“ไหน ๆ ก็มาโรงพยาบาลแล้ว ตรวจดีเอ็นเอไปด้วยเลยแล้วกัน”
“ค่ะ” เธออยากทำให้เขาสบายใจไม่ใช่คิดว่าเธอไปมั่วกับคนอื่นแล้วมาปรักปรำให้เขาเป็นพ่อของน้องภีม
ทั้งสามใช้เวลาอยู่โรงพยาบาลเอกชนไม่กี่ชั่วโมงก็เสร็จธุระ เด็กชายภีมมีแค่แผลถลอกเล็กน้อยทุกอย่างปกติดี ส่วนผลตรวจดีเอ็นเอใช้เวลาประมาณยี่สิบวัน ไหน ๆ ก็ได้ตรวจแล้ว กรณ์กิตติจึงเลือกฟลูโปรแกรมตรวจสุขภาพเด็กไปด้วย
วันนี้มีเรื่องมากมาย เจ้าตัวน้อยเริ่มง่วงแล้วนั่งรถก็คอพับคออ่อนตลอดทาง กรณ์กิตติก็นึกได้ว่าตัวเองคงต้องเอารถไปติดคาร์ซีทให้ลูก
“ขอบคุณที่มาส่งแล้วก็จัดการเรื่องค่าใช้จ่ายด้วยค่ะ”
ญาดาเอ่ยขึ้นแล้วจะปลุกลูกเพื่อลงจากรถ สองแม่ลูกนั่งเบาะหลังจึงเหมือนกรณ์กิตติเป็นคนขับรถให้ ชายหนุ่มรีบห้ามไว้ก่อนแล้วเดินลงไปอุ้มเด็กน้อยด้วยตัวเอง
“เด็กหลับอยู่ให้เขาหลับไปเถอะ ตื่นตอนนี้ก็งอแงเปล่า ๆ”
“เคยเลี้ยงเด็กหรือคะ”
“ผมช่วยแม่เลี้ยงน้องสองคน สมัยนั้นไม่มีผ้าอ้อมสำเร็จรูป ผมต้องซักผ้าอ้อมให้น้อง ๆ” เขายิ้มขำแล้วอุ้มลูกชายพาเดินเข้าไปในบ้าน และพาลูกชายไปนอนบนเตียง
“ห้องแคบไปหน่อยนะ”
กลายเป็นภาพไม่คุ้นตาเมื่อหน้าร้านอุ่นรักเบเกอรี่มีพนักงานขายเป็นผู้ชายตัวโต วันแรก ๆ ทำหน้านิ่งเคร่งขรึมจนลูกค้านึกว่าเป็นพวกเจ้าหนี้นอกระบบ“นี่คุณจะมาช่วยหรือไล่ลูกค้า”ญาดาดุกรณ์กิตติ เขาขออาสาเป็นผู้ช่วยในร้านของเธอ หญิงสาวจำได้ว่าวันแรกที่เห็นเขาโผล่หน้ามาแต่เช้าและบอกวัตถุประสงค์ที่มา เธอกวาดตามองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า คนตัวสูงสวมเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์แบบที่เธอไม่เคยเห็น สลัดภาพเลขาฯ หนุ่มที่สวมสูทเนี้ยบตลอดเวลา เธอให้เขามาช่วยงานเพราะคิดว่าเขาคงทำได้ไม่กี่วันก็คงหายไปจากชีวิตเธอเอง วันแรกก็ถูกเธอดุยกใหญ่แต่เขาก็ไม่โกรธหรือหัวเสียใส่แค่ยิ้มและขอโทษพร้อมทั้งปรับปรุงไม่ทำผิดซ้ำอีก ไป ๆ มา ๆ เขามาช่วยงานเธอเป็นสัปดาห์จนเธอนึกว่าเขาลาออกจากงานแล้ว“ผมลาพักร้อน” เขายิ้ม ตั้งใจว่าจะใช้เวลาช่วงนี้ตีสนิทกับลูกชายเสียหน่อย ยังไงก็เป็นแค่เด็กแม้จะหวงแม่มากไปนิดแต่เขาเชื่อว่าสามารถพิชิตใจลูกชายได้ เพราะตอนนี้น้องภีมก็ไม่ได้ทำหน้าตึงใส่เขาแล้ว แม้จะมีบ้างที่ยังลังเลเวลาเขาซื้อของเล่นมาให้“แล้วถ้าหมดวันลาพักร้อนล่ะ” เธอถามแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจนัก แต่ลึก ๆ แล้ว ก
เก๋ไก๋เดินลงมาจากชั้นบนหิ้วกระเป๋าสีรุ้งเตรียมไปทำงานต่างจังหวัด ช่วงนี้ได้งานแต่งหน้านักแสดงในกองถ่าย เธอจึงไม่ค่อยได้อยู่บ้านนัก แต่ก่อนเธอมักเป็นห่วงญาดากับลูกที่ต้องอยู่บ้านกันแค่สองคน แต่ตอนนี้ที่บ้านมีผู้ชายตัวโตมาอยู่ด้วย ถึงจะเทียวไปเทียวมาแต่ก็นับได้ว่าดูแลสองแม่ลูกอย่างดีในห้องนั่งเล่นที่เป็นทุกอย่างของบ้าน มีสองหนุ่มต่างวัยกำลังต่อรางรถไฟจำลอง เด็กชายภีมหัวเราะคิกคักปีนหลังขี่คอเล่นสนุกสนาน ดูไปดูมาเหมือนมีเด็กชายสองคนในบ้านเสียมากกว่า“นี่ซื้อมาเอาใจน้องภีมหรือว่าอยากเล่นเองคะ” เก๋ไก๋หัวเราะแล้วชี้ ๆ ไปที่ของเล่นในห้อง“ก็ทั้งซื้อให้ลูกแล้วก็อยากเล่นเองด้วยครับ” กรณ์กิตติหัวเราะเขิน ๆ “ตอนเด็ก ๆ อยากเล่นแต่ไม่มีเงิน พอมีลูกแล้วก็เลยขอเล่นพร้อมลูกเลยแล้วกัน”เก๋ไก๋ได้ยินเขาเรียก ‘ลูก’ อย่างไม่ขัดเขินก็ยิ้มพอใจ “ฝากดูแลสองแม่ลูกด้วยนะคะ เก๋ไก๋ไปทำงานสามสี่วันถึงจะกลับ”“ได้ครับ ไม่ต้องห่วงแล้วถ้าติดขัดอะไรหรือจะให้ไปรับก็โทรบอกได้นะครับ นั่งแท็กซี่ดึก ๆ มันอันตราย”“ต๊ายรู้ว่าฉันกลับดึกด้วย” เก๋ไก๋หัวเราะร่า “คุณก็รู้ว่าฉันเป็นสาว
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านายจะลางานไปเพราะผู้หญิงคนเดียว”เสียงภาวัตเอ่ยถามทันทีที่เห็นกรณ์กิตติเดินเข้ามาในออฟฟิศ เลขาฯ หนุ่มถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เขายืนประสานมือนิ่งอยู่หน้าเจ้านายของตน“ที่บอกว่าเรื่องด่วนนี่เรื่องอะไรครับ”“เดี๋ยวนี้ฉันเรียกนาย ต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ”“มันยังอยู่ในวันลาพักของผมครับ”กรณ์กิตติตอบน้ำเสียงราบเรียบไม่ได้คิดกระด้างกระเดื่องผู้เป็นนายแต่อย่างใด เพียงแต่ตอนนี้เขามีลูกและเมียที่ต้องดูแล ไม่สามารถทุ่มเทเวลาทั้งหมดเพื่อเจ้านายได้ภาวัตยื่นซองจดหมายส่งให้ บนหน้าซองมีโลโก้ของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งที่ กรณ์กิตติเห็นก็จำได้ทันทีว่าเป็นโรงพยาบาลที่ตรวจดีเอ็นเอของเขาและลูก“เจ้านายครับ...” กรณ์กิตติพูดน้ำเสียงเคร่งเครียด“ทำไมฉันถึงมีซองจดหมายนี้ใช่ไหม จริง ๆ ฉันไม่อยากก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวนาย แต่อยากรู้ว่าทำไมอยู่ ๆ นายถึงหยุดงานไปเป็นเดือน”“ผมไม่เคยคิดทรยศหักหลังเจ้านาย” เขาพูดไปตามสัตย์จริง“เรื่องนั้นฉันรู้ ฉันมั่นใจว่า นายจะไม่ทำอย่างนั้นกับฉันและภัควเดชา แต่นายรู้หรือเปล่า ผู้หญิงที่นายยุ่งอยู่
สายตาของทุกคนในห้องหันขวับไปมองเจ้าของเสียงดุดันที่ก้าวพรวดพราดเข้ามาอย่างไม่สนใจมารยาท แค่ได้ยินเสียงร้องไห้หัวใจคนเป็นพ่อก็เจ็บปวด เด็กน้อยเห็นคนคุ้นเคยที่ทำให้อุ่นใจก็หยุดร้องแล้วยื่นมือไปสุดแขนความหมายคือต้องการให้กรณ์กิตติอุ้มคนเป็นพ่อไม่รอช้าไม่สนใจหน้าใครทั้งนั้น เขาอุ้มเด็กน้อยขึ้นแนบอกแล้วก้าวมายืนเคียงข้างญาดา“แกเข้ามาในบ้านฉันได้ยังไง ใครอนุญาต ไม่มีมารยาท!” พ่อของญาดาส่งเสียงดังทำให้เด็กชายกลัวจนซุกหน้ากับบ่าของพ่อ“ผมเป็นพ่อของน้องภีม” กรณ์กิตติยังไม่อยากใช้ไม้แข็ง ยังไงก็ไม่อยากให้ครอบครัวมีปัญหาไปมากกว่านี้“แก..แกที่มันทำลายอนาคตของลูกสาวฉัน”“พ่อคะ...ก็บอกแล้วไงว่าเป็นความผิดของญาดาเอง”“นังลูกชั่ว!”“ขอเถอะครับ อย่าพูดหยาบคายและใช้เสียงดังต่อหน้าเด็กแบบนี้” กรณ์กิตติลดน้ำเสียงลงและลูบแผ่นหลังของลูกอย่างปลอบโยน ประโยคของเขาทำให้ผู้ใหญ่ทุกคนเงียบปากลง กรณ์กิตติจึงพูดต่อ“ผมเป็นพ่อของน้องภีมและพร้อมจะรับผิดชอบ แม้ผมไม่ได้ร่ำรวยแต่ก็สามารถเลี้ยงดูลูกเมียได้ ไม่ให้คุณพ่อกับคุณแม่ต้องลำบากใจ”“ไม่ได้นะ ญาดา
“ไอ้ชั่ว!! แกเอาอะไรให้ฉันกินฮะ!” เธอตวาดเขาทันทีที่มือใหญ่ปล่อยให้เป็นอิสระ“ก็ยาแบบเดียวกับที่คุณให้เจ้านายผมกินไงล่ะ...ถ้าผมชั่วคุณมันก็หน้าด้าน ไร้ยางอาย จ้องจับผู้ชายที่มีแฟนแล้ว”กรณ์กิตติด่ากลับอย่างไม่ไว้หน้า มองดูร่างกายที่เริ่มนั่งไม่นิ่งเพราะยาเริ่มออกฤทธิ์“ไหวไหมล่ะ ...ขอร้องผมสิ”“ไม่ ฉันไม่มีวันขอร้องคนอย่างแก”“ตามใจ...ถ้าคุณขอร้องผมจะสนองคุณเอง แต่ถ้าคุณไม่ยอมผมจะเรียกคนข้างนอกมาช่วยให้”กล้องตัวเล็กจับทุกความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นบนเตียง จนกระทั่งเสียงครวญครางเงียบลง ชายหนุ่มทิ้งตัวลงข้างกายและกระชับเธอเข้ามาใกล้ โน้มกระซิบเสียงเย็นริมหู“ถ้าคุณยังวุ่นวายกับเจ้านายผมอีก รับรองว่าคลิปหลุดแน่นอน”“หึ...แกจะต้องอายไปพร้อมกันถ้าแกทำแบบนั้น”“ผมก็แค่เลขาของเจ้านาย ชื่อเสียงก็ไม่มี ผมไม่มีอะไรต้องเสียอยู่แล้ว...อย่าเสี่ยงเลยญาดา คุณก็รู้ว่าผมทำได้จริง”ญาดาพลิกตัวหันหลังหนีด้วยความเจ็บใจที่แผนการพลาดพลั้ง ยังดีที่ไม่ถูกเอาเรื่องถึงตำรวจไม่งั้นพ่อเธอคงโกรธมากกรณ์กิตติมองคนที่หันหนีด้วยยิ้มหยันก่อนจะลุกขึ้นแต่งตัวออกจากห้องไปพร้อมกับกล้องตัวนั้น โดยไม่สนใจเธออีก-- -- -- --
กรณ์กิตติคือเลขาฯ ของภาวัต ภาพจำของทุกคนคือชายหนุ่มท่าทีทะมัดทะแมงเป็นเลขาฯ สายลุยและเป็นมือขวาจัดการทุกสิ่งตามที่ภาวัตสั่ง ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว คำว่า ‘พลาด’ ไม่มีอยู่ในพจนานุกรมของผู้ชายที่ชื่อกรณ์กิตติ ทว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปเพราะเรื่องในคืนนั้น‘ขะ...ขอร้อง...ฉันต้องการ...คุณ’เรื่องราวในครั้งนั้นผ่านมาสี่ปีแล้ว แต่เสียงของผู้หญิงคนนั้นยังคงอยู่ เพียงแค่หลับตาภาพของเธอก็จะปรากฏขึ้นรบกวนจิตใจของเขาอยู่เสมอ“คุณกรณ์ขา” เสียงหวานเรียกทำให้ชายหนุ่มตื่นจากภวังค์ มือที่ถือแก้วเหล้าในมือค้างไว้อยู่นานจนน้ำแข็งเริ่มละลายแล้ว“หืม? ว่าไง” กรณ์กิตติแกว่งแก้วเหล้าในมือ ทำท่าจะยกขึ้นดื่มแต่หญิงสาวที่นุ่งน้อยห่มน้อยยื่นมือไปคว้าแก้วของเขาไว้ก่อน“น้ำแข็งละลายแล้วไม่อร่อย มีมี่ชงให้ใหม่ดีกว่าค่ะ”หญิงสาวที่เรียกตัวเองว่ามีมี่พูดขึ้นแล้วทำท่าจะเปลี่ยนแก้วเหล้าให้ชายหนุ่มที่เรียกเธอมาบริการแบบพิเศษ แต่อยู่ในห้องแบบVIPมาตั้งนานสองนานก็ไม่เห็นท่าทีเขาจะทำอะไรนอกจากนั่งฟังเพลงและนาน ๆ จะยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นจิบสักที สำหรับสาวเอ็นฯ อย่างเธอทำงานรายชั่วโมงก็นับได้ว่าได้กำไรแบบไม่ต้องเปลืองเนื้อเ
ผู้หญิงร้อนร่านขนาดนั้นแต่กลับเป็นสาวพรหมจรรย์ เขาไม่อยากจะเชื่อ ถ้าไม่เพราะ...คราบเลือดจาง ๆ ที่ทิ้งไว้บนเตียงนอนสี่ปี!ผ่านมาสี่ปี แต่เขากลับลืมเธอไม่ได้ ความเงอะงะไร้เดียงสาแต่ต้องพยายามร่วมรักเพราะฤทธิ์ยาปลุกเซ็กซ์ของตัวเอง แต่กลับไม่ได้ใช้กับภาวัตอย่างที่วางแผนไว้ เป็นเขาที่รับหน้าที่แทน แน่นอนว่าหญิงสาวไม่เต็มใจ พยายามต่อสู้กับความรู้สึกภายในอย่างสุดกำลัง เธอกัดริมฝีปากจนแทบห้อเลือด และสุดท้ายก็พ่ายกับความปรารถาที่เอ่อล้น และเพราะคำขู่ของเขา หากเธอไม่ยอม เขาก็จะเรียกลูกน้องมาบริการให้ เขาจึงกลายเป็นตัวเลือกที่เธอจำยอมกรณ์กิตติแอบตั้งกล้องบันทึกภาพไว้ทั้งหมด เผื่อว่าผู้หญิงร้าย ๆ คนนั้นจะไม่ยอมลามือจากเจ้านายของเขา แต่หลังจากพายุอารมณ์พัดผ่าน เธอก็ยันตัวขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรงรีบสวมเสื้อผ้าแล้วก้าวออกไปโดยไม่หันมามองเขา ชายหนุ่มยังจำแผ่นหลังของเธอได้ดี วันเวลาผ่านมา สิ่งที่เขากังวลไม่เกิดขึ้น เธอเงียบหายไปราวกับไม่เคยเกิดเรื่องในคืนนั้นแต่กลับกลายเป็นเขาที่เฝ้าโหยผู้หญิงคนนั้นบ้าชะมัด! ทำไมมันเป็นแบบนี้ไปได้กรณ์กิตติหงุดหงิดรำคาญตัวเองขึ้นมาในทันที เขายกแก้วเหล้าในมือดื่มจนหมด
หญิงสาวถอนหายใจหนัก ๆ แต่เมื่อเห็นลูกชายวัยสามขวบก็ทำให้เธอยิ้มออกมาได้ทันที เด็กชายตัวน้อยมองเห็นผู้เป็นแม่ก็ยื่นมือออกไปสุดแขน เธอจึงยื่นมือออกไปรับลูกชายมาอุ้มไว้แนบอก“ขอบคุณค่ะพี่เก๋ไก๋” ญาดาพูดด้วยความจริงใจ สาวสองรูปร่างสูงเพรียวคลี่ยิ้มกว้างแล้วยื่นมือบีบแก้มป่องนุ่ม ๆ ของเด็กชายตัวน้อยที่หัวเราะคิกคัก“น้องภีมเป็นเด็กดี ใคร ๆ ก็รักจ้ะ” เก๋ไก๋เป็นสาวประเภทสองที่ศัลยกรรมมาทั้งตัว เธอรู้สึกว่าตัวเองก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งเพียงแค่มีลูกไม่ได้เท่านั้น“ไม่ได้พี่เก๋ไก๋ช่วย ญาดาต้องแย่แน่ ๆ เลยค่ะ พี่เลี้ยงก็กลับบ้านต่างจังหวัดด้วย”“แหม...พูดเป็นคนอื่นคนไกลไปได้ พี่เองถ้าไม่ได้น้องญาดาช่วยก็คงไม่มีทุกวันนี้”“พูดแต่เรื่องบุญคุณเหมือนซีรีส์จีนเลยนะพี่” ญาดาหัวเราะ “เสร็จธุระแล้ว กลับบ้านด้วยกันเลยไหมคะ”“กลับไปก่อนเลยจ้ะ ไหน ๆ มาแล้วพี่แล้วขอทักทายเพื่อนที่ทำงานที่นี่หน่อย”“ได้ค่ะ งั้นญาดากับน้องภีมกลับก่อนนะคะ”“ขับรถดี ๆ นะ”“ค่ะ น้องภีมไหว้พี่เก๋ไก๋สิลูก” ไม่ได้สอนผิดแต่เจ้าตัวไม่ยอมแก่จึงให้เด็กน้อยเรียกตัวเองว่าพี่แทนคำว่าป้าเด็กชายตัวน้อยยกมือป้อม ๆ ไหว้ตามที่คุณแม่สอน แล้วทั้งส
สายตาของทุกคนในห้องหันขวับไปมองเจ้าของเสียงดุดันที่ก้าวพรวดพราดเข้ามาอย่างไม่สนใจมารยาท แค่ได้ยินเสียงร้องไห้หัวใจคนเป็นพ่อก็เจ็บปวด เด็กน้อยเห็นคนคุ้นเคยที่ทำให้อุ่นใจก็หยุดร้องแล้วยื่นมือไปสุดแขนความหมายคือต้องการให้กรณ์กิตติอุ้มคนเป็นพ่อไม่รอช้าไม่สนใจหน้าใครทั้งนั้น เขาอุ้มเด็กน้อยขึ้นแนบอกแล้วก้าวมายืนเคียงข้างญาดา“แกเข้ามาในบ้านฉันได้ยังไง ใครอนุญาต ไม่มีมารยาท!” พ่อของญาดาส่งเสียงดังทำให้เด็กชายกลัวจนซุกหน้ากับบ่าของพ่อ“ผมเป็นพ่อของน้องภีม” กรณ์กิตติยังไม่อยากใช้ไม้แข็ง ยังไงก็ไม่อยากให้ครอบครัวมีปัญหาไปมากกว่านี้“แก..แกที่มันทำลายอนาคตของลูกสาวฉัน”“พ่อคะ...ก็บอกแล้วไงว่าเป็นความผิดของญาดาเอง”“นังลูกชั่ว!”“ขอเถอะครับ อย่าพูดหยาบคายและใช้เสียงดังต่อหน้าเด็กแบบนี้” กรณ์กิตติลดน้ำเสียงลงและลูบแผ่นหลังของลูกอย่างปลอบโยน ประโยคของเขาทำให้ผู้ใหญ่ทุกคนเงียบปากลง กรณ์กิตติจึงพูดต่อ“ผมเป็นพ่อของน้องภีมและพร้อมจะรับผิดชอบ แม้ผมไม่ได้ร่ำรวยแต่ก็สามารถเลี้ยงดูลูกเมียได้ ไม่ให้คุณพ่อกับคุณแม่ต้องลำบากใจ”“ไม่ได้นะ ญาดา
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านายจะลางานไปเพราะผู้หญิงคนเดียว”เสียงภาวัตเอ่ยถามทันทีที่เห็นกรณ์กิตติเดินเข้ามาในออฟฟิศ เลขาฯ หนุ่มถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เขายืนประสานมือนิ่งอยู่หน้าเจ้านายของตน“ที่บอกว่าเรื่องด่วนนี่เรื่องอะไรครับ”“เดี๋ยวนี้ฉันเรียกนาย ต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ”“มันยังอยู่ในวันลาพักของผมครับ”กรณ์กิตติตอบน้ำเสียงราบเรียบไม่ได้คิดกระด้างกระเดื่องผู้เป็นนายแต่อย่างใด เพียงแต่ตอนนี้เขามีลูกและเมียที่ต้องดูแล ไม่สามารถทุ่มเทเวลาทั้งหมดเพื่อเจ้านายได้ภาวัตยื่นซองจดหมายส่งให้ บนหน้าซองมีโลโก้ของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งที่ กรณ์กิตติเห็นก็จำได้ทันทีว่าเป็นโรงพยาบาลที่ตรวจดีเอ็นเอของเขาและลูก“เจ้านายครับ...” กรณ์กิตติพูดน้ำเสียงเคร่งเครียด“ทำไมฉันถึงมีซองจดหมายนี้ใช่ไหม จริง ๆ ฉันไม่อยากก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวนาย แต่อยากรู้ว่าทำไมอยู่ ๆ นายถึงหยุดงานไปเป็นเดือน”“ผมไม่เคยคิดทรยศหักหลังเจ้านาย” เขาพูดไปตามสัตย์จริง“เรื่องนั้นฉันรู้ ฉันมั่นใจว่า นายจะไม่ทำอย่างนั้นกับฉันและภัควเดชา แต่นายรู้หรือเปล่า ผู้หญิงที่นายยุ่งอยู่
เก๋ไก๋เดินลงมาจากชั้นบนหิ้วกระเป๋าสีรุ้งเตรียมไปทำงานต่างจังหวัด ช่วงนี้ได้งานแต่งหน้านักแสดงในกองถ่าย เธอจึงไม่ค่อยได้อยู่บ้านนัก แต่ก่อนเธอมักเป็นห่วงญาดากับลูกที่ต้องอยู่บ้านกันแค่สองคน แต่ตอนนี้ที่บ้านมีผู้ชายตัวโตมาอยู่ด้วย ถึงจะเทียวไปเทียวมาแต่ก็นับได้ว่าดูแลสองแม่ลูกอย่างดีในห้องนั่งเล่นที่เป็นทุกอย่างของบ้าน มีสองหนุ่มต่างวัยกำลังต่อรางรถไฟจำลอง เด็กชายภีมหัวเราะคิกคักปีนหลังขี่คอเล่นสนุกสนาน ดูไปดูมาเหมือนมีเด็กชายสองคนในบ้านเสียมากกว่า“นี่ซื้อมาเอาใจน้องภีมหรือว่าอยากเล่นเองคะ” เก๋ไก๋หัวเราะแล้วชี้ ๆ ไปที่ของเล่นในห้อง“ก็ทั้งซื้อให้ลูกแล้วก็อยากเล่นเองด้วยครับ” กรณ์กิตติหัวเราะเขิน ๆ “ตอนเด็ก ๆ อยากเล่นแต่ไม่มีเงิน พอมีลูกแล้วก็เลยขอเล่นพร้อมลูกเลยแล้วกัน”เก๋ไก๋ได้ยินเขาเรียก ‘ลูก’ อย่างไม่ขัดเขินก็ยิ้มพอใจ “ฝากดูแลสองแม่ลูกด้วยนะคะ เก๋ไก๋ไปทำงานสามสี่วันถึงจะกลับ”“ได้ครับ ไม่ต้องห่วงแล้วถ้าติดขัดอะไรหรือจะให้ไปรับก็โทรบอกได้นะครับ นั่งแท็กซี่ดึก ๆ มันอันตราย”“ต๊ายรู้ว่าฉันกลับดึกด้วย” เก๋ไก๋หัวเราะร่า “คุณก็รู้ว่าฉันเป็นสาว
กลายเป็นภาพไม่คุ้นตาเมื่อหน้าร้านอุ่นรักเบเกอรี่มีพนักงานขายเป็นผู้ชายตัวโต วันแรก ๆ ทำหน้านิ่งเคร่งขรึมจนลูกค้านึกว่าเป็นพวกเจ้าหนี้นอกระบบ“นี่คุณจะมาช่วยหรือไล่ลูกค้า”ญาดาดุกรณ์กิตติ เขาขออาสาเป็นผู้ช่วยในร้านของเธอ หญิงสาวจำได้ว่าวันแรกที่เห็นเขาโผล่หน้ามาแต่เช้าและบอกวัตถุประสงค์ที่มา เธอกวาดตามองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า คนตัวสูงสวมเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์แบบที่เธอไม่เคยเห็น สลัดภาพเลขาฯ หนุ่มที่สวมสูทเนี้ยบตลอดเวลา เธอให้เขามาช่วยงานเพราะคิดว่าเขาคงทำได้ไม่กี่วันก็คงหายไปจากชีวิตเธอเอง วันแรกก็ถูกเธอดุยกใหญ่แต่เขาก็ไม่โกรธหรือหัวเสียใส่แค่ยิ้มและขอโทษพร้อมทั้งปรับปรุงไม่ทำผิดซ้ำอีก ไป ๆ มา ๆ เขามาช่วยงานเธอเป็นสัปดาห์จนเธอนึกว่าเขาลาออกจากงานแล้ว“ผมลาพักร้อน” เขายิ้ม ตั้งใจว่าจะใช้เวลาช่วงนี้ตีสนิทกับลูกชายเสียหน่อย ยังไงก็เป็นแค่เด็กแม้จะหวงแม่มากไปนิดแต่เขาเชื่อว่าสามารถพิชิตใจลูกชายได้ เพราะตอนนี้น้องภีมก็ไม่ได้ทำหน้าตึงใส่เขาแล้ว แม้จะมีบ้างที่ยังลังเลเวลาเขาซื้อของเล่นมาให้“แล้วถ้าหมดวันลาพักร้อนล่ะ” เธอถามแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจนัก แต่ลึก ๆ แล้ว ก
“ไหน ๆ ก็มาโรงพยาบาลแล้ว ตรวจดีเอ็นเอไปด้วยเลยแล้วกัน”“ค่ะ” เธออยากทำให้เขาสบายใจไม่ใช่คิดว่าเธอไปมั่วกับคนอื่นแล้วมาปรักปรำให้เขาเป็นพ่อของน้องภีมทั้งสามใช้เวลาอยู่โรงพยาบาลเอกชนไม่กี่ชั่วโมงก็เสร็จธุระ เด็กชายภีมมีแค่แผลถลอกเล็กน้อยทุกอย่างปกติดี ส่วนผลตรวจดีเอ็นเอใช้เวลาประมาณยี่สิบวัน ไหน ๆ ก็ได้ตรวจแล้ว กรณ์กิตติจึงเลือกฟลูโปรแกรมตรวจสุขภาพเด็กไปด้วยวันนี้มีเรื่องมากมาย เจ้าตัวน้อยเริ่มง่วงแล้วนั่งรถก็คอพับคออ่อนตลอดทาง กรณ์กิตติก็นึกได้ว่าตัวเองคงต้องเอารถไปติดคาร์ซีทให้ลูก“ขอบคุณที่มาส่งแล้วก็จัดการเรื่องค่าใช้จ่ายด้วยค่ะ”ญาดาเอ่ยขึ้นแล้วจะปลุกลูกเพื่อลงจากรถ สองแม่ลูกนั่งเบาะหลังจึงเหมือนกรณ์กิตติเป็นคนขับรถให้ ชายหนุ่มรีบห้ามไว้ก่อนแล้วเดินลงไปอุ้มเด็กน้อยด้วยตัวเอง“เด็กหลับอยู่ให้เขาหลับไปเถอะ ตื่นตอนนี้ก็งอแงเปล่า ๆ”“เคยเลี้ยงเด็กหรือคะ”“ผมช่วยแม่เลี้ยงน้องสองคน สมัยนั้นไม่มีผ้าอ้อมสำเร็จรูป ผมต้องซักผ้าอ้อมให้น้อง ๆ” เขายิ้มขำแล้วอุ้มลูกชายพาเดินเข้าไปในบ้าน และพาลูกชายไปนอนบนเตียง“ห้องแคบไปหน่อยนะ”
แม้จะมีแค่แผลถลอกเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่กรณ์กิตติก็ขอให้ทางโรงพยาบาลตรวจอย่างละเอียด ระหว่างที่ยืนรอหน้าห้องเอ็กซเรย์ ชายหนุ่มชำเลืองมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ คงเพราะความเป็นแม่ทำให้เธอไม่โต้แย้งเขาเมื่อเสนอให้ตรวจอย่างละเอียด“ญาดา” กรณ์กิตติเรียกเบา ๆ “เราต้องคุยเรื่องน้องภีมอย่างจริงจัง”“เพื่ออะไรคะ” เธอหันมาถามรู้สึกปวดใจอย่างบอกไม่ถูก “เราไม่ได้เป็นอะไรกัน เรื่องคืนนั้นมันก็เป็นความผิดของฉัน มันจบลงแล้ว คุณไม่ต้องมาวุ่นวายอะไรอีก”“เด็กคนนั้นเป็นลูกผมใช่ไหม”“คุณมั่นใจเหรอว่าผู้หญิงอย่างฉันไม่ได้มั่วกับคนอื่น”“ญาดา เราคุยกันด้วยเหตุผลได้ไหม”“ถ้าอย่างนั้นคุณบอกเหตุผลที่คุณอยากรู้ว่าน้องภีมเป็นลูกใครได้ไหมล่ะ ถ้าน้องภีมเป็นลูกคุณ คุณจะทำยังไง”“ผมก็ต้องรับผิดชอบสิ”“รับผิดชอบยังไงคะ”“ก็ค่าเลี้ยงดู ค่าเทอม ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ”คราวนี้ญาดาผ่อนลมหายใจออกมา “คุณไม่ได้จะมาเอาลูกไปจากฉันใช่ไหม”“ผมไม่ได้คิดแบบนั้น” เขาเข้าใจดี ถ้าเขาเอาลูกไปเธอคงคลั่งแน่ แค่เมื่อครู่เขาแย่งอุ้มลูกเอง เธอก็ทำท่าจะขย้ำเขาแล้ว แล้วเข
“พี่เก๋ไก๋ช่วยดูร้านกับน้องภีมให้หน่อยนะคะ ญาดาขอคุยกับ...คุณกรณ์สักประเดี๋ยว”“คุณกรณ์?” เก๋ไก๋เคยได้ยินชื่อนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแต่ไม่เคยเห็นหน้าคร่าตา เธอกวาดตามองผู้ชายคนนั้นแล้วก็ยกมือทาบอกอุทานออกมา “อย่าบอกว่าคนนี้คือกรณ์กิตติคู่กรณี...เอ่อ...ช่างเถอะ ๆ ฉันดูหลานกับร้านเอง ถ้ามีอะไรก็ตะโกนเรียกได้เลย ถึงจะเป็นสาวสองแต่แรงเตะฉันเยอะกว่าน้องภีมอยู่แล้ว”กรณ์กิตติได้แต่ยิ้มเจือนรับคำขู่ของอีกฝ่ายอย่างจำนน เขามองเด็กชายตัวน้อยด้วยหัวใจที่เต้นแรงแล้วเดินตามแผ่นหลังของญาดาเข้าในบ้าน เขามองสิ่งรอบตัวอย่างสำรวจ บ้านสองชั้นหลังเล็กที่ดัดแปลงหน้าบ้านเป็นร้าน ‘อุ่นรักเบเกอรี่’ เธอชี้ให้เขานั่งที่โซฟาแล้วเดินไปหยิบน้ำดื่มจากตู้เย็นออกมาส่งให้เขา“ที่นี่ไม่มีห้องรับแขก ตรงนี้เป็นทั้งห้องนั่งเล่น ดูโทรทัศน์แล้วก็กินข้าวรวมทั้งน้องภีมน้องกลางวันด้วยค่ะ”“คุณ...” กรณ์กิตติจนคำพูด จะถามว่าสบายดีไหมก็เหมือนไม่ใช่ประโยคที่ควรใช้ในตอนนี้“ถ้าอยากสมน้ำหน้าก็เชิญค่ะ” เธอพูดเสียงเรียบไม่ใช่ประชดประชัน “ฉันทำตัวเองก็ได้รับกรรมที่ทำไว้แล้ว”“อย่าพูดแบบนั้นสิ เ
กรณ์กิตติไม่คิดว่าจะมีวันที่ตัวเองจนมุมขนาดนี้ คนที่มั่นใจตัวเองมาตลอดแต่กลับได้แต่นั่งอยู่ในรถแอบมองร้านเบเกอรี่เล็ก ๆ ที่มีลูกค้าแวะเวียนเข้าออกแทบตลอดเวลา เขาสามารถใช้กำลังบังคับขู่เข็นหรือใช้ทนายขู่บังคับให้ญาดามอบลูกมาให้ตรวจดีเอ็นเอ แต่เขากลับทำไม่ได้ เขาต้องการให้เธอพูดกับเขาด้วยความจริงใจรอยยิ้มผุดขึ้นไม่รู้ตัวเมื่อเห็นเด็กชายตัวน้อยวิ่งเล่นในร้าน ความทรงจำในวันวานจึงผุดขึ้น เขาเป็นพี่คนโตที่ต้องช่วยแม่เลี้ยงน้อง ๆ จึงเข้าใจดีว่าการเลี้ยงเด็กไม่ง่ายเลย แล้วนี่...ตามที่สายสืบรายงานมา เธอถูกครอบครัวตัดขาดไม่เหลียวแลมีเพียงเพื่อนรุ่นพี่ที่เป็นสาวประเภทสองให้ความช่วยเหลือ เธอในตอนนั้นจะลำบากขนาดไหน ตอนอุ้มท้องและคลอดลูกเขาปวดใจอย่างบอกไม่ถูก เธอต้องมาอยู่ในสภาพนี้เขาก็มีส่วนผิดควรรับผิดชอบด้วย เขารักญาดาไหม แน่นอนว่าไม่รู้สึก เรื่องในวันนั้นมันเกิดเพราะสถานการณ์บังคับและพาไป หากเธอไม่วางแผนชั่วร้ายเขาก็ไม่ลงมือกับผู้หญิงแบบนั้น แต่หลายวันมานี้ที่เขาแอบมาดูญาดากับลูก แม้จะเห็นรอยยิ้มของสองแม่ลูกอยู่ไกล ๆ แต่กลับสั่นไหวหัวใจของเขาได้อย่างง่ายดายก๊อกๆ
“ดูไปดูมาเด็กคนนี้ก็หน้าคล้ายคุณกรณ์นะครับ” นักสืบพูดขณะที่กรณ์กิตติเลื่อนภาพจากหน้าจอไอแพด ดูหญิงสาวที่เป็นเจ้าของร้านเบเกอรี่เล็ก ๆ ที่ดูยังไงก็ไม่มีพิษมีภัยอะไร เขาถ่ายรูปและสืบข่าวมารายงานให้กรณ์กิตติทราบตามที่ถูกสั่งงานไว้“หือ?” เขาเงยหน้าขึ้นแล้วก้มมองภาพเด็กชายตัวน้อยที่วิ่งเล่นในร้านเบเกอรี่“ขอโทษครับผมพูดไม่คิด” นักสืบรีบพูดออกมา ทำงานด้วยกันมาหลายปี เห็นหน้านิ่ง ๆ แบบนี้เวลาโหดก็โหดเอาเรื่อง“คิดว่าหน้าคล้ายผมจริง ๆ เหรอ” เขาถามย้ำ“เอ่อ...แค่คล้าย ๆ ครับ ยังเด็กอยู่ดูอะไรไม่ออกหรอกครับ สมัยนี้ตรวจดีเอ็นเอชัดเจนกว่ามานั่งมองหน้ากันอีก”กรณ์กิตติพยักหน้าแล้วให้นักสืบออกไปได้ เขาเลื่อนภาพดูซ้ำไปซ้ำมาแล้วก็เผลอยิ้มอย่างไม่รู้ตัว‘หรือว่าเด็กคนนี้จะเป็นลูกของเขา’ชายหนุ่มถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า คืนนั้นเป็นครั้งแรกของเธอ แต่หลังจากนั้นเล่า เขาเองก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ เขาเองก็ไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัย และข้อมูลที่ได้มาจากนักสืบทำให้รู้ว่าชีวิตญาดาก็ไม่ได้สวยงามอย่างที่เห็นเขาทำงานกับภาวัตมาหลายปีย่อมเจอคนหลากรูปแบบ ครอบครัวแบ