“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นให้ข้าไปส่งดีหรือไม่ อย่างไรก็ทางผ่าน” เว่ยหลิงเฮ่อเอ่ยถามเผยตั้นเยี่ยน
“ไม่เพคะ/ไม่ต้อง” จ้าวฉือลี่และเว่ยเหวินเซียนเอ่ยพร้อมกัน
เว่ยหลิงเฮ่อมองบุรุษและสตรีที่อยู่ตรงหน้าสลับกันไปมา แต่เมื่อไตร่ตรองดูแล้วก็พอเข้าใจ เพราะหากเขาเป็นเผยตั้นเยี่ยนก็ไม่คิดจะให้เขาไปส่งแน่นอน เพราะกลัวว่าจะถูกสังหาร
ส่วนที่เสด็จอาของเขาไม่อยากให้เขาเป็นคนส่งนางกลับ ก็คงเพราะอยากพานางกลับไปจัดการสอบสวนเรื่องตราพยัคฆ์ที่หายไปจึงไม่ยอมให้เขาไปส่งนาง แต่เพราะเหตุนี้แหละที่เว่ยหลิงเฮ่อกลัว เพราะหากเผยตั้นเยี่ยนปริปากบอกว่าขโมยตราพยัคฆ์ไปให้ใคร คราวนี้เสด็จอาของเขาคงไม่ยอมให้เขาขึ้นครองบัลลังก์ได้โดยง่ายอย่างแน่นอน
“พอดีว่าสารถีของหม่อมฉันถูกคนของท่านอ๋องช่วยเอาไว้ ตอนนี้อยู่ที่จวนท่านอ๋อง หม่อมฉันเลยจะไปรับเขากลับด้วยเพคะ”
จ้าวฉือลี่รู้ดีว่ามันฟังดูไม่ขึ้นเท่าใดนัก แต่ทว่ายามนี้นางนั้นก็หาทางออกไม่ได้แล้วจริง ๆ เพราะนางรู้ดีว่าหากไปกับเว่ยหลิงเฮ่อยามนี้ก็มีแต่ตายอย่างเดียว แต่หากไปกับเว่ยเหวินเซียนที่มีใจให้นาง หากเขาหาหลักฐานมัดตัวนางไม่ได้อย่างน้อยนางก็ยังพอใช้มารยาหญิงทำให้รอดตัวไปได้
“คุณหนูเผยช่างเป็นห่วงเป็นใยคนรอบข้างเสียจริง น่าอิจฉาคุณชายรองเผยที่มีพี่สาวเช่นเจ้า” เว่ยหลิงเฮ่อรู้ว่าไม่อาจพานางกลับไปพร้อมเขาได้ ไม่เช่นนั้นเสด็จอาของเขาอาจสงสัย จึงได้เอ่ยถึงน้องชายของนางเพื่อเป็นการขู่
อยู่ดี ๆ เว่ยหลิงเฮ่อพูดถึงเผยจือเหยียนน้องชายมารดาเดียวกันของเผยตั้นเยี่ยนขึ้นมา ก็ทำให้จ้าวฉือลี่รู้ว่าเขากำลังข่มขู่นาง เพราะเขารู้ดีว่าเผยตั้นเยี่ยนรักน้องชายมารดาเดียวกันผู้นี้มากเท่าใด
จ้าวฉือลี่เองก็รู้ว่าต่อให้ตายเผยตั้นเยี่ยนก็ไม่มีทางเอ่ยปากพูดเรื่องที่จะทำให้น้องชายต้องตกอยู่ในอันตราย เพราะตอนที่เผยตั้นเยี่ยนถูกทรมานก็มิยอมเอ่ยปากบอกว่าใครคือคนที่สั่งให้นางขโมยตราพยัคฆ์ เพราะไม่เช่นนั้นเว่ยหลิงเฮ่อจะต้องไม่ปล่อยตระกูลเผยไปอย่างแน่นอน
ส่วนเว่ยเหวินเซียนก็ไม่ยุ่งกับคนในตระกูลเผยอยู่แล้ว เพราะเขารู้ว่าเผยตั้นเยี่ยนนั้นมิถูกกันกับบิดา จึงไม่คิดว่าบิดาของนางเป็นผู้บงการ ส่วนน้องชายของเผยตั้นเยี่ยนก็ยิ่งไม่รู้เรื่องด้วยเข้าไปใหญ่เพราะเขานั้นอยู่ที่สำนักศึกษา
เว่ยเหวินเซียนถึงจะโหดเหี้ยมอำมหิต ทว่าเขาก็ไม่เคยเอาครอบครัวของคนร้ายหรือคนผิดมาลงโทษด้วย เพราะอย่างไรคนเหล่านั้นก็คือผู้บริสุทธิ์ ยกเว้นคนในครอบครัวเหล่านั้นจะมีส่วนรู้เห็นเขาจึงจะจับมาลงทัณฑ์ด้วย นี่ถือเป็นข้อดีของเว่ยเหวินเซียนอย่างหนึ่งที่จ้าวฉือลี่ชอบตอนที่อ่านนิยาย เพราะหากเป็นไปได้นางก็ไม่อยากให้เจ้าหนี้นอกระบบมาทวงเงินจากนางเพราะพ่อของนางไปค้ำประกันให้กับเพื่อนเหมือนกัน
“องค์รัชทายาทกล่าวเกินไปแล้วเพคะ เพราะหม่อมฉันไม่มีอันใดที่จะสามารถทำให้คนรอบข้างได้ มีแต่ความรักความห่วงใยให้เท่านั้น มีอันใดให้น่าอิจฉากันเพคะ” จ้าวฉือลี่เอ่ยพร้อมยิ้มให้องค์รัชทายาทหลิงเฮ่อราวกับจะบอกเขาว่านางนั้นเข้าใจแล้ว
เว่ยหลิงเฮ่อพยักหน้ารับรู้ก่อนหันมาหาเว่ยเหวินเซียน “เสด็จอาเช่นนั้นข้าไม่อยู่รบกวนพวกท่านแล้ว ข้าขอตัวกลับวังก่อน” เมื่อเขาเอ่ยเสร็จก็ผสานมือโค้งกายคารวะผู้เป็นอาทันที
จ้าวฉือลี่มองดูเว่ยหลิงเฮ่อที่ขี่ม้าผ่านไป ‘นักเขียนท่านนี้ช่างแต่งให้บุรุษหน้าตาดีชวนมองต่างจากนิสัยเสียจริง’ นางคิดในใจเพราะเมื่อครู่หากนางไม่มัวแต่พะวงว่าจะรับมือบุรุษทั้งสองอย่างไร ป่านี้นางก็คงมัวแต่หลงรูปโฉมของเว่ยหลิงเฮ่ออยู่เป็นแน่
เว่ยเหวินเซียนมองเผยตั้นเยี่ยนที่กำลังมองตามเว่ยหลิงเฮ่อด้วยท่าทางแบบเดียวกับที่มองเขาก่อนหน้านี้ ‘บังอาจนัก นี่เจ้ามองบุรุษทุกคนด้วยสายตาเช่นนี้หรือ’ ถึงเขาจะรู้สึกว่าวันนี้เผยตั้นเยี่ยนแปลกไปจากเผยตั้นเยี่ยนที่เขารู้จักมากจนเขาไม่อยากเชื่อสายตา แต่เมื่อเห็นนางมองบุรุษอื่นทั้งที่อยู่ต่อหน้าเขาก็อดที่จะเดือดดาลไม่ได้
เขาคว้าตัวนางพร้อมกับจับอุ้มขึ้นนั่งบนหลังม้าก่อนที่เขาจะกระโดดไปนั่งอยู่ด้านหลังของนาง หานสิงเวยองครักษ์คนสนิทชินอ๋องเหวินเซียนเห็นผู้เป็นนายควบม้าออกไปก็รีบกระโดดขึ้นม้าก่อนจะยื่นมือมาดึงมือของฉุยฉุยให้ขึ้นมานั่งที่ข้างหลังของเขา
จวนชินอ๋องเหวินเซียน
เมื่อมาถึงจวนเว่ยเหวินเซียนก็สั่งให้สาวใช้นำทางเผยตั้นเยี่ยนกับฉุยฉุยไปยังเรือนรับรองและทำการตรวจค้นตัวสตรีทั้งสอง ขณเดินไปนั้นก็ให้หานสิงเวยเดินตามหลังไปด้วย เพราะกลัวว่าสตรีทั้งสองอาจจะเล่นตุกติกระหว่างทาง
ส่วนจิ่งหลินสารถีขับรถม้าที่เว่ยเหวินเซียนนั้นช่วยมาได้ระหว่างที่หลบหนีผู้ร้ายก็ถูกเจ้าของจวนสั่งให้ทหารค้นตัวเช่นกันแต่ก็ไม่พบตราพยัคฆ์ เขาจึงสั่งให้คนไปเติมน้ำใส่อ่างพร้อมกับให้ใส่เกลือลงไปในน้ำแล้วให้จิ่งหลินลงไปแช่
ช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้เขานั้นออกศึกบ่อยครั้งจึงมักไม่ค่อยอยู่จวน ของมีค่าทั่วไปนั้นหากหายเขานั้นก็ไม่เสียดายอันใด เขาเพียงกลัวว่าของต่างหน้าที่เสด็จพ่อและเสด็จแม่เคยมอบให้นั้นจะหายไป จึงติดนิสัยป้ายยาแย้มสัตย์ไว้ตามของมีค่า เพราะหากผู้ใดมาแตะต้องหรือหยิบจับของชิ้นนั้น เพียงแค่แช่ด้วยน้ำเกลือส่วนใดก็ตามที่โดนของที่ป้ายด้วยยาแย้มสัตย์ไว้ก็จะกลายเป็นสีส้มทันตา
เว่ยเหวินเซียนทดสอบกับจิ่งหลินแล้วทว่าตัวของจิ่งหลินกลับไม่มีส่วนใดเปลี่ยนเป็นสีส้มเลย เขาจึงยกสุรากระดกเข้าปากไปหลายจอก เพราะหากเขาหาตราพยัคฆ์ไม่เจอ พรุ่งนี้เขาคงต้องเข้าวังไปรับโทษกับเหวินหลิงฮ่องเต้พระเชษฐาของเขาก่อนที่จะเข้าประชุมเช้าที่ท้องพระโรงเป็นแน่
ขณะนี้ไม่รู้ว่าเพราะฤทธิ์สุราหรือเพราะไฟที่สุมอยู่ในอก จึงทำให้เขานั้นร้อนรนจนอยู่ไม่สุข เขามองไปทางเรือนรับรองที่เผยตั้นเยี่ยนกับฉุยฉุยกำลังโดนค้นตัว ถึงในใจเขานั้นไม่ต้องการให้เจอตราพยัคฆ์หรือสีส้มจากยาแย้มสัตย์ตามตัวของเผยตั้นเยี่ยนกับฉุยฉุย แต่หากไม่เจอดูแล้วคนในจวนรวมถึงทหารใต้บัญชาการของเขาทั้งหมดคงต้องถอดเกราะกลับไปอยู่บ้าน หรือไม่ก็ต้องไปเข้ากับทัพของค่ายอื่นแล้ว
เมื่อเว่ยเหวินเซียนเห็นสาวรับใช้เดินออกมาจากห้องพร้อมกับเอ่ยบางอย่างกับหานสิงเวยเขาก็ลุกขึ้นทันที พร้อมกับจ้องมององครักษ์คนสนิทอย่างรอคอยคำตอบ
เมื่อหานสิงเวยเห็นผู้เป็นนายมองมาก็ส่ายหัวไปมาให้ผู้เป็นนายได้เห็น เพียงเว่ยเหวินเซียนเห็นองครักษ์คนสนิทส่ายหัวก็รู้ทันทีว่าไม่พบตราพยัคฆ์ที่ตัวของสตรีทั้งสองคน เขาจึงเอ่ยเสียงดังบอกทหารให้เตรียมน้ำอุ่นผสมเกลือที่เรือนนอนของเขาก่อนที่เขาจะก้าวเท้ายาวไปยังเรือนรับรอง
เมื่อเจ้าของจวนมาถึงเรือนรับรองเผยตั้นเยี่ยนกับฉุยฉุยก็ใส่เสื้อผ้าแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เว่ยเหวินเซียนเปิดประตูเข้าไปด้านในด้วยความร้อนใจ เมื่อเจอเผยตั้นเยี่ยนเขาก็จับมือของนางพร้อมออกแรงดึงเพื่อให้นางเดินตามเขาไป
ด้วยความตกใจจ้าวฉือลี่จึงสะบัดข้อมือสุดแรง พร้อมเอ่ยเสียงดัง “ท่านอ๋องเพคะ พระองค์จะทำอันใดเพคะ”
“ข้าป้ายยาแย้มสัตย์ไว้ที่ตราพยัคฆ์ ถึงยามนี้ตราพยัคฆ์จะไม่อยู่ที่ตัวของเจ้าก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าไม่ได้เอาไป” เพียงพูดจบเขาก็กระชากมือนางให้เดินตามเขาไป
‘ยาแย้มสัตย์คืออะไรอีก สวรรค์ท่านจะให้ข้าตายให้ได้เลยใช่หรือไม่’ นางบ่นในใจ
‘ยาแย้มสัตย์คืออะไรอีก สวรรค์ท่านจะให้ข้าตายให้ได้เลยใช่หรือไม่’ นางบ่นในใจจ้าวฉือลี่ยังคงมึนงงเพราะนางไม่เคยอ่านเจอยาแย้มสัตย์ในนิยายเรื่องนี้ แต่ทว่านางนั้นก็รีบสาวเท้าตามเขาไป เพราะกลัวว่าหากขัดขืนจะเผยพิรุธให้เขารู้จ้าวฉือลี่เดินตามมาจนถึงเรือนหลักหลังใหญ่ เมื่อนางก้าวเท้าเข้าไปยังห้องนอนของเจ้าของจวนก็ถึงกับตาค้างไปกับของตกแต่งที่เพียงเห็นก็รับรู้ถึงราคาเครื่องใช้เครื่องประดับที่คนอย่างนางนั้นมิมีวันได้เป็นเจ้าของห้องนอนของเว่ยเหวินเซียนกว้างกว่าห้องที่นางเช่าอยู่เกือบสิบเท่า เพียงแค่เตียงนอนของเขาก็มีขนาดเท่ากับห้องเช่าที่นางเช่าอยู่แล้ว นางกวาดตามองไปรอบ ๆ จนได้ยินสุรเสียงเคร่งขรึมของเขาดังขึ้น นางจึงได้เลิกตื่นตาตื่นใจไปกับของตกแต่งห้องนอนของคนสูงศักดิ์“ถอดอาภรณ์และลงไปแช่น้ำในอ่างเสีย”จ้าวฉือลี่เลิกคิ้วขึ้นน้อย ๆ พร้อมกับเอียงคอมองเจ้าของห้องบรรทมด้วยความข้องใจว่าสิ่งที่นางได้ยินเป็นเพราะนางหูฟาดไป หรือเขาเอ่ยเช่นนั้นจริง ๆ“เจ้ามิได้ยินหรอกหรือว่าข้าสั่งให้เจ้าถอดอาภรณ์ออกแล้วลงไปแช่น้ำ” สุรเสียงของเว่ยเหวินเซียนดังขึ้นกว่าเก่าอีกทั้งยังปนไปด้วยโทสะจ้าวฉือลี่กางนิ้วมือ
“สิงเวย เจ้าพาคนไปค้นหาตราพยัคฆ์แถวเรือนนอนของบ่าวรับใช้ผู้นั้นเดี๋ยวนี้” สุรเสียงของเขาดังก้อง เขาเอ่ยพร้อมกับจ้องมองเข้าไปในดวงตานางเพียงจ้าวฉือลี่ได้ยินรับสั่งที่เว่ยเหวินเซียนสั่งหานสิงเวยองครักษ์คนสนิทก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย นางหวังว่าฟ้าจะมีตาให้ทหารเหล่านั้นเจอตราพยัคฆ์โดยเร็วหานสิงเวยที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องบรรทมของเว่ยเหวินเซียนขานรับบัญชาของผู้เป็นนายแล้วรีบออกคำสั่งให้ทหาร2 คนด้านหลังของเขาคอยดูฉุยฉุยเอาไว้ ส่วนทหารที่เหลือให้ตามเขาไปยังเรือนนอนของบ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านหลังจวนหลังจากเว่ยเหวินเซียนได้ยินเสียงฝีเท้าของเหล่าทหารไกลออกไปจากเรือนนอนของเขาแล้ว เขาจึงสั่งให้สาวใช้นำสุราเข้ามาให้เพื่อดื่มระหว่างรอจ้าวฉือลี่ประสานมือที่หน้าท้องด้วยท่าทีสงบเสงี่ยมขณะที่ยืนรอหานสิงเวยกลับมารายงาน แต่ทว่าหัวใจของนางกลับแตกต่างจากท่าทางยิ่งนัก เพราะยามนี้ใจนางเต้นตูมตามเพราะยืนลุ้นอยู่ตลอดเวลาว่ายามใดองครักษ์คนสนิทของเว่ยเหวินเซียนจะพบตราพยัคฆ์เสียทีขณะที่เว่ยเหวินเซียนกำลังนั่งรอรายงานเขาก็ยกจอกสุราเข้าปากเรื่อย ๆ ไม่หยุด พร้อมกับจ้องมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่วางตาเช่นกัน จนในที่สุดเวลาก
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ พบตราพยัคฆ์แล้วพ่ะย่ะค่ะ” เสียงขององครักษ์คนสนิทดังขึ้นที่หน้าประตูเว่ยเหวินเซียนถึงกับใบหน้าเปลี่ยนสีไปในทันที เขาปล่อยข้อมือทั้งสองข้างของนางเป็นอิสระ พร้อมกับเบี่ยงหน้าหนีก่อนจะก้าวออกมาจากอ่างน้ำ เขายื่นนิ่งหน้าชาทำตัวไม่ถูกในใจทั้งโมโหตนเองและโมโหองครักษ์คนสนิทที่มาช้าเช่นนี้หญิงสาวขาอ่อนยวบนางนั่งลงในอ่างน้ำ พร้อมปล่อยให้สายธารจากดวงตาไหลออกมา นางเม้มปากแน่นเพื่อไม่ให้เขาได้ยินเสียงสะอื้นจ้าวฉือลี่ไม่คิดว่าตนเองต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เพราะชาติก่อนนางก็ถูกเจ้าหนี้นอกระบบจับตัวนางไปและบังคับให้ขายบริการ โชคดีที่ระหว่างรอรับแขกอยู่ในห้องของโรงแรมนางเห็นว่าห้องที่นางอยู่เป็นชั้นสองที่ด้านข้างหน้าต่างมีท่อน้ำอยู่ใกล้ ๆ นางจึงรูดท่อน้ำลงมาและขอความช่วยเหลือจากคนแถวนั้นจนหนีรอดมาได้ แต่สวรรค์มิเคยดีกับนางนานนัก เพราะหลังจากนั้นไม่นานนางก็ถูกตามตัวจนเจอ นางหนีมารับจ้างขายของที่วัดเสวียนคงหรือวัดแขวนหน้าผา แต่ทว่าพวกมันกลับหานางจนเจอนางวิ่งหนีจนพลาดท่าตกลงมาจากหน้าผาสูงจนตาย‘จ้าวฉือลี่หากวันนี้เจ้ารอดตายไปได้ เจ้าก็จะมีชีวิตสุขสบายแล้ว เขาก็แค่ฉีกเสื้อผ้าเจ้าเอง
จวนตระกูลเผยหลังจากขึ้นรถม้าจ้าวฉือลี่ก็หลับตาพักผ่อน เพราะนางรู้ว่าฉุยฉุยคงอยากจะถามนางเรื่องที่เกิดขึ้นภายในห้องบรรทมของเว่ยเหวินเซียน แต่นางนั้นรู้สึกเหนื่อยล้าจึงยังไม่อยากพูดอันใดทั้งนั้น จึงได้แสร้งหลับตาลง ทว่าเพราะความอ่อนเพลียจึงทำให้นางนั้นเผลอหลับไปจริง ๆเมื่อรถม้าเคลื่อนตัวมาถึงจวนตระกูลเผย ฉุยฉุยจึงเรียกคุณหนูของนางให้ตื่นขึ้น จ้าวฉือลี่ขยี้ตาด้วยความงัวเงียแต่ก็มิได้อิดออดอันใด นางเปิดผ้าม่านด้านข้างเพื่อดูบ้านที่นางต้องอาศัยอยู่นับตั้งแต่วันนี้นางระบายลมหายใจยาวออกมาเพราะรู้ว่าตนนั้นยังต้องมารับมือกับพ่อและแม่เลี้ยงของเผยตั้นเยี่ยนอีก ‘ทั้งที่รู้ว่าบุตรสาวถูกโจรดักทำร้าย ก็ไม่คิดเป็นห่วงเลยสักนิด ไม่แปลกตัวละครตัวนี้จึงคิดใฝ่สูงอยากหาที่พึ่งพิงให้ตนเองกับน้องชาย’ จ้าวฉือลี่ได้แต่เวทนาเผยตั้นเยี่ยนอยู่ในใจก่อนที่จะปิดม่านแล้วลงจากรถม้าเพียงประตูจวนเปิดออกสาวรับใช้ในจวนที่ยืนรออยู่ตรงประตูจวนก็รีบเข้ามาเชิญจ้าวฉือลี่เข้าไปด้านในห้องโถงทันที เพราะยามนี้เผยจือคุนได้รอนางอยู่ในห้องโถงนานแล้วเมื่อเข้ามาในห้องโถงจ้าวฉือลี่ก็กวาดตามองไปโดยรอบ ๆ ห้องทันที ถึงนางจะไม่รู้ว่า
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ จ้าวฉือลี่ก็เอนกายลงบนเตียงเพื่อหวังว่าจะได้พักผ่อนให้หายเหนื่อย แต่ในขณะที่กึ่งหลับกึ่งตื่นนางก็ได้ยินเสียงสะอื้นดังลอดผ่านเข้ามาในหู นางลุกขึ้นนั่งกอดผ้าห่มในความมืดด้วยความกลัวอย่างรวดเร็วจ้าวฉือลี่พยายามตั้งใจฟังเสียงสะอื้นว่าดังมาจากที่ใด หรือว่านางเพียงหูแว่วไปเท่านั้น นางนั่งฟังสะอึกสะอื้นอยู่สักพักจึงมั่นใจว่านางนั้นมิได้หูฝาด ถึงเสียงสะอื้นไห้จะไม่ดังสม่ำเสมอ และเงียบไปเป็นพัก ๆ แต่นางเชื่อมั่นว่าจะต้องมีคนร้องไห้อยู่เป็นแน่ ถึงอีกใจจะคิดว่ามิใช่คน แต่นางก็พยายามคิดในแง่ดีเอาไว้ก่อนนางลุกเดินไปตามเสียงที่ได้ยิน แต่ทว่าเพียงนางก้าวเท้าไปไม่กี่ก้าว เสียงสะอื้นนั้นก็เงียบหายไปทันที นางกวาดตามองไปรอบ ๆ ด้วยความระแวงในที่สุดสายตาของนางก็ไปสะดุดกับร่างของใครบางคนที่นั่งกอดเข่าอยู่ที่มุมห้องมืด ๆ หญิงสาวขนลุกชันขาทั้งสองข้างคล้ายเป็นอัมพาตด้วยความรู้สึกหวาดกลัวจ้าวฉือลี่เบิกตากว้างนางถึงกับตกใจอย่างสุดขีดเมื่อเจ้าของร่างในเงามืดเงยหน้าขึ้นสบตากับนาง นางกรีดร้องออกมาจนสุดเสียงด้วยความกลัว เพียงจ้าวฉือลี่ส่งเสียงร้องร่างเงามืดก็พุ่งตัวเข้ามาหานางอย่างรวดเ
ถึงจ้าวฉือลี่จะไม่ใช่คนที่เกิดในยุคสมัยนี้ แต่เพราะต้องดิ้นรนเอาตัวรอดจึงต้องสังเกตสีหน้าของผู้คนอยู่บ้าง นางจึงพอจะคาดเดาสีหน้าของฉุยฉุยออก จึงได้เอ่ยถามหญิงสาววัยเดียวกันที่นั่งอยู่ข้าง ๆ"ฉุยฉุยเจ้ามีอะไรจะถามข้าหรือสงสัยอันใดก็ถามมาเถอะ”นางเอ่ยถามตรงไปตรงมาเพราะนับจากวันนี้นางตัดสินใจแล้วว่าจะร่วมทุกข์ร่วมสุขไปกับ ฉุยฉุย จิ่งหลิน และเสวี่ยเฟิง เพราะจากบทบาทของตัวละครทั้งสามคนพวกเขาคือคนที่ไม่มีวันทรยศเผยตั้นเยี่ยน และดูจากที่ทั้งสามถูกทรมานจนตายก็ยังไม่ปริปากบอกเว่ยเหวินเซียน เพราะเหตุนี้จ้าวฉือลี่จึงรู้ว่าสามารถฝากชีวิตไว้กับคนทั้งสามได้อย่างสบายใจ และรู้ว่าพวกเขาจะทำทุกอย่างเพื่อนางแม้กระทั่งยอมตายเพราะอย่างนั้นหากพวกเขาทั้งสามมีเรื่องอะไรคับข้องใจหรือเกิดอันใดขึ้นกับพวกเขา นางในฐานะที่เป็นคุณหนูก็ต้องออกหน้าปกป้องพวกเขาเช่นกัน ไม่เช่นนั้นแล้วหากพวกเขาทั้งสามคนเกิดเป็นอันใดขึ้นมา นางก็จะไม่มีคนที่ไว้ใจได้อยู่ข้างกายอีก เพราะเบื้องหน้าเบื้องหลังในจวนตระกูลเผยก็ใช่ว่าจะดีนักไม่เช่นนั้นแล้วเรื่องการตายของหลิวเหมยเหมยมารดาของเผยตั้นเยี่ยนคงไม่ปิดได้มิดชิดเช่นนี้ ส่วนผู้วางยานั้นจ
จากใบหน้าตื่นตกใจก็กลายเป็นความรู้สึกเบื่อหน่าย จ้าวฉือลี่คิ้วขมวดพร้อมย่นหน้า“ข้ายังไม่ทันได้เขียนจดหมายไปแจ้ง เขาก็รีบส่งคนมาหาข้าแล้ว ยังไม่ทันได้หายใจโล่งปอด ก็เอาดาบมาพาดคอข้าอีกแล้วน่าเบื่อจริง ๆ ”“ตอนนี้รีบไปอาบน้ำบ้วนปากก่อนเถอะเจ้าค่ะ หากปล่อยให้นางกำนัลขององค์รัชทายาทรอนาน ข้าน้อยกลัวว่านายท่านเผยจะไม่พอใจนะเจ้าคะ”จ้าวฉือลี่ลุกไปทำตามที่ฉุยฉุยบอกด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก เมื่ออาบน้ำแต่งตัวเสร็จ จ้าวฉือลี่ก็เดินไปยังห้องโถงหลักทันที โดยมีฉุยฉุยเดินตามมาไม่ห่าง เมื่อมาถึงจ้าวฉือลี่ก็ประสานมือโค้งตัวทำความเคารพเผยจือคุน เผยฮูหยิน และนางกำนัลที่มารอนางอยู่“ขออภัยที่ข้าแต่งตัวช้าไป ทำให้ท่านต้องรอนานแล้ว” จ้าวฉือลี่เอ่ยกับนางกำนัลที่มาจากตำหนักบูรพา“คุณหนูใหญ่เผยอย่าได้คิดมาก ข้าน้อยต่างหากที่ต้องขอโทษที่รบกวนท่าน”“รบกวนอันใดกัน ไม่เลยเจ้าค่ะ”ในใจจ้าวฉือลี่ก็คิดว่ารบกวนจริง ๆ แต่คนที่รบกวนนางมิใช่นางกำนัลแต่เป็นเว่ยหลิงเฮ่อต่างหาก เพราะหากเขาไม่สั่งมีหรือนางกำนัลจากตำหนักบูรพาจะมาเหยียบที่จวนตระกูลเผยเช่นนี้ได้“องค์รัชทายาททรงกำชับกับข้าน้อยว่าเมื่อคืนคุณหนูเพิ่งเจอเรื่องไม่ดี
เผยจือคุนยกถ้วยชาขึ้นจิบ แต่ทว่ายังไม่ทันจะได้กลืนน้ำชาลงคอไป น้ำชาที่อยู่ในปากก็พุ่งออกมาเสียก่อน เมื่อเขาเห็นหานสิงเวยองครักษ์คนสนิทของชินอ๋องมาพร้อมกับทหารแปดคนและหีบใบใหญ่อีกสี่ใบ โดยมีภรรยาของเขาหลินเยว่ฉีเดินตามมาด้านหลัง“นี่มันอะไรกัน!!” เผยจือคุนกับจ้าวฉือลี่อุทานออกมาพร้อมกัน‘คงไม่ได้จะมาสู่ขอข้าไปเป็นพระชายาหรอกนะ’ จ้าวฉือลี่ภาวนาในใจไม่ให้เป็นดั่งที่นางคิดเผยจือคุนตั้งสติได้ก็รีบลุกขึ้นไปต้อนรับขับสู้หานสิงเวยทันที เพราะหานสิงเวยเป็นถึงองครักษ์คนสนิทของชินอ๋องเหวินเซียน และยังมีตระกูลหานที่เป็นตระกูลแม่ทัพมาสามชั่วคนคอยหนุนหลัง หากไม่ติดว่าอำนาจทางทหารจะมากเกินไปหานสิงเวยก็จะได้เป็นแม่ทัพรุ่นที่4ของตระกูลแต่เพื่อแสดงความจงภักดีต่อเหวินหลิงฮ่องเต้ และเพื่อไม่ให้เป็นที่ระแวงตระกูลหานจึงไม่ยอมให้หานสิงเวยเป็นแม่ทัพรุ่นที่4 แต่ทว่าชินอ๋องเล็งเห็นความสามารถจึงนำมาไว้ใกล้ตัวเว่ยเหวินเซียนชอบออกรบเมื่อเจอกับหานสิงเวยที่มีสายเลือดแม่ทัพเต็มตัว และผ่านความเป็นความตายในสมรภูมิรบมาด้วยกันนับครั้งไม่ถ้วน จึงกลายเป็นองครักษ์คนสนิทที่รู้ใจกันมาถึงทุกวันนี้เผยจือคุนโค้งคำนับผู้มาเย
เว่ยเหวินเซียนพยักหน้าเนิบนาบ ก่อนจะหันไปหาหลานชายของตน “แล้วองค์รัชทายาทคิดเช่นไรกับนาง” แน่นอนว่าเว่ยอ๋องย่อมต้องจัดการทวงความเป็นธรรมให้สตรีของตน แต่หากสตรีผู้นั้นเป็นคนที่หลานชายเขามีใจให้ เขาก็จะยอมลงโทษสถานเบาลง“ความจริงข้าก็พอรู้มาบ้างว่าตาเฒ่าอวี๋อยากให้บุตรีมาเป็นพระชายาของข้า แต่สตรีเช่นนางข้ามิมีทางเอามาเป็นพระชายาอย่างแน่นอน นางถือดีว่าบิดาเป็นขุนนางที่เสด็จพ่อไว้ใจก็กล้าสอดมือมาถึงตำหนักบูรพา อีกทั้งยังใช้คนของหน่วยสายลับเงากำจัดสตรีรอบ ๆ ตัวข้า หากวันหน้านางเป็นฮองเฮาวังหลังของข้ามิต้องนองเลือดอย่างนั้นหรือ”“องค์รัชทายาทคิดเช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าลงมือก่อนแล้วกัน” เว่ยเหวินเซียนเอ่ยเสียงราบเรียบ“เช่นนั้นวันนี้ข้าจะส่งของขวัญไปให้คนแช่อวี๋ก่อนแล้วกัน” เว่ยหลิงเฮ่อเอ่ยเสียงราบเรียบ สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึมขึ้นทันตา“ออกมา” เสียงเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกเพียงพริบตาเดียวบุรุษชุดดำก็มายืนเรียงกันอยู่ด้านหน้าของเว่ยหลิงเฮ่อ ซึ่งอยู่ทางด้านหลังของเผยตั้นเยี่ยนหญิงสา
เดิมทีตอนที่เว่ยเหวินเซียนกับเว่ยหลิงเฮ่อเห็นป้ายประจำตัวของหน่วยสายลับเงาจากสตรีที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ พวกเขาทั้งสองต่างคิดว่าเสนาบดีสำนักตรวจราชการอวี๋ อวี๋หลี่เฉียง ส่งหน่วยสายลับเงาไปจัดการเผยตั้นเยี่ยนเพียงเพราะไม่อยากให้เผยตั้นเยี่ยนแต่งเป็นพระชายาของเว่ยเหวินเซียน และคิดจะหาสตรีของขุนนางที่เป็นขั้วอำนาจฝ่ายตนเองมาเป็นพระชายา เพราะอีกไม่ถึง7วันจะมีงานชมบุปผาที่ไทเฮากับฮองเฮาจัดขึ้น เพื่อเลือกบุตรสาวจากตระกูลขุนนางมาเป็นพระชายาของทั้งสองพระองค์ลำพังคิดว่าอวี๋หลี่เฉียงขุนนางชราใช้คนในหน่วยสายลับเงาทำงานให้ตัวเอง สองอาหลานก็รู้สึกไม่พอใจมากแล้ว ยามนี้เมื่อรู้ว่าแม้แต่บุตรสาวของอวี๋หลี่เฉียงก็มีอำนาจสั่งหน่วยสายลับเงาทั้งคู่ก็รู้สึกเดือดดาลมากขึ้นกว่าเก่า เพราะหน่วยสายลับเงามีหน้าที่ฝึกองครักษ์ที่ใช้ปกป้องฮ่องเต้และว่าที่ฮ่องเต้ในอนาคต แต่บัดนี้กลับถูกใครก็ได้ใช้ได้ตามอำเภอใจความจริงแล้วเว่ยเหวินเซียนไม่ได้โกรธหากหลานชายกับสตรีที่ตนชอบจะมีใจให้กัน เพราะอย่างไรเขากับนางก็ยังไม่ได้ชัดเจนถึงขั้นที่เขานั้นจะขวางนางไม่ให้คบกับบุรุษที่นางมีใจได้ เพราะเขามิใช่บุรุษที่จะบังคับให้สตรีที่ไม่มี
เว่ยเหวินเซียนคิดจะเอ่ยอธิบายและขอโทษนาง ทว่าไม่ทันแล้วเมื่อเผยตั้นเยี่ยนราวจงใจไม่ให้เขาเอ่ยออกมา โดยการพูดขึ้นมาเสียก่อน“ดูแล้วบุรุษชุดดำที่พกป้ายนี้คงไม่ใช่คนธรรมดาสินะเพคะ ทั้งที่หม่อมฉันเป็นฝ่ายถูกกระทำ แต่ทุกคนกลับทำราวกับหม่อมฉันเป็นเหมือนคนร้าย แต่อย่างว่าจะธรรมดาได้เช่นไร แม้แต่คนคุ้มกันที่หม่อมฉันจ้างมายังรับมือแทบไม่ไหวทั้งที่จำนวนคนก็มากกว่า มิเช่นนั้นคนรับใช้ของหม่อมฉันคงไม่ต้องออกหน้าปกป้องหม่อมฉันจนได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้” หญิงสาวหยุดเอ่ยพร้อมเงยหน้าขึ้นเพื่อกลั้นน้ำตา แต่ก็ไม่ปล่อยให้บุรุษทั้งสองได้เอ่ย“แต่จะโทษใครได้ ต้องโทษหม่อมฉันเอง หม่อมฉันโง่เขลาคิดว่าเป็นโจรทั่วไปและอีกทั้งยังมีเพียงแค่4คนจึงไม่ได้คิดหนี หากหม่อมฉันเฉลียวใจสักนิด ก็คงคิดได้ว่าโจรธรรมดาคงไม่มากันเพียงเท่านี้ ทั้งที่พวกมันก็เห็นว่าคนคุ้มกันมากันตั้งมากมายเช่นนั้น หากไม่ได้ฉุยฉุยรับดาบนั้นแทน ป่านี้โลหิตที่เปื้อนตัวหม่อมฉันอยู่คงเป็นเลือดของหม่อมฉันแล้ว” ในเมื่อจะหลอกให้แนบเนียนยอมต้องมีทั้งเรื่องจริงทั้งเรื่องโกหกผสมกันไปเผยตั้นเยี่ยนปล่อยให้
“ถามอันใดอย่างนั้นหรือเพคะ” นางถามกลับอย่างงง ๆ เพราะนางมัวแต่ตกใจในการกระทำของเว่ยเหวินเซียนจนลืมไปเลยว่าเขาถามอันใดนาง“ข้าถามว่าเจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่” น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความเป็นห่วง“หม่อมฉันไม่เป็นอันใดเพคะ” นางตอบเสียงราบเรียบ แต่ทว่าในใจก็เกิดกังวล เพราะนางไม่รู้ว่าเขารู้ได้เช่นไร‘หรือเขาจะให้คนสะกดรอยตามเรา หากเป็นเช่นนั้นเขาก็ต้องรู้แล้วสิว่าคนรับใช้ข้างกายทั้งสามคนของเรามีวรยุทธ์’“ท่านอ๋องทราบได้เช่นใดเพคะว่าหม่อมฉันถูกคนดักทำร้าย” นางย่นคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย ทั้งที่ในใจของนางยามนี้นั้นกำลังกระวนกระวายเขาล้วงเข้าไปในอกเสื้อแล้วหยิบหยกห้อยเอวของเผยตั้นเยี่ยนออกมา เมื่อหญิงสาวเห็นก็รีบเอื้อมมือไปคว้าทันที แต่บุรุษกลับชักมือหนี“ทำไม!อยากได้คืนอย่างนั้นหรือ แล้วตอนนั้นทำไมถึงได้ใจกล้าให้บุรุษแปลกหน้าไปเล่า” ถึงสีหน้าจะนิ่งราวไม่ได้รู้สึกอันใด ทว่าน้ำเสียงของเว่ยเหวินเซียนกลับเจือไปด้วยความไม่พอใจเผยตั้นเยี่ยนมองหน้าเว่ยเหวินเซียนนางรู้ว่าบุ
“องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องเสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ” เติ้งจื่ออวี๋เอ่ยน้ำเสียงร้อนรนเพียงได้ยินว่าผู้มาเยือนคือใครเผยตั้นเยี่ยนถึงกับเผลอยกยิ้มที่มุมปาก ทว่าก็แค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นจึงทำให้บุรุษทั้งสองที่อยู่ไม่ห่างมิทันได้เห็น ที่นางดีใจเพราะว่านางจะได้ไม่เสียเวลาวางแผนว่าจะไปบอกเว่ยเหวินเซียนอย่างไรดีว่านางถูกคนลอบสังหารถึงเผยตั้นเยี่ยนจะไม่รู้ว่าเป็นสตรีของใคร แต่ทว่านางรู้นิสัยของอาหลานคู่นี้ดี เว่ยเหวินเซียนหากเห็นนางใส่อาภรณ์เปื้อนเลือดเช่นนี้ย่อมต้องเดือดดาลเป็นแน่ และคนอย่างเขามีหรือที่จะไม่ระบายโทสะกับคนผู้นั้นที่คิดจะฆ่านางส่วนเว่ยหลิงเฮ่อถึงเขาจะไม่ได้รักนาง แต่หน่วยสายลับเงาเป็นหน่วยงานที่เสด็จพ่อของเขาให้ขุนนางที่ไว้ใจดูแลเพื่อฝึกองครักษ์เงาก่อนจะเข้ามาถวายงาน แต่ขุนนางผู้นั้นกลับเอามาใช้งานตามใจชอบ เช่นนี้เว่ยหลิงเฮ่อที่มีนิสัยขี้ระแวงอยู่แล้วจะไม่กลัวหรือว่าองครักษ์เงาที่ส่งมาจะกลายเป็นมือสังหารมาลอบฆ่าเขาแทนที่จะมาคุ้มกัน‘มาก็ดี จะได้รู้ว่าเป็นสตรีของผู้ใดกันที่กล้าส่งคนมาสังหารข้า และข้าจะได้ยืมมือบุรุษที่โหดเหี้
แน่นอนว่าเผยตั้นเยี่ยนมิมีทางที่จะอยู่ข้างกายของเว่ยเหวินเซียนเพื่อเป็นหมากให้เว่ยหลิงเฮ่ออย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นนางก็จะติดอยู่ในวังวนเช่นนี้ไม่จบไม่สิ้น“แต่หม่อมฉันคิดว่าหากหม่อมฉันยังอยู่ข้างกายท่านอ๋องอาจส่งผลเสียมากกว่าผลดีนะเพคะ เพราะเมื่อคืนนี้ตอนท่านอ๋องสอบปากคำหม่อมฉัน ท่านอ๋องบอกกับหม่อมฉันว่ามีคนรายงานว่าหม่อมฉันกับองค์รัชทายาทไปมาหาสู่กัน แต่หม่อมฉันก็อธิบายไปตามที่เคยนัดแนะกับพระองค์แล้วว่าเป็นเพราะความต้องการของบิดาของหม่อมฉัน” เผยตั้นเยี่ยนหยุดพูดพร้อมจงใจทำหน้าเหมือนลังเลใจไม่กล้าพูดออกมาเว่ยหลิงเฮ่อเมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางเหมือนจะพูดแต่ก็ตัดสินใจไม่พูดออกมาของสตรีตรงหน้า ก็ไม่อาจเก็บความสงสัยเอาไว้ได้จึงได้เอ่ยถามออกไป“มีอะไรอย่างนั้นหรือ หรือว่าเสด็จอาไม่เชื่อคำพูดของเจ้า” วรกายสูงถามพร้อมยกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง“ไม่ใช่เพคะ ท่านอ๋องทรงเชื่อคำพูดของหม่อมฉันเพคะ แต่ว่า....” นางหยุดเอ่ยอีกครั้งก่อนจะแสร้งเป็นก้มมองมือของตนเองและเงยหน้ามองหน้าบุรุษที่อยู่ตรงหน้าพลางเม้มปากแน่นก่อนจะหลบสายตาคมที่จ้องมองมาราวกับไม่มั่นใจในเรื่องที่จะเอ่ยเว่ยหลิงเฮ่อจ้องมองสตรีตรงหน้าอย่างใจ
จ้าวฉือลี่หันไปมองเสวี่ยเฟิงที่นอนทำแผลด้วยสีหน้าเจ็บปวดก่อนจะหันไปยังห้องที่ฉุยฉุยรักษาตัวอยู่ นางรู้ดีว่าที่ทั้งคู่ไม่มีเสียงร้องโอดครวญออกมาเลยนั้นเป็นเพราะไม่อยากให้นางเป็นกังวลมิใช่ว่าไม่รู้สึกเจ็บ“จิ่งหลินเจ้าคอยดูแลฉุยฉุยกับเสวี่ยเฟิงให้ดี เดี๋ยวข้ากลับมา”“ไม่ขอรับข้าจะไปกับคุณหนูด้วย ที่นี่เป็นโรงหมอของนายท่านหลิว คนของที่นี่ย่อมดูแลทั้งสองเป็นอย่างดีอยู่แล้ว แต่คุณหนูไม่มีใครอยู่ข้างกายเลยข้าไม่มีทางให้คุณหนูไปตามลำพังเด็ดขาด” จิ่งหลินเอ่ยน้ำเสียงหนักแน่นเมื่อได้ฟังคำของสารถีคนสนิทจ้าวฉือลี่ก็พยักหน้าตอบรับก่อนจะเดินไปขึ้นรถม้าที่ภายในยังคงมีคราบเลือดติดอยู่ ตลอดเส้นทางไปยังภัตตาคารเจียวลู่จ้าวฉือลี่จ้องมองคราบเลือด และบอกกับตนเองด้วยปณิธานอันแน่วแน่‘ในเมื่อพวกเขาต่างปกป้องข้าในฐานะที่ข้าเป็นเผยตั้นเยี่ยน เช่นนั้นต่อไปนี้ข้าก็จะอยู่อย่างเผยตั้นเยี่ยนไม่ใช่จ้าวฉือลี่ที่อ่อนแอ ไร้ที่พึ่งไร้คนข้างกายและยากไร้อีกต่อไป จ้าวฉือลี่ผู้นั้นได้ตายไปแล้วนับตั้งแต่ตอนนี้ข้าคือคุณหนูใหญ่เผย เผยตั้นเยี่ยนที่ทำได้ทุกอย่างขอ
จ้าวฉือลี่หันมามองสตรีที่อยู่ข้างกาย ใบหน้าของฉุยฉุยยามนี้ซีดขาวไร้สีเลือด ใบหน้าอ่อนระโหยโรยแรงลมหายใจแผ่วเบา สตรีร่างบางจึงไม่อาจชักช้าได้อีกต่อไป“จิ่งหลินไปโรงหมอเดี๋ยวนี้” นางเอ่ยเสียงดัง จ้าวฉือลี่ไม่อาจเสียเวลาโต้เถียงกับบุรุษด้านนอกได้อีก“ช้าก่อน” เผิงเจียวเจี๋ยเอ่ยเสียงดังเพียงบุรุษอาภรณ์ขาวเอ่ยเหล่าผู้ติดตามของเขาก็ขี่ม้ามาล้อมรถม้าของเผยตั้นเยี่ยนทันที จิ่งหลินกับเสวี่ยเฟิงจับดาบพร้อมมองไปยังบุรุษอาภรณ์ขาว“คุณชายรองเผิง ท่านขวางข้าเช่นนี้หมายความว่าเยี่ยงไร” น้ำเสียงของจ้าวฉือลี่เต็มไปด้วยโทสะ“คุณหนูใหญ่เผยคงรู้สินะว่าใครส่งพวกเขามา เช่นนั้นไม่ทราบว่าคุณหนูจะบอกสาเหตุได้หรือไม่ว่าเหตุใดจึงถูกสั่งฆ่าเช่นนี้” เขาอยากรู้ว่าคนผู้นั้นที่ฮ่องเต้ไว้ใจกล้าใช้คนมาทำเรื่องส่วนตัวเช่นนี้เพราะสาเหตุใดกันแน่ ความอยากรู้อยากเห็นทำให้เขาเอ่ยถามเพราะหน่วยสายลับเงามีหน้าที่คัดคนมีฝีมือและกล้าที่จะตายเพื่อปกป้องผู้เป็นนาย รวมทั้งยอมตายเพื่อภารกิจที่ได้รับมอบหมายด้วย ยามที่พวกเขายังไม่เข้าวั
จ้าวฉือลี่รู้ว่ายาพิษเหล่านี้อาจไม่ได้ออกฤทธิ์ทันที ไม่เหมือนกับยาพิษที่ฉุยฉุยฉาบเอาไว้ในอาวุธลับของนาง แต่ก็พอตัดกำลังคู่ต่อสู้ไปได้ เพราะนอกจากวิธีนี้นางก็ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไร“ยาพิษตัวไหนใช้กินได้อย่างเดียว” จ้าวฉือลี่หันมาถามฉุยฉุยที่นั่งพิงประตูอยู่ด้านในรถม้า“ตัวที่มีอักษรสีแดงบนขวดเจ้าค่ะ” เสียงของนางแหบพร่าจนทำให้ใจของจ้าวฉือลี่ไหวสั่น นางยกกล่องยามาวางข้างฉุยฉุย“ฉุยฉุยเจ้าอดทนหน่อย เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปหาหมอ ตอนนี้เจ้ารักษาตัวเองเบื้องต้นไปก่อน” จ้าวฉือลี่กลัวว่าหากนางมัวแต่เสียเวลาปฐมพยาบาลให้ฉุยฉุย บุรุษอีกสองคนจะต้านไว้ไม่อยู่ ครานี้คงได้ตายกันหมดแน่ ๆ และอีกอย่างร่างของเผยตั้นเยี่ยนก็บอบบางไร้เรี่ยวแรง หากนางพยุงฉุยฉุยไม่ดีแล้วล้มลงไปฉุยฉุยจะเจ็บหนักกว่าเดิมเมื่อเห็นสาวใช้ข้างกายพยักหน้าตอบรับพร้อมรอยยิ้มจ้าวฉือลี่ก็ใจชื้นขึ้นมา นางนำยาพิษที่ใช้ภายนอกได้ออกมา ก่อนจะเททั้งหมดลงไปในกาน้ำ เพราะบางอย่างเป็นผงนางกลัวว่าลมจะพัดมาโดนตัวนางเองหรือไม่ก็พัดไปโดนคนของนาง จึงเอายาผสมลงไปในน้ำ“เสวี่ยเฟิงต้านพวกมันเอาไว้” จ้าวฉือลี่ตะโกนเสียงดัง