“โอ๊ย! อย่ามาทำใสซื่อ แกท้องกับใคร ไอ้เลขาฯ เวรนั่นใช่ไหม” แม่พูดแล้วใช้นิ้วจิ้มหน้าผากแรง ๆ “มันเป็นแค่เลขาฯ เป็นขี้ข้า อย่าเอาเลือดต่ำ ๆ อย่างมันมาแปดเปื้อนครอบครัวเรา”
“แม่! แม่จะให้หนูทำแท้งเหรอ”
“แล้วจะเก็บไว้ทำไม ไอ้พ่อเด็กมันคงไม่เอาหรอก มันมีคลิปไว้ขู่แบล็กเมล์อยู่แล้วนี่”
ญาดาหน้าซีดลงทันที และมันเป็นความจริง ผู้ชายคนนั้นทำไปเพราะต้องการแก้แค้นที่เธอไปทำลายเจ้านายของเขา เขายิ่งไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะเธอเองที่หวังใช้ยาปลุกเซ็กซ์เพื่อจับภาวัต แต่กลับเป็นเธอที่รับกรรมนั้นเอง
แต่เด็กคนนี้ไม่ผิด เธอทำใจยุติการตั้งครรภ์ไม่ได้
“หนูจะเก็บเด็กไว้”
“เป็นบ้าไปแล้วเหรอ พูดอะไรออกมา แกจะเลี้ยงลูกไม่มีพ่อได้ยังไง”
“หนูจะเลี้ยงลูกของหนูเอง”
“ดี! ถ้าอย่างนั้นก็ไสหัวออกจากบ้านไป อย่ามาอยู่ให้เป็นเสนียดบ้านนี้อีก”
นั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกพ่อแม่ไล่ออกจากบ้าน แต่เป็นครั้งที่เธอตัดสินใจก้าวออกมาอย่างไร้ความลังเล วันที่ออกจากบ้าน เธอไม่มีเงิน รถยนต์ที่มีหลายคันพ่อแม่ก็ไม่ให้ เธอเก็บเฉพาะเสื้อผ้าและเอกสารจำเป็นไม่กี่ชิ้นใส่กระเป๋าออกจากบ้าน วันที่เธอเคว้งคว้างยกมือขึ้นลูบหน้าท้องเบาๆ แล้วตัดสินใจโทรหาเก๋ไก๋ซึ่งเป็นสาวประเภทสอง เก๋ไก๋เป็นรุ่นพี่ที่เคยเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้แปลงเพศ ตอนนั้นฐานะครอบครัวของเธอเรียกได้ว่าร่ำรวย เธอเคยช่วยเหลือการเงินกับเก๋ไก๋ หลังจากนั้นก็ติดต่อกันเรื่อยมาแม้จะเรียนจบแยกย้ายไปใช้ชีวิตของตัวเอง แต่ก็ยังติดต่อกันอยู่เสมอ ไม่ค่อยมีใครรู้ว่าเธอกับเก๋ไก๋สนิทกัน
ในวันที่เธอลำบาก เก๋ไก๋ขับรถมารับและชวนไปพักอยู่ด้วยซึ่งเป็นช่วงที่เก๋ไก๋เพิ่งเลิกกับแฟนหนุ่ม การมีญาดามาอยู่ด้วยก็ทำให้ไม่เศร้าเกินไป
‘ถ้าตัดสินใจเก็บเด็กไว้ก็ต้องวางแผนหาเงินหางานทำ’ เก๋ไก๋พูดขึ้น
‘ก็คิดอยู่ค่ะ ญาดาชอบทำขนมคิดว่าจะทำขนมขาย’
‘ก็ดีนะ ขายของกิน อืม ถ้าไม่รังเกียจก็อยู่ด้วยกันนี่แหละ บ้านสองชั้น เธออยู่ชั้นล่างก็ได้ ถ้าท้องโตจะเดินเหินลำบาก พี่จะอยู่ชั้นบนเอง ถ้าไงจะเอาบ้านเป็นร้านขายขนมก็ได้ แต่ญาดาจะไหวเหรอ’
‘ก็ต้องลองดูค่ะ มาถึงขั้นนี้แล้ว’
‘ก็ดีแล้วล่ะ บางคนเจ้ากรรมนายเวรก็มาในรูปแบบพ่อกับแม่’
ญาดาพยักหน้ารับ เธอก็คิดแบบนั้น เธอตัดขาดจากที่บ้าน เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ เธอเอาเครื่องประดับที่แอบหยิบออกมาจากบ้านไปขาย ลงทุนทำขนมแล้วไปขายที่ตลาดในหมู่บ้าน และยังทำส่งตามออเดอร์ เพราะความอร่อยและใช้ของมีคุณภาพทำให้ลูกค้าติดใจ ญาดาจึงพอเลี้ยงตัวเองได้ เก็บเงินเพื่อคลอดลูก โดยมีเก๋ไก๋อยู่ข้าง ๆ เสมอ แม้เธอจะไม่ติดต่อกับคนที่บ้านแต่ก็รับรู้เรื่องราวของพวกเขาเสมอ ดูเหมือนครอบครัวจะพ้นวิกฤตเพราะพี่ชายคนโตแต่งงานกับหม้ายสาวที่อายุมากกว่าถึงสิบปี เธอได้ยินว่าพวกเขาบอกว่าเธอไปอยู่เมืองนอก ญาดาได้แต่หัวเราะอย่างขมขื่น แต่สิ่งเดียวที่ทำให้เธอยิ้มและมีความสุขก็คือลูกชายตัวน้อยที่แสนน่ารัก
“น้องภีม ถึงบ้านแล้วครับ”
หญิงสาวพูดหลังจอดรถเรียบร้อยแล้ว เธออุ้มลูกชายที่งัวเงียลืมตาแล้วหลับต่อ ญาดาอุ้มลูกชายมาที่เตียงแล้วผลัดเปลี่ยนชุดนอนให้ใหม่ ถ้าไม่จำเป็นเธอก็ไม่อยากทำให้ลูกอดนอนแบบนี้ แต่เธอไปทวงเงินขจรเดช เพื่อนของเก๋ไก๋ที่ยืมเงินเธอไปแล้วผลัดมาหลายครั้งแล้ว ถ้าไม่มาตามถึงที่นี่ก็เห็นทีจะชวดเงินหมื่นที่ให้ยืมไป
“เอ๊ะ! นี่อะไร” ญาดาตบ ๆ ที่เสื้อของลูกชาย รู้สึกแปลก ๆ จึงเปิดกระเป๋าเสื้อออกดูพบแบงค์พันถึงห้าใบ นี่มันอะไรกัน ใครเอาเงินใส่กระเป๋าเสื้อลูกชายของเธอ
กลิ่นขนมอบหอมหวนอบอวลในบ้านสองชั้นขนาดเล็กที่เปิดหน้าบ้านเป็นร้านขนมเล็ก ๆ มีตู้โชว์และจัดหน้าร้านสไตล์มินิมอล เพียงแค่ไม่มีบริการนั่งกินที่ร้านเก๋ไก๋เคยได้รับความช่วยจากญาดา ครั้งนั้นครอบครัวเธอมีปัญหาเพียงแค่เธอแสดงออกชัดเจนว่าต้องการเป็นผู้หญิง แต่พ่อไม่เข้าใจไล่เธอกับแม่ออกจากบ้าน ในคราวนั้นเธอเข้าใจว่าปัญหามันเกิดขึ้นเพราะเธอ แต่เมื่อผ่านมาและเติบโตขึ้นจึงรู้ว่า แท้จริงเป็นเพราะพ่อมีผู้หญิงคนใหม่ และใช้เหตุผลที่เธออยากเป็นผู้หญิงไล่แม่กับเธอออกจากบ้าน ในวันที่ไร้คนเห็นใจ ญาดาเป็นน้องรหัสของเธอ เป็นสาวไฮโซที่ใคร ๆ ในคณะก็ป้องปากกระซิบนินทา มีทั้งเรื่องดีและร้าย บางเรื่องก็เกินจริงไปมาก แต่ญาดาก็ไม่ได้สนใจจะแก้ข่าว กลับเชิดหน้าสวย ๆ และใช้ชีวิตอย่างที่เคยเป็นแม่หาบ้านเช่าหลังเล็กใกล้มหาวิทยาลัยเผื่อที่ลูกจะได้ไม่ต้องเดินทางไปมาลำบากและกลับไปทำอาชีพแม่บ้านรับจ้างรายวัน เก๋ไก๋เองก็เริ่มหาเงินด้วยตัวเอง รับแต่งหน้างานต่าง ๆ จนขยับมาเป็นเมคอัพอาร์ติสมีชื่อเสียงในทุกวันนี้แต่ช่วงชีวิตที่ยังไม่เข้าที่เข้าทาง บางเดือนหาเงินมาจ่ายค่าเช่าไม่ทัน เธอวิ่งรอกหลายงาน เริ่มไม่มามหาวิทยาลัยเพรา
“ไอ้ชั่ว!! แกเอาอะไรให้ฉันกินฮะ!” เธอตวาดเขาทันทีที่มือใหญ่ปล่อยให้เป็นอิสระ“ก็ยาแบบเดียวกับที่คุณให้เจ้านายผมกินไงล่ะ...ถ้าผมชั่วคุณมันก็หน้าด้าน ไร้ยางอาย จ้องจับผู้ชายที่มีแฟนแล้ว”กรณ์กิตติด่ากลับอย่างไม่ไว้หน้า มองดูร่างกายที่เริ่มนั่งไม่นิ่งเพราะยาเริ่มออกฤทธิ์“ไหวไหมล่ะ ...ขอร้องผมสิ”“ไม่ ฉันไม่มีวันขอร้องคนอย่างแก”“ตามใจ...ถ้าคุณขอร้องผมจะสนองคุณเอง แต่ถ้าคุณไม่ยอมผมจะเรียกคนข้างนอกมาช่วยให้”กล้องตัวเล็กจับทุกความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นบนเตียง จนกระทั่งเสียงครวญครางเงียบลง ชายหนุ่มทิ้งตัวลงข้างกายและกระชับเธอเข้ามาใกล้ โน้มกระซิบเสียงเย็นริมหู“ถ้าคุณยังวุ่นวายกับเจ้านายผมอีก รับรองว่าคลิปหลุดแน่นอน”“หึ...แกจะต้องอายไปพร้อมกันถ้าแกทำแบบนั้น”“ผมก็แค่เลขาของเจ้านาย ชื่อเสียงก็ไม่มี ผมไม่มีอะไรต้องเสียอยู่แล้ว...อย่าเสี่ยงเลยญาดา คุณก็รู้ว่าผมทำได้จริง”ญาดาพลิกตัวหันหลังหนีด้วยความเจ็บใจที่แผนการพลาดพลั้ง ยังดีที่ไม่ถูกเอาเรื่องถึงตำรวจไม่งั้นพ่อเธอคงโกรธมากกรณ์กิตติมองคนที่หันหนีด้วยยิ้มหยันก่อนจะลุกขึ้นแต่งตัวออกจากห้องไปพร้อมกับกล้องตัวนั้น โดยไม่สนใจเธออีก-- -- -- --
กรณ์กิตติคือเลขาฯ ของภาวัต ภาพจำของทุกคนคือชายหนุ่มท่าทีทะมัดทะแมงเป็นเลขาฯ สายลุยและเป็นมือขวาจัดการทุกสิ่งตามที่ภาวัตสั่ง ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว คำว่า ‘พลาด’ ไม่มีอยู่ในพจนานุกรมของผู้ชายที่ชื่อกรณ์กิตติ ทว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปเพราะเรื่องในคืนนั้น‘ขะ...ขอร้อง...ฉันต้องการ...คุณ’เรื่องราวในครั้งนั้นผ่านมาสี่ปีแล้ว แต่เสียงของผู้หญิงคนนั้นยังคงอยู่ เพียงแค่หลับตาภาพของเธอก็จะปรากฏขึ้นรบกวนจิตใจของเขาอยู่เสมอ“คุณกรณ์ขา” เสียงหวานเรียกทำให้ชายหนุ่มตื่นจากภวังค์ มือที่ถือแก้วเหล้าในมือค้างไว้อยู่นานจนน้ำแข็งเริ่มละลายแล้ว“หืม? ว่าไง” กรณ์กิตติแกว่งแก้วเหล้าในมือ ทำท่าจะยกขึ้นดื่มแต่หญิงสาวที่นุ่งน้อยห่มน้อยยื่นมือไปคว้าแก้วของเขาไว้ก่อน“น้ำแข็งละลายแล้วไม่อร่อย มีมี่ชงให้ใหม่ดีกว่าค่ะ”หญิงสาวที่เรียกตัวเองว่ามีมี่พูดขึ้นแล้วทำท่าจะเปลี่ยนแก้วเหล้าให้ชายหนุ่มที่เรียกเธอมาบริการแบบพิเศษ แต่อยู่ในห้องแบบVIPมาตั้งนานสองนานก็ไม่เห็นท่าทีเขาจะทำอะไรนอกจากนั่งฟังเพลงและนาน ๆ จะยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นจิบสักที สำหรับสาวเอ็นฯ อย่างเธอทำงานรายชั่วโมงก็นับได้ว่าได้กำไรแบบไม่ต้องเปลืองเนื้อเ
ผู้หญิงร้อนร่านขนาดนั้นแต่กลับเป็นสาวพรหมจรรย์ เขาไม่อยากจะเชื่อ ถ้าไม่เพราะ...คราบเลือดจาง ๆ ที่ทิ้งไว้บนเตียงนอนสี่ปี!ผ่านมาสี่ปี แต่เขากลับลืมเธอไม่ได้ ความเงอะงะไร้เดียงสาแต่ต้องพยายามร่วมรักเพราะฤทธิ์ยาปลุกเซ็กซ์ของตัวเอง แต่กลับไม่ได้ใช้กับภาวัตอย่างที่วางแผนไว้ เป็นเขาที่รับหน้าที่แทน แน่นอนว่าหญิงสาวไม่เต็มใจ พยายามต่อสู้กับความรู้สึกภายในอย่างสุดกำลัง เธอกัดริมฝีปากจนแทบห้อเลือด และสุดท้ายก็พ่ายกับความปรารถาที่เอ่อล้น และเพราะคำขู่ของเขา หากเธอไม่ยอม เขาก็จะเรียกลูกน้องมาบริการให้ เขาจึงกลายเป็นตัวเลือกที่เธอจำยอมกรณ์กิตติแอบตั้งกล้องบันทึกภาพไว้ทั้งหมด เผื่อว่าผู้หญิงร้าย ๆ คนนั้นจะไม่ยอมลามือจากเจ้านายของเขา แต่หลังจากพายุอารมณ์พัดผ่าน เธอก็ยันตัวขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรงรีบสวมเสื้อผ้าแล้วก้าวออกไปโดยไม่หันมามองเขา ชายหนุ่มยังจำแผ่นหลังของเธอได้ดี วันเวลาผ่านมา สิ่งที่เขากังวลไม่เกิดขึ้น เธอเงียบหายไปราวกับไม่เคยเกิดเรื่องในคืนนั้นแต่กลับกลายเป็นเขาที่เฝ้าโหยผู้หญิงคนนั้นบ้าชะมัด! ทำไมมันเป็นแบบนี้ไปได้กรณ์กิตติหงุดหงิดรำคาญตัวเองขึ้นมาในทันที เขายกแก้วเหล้าในมือดื่มจนหมด
หญิงสาวถอนหายใจหนัก ๆ แต่เมื่อเห็นลูกชายวัยสามขวบก็ทำให้เธอยิ้มออกมาได้ทันที เด็กชายตัวน้อยมองเห็นผู้เป็นแม่ก็ยื่นมือออกไปสุดแขน เธอจึงยื่นมือออกไปรับลูกชายมาอุ้มไว้แนบอก“ขอบคุณค่ะพี่เก๋ไก๋” ญาดาพูดด้วยความจริงใจ สาวสองรูปร่างสูงเพรียวคลี่ยิ้มกว้างแล้วยื่นมือบีบแก้มป่องนุ่ม ๆ ของเด็กชายตัวน้อยที่หัวเราะคิกคัก“น้องภีมเป็นเด็กดี ใคร ๆ ก็รักจ้ะ” เก๋ไก๋เป็นสาวประเภทสองที่ศัลยกรรมมาทั้งตัว เธอรู้สึกว่าตัวเองก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งเพียงแค่มีลูกไม่ได้เท่านั้น“ไม่ได้พี่เก๋ไก๋ช่วย ญาดาต้องแย่แน่ ๆ เลยค่ะ พี่เลี้ยงก็กลับบ้านต่างจังหวัดด้วย”“แหม...พูดเป็นคนอื่นคนไกลไปได้ พี่เองถ้าไม่ได้น้องญาดาช่วยก็คงไม่มีทุกวันนี้”“พูดแต่เรื่องบุญคุณเหมือนซีรีส์จีนเลยนะพี่” ญาดาหัวเราะ “เสร็จธุระแล้ว กลับบ้านด้วยกันเลยไหมคะ”“กลับไปก่อนเลยจ้ะ ไหน ๆ มาแล้วพี่แล้วขอทักทายเพื่อนที่ทำงานที่นี่หน่อย”“ได้ค่ะ งั้นญาดากับน้องภีมกลับก่อนนะคะ”“ขับรถดี ๆ นะ”“ค่ะ น้องภีมไหว้พี่เก๋ไก๋สิลูก” ไม่ได้สอนผิดแต่เจ้าตัวไม่ยอมแก่จึงให้เด็กน้อยเรียกตัวเองว่าพี่แทนคำว่าป้าเด็กชายตัวน้อยยกมือป้อม ๆ ไหว้ตามที่คุณแม่สอน แล้วทั้งส
หลังจากพายุอารมณ์สงบพร้อมกับทิ้งคราบเลือดจาง ๆ ไว้บนที่นอน เธอรวบรวมเรี่ยงแรงเดินออกมาโดยไม่หันหลังไปมองและไม่สนใจคำขู่ของเขา เธอไม่เหลืออะไรแล้ว ทุกอย่างจบสิ้น เมื่อกลับถึงบ้านและเธอได้สารภาพเรื่องทั้งหมด คนในครอบครัวกลับหัวเสียด่าเธอเสียยกใหญ่ ไม่มีคำให้กำลังใจหรือปลอบโยนใด ๆ มีแต่คำซ้ำเติมถากถาง จนเธอแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ จนกระทั่งวันหนึ่งแม่มาเรียกเธอไปพบและนั่งคุยกับพ่อรวมทั้งพี่ชายสองคน และบอกให้เธอรู้ว่า“แต่งงานกับเสี่ยสิงห์”“คะ?”“ได้ยินชัดแล้วจะถามทำไม” คนเป็นพ่อทำหน้าเบื่อหน่าย“แต่เสี่ยสิงห์อายุมากกว่าพ่ออีกนะคะ” ญาดาส่ายหน้าไปมา ที่เธอยอมเอาตัวเข้าแลกกับภาวัตเพราะเขาทั้งหล่อและรวย แต่นี่...จะให้เธอแต่งงานกับผู้ชายอายุหกสิบกว่า เธอไม่คิดว่าพ่อกับแม่จะทำกับเธออย่างนี้“แก่สิดี จะได้ตายเร็ว ทรัพย์สินมรดกก็ตกมาอยู่กับแกไง” แม่พูดขึ้น“แม่คะ เราหาวิธีประนอมหนี้กับธนาคารได้ไหม ยอมรับสภาพหนี้”“บ้าสิ! จะให้ใครรู้ว่าเราจนได้ยังไง”พี่ชายสองคนตวาดเสียงดังจนญาดาเผลอหดคอด้วยความกลัว สิ่งนี้คือความจริงที่คนนอกไม่รู้ เวลามีสัมภาษณ์มีถ่ายภาพครอบครัว ทุกคนจะยิ้มแย้มโอบกอดอย่างรักใคร่กล