“โอ๊ย! อย่ามาทำใสซื่อ แกท้องกับใคร ไอ้เลขาฯ เวรนั่นใช่ไหม” แม่พูดแล้วใช้นิ้วจิ้มหน้าผากแรง ๆ “มันเป็นแค่เลขาฯ เป็นขี้ข้า อย่าเอาเลือดต่ำ ๆ อย่างมันมาแปดเปื้อนครอบครัวเรา”
“แม่! แม่จะให้หนูทำแท้งเหรอ”
“แล้วจะเก็บไว้ทำไม ไอ้พ่อเด็กมันคงไม่เอาหรอก มันมีคลิปไว้ขู่แบล็กเมล์อยู่แล้วนี่”
ญาดาหน้าซีดลงทันที และมันเป็นความจริง ผู้ชายคนนั้นทำไปเพราะต้องการแก้แค้นที่เธอไปทำลายเจ้านายของเขา เขายิ่งไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะเธอเองที่หวังใช้ยาปลุกเซ็กซ์เพื่อจับภาวัต แต่กลับเป็นเธอที่รับกรรมนั้นเอง
แต่เด็กคนนี้ไม่ผิด เธอทำใจยุติการตั้งครรภ์ไม่ได้
“หนูจะเก็บเด็กไว้”
“เป็นบ้าไปแล้วเหรอ พูดอะไรออกมา แกจะเลี้ยงลูกไม่มีพ่อได้ยังไง”
“หนูจะเลี้ยงลูกของหนูเอง”
“ดี! ถ้าอย่างนั้นก็ไสหัวออกจากบ้านไป อย่ามาอยู่ให้เป็นเสนียดบ้านนี้อีก”
นั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกพ่อแม่ไล่ออกจากบ้าน แต่เป็นครั้งที่เธอตัดสินใจก้าวออกมาอย่างไร้ความลังเล วันที่ออกจากบ้าน เธอไม่มีเงิน รถยนต์ที่มีหลายคันพ่อแม่ก็ไม่ให้ เธอเก็บเฉพาะเสื้อผ้าและเอกสารจำเป็นไม่กี่ชิ้นใส่กระเป๋าออกจากบ้าน วันที่เธอเคว้งคว้างยกมือขึ้นลูบหน้าท้องเบาๆ แล้วตัดสินใจโทรหาเก๋ไก๋ซึ่งเป็นสาวประเภทสอง เก๋ไก๋เป็นรุ่นพี่ที่เคยเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้แปลงเพศ ตอนนั้นฐานะครอบครัวของเธอเรียกได้ว่าร่ำรวย เธอเคยช่วยเหลือการเงินกับเก๋ไก๋ หลังจากนั้นก็ติดต่อกันเรื่อยมาแม้จะเรียนจบแยกย้ายไปใช้ชีวิตของตัวเอง แต่ก็ยังติดต่อกันอยู่เสมอ ไม่ค่อยมีใครรู้ว่าเธอกับเก๋ไก๋สนิทกัน
ในวันที่เธอลำบาก เก๋ไก๋ขับรถมารับและชวนไปพักอยู่ด้วยซึ่งเป็นช่วงที่เก๋ไก๋เพิ่งเลิกกับแฟนหนุ่ม การมีญาดามาอยู่ด้วยก็ทำให้ไม่เศร้าเกินไป
‘ถ้าตัดสินใจเก็บเด็กไว้ก็ต้องวางแผนหาเงินหางานทำ’ เก๋ไก๋พูดขึ้น
‘ก็คิดอยู่ค่ะ ญาดาชอบทำขนมคิดว่าจะทำขนมขาย’
‘ก็ดีนะ ขายของกิน อืม ถ้าไม่รังเกียจก็อยู่ด้วยกันนี่แหละ บ้านสองชั้น เธออยู่ชั้นล่างก็ได้ ถ้าท้องโตจะเดินเหินลำบาก พี่จะอยู่ชั้นบนเอง ถ้าไงจะเอาบ้านเป็นร้านขายขนมก็ได้ แต่ญาดาจะไหวเหรอ’
‘ก็ต้องลองดูค่ะ มาถึงขั้นนี้แล้ว’
‘ก็ดีแล้วล่ะ บางคนเจ้ากรรมนายเวรก็มาในรูปแบบพ่อกับแม่’
ญาดาพยักหน้ารับ เธอก็คิดแบบนั้น เธอตัดขาดจากที่บ้าน เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ เธอเอาเครื่องประดับที่แอบหยิบออกมาจากบ้านไปขาย ลงทุนทำขนมแล้วไปขายที่ตลาดในหมู่บ้าน และยังทำส่งตามออเดอร์ เพราะความอร่อยและใช้ของมีคุณภาพทำให้ลูกค้าติดใจ ญาดาจึงพอเลี้ยงตัวเองได้ เก็บเงินเพื่อคลอดลูก โดยมีเก๋ไก๋อยู่ข้าง ๆ เสมอ แม้เธอจะไม่ติดต่อกับคนที่บ้านแต่ก็รับรู้เรื่องราวของพวกเขาเสมอ ดูเหมือนครอบครัวจะพ้นวิกฤตเพราะพี่ชายคนโตแต่งงานกับหม้ายสาวที่อายุมากกว่าถึงสิบปี เธอได้ยินว่าพวกเขาบอกว่าเธอไปอยู่เมืองนอก ญาดาได้แต่หัวเราะอย่างขมขื่น แต่สิ่งเดียวที่ทำให้เธอยิ้มและมีความสุขก็คือลูกชายตัวน้อยที่แสนน่ารัก
“น้องภีม ถึงบ้านแล้วครับ”
หญิงสาวพูดหลังจอดรถเรียบร้อยแล้ว เธออุ้มลูกชายที่งัวเงียลืมตาแล้วหลับต่อ ญาดาอุ้มลูกชายมาที่เตียงแล้วผลัดเปลี่ยนชุดนอนให้ใหม่ ถ้าไม่จำเป็นเธอก็ไม่อยากทำให้ลูกอดนอนแบบนี้ แต่เธอไปทวงเงินขจรเดช เพื่อนของเก๋ไก๋ที่ยืมเงินเธอไปแล้วผลัดมาหลายครั้งแล้ว ถ้าไม่มาตามถึงที่นี่ก็เห็นทีจะชวดเงินหมื่นที่ให้ยืมไป
“เอ๊ะ! นี่อะไร” ญาดาตบ ๆ ที่เสื้อของลูกชาย รู้สึกแปลก ๆ จึงเปิดกระเป๋าเสื้อออกดูพบแบงค์พันถึงห้าใบ นี่มันอะไรกัน ใครเอาเงินใส่กระเป๋าเสื้อลูกชายของเธอ
กลิ่นขนมอบหอมหวนอบอวลในบ้านสองชั้นขนาดเล็กที่เปิดหน้าบ้านเป็นร้านขนมเล็ก ๆ มีตู้โชว์และจัดหน้าร้านสไตล์มินิมอล เพียงแค่ไม่มีบริการนั่งกินที่ร้านเก๋ไก๋เคยได้รับความช่วยจากญาดา ครั้งนั้นครอบครัวเธอมีปัญหาเพียงแค่เธอแสดงออกชัดเจนว่าต้องการเป็นผู้หญิง แต่พ่อไม่เข้าใจไล่เธอกับแม่ออกจากบ้าน ในคราวนั้นเธอเข้าใจว่าปัญหามันเกิดขึ้นเพราะเธอ แต่เมื่อผ่านมาและเติบโตขึ้นจึงรู้ว่า แท้จริงเป็นเพราะพ่อมีผู้หญิงคนใหม่ และใช้เหตุผลที่เธออยากเป็นผู้หญิงไล่แม่กับเธอออกจากบ้าน ในวันที่ไร้คนเห็นใจ ญาดาเป็นน้องรหัสของเธอ เป็นสาวไฮโซที่ใคร ๆ ในคณะก็ป้องปากกระซิบนินทา มีทั้งเรื่องดีและร้าย บางเรื่องก็เกินจริงไปมาก แต่ญาดาก็ไม่ได้สนใจจะแก้ข่าว กลับเชิดหน้าสวย ๆ และใช้ชีวิตอย่างที่เคยเป็นแม่หาบ้านเช่าหลังเล็กใกล้มหาวิทยาลัยเผื่อที่ลูกจะได้ไม่ต้องเดินทางไปมาลำบากและกลับไปทำอาชีพแม่บ้านรับจ้างรายวัน เก๋ไก๋เองก็เริ่มหาเงินด้วยตัวเอง รับแต่งหน้างานต่าง ๆ จนขยับมาเป็นเมคอัพอาร์ติสมีชื่อเสียงในทุกวันนี้แต่ช่วงชีวิตที่ยังไม่เข้าที่เข้าทาง บางเดือนหาเงินมาจ่ายค่าเช่าไม่ทัน เธอวิ่งรอกหลายงาน เริ่มไม่มามหาวิทยาลัยเพรา
แม้ต้องอุ้มท้องโดยไม่มีพ่อของเด็กอยู่ด้วย ญาดาก็ไม่ได้ลำบากอย่างที่กังวลนัก เพราะมีเก๋ไก๋คอยดูแลและยังมีเพื่อน ๆ ของเก๋ไก๋ที่เป็นสาวสองเหมือนกันคอยแวะเวียนมาเยี่ยม ช่วยอุดหนุนขนม หาลูกค้า ทำให้ญาดามีรายได้จากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ด้วยความอร่อยของขนมและมีคนช่วยแนะนำทำให้มีออเดอร์เข้ามาเรื่อย ๆ จนเธอจ้างคนมาช่วยงานในร้านเพิ่มหนึ่งคนแต่เป็นการทำงานแบบไปกลับไม่ได้ประจำอยู่ที่ร้าน ยกเว้นบางครั้งที่ญาดาต้องการคนช่วยเลี้ยงลูกชายตัวน้อย ช่วงเวลาที่เธอไร้ญาติขาดมิตรพ่อแม่พี่ชายไม่สนใจ แต่กลับเป็นช่วงที่มีความสุข ลูกชายก็เป็นเด็กดี แม้เธอจะเคยทำเรื่องเลวร้ายมาก่อนแต่ยังโชคดีที่มีลูกชายที่แสนน่ารักอย่างน้องภีม“น่ากินจัง” เก๋ไก๋ร้องทักทันทีที่เห็นขนมหน้าตาน่ากินอยู่ในกล่องจัดอย่างสวยงาม “ชุดเบรกเหรอ”“ค่ะ ห้าสิบชุด” นอกจากทำขนมแล้ว ญาดายังทำเครื่องดื่มสมุนไพรอีกด้วย เธอได้ไอเดียจากที่ลูกค้าซื้อขนมไปจัดชุดของว่างในห้องประชุม แต่ที่ร้านของเธอไม่มีเครื่องดื่ม จึงได้ลองทำดูและผลก็ออกมาเป็นที่ถูกปากลูกค้า“ขยันจัง มีเวลาพักผ่อนบ้างไหมเนี้ย ระวัง ๆ หน่อย ประเดี๋ยวล้มป่วยไปจะลำบา
“ชุดของว่างมาส่งแล้ว ขอลงไปรับของก่อนนะคะ” ผู้ช่วยเลขาฯ เอ่ยขออนุญาตกับกรณ์กิตติที่กำลังก้มอ่านรายละเอียดการประชุมบนหน้าจอไอแพด ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นแล้วเลิกคิ้วประหลาดใจ“ทำไมต้องไปรับของเอง ปกติทางโรงแรมมีพนักงานเอาขึ้นมาส่งไม่ใช่เหรอ”“คือ...น้ำหวานเปลี่ยนร้านค่ะ เป็นร้านเล็ก ๆ ทำขนมแบบโฮมเมดแต่อร่อยมากเลยค่ะ” ผู้ช่วยเลขาฯ รีบตอบ “ตอนที่ประชุมเล็กก็สั่งร้านนี้ค่ะ คุณกรณ์กับท่านประธานก็เคยกินยังบอกว่าอร่อยดีไม่หวานมาก”“ช่างเถอะ” เขาโบกมือไป เขาไม่ใช่คนชอบกินขนมของหวาน กินไปก็รู้แค่ว่าหวานกับไม่หวานแต่อร่อยหรือไม่อร่อยนั้นเขาแทบแยกไม่ออก ชีวิตตอนเด็กยากจนไม่เคยได้กินขนมดี ๆ เลยด้วยซ้ำน้ำหวาน ผู้ช่วยเลขาฯ เห็นว่ากรณ์กิตติไม่ว่าอะไรก็รีบกวักมือเรียกน้องนักศึกษาฝึกงานไปช่วยถือขนม เธอเองก็เพิ่งรู้จักแม่ค้าร้านนี้ได้ไม่นาน แต่พอรู้ว่าแม่ค้าเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวก็อยากอุดหนุนช่วยเหลือเท่าที่พอช่วยได้ นั่นก็คือการสั่งซื้อชุดขนมของว่างจากร้าน ‘อุ่นรักเบเกอรี่’รถญี่ปุ่นคันเล็กของญาดาจอดอยู่หน้าประตูเข้าอาคารใหญ่โตหรูหรา เธอรับออเดอร์จากลูกค้าที่ชื่อน้ำหวานหล
น้ำหวานยิ้มให้และเดินนำไปพบกับกรณ์กิตติที่กำลังสั่งงานลูกน้องอยู่“บอสคะ นี่คุณแม่น้องภีมร้านอุ้มรักเบเกอรี่ค่ะ” น้ำหวานแนะนำอย่างลืมตัว ปกติชอบเรียกชื่อลูกจนลืมชื่อแม่ไปเสียสนิทกรณ์กิตติหันมาแล้วก็ตะลึงงัน เช่นเดียวกับญาดาที่กำลังยกมือไหว้ก็ชะงักไปเช่นกันไม่อยากจะเชื่อ!เป็นไปไม่ได้!แม้ผู้หญิงตรงหน้าจะเปลี่ยนไปมาก แต่ยังคงเค้าโครงหน้าเดิม ผมสั้นประบ่ามีผ้าคาดผมสีชมพูลายดอกไม้เล็ก ๆ เพิ่มความอ่อนหวาน ผิดกับภาพจำที่เขาเคยเห็นซึ่งเป็นสาวเปรี้ยวเปี่ยมด้วยความมั่นใจ แต่ญาดากลับมองเขาด้วยใบหน้าซีดเผือดราวกับเห็นมัจจุราช เธอเลี่ยงที่จะเจอคนรู้จักมาตลอด โดยเฉพาะทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับภัควเดชากรุ๊ป หรือบริษัทนี้จะเป็นหนึ่งในเครือของภัควเดชากรุ๊ป“บอสคะ” น้ำหวานเรียกพลางมองสองคนสลับไปมา ชายหนุ่มเป็นฝ่ายได้สติก่อน เขาปั้นหน้าเย็นชาแล้วกวาดสายตามองอย่างดูแคลนประสบการณ์ชีวิตทำให้ญาดาเจอคนหลายรูปแบบ แม้กับคนที่เธอไม่อยากเจอก็ตาม เธอเชิดใบหน้าขึ้นข่มความรู้สึกหลากหลายภายในไว้ในอกแล้วยกมือไหว้ตามมารยาทก่อนจะยื่นถุงขนมให้“ขอบคุณที
“จะทำยังไงดีพี่เก๋ไก๋”ญาดาร้อนใจจนไม่มีสมาธิทำขนม เธอให้ลูกน้องขายของแทนแล้วตัวเองก็หมกตัวอยู่แต่ในบ้าน รอจนเก๋ไก๋กลับมาจากทำงานจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง“อะไรมันจะบังเอิญได้ขนาดนี้” เก๋ไก๋ยกมือขึ้นทาบอก “พี่ก็บอกแล้วว่าอย่าขี้เหนียวไม่เข้าเรื่อง ถ้าจ้างไรเดอร์ไปส่งคงไม่เจอพ่อของเด็กแบบนี้หรอก”“มาพูดตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วค่ะ” ญาดาอยากร้องไห้ แต่เธอเลิกร้องไห้ตั้งแต่ออกจากบ้านมาแล้ว “ผ่านมาตั้งสี่ปีไม่คิดว่าอยู่ดี ๆ ก็มาเจอกันได้”“ก็คนมันจะเจอกันนี่นะ” เก๋ไก๋ถอนหายใจ“ญาดากลัวเขามาแย่งลูกไป” ตอนนี้ลูกชายหลับแล้วจึงพูดเรื่องนี้ได้ “พี่เก๋ไก๋หาผู้ชายดี ๆ ให้หน่อยซิ จะเอามาโกหกว่าเป็นพ่อของลูก”“ถ้ามีผู้ชายดี ๆ พี่คงเอาไว้เองแล้วล่ะ” เก๋ไก๋เบ้ปาก“งั้นพี่เก๋ไก๋ปลอมตัวเป็นแฟนญาดาหน่อยสิ”“ต๊ายยย! พูดอะไรออกมา เห็นแก่หน้าอกที่ทำมาของฉันหน่อย!” พูดแล้วก็ใช้สองมือประคองหน้าอกคัพซีที่ทำมาพิเศษ “ฉันทำขนาดนี้แล้วจะให้ไปเป็นผู้ชายได้ยังไง แล้วนี้มันยุคไหนแล้ว สมัยนี้ตรวจดีเอ็นเอก็รู้แล้วย่ะ”“แล้วทำยังไงดีพี่เก๋ไก๋”“จะกลั
“ดูไปดูมาเด็กคนนี้ก็หน้าคล้ายคุณกรณ์นะครับ” นักสืบพูดขณะที่กรณ์กิตติเลื่อนภาพจากหน้าจอไอแพด ดูหญิงสาวที่เป็นเจ้าของร้านเบเกอรี่เล็ก ๆ ที่ดูยังไงก็ไม่มีพิษมีภัยอะไร เขาถ่ายรูปและสืบข่าวมารายงานให้กรณ์กิตติทราบตามที่ถูกสั่งงานไว้“หือ?” เขาเงยหน้าขึ้นแล้วก้มมองภาพเด็กชายตัวน้อยที่วิ่งเล่นในร้านเบเกอรี่“ขอโทษครับผมพูดไม่คิด” นักสืบรีบพูดออกมา ทำงานด้วยกันมาหลายปี เห็นหน้านิ่ง ๆ แบบนี้เวลาโหดก็โหดเอาเรื่อง“คิดว่าหน้าคล้ายผมจริง ๆ เหรอ” เขาถามย้ำ“เอ่อ...แค่คล้าย ๆ ครับ ยังเด็กอยู่ดูอะไรไม่ออกหรอกครับ สมัยนี้ตรวจดีเอ็นเอชัดเจนกว่ามานั่งมองหน้ากันอีก”กรณ์กิตติพยักหน้าแล้วให้นักสืบออกไปได้ เขาเลื่อนภาพดูซ้ำไปซ้ำมาแล้วก็เผลอยิ้มอย่างไม่รู้ตัว‘หรือว่าเด็กคนนี้จะเป็นลูกของเขา’ชายหนุ่มถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า คืนนั้นเป็นครั้งแรกของเธอ แต่หลังจากนั้นเล่า เขาเองก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ เขาเองก็ไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัย และข้อมูลที่ได้มาจากนักสืบทำให้รู้ว่าชีวิตญาดาก็ไม่ได้สวยงามอย่างที่เห็นเขาทำงานกับภาวัตมาหลายปีย่อมเจอคนหลากรูปแบบ ครอบครัวแบ
กรณ์กิตติไม่คิดว่าจะมีวันที่ตัวเองจนมุมขนาดนี้ คนที่มั่นใจตัวเองมาตลอดแต่กลับได้แต่นั่งอยู่ในรถแอบมองร้านเบเกอรี่เล็ก ๆ ที่มีลูกค้าแวะเวียนเข้าออกแทบตลอดเวลา เขาสามารถใช้กำลังบังคับขู่เข็นหรือใช้ทนายขู่บังคับให้ญาดามอบลูกมาให้ตรวจดีเอ็นเอ แต่เขากลับทำไม่ได้ เขาต้องการให้เธอพูดกับเขาด้วยความจริงใจรอยยิ้มผุดขึ้นไม่รู้ตัวเมื่อเห็นเด็กชายตัวน้อยวิ่งเล่นในร้าน ความทรงจำในวันวานจึงผุดขึ้น เขาเป็นพี่คนโตที่ต้องช่วยแม่เลี้ยงน้อง ๆ จึงเข้าใจดีว่าการเลี้ยงเด็กไม่ง่ายเลย แล้วนี่...ตามที่สายสืบรายงานมา เธอถูกครอบครัวตัดขาดไม่เหลียวแลมีเพียงเพื่อนรุ่นพี่ที่เป็นสาวประเภทสองให้ความช่วยเหลือ เธอในตอนนั้นจะลำบากขนาดไหน ตอนอุ้มท้องและคลอดลูกเขาปวดใจอย่างบอกไม่ถูก เธอต้องมาอยู่ในสภาพนี้เขาก็มีส่วนผิดควรรับผิดชอบด้วย เขารักญาดาไหม แน่นอนว่าไม่รู้สึก เรื่องในวันนั้นมันเกิดเพราะสถานการณ์บังคับและพาไป หากเธอไม่วางแผนชั่วร้ายเขาก็ไม่ลงมือกับผู้หญิงแบบนั้น แต่หลายวันมานี้ที่เขาแอบมาดูญาดากับลูก แม้จะเห็นรอยยิ้มของสองแม่ลูกอยู่ไกล ๆ แต่กลับสั่นไหวหัวใจของเขาได้อย่างง่ายดายก๊อกๆ
“พี่เก๋ไก๋ช่วยดูร้านกับน้องภีมให้หน่อยนะคะ ญาดาขอคุยกับ...คุณกรณ์สักประเดี๋ยว”“คุณกรณ์?” เก๋ไก๋เคยได้ยินชื่อนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแต่ไม่เคยเห็นหน้าคร่าตา เธอกวาดตามองผู้ชายคนนั้นแล้วก็ยกมือทาบอกอุทานออกมา “อย่าบอกว่าคนนี้คือกรณ์กิตติคู่กรณี...เอ่อ...ช่างเถอะ ๆ ฉันดูหลานกับร้านเอง ถ้ามีอะไรก็ตะโกนเรียกได้เลย ถึงจะเป็นสาวสองแต่แรงเตะฉันเยอะกว่าน้องภีมอยู่แล้ว”กรณ์กิตติได้แต่ยิ้มเจือนรับคำขู่ของอีกฝ่ายอย่างจำนน เขามองเด็กชายตัวน้อยด้วยหัวใจที่เต้นแรงแล้วเดินตามแผ่นหลังของญาดาเข้าในบ้าน เขามองสิ่งรอบตัวอย่างสำรวจ บ้านสองชั้นหลังเล็กที่ดัดแปลงหน้าบ้านเป็นร้าน ‘อุ่นรักเบเกอรี่’ เธอชี้ให้เขานั่งที่โซฟาแล้วเดินไปหยิบน้ำดื่มจากตู้เย็นออกมาส่งให้เขา“ที่นี่ไม่มีห้องรับแขก ตรงนี้เป็นทั้งห้องนั่งเล่น ดูโทรทัศน์แล้วก็กินข้าวรวมทั้งน้องภีมน้องกลางวันด้วยค่ะ”“คุณ...” กรณ์กิตติจนคำพูด จะถามว่าสบายดีไหมก็เหมือนไม่ใช่ประโยคที่ควรใช้ในตอนนี้“ถ้าอยากสมน้ำหน้าก็เชิญค่ะ” เธอพูดเสียงเรียบไม่ใช่ประชดประชัน “ฉันทำตัวเองก็ได้รับกรรมที่ทำไว้แล้ว”“อย่าพูดแบบนั้นสิ เ
สายตาของทุกคนในห้องหันขวับไปมองเจ้าของเสียงดุดันที่ก้าวพรวดพราดเข้ามาอย่างไม่สนใจมารยาท แค่ได้ยินเสียงร้องไห้หัวใจคนเป็นพ่อก็เจ็บปวด เด็กน้อยเห็นคนคุ้นเคยที่ทำให้อุ่นใจก็หยุดร้องแล้วยื่นมือไปสุดแขนความหมายคือต้องการให้กรณ์กิตติอุ้มคนเป็นพ่อไม่รอช้าไม่สนใจหน้าใครทั้งนั้น เขาอุ้มเด็กน้อยขึ้นแนบอกแล้วก้าวมายืนเคียงข้างญาดา“แกเข้ามาในบ้านฉันได้ยังไง ใครอนุญาต ไม่มีมารยาท!” พ่อของญาดาส่งเสียงดังทำให้เด็กชายกลัวจนซุกหน้ากับบ่าของพ่อ“ผมเป็นพ่อของน้องภีม” กรณ์กิตติยังไม่อยากใช้ไม้แข็ง ยังไงก็ไม่อยากให้ครอบครัวมีปัญหาไปมากกว่านี้“แก..แกที่มันทำลายอนาคตของลูกสาวฉัน”“พ่อคะ...ก็บอกแล้วไงว่าเป็นความผิดของญาดาเอง”“นังลูกชั่ว!”“ขอเถอะครับ อย่าพูดหยาบคายและใช้เสียงดังต่อหน้าเด็กแบบนี้” กรณ์กิตติลดน้ำเสียงลงและลูบแผ่นหลังของลูกอย่างปลอบโยน ประโยคของเขาทำให้ผู้ใหญ่ทุกคนเงียบปากลง กรณ์กิตติจึงพูดต่อ“ผมเป็นพ่อของน้องภีมและพร้อมจะรับผิดชอบ แม้ผมไม่ได้ร่ำรวยแต่ก็สามารถเลี้ยงดูลูกเมียได้ ไม่ให้คุณพ่อกับคุณแม่ต้องลำบากใจ”“ไม่ได้นะ ญาดา
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านายจะลางานไปเพราะผู้หญิงคนเดียว”เสียงภาวัตเอ่ยถามทันทีที่เห็นกรณ์กิตติเดินเข้ามาในออฟฟิศ เลขาฯ หนุ่มถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เขายืนประสานมือนิ่งอยู่หน้าเจ้านายของตน“ที่บอกว่าเรื่องด่วนนี่เรื่องอะไรครับ”“เดี๋ยวนี้ฉันเรียกนาย ต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ”“มันยังอยู่ในวันลาพักของผมครับ”กรณ์กิตติตอบน้ำเสียงราบเรียบไม่ได้คิดกระด้างกระเดื่องผู้เป็นนายแต่อย่างใด เพียงแต่ตอนนี้เขามีลูกและเมียที่ต้องดูแล ไม่สามารถทุ่มเทเวลาทั้งหมดเพื่อเจ้านายได้ภาวัตยื่นซองจดหมายส่งให้ บนหน้าซองมีโลโก้ของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งที่ กรณ์กิตติเห็นก็จำได้ทันทีว่าเป็นโรงพยาบาลที่ตรวจดีเอ็นเอของเขาและลูก“เจ้านายครับ...” กรณ์กิตติพูดน้ำเสียงเคร่งเครียด“ทำไมฉันถึงมีซองจดหมายนี้ใช่ไหม จริง ๆ ฉันไม่อยากก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวนาย แต่อยากรู้ว่าทำไมอยู่ ๆ นายถึงหยุดงานไปเป็นเดือน”“ผมไม่เคยคิดทรยศหักหลังเจ้านาย” เขาพูดไปตามสัตย์จริง“เรื่องนั้นฉันรู้ ฉันมั่นใจว่า นายจะไม่ทำอย่างนั้นกับฉันและภัควเดชา แต่นายรู้หรือเปล่า ผู้หญิงที่นายยุ่งอยู่
เก๋ไก๋เดินลงมาจากชั้นบนหิ้วกระเป๋าสีรุ้งเตรียมไปทำงานต่างจังหวัด ช่วงนี้ได้งานแต่งหน้านักแสดงในกองถ่าย เธอจึงไม่ค่อยได้อยู่บ้านนัก แต่ก่อนเธอมักเป็นห่วงญาดากับลูกที่ต้องอยู่บ้านกันแค่สองคน แต่ตอนนี้ที่บ้านมีผู้ชายตัวโตมาอยู่ด้วย ถึงจะเทียวไปเทียวมาแต่ก็นับได้ว่าดูแลสองแม่ลูกอย่างดีในห้องนั่งเล่นที่เป็นทุกอย่างของบ้าน มีสองหนุ่มต่างวัยกำลังต่อรางรถไฟจำลอง เด็กชายภีมหัวเราะคิกคักปีนหลังขี่คอเล่นสนุกสนาน ดูไปดูมาเหมือนมีเด็กชายสองคนในบ้านเสียมากกว่า“นี่ซื้อมาเอาใจน้องภีมหรือว่าอยากเล่นเองคะ” เก๋ไก๋หัวเราะแล้วชี้ ๆ ไปที่ของเล่นในห้อง“ก็ทั้งซื้อให้ลูกแล้วก็อยากเล่นเองด้วยครับ” กรณ์กิตติหัวเราะเขิน ๆ “ตอนเด็ก ๆ อยากเล่นแต่ไม่มีเงิน พอมีลูกแล้วก็เลยขอเล่นพร้อมลูกเลยแล้วกัน”เก๋ไก๋ได้ยินเขาเรียก ‘ลูก’ อย่างไม่ขัดเขินก็ยิ้มพอใจ “ฝากดูแลสองแม่ลูกด้วยนะคะ เก๋ไก๋ไปทำงานสามสี่วันถึงจะกลับ”“ได้ครับ ไม่ต้องห่วงแล้วถ้าติดขัดอะไรหรือจะให้ไปรับก็โทรบอกได้นะครับ นั่งแท็กซี่ดึก ๆ มันอันตราย”“ต๊ายรู้ว่าฉันกลับดึกด้วย” เก๋ไก๋หัวเราะร่า “คุณก็รู้ว่าฉันเป็นสาว
กลายเป็นภาพไม่คุ้นตาเมื่อหน้าร้านอุ่นรักเบเกอรี่มีพนักงานขายเป็นผู้ชายตัวโต วันแรก ๆ ทำหน้านิ่งเคร่งขรึมจนลูกค้านึกว่าเป็นพวกเจ้าหนี้นอกระบบ“นี่คุณจะมาช่วยหรือไล่ลูกค้า”ญาดาดุกรณ์กิตติ เขาขออาสาเป็นผู้ช่วยในร้านของเธอ หญิงสาวจำได้ว่าวันแรกที่เห็นเขาโผล่หน้ามาแต่เช้าและบอกวัตถุประสงค์ที่มา เธอกวาดตามองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า คนตัวสูงสวมเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์แบบที่เธอไม่เคยเห็น สลัดภาพเลขาฯ หนุ่มที่สวมสูทเนี้ยบตลอดเวลา เธอให้เขามาช่วยงานเพราะคิดว่าเขาคงทำได้ไม่กี่วันก็คงหายไปจากชีวิตเธอเอง วันแรกก็ถูกเธอดุยกใหญ่แต่เขาก็ไม่โกรธหรือหัวเสียใส่แค่ยิ้มและขอโทษพร้อมทั้งปรับปรุงไม่ทำผิดซ้ำอีก ไป ๆ มา ๆ เขามาช่วยงานเธอเป็นสัปดาห์จนเธอนึกว่าเขาลาออกจากงานแล้ว“ผมลาพักร้อน” เขายิ้ม ตั้งใจว่าจะใช้เวลาช่วงนี้ตีสนิทกับลูกชายเสียหน่อย ยังไงก็เป็นแค่เด็กแม้จะหวงแม่มากไปนิดแต่เขาเชื่อว่าสามารถพิชิตใจลูกชายได้ เพราะตอนนี้น้องภีมก็ไม่ได้ทำหน้าตึงใส่เขาแล้ว แม้จะมีบ้างที่ยังลังเลเวลาเขาซื้อของเล่นมาให้“แล้วถ้าหมดวันลาพักร้อนล่ะ” เธอถามแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจนัก แต่ลึก ๆ แล้ว ก
“ไหน ๆ ก็มาโรงพยาบาลแล้ว ตรวจดีเอ็นเอไปด้วยเลยแล้วกัน”“ค่ะ” เธออยากทำให้เขาสบายใจไม่ใช่คิดว่าเธอไปมั่วกับคนอื่นแล้วมาปรักปรำให้เขาเป็นพ่อของน้องภีมทั้งสามใช้เวลาอยู่โรงพยาบาลเอกชนไม่กี่ชั่วโมงก็เสร็จธุระ เด็กชายภีมมีแค่แผลถลอกเล็กน้อยทุกอย่างปกติดี ส่วนผลตรวจดีเอ็นเอใช้เวลาประมาณยี่สิบวัน ไหน ๆ ก็ได้ตรวจแล้ว กรณ์กิตติจึงเลือกฟลูโปรแกรมตรวจสุขภาพเด็กไปด้วยวันนี้มีเรื่องมากมาย เจ้าตัวน้อยเริ่มง่วงแล้วนั่งรถก็คอพับคออ่อนตลอดทาง กรณ์กิตติก็นึกได้ว่าตัวเองคงต้องเอารถไปติดคาร์ซีทให้ลูก“ขอบคุณที่มาส่งแล้วก็จัดการเรื่องค่าใช้จ่ายด้วยค่ะ”ญาดาเอ่ยขึ้นแล้วจะปลุกลูกเพื่อลงจากรถ สองแม่ลูกนั่งเบาะหลังจึงเหมือนกรณ์กิตติเป็นคนขับรถให้ ชายหนุ่มรีบห้ามไว้ก่อนแล้วเดินลงไปอุ้มเด็กน้อยด้วยตัวเอง“เด็กหลับอยู่ให้เขาหลับไปเถอะ ตื่นตอนนี้ก็งอแงเปล่า ๆ”“เคยเลี้ยงเด็กหรือคะ”“ผมช่วยแม่เลี้ยงน้องสองคน สมัยนั้นไม่มีผ้าอ้อมสำเร็จรูป ผมต้องซักผ้าอ้อมให้น้อง ๆ” เขายิ้มขำแล้วอุ้มลูกชายพาเดินเข้าไปในบ้าน และพาลูกชายไปนอนบนเตียง“ห้องแคบไปหน่อยนะ”
แม้จะมีแค่แผลถลอกเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่กรณ์กิตติก็ขอให้ทางโรงพยาบาลตรวจอย่างละเอียด ระหว่างที่ยืนรอหน้าห้องเอ็กซเรย์ ชายหนุ่มชำเลืองมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ คงเพราะความเป็นแม่ทำให้เธอไม่โต้แย้งเขาเมื่อเสนอให้ตรวจอย่างละเอียด“ญาดา” กรณ์กิตติเรียกเบา ๆ “เราต้องคุยเรื่องน้องภีมอย่างจริงจัง”“เพื่ออะไรคะ” เธอหันมาถามรู้สึกปวดใจอย่างบอกไม่ถูก “เราไม่ได้เป็นอะไรกัน เรื่องคืนนั้นมันก็เป็นความผิดของฉัน มันจบลงแล้ว คุณไม่ต้องมาวุ่นวายอะไรอีก”“เด็กคนนั้นเป็นลูกผมใช่ไหม”“คุณมั่นใจเหรอว่าผู้หญิงอย่างฉันไม่ได้มั่วกับคนอื่น”“ญาดา เราคุยกันด้วยเหตุผลได้ไหม”“ถ้าอย่างนั้นคุณบอกเหตุผลที่คุณอยากรู้ว่าน้องภีมเป็นลูกใครได้ไหมล่ะ ถ้าน้องภีมเป็นลูกคุณ คุณจะทำยังไง”“ผมก็ต้องรับผิดชอบสิ”“รับผิดชอบยังไงคะ”“ก็ค่าเลี้ยงดู ค่าเทอม ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ”คราวนี้ญาดาผ่อนลมหายใจออกมา “คุณไม่ได้จะมาเอาลูกไปจากฉันใช่ไหม”“ผมไม่ได้คิดแบบนั้น” เขาเข้าใจดี ถ้าเขาเอาลูกไปเธอคงคลั่งแน่ แค่เมื่อครู่เขาแย่งอุ้มลูกเอง เธอก็ทำท่าจะขย้ำเขาแล้ว แล้วเข
“พี่เก๋ไก๋ช่วยดูร้านกับน้องภีมให้หน่อยนะคะ ญาดาขอคุยกับ...คุณกรณ์สักประเดี๋ยว”“คุณกรณ์?” เก๋ไก๋เคยได้ยินชื่อนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแต่ไม่เคยเห็นหน้าคร่าตา เธอกวาดตามองผู้ชายคนนั้นแล้วก็ยกมือทาบอกอุทานออกมา “อย่าบอกว่าคนนี้คือกรณ์กิตติคู่กรณี...เอ่อ...ช่างเถอะ ๆ ฉันดูหลานกับร้านเอง ถ้ามีอะไรก็ตะโกนเรียกได้เลย ถึงจะเป็นสาวสองแต่แรงเตะฉันเยอะกว่าน้องภีมอยู่แล้ว”กรณ์กิตติได้แต่ยิ้มเจือนรับคำขู่ของอีกฝ่ายอย่างจำนน เขามองเด็กชายตัวน้อยด้วยหัวใจที่เต้นแรงแล้วเดินตามแผ่นหลังของญาดาเข้าในบ้าน เขามองสิ่งรอบตัวอย่างสำรวจ บ้านสองชั้นหลังเล็กที่ดัดแปลงหน้าบ้านเป็นร้าน ‘อุ่นรักเบเกอรี่’ เธอชี้ให้เขานั่งที่โซฟาแล้วเดินไปหยิบน้ำดื่มจากตู้เย็นออกมาส่งให้เขา“ที่นี่ไม่มีห้องรับแขก ตรงนี้เป็นทั้งห้องนั่งเล่น ดูโทรทัศน์แล้วก็กินข้าวรวมทั้งน้องภีมน้องกลางวันด้วยค่ะ”“คุณ...” กรณ์กิตติจนคำพูด จะถามว่าสบายดีไหมก็เหมือนไม่ใช่ประโยคที่ควรใช้ในตอนนี้“ถ้าอยากสมน้ำหน้าก็เชิญค่ะ” เธอพูดเสียงเรียบไม่ใช่ประชดประชัน “ฉันทำตัวเองก็ได้รับกรรมที่ทำไว้แล้ว”“อย่าพูดแบบนั้นสิ เ
กรณ์กิตติไม่คิดว่าจะมีวันที่ตัวเองจนมุมขนาดนี้ คนที่มั่นใจตัวเองมาตลอดแต่กลับได้แต่นั่งอยู่ในรถแอบมองร้านเบเกอรี่เล็ก ๆ ที่มีลูกค้าแวะเวียนเข้าออกแทบตลอดเวลา เขาสามารถใช้กำลังบังคับขู่เข็นหรือใช้ทนายขู่บังคับให้ญาดามอบลูกมาให้ตรวจดีเอ็นเอ แต่เขากลับทำไม่ได้ เขาต้องการให้เธอพูดกับเขาด้วยความจริงใจรอยยิ้มผุดขึ้นไม่รู้ตัวเมื่อเห็นเด็กชายตัวน้อยวิ่งเล่นในร้าน ความทรงจำในวันวานจึงผุดขึ้น เขาเป็นพี่คนโตที่ต้องช่วยแม่เลี้ยงน้อง ๆ จึงเข้าใจดีว่าการเลี้ยงเด็กไม่ง่ายเลย แล้วนี่...ตามที่สายสืบรายงานมา เธอถูกครอบครัวตัดขาดไม่เหลียวแลมีเพียงเพื่อนรุ่นพี่ที่เป็นสาวประเภทสองให้ความช่วยเหลือ เธอในตอนนั้นจะลำบากขนาดไหน ตอนอุ้มท้องและคลอดลูกเขาปวดใจอย่างบอกไม่ถูก เธอต้องมาอยู่ในสภาพนี้เขาก็มีส่วนผิดควรรับผิดชอบด้วย เขารักญาดาไหม แน่นอนว่าไม่รู้สึก เรื่องในวันนั้นมันเกิดเพราะสถานการณ์บังคับและพาไป หากเธอไม่วางแผนชั่วร้ายเขาก็ไม่ลงมือกับผู้หญิงแบบนั้น แต่หลายวันมานี้ที่เขาแอบมาดูญาดากับลูก แม้จะเห็นรอยยิ้มของสองแม่ลูกอยู่ไกล ๆ แต่กลับสั่นไหวหัวใจของเขาได้อย่างง่ายดายก๊อกๆ
“ดูไปดูมาเด็กคนนี้ก็หน้าคล้ายคุณกรณ์นะครับ” นักสืบพูดขณะที่กรณ์กิตติเลื่อนภาพจากหน้าจอไอแพด ดูหญิงสาวที่เป็นเจ้าของร้านเบเกอรี่เล็ก ๆ ที่ดูยังไงก็ไม่มีพิษมีภัยอะไร เขาถ่ายรูปและสืบข่าวมารายงานให้กรณ์กิตติทราบตามที่ถูกสั่งงานไว้“หือ?” เขาเงยหน้าขึ้นแล้วก้มมองภาพเด็กชายตัวน้อยที่วิ่งเล่นในร้านเบเกอรี่“ขอโทษครับผมพูดไม่คิด” นักสืบรีบพูดออกมา ทำงานด้วยกันมาหลายปี เห็นหน้านิ่ง ๆ แบบนี้เวลาโหดก็โหดเอาเรื่อง“คิดว่าหน้าคล้ายผมจริง ๆ เหรอ” เขาถามย้ำ“เอ่อ...แค่คล้าย ๆ ครับ ยังเด็กอยู่ดูอะไรไม่ออกหรอกครับ สมัยนี้ตรวจดีเอ็นเอชัดเจนกว่ามานั่งมองหน้ากันอีก”กรณ์กิตติพยักหน้าแล้วให้นักสืบออกไปได้ เขาเลื่อนภาพดูซ้ำไปซ้ำมาแล้วก็เผลอยิ้มอย่างไม่รู้ตัว‘หรือว่าเด็กคนนี้จะเป็นลูกของเขา’ชายหนุ่มถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า คืนนั้นเป็นครั้งแรกของเธอ แต่หลังจากนั้นเล่า เขาเองก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ เขาเองก็ไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัย และข้อมูลที่ได้มาจากนักสืบทำให้รู้ว่าชีวิตญาดาก็ไม่ได้สวยงามอย่างที่เห็นเขาทำงานกับภาวัตมาหลายปีย่อมเจอคนหลากรูปแบบ ครอบครัวแบ