อิดออดอันใด นางเปิดผ้าม่านด้านข้างเพื่อดูบ้านที่นางต้องอาศัยอยู่นับตั้งแต่วันนี้นางระบายลมหายใจยาวออกมาเพราะรู้ว่าตนนั้นยังต้องมารับมือกับพ่อและแม่เลี้ยงของเผยตั้นเยี่ยนอีก ‘ทั้งที่รู้ว่าบุตรสาวถูกโจรดักทำร้าย ก็ไม่คิดเป็นห่วงเลยสักนิด ไม่แปลกตัวละครตัวนี้จึงคิดใฝ่สูงอยากหาที่พึ่งพิงให้ตนเองกับน้องชาย’ จ้าวฉือลี่ได้แต่เวทนาเผยตั้นเยี่ยนอยู่ในใจก่อนที่จะปิดม่านแล้วลงจากรถม้าเพียงประตูจวนเปิดออกสาวรับใช้ในจวนที่ยืนรออยู่ตรงประตูจวนก็รีบเข้ามาเชิญจ้าวฉือลี่เข้าไปด้านในห้องโถงทันที เพราะยามนี้เผยจือคุนได้รอนางอยู่ในห้องโถงนานแล้วเมื่อเข้ามาในห้องโถงจ้าวฉือลี่ก็กวาดตามองไปโดยรอบ ๆ ห้องทันที ถึงนางจะไม่รู้ว่า
เว่ยเหวินเซียนพยักหน้าเนิบนาบ ก่อนจะหันไปหาหลานชายของตน “แล้วองค์รัชทายาทคิดเช่นไรกับนาง” แน่นอนว่าเว่ยอ๋องย่อมต้องจัดการทวงความเป็นธรรมให้สตรีของตน แต่หากสตรีผู้นั้นเป็นคนที่หลานชายเขามีใจให้ เขาก็จะยอมลงโทษสถานเบาลง“ความจริงข้าก็พอรู้มาบ้างว่าตาเฒ่าอวี๋อยากให้บุตรีมาเป็นพระชายาของข้า แต่สตรีเช่นนางข้ามิมีทางเอามาเป็นพระชายาอย่างแน่นอน นางถือดีว่าบิดาเป็นขุนนางที่เสด็จพ่อไว้ใจก็กล้าสอดมือมาถึงตำหนักบูรพา อีกทั้งยังใช้คนของหน่วยสายลับเงากำจัดสตรีรอบ ๆ ตัวข้า หากวันหน้านางเป็นฮองเฮาวังหลังของข้ามิต้องนองเลือดอย่างนั้นหรือ”“องค์รัชทายาทคิดเช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าลงมือก่อนแล้วกัน” เว่ยเหวินเซียนเอ่ยเสียงราบเรียบ“เช่นนั้นวันนี้ข้าจะส่งของขวัญไปให้คนแช่อวี๋ก่อนแล้วกัน” เว่ยหลิงเฮ่อเอ่ยเสียงราบเรียบ สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึมขึ้นทันตา“ออกมา” เสียงเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกเพียงพริบตาเดียวบุรุษชุดดำก็มายืนเรียงกันอยู่ด้านหน้าของเว่ยหลิงเฮ่อ ซึ่งอยู่ทางด้านหลังของเผยตั้นเยี่ยนหญิงสา
เดิมทีตอนที่เว่ยเหวินเซียนกับเว่ยหลิงเฮ่อเห็นป้ายประจำตัวของหน่วยสายลับเงาจากสตรีที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ พวกเขาทั้งสองต่างคิดว่าเสนาบดีสำนักตรวจราชการอวี๋ อวี๋หลี่เฉียง ส่งหน่วยสายลับเงาไปจัดการเผยตั้นเยี่ยนเพียงเพราะไม่อยากให้เผยตั้นเยี่ยนแต่งเป็นพระชายาของเว่ยเหวินเซียน และคิดจะหาสตรีของขุนนางที่เป็นขั้วอำนาจฝ่ายตนเองมาเป็นพระชายา เพราะอีกไม่ถึง7วันจะมีงานชมบุปผาที่ไทเฮากับฮองเฮาจัดขึ้น เพื่อเลือกบุตรสาวจากตระกูลขุนนางมาเป็นพระชายาของทั้งสองพระองค์ลำพังคิดว่าอวี๋หลี่เฉียงขุนนางชราใช้คนในหน่วยสายลับเงาทำงานให้ตัวเอง สองอาหลานก็รู้สึกไม่พอใจมากแล้ว ยามนี้เมื่อรู้ว่าแม้แต่บุตรสาวของอวี๋หลี่เฉียงก็มีอำนาจสั่งหน่วยสายลับเงาทั้งคู่ก็รู้สึกเดือดดาลมากขึ้นกว่าเก่า เพราะหน่วยสายลับเงามีหน้าที่ฝึกองครักษ์ที่ใช้ปกป้องฮ่องเต้และว่าที่ฮ่องเต้ในอนาคต แต่บัดนี้กลับถูกใครก็ได้ใช้ได้ตามอำเภอใจความจริงแล้วเว่ยเหวินเซียนไม่ได้โกรธหากหลานชายกับสตรีที่ตนชอบจะมีใจให้กัน เพราะอย่างไรเขากับนางก็ยังไม่ได้ชัดเจนถึงขั้นที่เขานั้นจะขวางนางไม่ให้คบกับบุรุษที่นางมีใจได้ เพราะเขามิใช่บุรุษที่จะบังคับให้สตรีที่ไม่มี
เว่ยเหวินเซียนคิดจะเอ่ยอธิบายและขอโทษนาง ทว่าไม่ทันแล้วเมื่อเผยตั้นเยี่ยนราวจงใจไม่ให้เขาเอ่ยออกมา โดยการพูดขึ้นมาเสียก่อน“ดูแล้วบุรุษชุดดำที่พกป้ายนี้คงไม่ใช่คนธรรมดาสินะเพคะ ทั้งที่หม่อมฉันเป็นฝ่ายถูกกระทำ แต่ทุกคนกลับทำราวกับหม่อมฉันเป็นเหมือนคนร้าย แต่อย่างว่าจะธรรมดาได้เช่นไร แม้แต่คนคุ้มกันที่หม่อมฉันจ้างมายังรับมือแทบไม่ไหวทั้งที่จำนวนคนก็มากกว่า มิเช่นนั้นคนรับใช้ของหม่อมฉันคงไม่ต้องออกหน้าปกป้องหม่อมฉันจนได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้” หญิงสาวหยุดเอ่ยพร้อมเงยหน้าขึ้นเพื่อกลั้นน้ำตา แต่ก็ไม่ปล่อยให้บุรุษทั้งสองได้เอ่ย“แต่จะโทษใครได้ ต้องโทษหม่อมฉันเอง หม่อมฉันโง่เขลาคิดว่าเป็นโจรทั่วไปและอีกทั้งยังมีเพียงแค่4คนจึงไม่ได้คิดหนี หากหม่อมฉันเฉลียวใจสักนิด ก็คงคิดได้ว่าโจรธรรมดาคงไม่มากันเพียงเท่านี้ ทั้งที่พวกมันก็เห็นว่าคนคุ้มกันมากันตั้งมากมายเช่นนั้น หากไม่ได้ฉุยฉุยรับดาบนั้นแทน ป่านี้โลหิตที่เปื้อนตัวหม่อมฉันอยู่คงเป็นเลือดของหม่อมฉันแล้ว” ในเมื่อจะหลอกให้แนบเนียนยอมต้องมีทั้งเรื่องจริงทั้งเรื่องโกหกผสมกันไปเผยตั้นเยี่ยนปล่อยให้
“ถามอันใดอย่างนั้นหรือเพคะ” นางถามกลับอย่างงง ๆ เพราะนางมัวแต่ตกใจในการกระทำของเว่ยเหวินเซียนจนลืมไปเลยว่าเขาถามอันใดนาง“ข้าถามว่าเจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่” น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความเป็นห่วง“หม่อมฉันไม่เป็นอันใดเพคะ” นางตอบเสียงราบเรียบ แต่ทว่าในใจก็เกิดกังวล เพราะนางไม่รู้ว่าเขารู้ได้เช่นไร‘หรือเขาจะให้คนสะกดรอยตามเรา หากเป็นเช่นนั้นเขาก็ต้องรู้แล้วสิว่าคนรับใช้ข้างกายทั้งสามคนของเรามีวรยุทธ์’“ท่านอ๋องทราบได้เช่นใดเพคะว่าหม่อมฉันถูกคนดักทำร้าย” นางย่นคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย ทั้งที่ในใจของนางยามนี้นั้นกำลังกระวนกระวายเขาล้วงเข้าไปในอกเสื้อแล้วหยิบหยกห้อยเอวของเผยตั้นเยี่ยนออกมา เมื่อหญิงสาวเห็นก็รีบเอื้อมมือไปคว้าทันที แต่บุรุษกลับชักมือหนี“ทำไม!อยากได้คืนอย่างนั้นหรือ แล้วตอนนั้นทำไมถึงได้ใจกล้าให้บุรุษแปลกหน้าไปเล่า” ถึงสีหน้าจะนิ่งราวไม่ได้รู้สึกอันใด ทว่าน้ำเสียงของเว่ยเหวินเซียนกลับเจือไปด้วยความไม่พอใจเผยตั้นเยี่ยนมองหน้าเว่ยเหวินเซียนนางรู้ว่าบุ
“องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องเสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ” เติ้งจื่ออวี๋เอ่ยน้ำเสียงร้อนรนเพียงได้ยินว่าผู้มาเยือนคือใครเผยตั้นเยี่ยนถึงกับเผลอยกยิ้มที่มุมปาก ทว่าก็แค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นจึงทำให้บุรุษทั้งสองที่อยู่ไม่ห่างมิทันได้เห็น ที่นางดีใจเพราะว่านางจะได้ไม่เสียเวลาวางแผนว่าจะไปบอกเว่ยเหวินเซียนอย่างไรดีว่านางถูกคนลอบสังหารถึงเผยตั้นเยี่ยนจะไม่รู้ว่าเป็นสตรีของใคร แต่ทว่านางรู้นิสัยของอาหลานคู่นี้ดี เว่ยเหวินเซียนหากเห็นนางใส่อาภรณ์เปื้อนเลือดเช่นนี้ย่อมต้องเดือดดาลเป็นแน่ และคนอย่างเขามีหรือที่จะไม่ระบายโทสะกับคนผู้นั้นที่คิดจะฆ่านางส่วนเว่ยหลิงเฮ่อถึงเขาจะไม่ได้รักนาง แต่หน่วยสายลับเงาเป็นหน่วยงานที่เสด็จพ่อของเขาให้ขุนนางที่ไว้ใจดูแลเพื่อฝึกองครักษ์เงาก่อนจะเข้ามาถวายงาน แต่ขุนนางผู้นั้นกลับเอามาใช้งานตามใจชอบ เช่นนี้เว่ยหลิงเฮ่อที่มีนิสัยขี้ระแวงอยู่แล้วจะไม่กลัวหรือว่าองครักษ์เงาที่ส่งมาจะกลายเป็นมือสังหารมาลอบฆ่าเขาแทนที่จะมาคุ้มกัน‘มาก็ดี จะได้รู้ว่าเป็นสตรีของผู้ใดกันที่กล้าส่งคนมาสังหารข้า และข้าจะได้ยืมมือบุรุษที่โหดเหี้
แน่นอนว่าเผยตั้นเยี่ยนมิมีทางที่จะอยู่ข้างกายของเว่ยเหวินเซียนเพื่อเป็นหมากให้เว่ยหลิงเฮ่ออย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นนางก็จะติดอยู่ในวังวนเช่นนี้ไม่จบไม่สิ้น“แต่หม่อมฉันคิดว่าหากหม่อมฉันยังอยู่ข้างกายท่านอ๋องอาจส่งผลเสียมากกว่าผลดีนะเพคะ เพราะเมื่อคืนนี้ตอนท่านอ๋องสอบปากคำหม่อมฉัน ท่านอ๋องบอกกับหม่อมฉันว่ามีคนรายงานว่าหม่อมฉันกับองค์รัชทายาทไปมาหาสู่กัน แต่หม่อมฉันก็อธิบายไปตามที่เคยนัดแนะกับพระองค์แล้วว่าเป็นเพราะความต้องการของบิดาของหม่อมฉัน” เผยตั้นเยี่ยนหยุดพูดพร้อมจงใจทำหน้าเหมือนลังเลใจไม่กล้าพูดออกมาเว่ยหลิงเฮ่อเมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางเหมือนจะพูดแต่ก็ตัดสินใจไม่พูดออกมาของสตรีตรงหน้า ก็ไม่อาจเก็บความสงสัยเอาไว้ได้จึงได้เอ่ยถามออกไป“มีอะไรอย่างนั้นหรือ หรือว่าเสด็จอาไม่เชื่อคำพูดของเจ้า” วรกายสูงถามพร้อมยกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง“ไม่ใช่เพคะ ท่านอ๋องทรงเชื่อคำพูดของหม่อมฉันเพคะ แต่ว่า....” นางหยุดเอ่ยอีกครั้งก่อนจะแสร้งเป็นก้มมองมือของตนเองและเงยหน้ามองหน้าบุรุษที่อยู่ตรงหน้าพลางเม้มปากแน่นก่อนจะหลบสายตาคมที่จ้องมองมาราวกับไม่มั่นใจในเรื่องที่จะเอ่ยเว่ยหลิงเฮ่อจ้องมองสตรีตรงหน้าอย่างใจ
จ้าวฉือลี่หันไปมองเสวี่ยเฟิงที่นอนทำแผลด้วยสีหน้าเจ็บปวดก่อนจะหันไปยังห้องที่ฉุยฉุยรักษาตัวอยู่ นางรู้ดีว่าที่ทั้งคู่ไม่มีเสียงร้องโอดครวญออกมาเลยนั้นเป็นเพราะไม่อยากให้นางเป็นกังวลมิใช่ว่าไม่รู้สึกเจ็บ“จิ่งหลินเจ้าคอยดูแลฉุยฉุยกับเสวี่ยเฟิงให้ดี เดี๋ยวข้ากลับมา”“ไม่ขอรับข้าจะไปกับคุณหนูด้วย ที่นี่เป็นโรงหมอของนายท่านหลิว คนของที่นี่ย่อมดูแลทั้งสองเป็นอย่างดีอยู่แล้ว แต่คุณหนูไม่มีใครอยู่ข้างกายเลยข้าไม่มีทางให้คุณหนูไปตามลำพังเด็ดขาด” จิ่งหลินเอ่ยน้ำเสียงหนักแน่นเมื่อได้ฟังคำของสารถีคนสนิทจ้าวฉือลี่ก็พยักหน้าตอบรับก่อนจะเดินไปขึ้นรถม้าที่ภายในยังคงมีคราบเลือดติดอยู่ ตลอดเส้นทางไปยังภัตตาคารเจียวลู่จ้าวฉือลี่จ้องมองคราบเลือด และบอกกับตนเองด้วยปณิธานอันแน่วแน่‘ในเมื่อพวกเขาต่างปกป้องข้าในฐานะที่ข้าเป็นเผยตั้นเยี่ยน เช่นนั้นต่อไปนี้ข้าก็จะอยู่อย่างเผยตั้นเยี่ยนไม่ใช่จ้าวฉือลี่ที่อ่อนแอ ไร้ที่พึ่งไร้คนข้างกายและยากไร้อีกต่อไป จ้าวฉือลี่ผู้นั้นได้ตายไปแล้วนับตั้งแต่ตอนนี้ข้าคือคุณหนูใหญ่เผย เผยตั้นเยี่ยนที่ทำได้ทุกอย่างขอ
จ้าวฉือลี่หันมามองสตรีที่อยู่ข้างกาย ใบหน้าของฉุยฉุยยามนี้ซีดขาวไร้สีเลือด ใบหน้าอ่อนระโหยโรยแรงลมหายใจแผ่วเบา สตรีร่างบางจึงไม่อาจชักช้าได้อีกต่อไป“จิ่งหลินไปโรงหมอเดี๋ยวนี้” นางเอ่ยเสียงดัง จ้าวฉือลี่ไม่อาจเสียเวลาโต้เถียงกับบุรุษด้านนอกได้อีก“ช้าก่อน” เผิงเจียวเจี๋ยเอ่ยเสียงดังเพียงบุรุษอาภรณ์ขาวเอ่ยเหล่าผู้ติดตามของเขาก็ขี่ม้ามาล้อมรถม้าของเผยตั้นเยี่ยนทันที จิ่งหลินกับเสวี่ยเฟิงจับดาบพร้อมมองไปยังบุรุษอาภรณ์ขาว“คุณชายรองเผิง ท่านขวางข้าเช่นนี้หมายความว่าเยี่ยงไร” น้ำเสียงของจ้าวฉือลี่เต็มไปด้วยโทสะ“คุณหนูใหญ่เผยคงรู้สินะว่าใครส่งพวกเขามา เช่นนั้นไม่ทราบว่าคุณหนูจะบอกสาเหตุได้หรือไม่ว่าเหตุใดจึงถูกสั่งฆ่าเช่นนี้” เขาอยากรู้ว่าคนผู้นั้นที่ฮ่องเต้ไว้ใจกล้าใช้คนมาทำเรื่องส่วนตัวเช่นนี้เพราะสาเหตุใดกันแน่ ความอยากรู้อยากเห็นทำให้เขาเอ่ยถามเพราะหน่วยสายลับเงามีหน้าที่คัดคนมีฝีมือและกล้าที่จะตายเพื่อปกป้องผู้เป็นนาย รวมทั้งยอมตายเพื่อภารกิจที่ได้รับมอบหมายด้วย ยามที่พวกเขายังไม่เข้าวั
จ้าวฉือลี่รู้ว่ายาพิษเหล่านี้อาจไม่ได้ออกฤทธิ์ทันที ไม่เหมือนกับยาพิษที่ฉุยฉุยฉาบเอาไว้ในอาวุธลับของนาง แต่ก็พอตัดกำลังคู่ต่อสู้ไปได้ เพราะนอกจากวิธีนี้นางก็ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไร“ยาพิษตัวไหนใช้กินได้อย่างเดียว” จ้าวฉือลี่หันมาถามฉุยฉุยที่นั่งพิงประตูอยู่ด้านในรถม้า“ตัวที่มีอักษรสีแดงบนขวดเจ้าค่ะ” เสียงของนางแหบพร่าจนทำให้ใจของจ้าวฉือลี่ไหวสั่น นางยกกล่องยามาวางข้างฉุยฉุย“ฉุยฉุยเจ้าอดทนหน่อย เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปหาหมอ ตอนนี้เจ้ารักษาตัวเองเบื้องต้นไปก่อน” จ้าวฉือลี่กลัวว่าหากนางมัวแต่เสียเวลาปฐมพยาบาลให้ฉุยฉุย บุรุษอีกสองคนจะต้านไว้ไม่อยู่ ครานี้คงได้ตายกันหมดแน่ ๆ และอีกอย่างร่างของเผยตั้นเยี่ยนก็บอบบางไร้เรี่ยวแรง หากนางพยุงฉุยฉุยไม่ดีแล้วล้มลงไปฉุยฉุยจะเจ็บหนักกว่าเดิมเมื่อเห็นสาวใช้ข้างกายพยักหน้าตอบรับพร้อมรอยยิ้มจ้าวฉือลี่ก็ใจชื้นขึ้นมา นางนำยาพิษที่ใช้ภายนอกได้ออกมา ก่อนจะเททั้งหมดลงไปในกาน้ำ เพราะบางอย่างเป็นผงนางกลัวว่าลมจะพัดมาโดนตัวนางเองหรือไม่ก็พัดไปโดนคนของนาง จึงเอายาผสมลงไปในน้ำ“เสวี่ยเฟิงต้านพวกมันเอาไว้” จ้าวฉือลี่ตะโกนเสียงดัง