หลังจากพายุอารมณ์สงบพร้อมกับทิ้งคราบเลือดจาง ๆ ไว้บนที่นอน เธอรวบรวมเรี่ยงแรงเดินออกมาโดยไม่หันหลังไปมองและไม่สนใจคำขู่ของเขา เธอไม่เหลืออะไรแล้ว ทุกอย่างจบสิ้น เมื่อกลับถึงบ้านและเธอได้สารภาพเรื่องทั้งหมด คนในครอบครัวกลับหัวเสียด่าเธอเสียยกใหญ่ ไม่มีคำให้กำลังใจหรือปลอบโยนใด ๆ มีแต่คำซ้ำเติมถากถาง จนเธอแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ จนกระทั่งวันหนึ่งแม่มาเรียกเธอไปพบและนั่งคุยกับพ่อรวมทั้งพี่ชายสองคน และบอกให้เธอรู้ว่า
“แต่งงานกับเสี่ยสิงห์”
“คะ?”
“ได้ยินชัดแล้วจะถามทำไม” คนเป็นพ่อทำหน้าเบื่อหน่าย
“แต่เสี่ยสิงห์อายุมากกว่าพ่ออีกนะคะ” ญาดาส่ายหน้าไปมา ที่เธอยอมเอาตัวเข้าแลกกับภาวัตเพราะเขาทั้งหล่อและรวย แต่นี่...จะให้เธอแต่งงานกับผู้ชายอายุหกสิบกว่า เธอไม่คิดว่าพ่อกับแม่จะทำกับเธออย่างนี้
“แก่สิดี จะได้ตายเร็ว ทรัพย์สินมรดกก็ตกมาอยู่กับแกไง” แม่พูดขึ้น
“แม่คะ เราหาวิธีประนอมหนี้กับธนาคารได้ไหม ยอมรับสภาพหนี้”
“บ้าสิ! จะให้ใครรู้ว่าเราจนได้ยังไง”
พี่ชายสองคนตวาดเสียงดังจนญาดาเผลอหดคอด้วยความกลัว สิ่งนี้คือความจริงที่คนนอกไม่รู้ เวลามีสัมภาษณ์มีถ่ายภาพครอบครัว ทุกคนจะยิ้มแย้มโอบกอดอย่างรักใคร่กลมเกลียว แต่ในความจริงมันตรงข้าม ตอนนั้นเธอก็ทุ่มเทกับภาวัตสุดกำลังเพื่อหวังจะได้ออกจากครอบครัวนี้ แม้รู้ว่าภาวัตมีผู้หญิงที่คบหาดูใจกันอยู่แล้ว
แม้จะพยายามอ้อนวอนขอร้องยังไงก็ไม่เป็นผล ญาดาต้องมาให้เสี่ยสิงห์ดูตัว เขาเป็นผู้ชายอายุหกสิบห้าที่รูปร่างอ้วนท้วน ศีรษะล้านแต่สวมสร้อยทองเส้นโต เสี่ยสิงห์กวาดตามองเธอขึ้น ๆ ลง ๆ เหมือนกำลังประเมินสินค้า แล้วก็พยักหน้าอย่างพอใจ
“ใช้ได้ ๆ ผอมไปหน่อยแต่ฉันขุนให้อ้วนได้ มาอยู่ดูแลฉัน มาเป็นเมียฉัน แต่ฉันไม่แต่งงานหรอกนะ แค่จดทะเบียนก็พอได้”
“ได้ ๆ แค่เสี่ยพอใจยังไงก็ได้”
“ค่าสินสอดสามสิบล้านขาดตัว ห้ามขอเพิ่มอีก ให้หนูญาดามาอยู่กับฉันแล้วก็ตัดญาติกันไปเลย ฉันไม่เลี้ยงดูคนอื่นหรอกนะ”
“แหม เสี่ยสิงห์ก็...ยังไงก็ลูกมีพ่อมีแม่ก็ให้ญาดามาเยี่ยมครอบครัวบ้าง”
“แค่เยี่ยมมันก็ได้ แต่เรื่องเงินให้แค่นี้คือจบ”
มันไม่เหมือนเงินค่าสินสอดเลยสักนิด เหมือนค่าตัวเธอมากกว่า ญาดากัดริมฝีปากข่มความปวดร้าวในอก เธอจะต้องใช้ชีวิตแบบนี้จริง ๆ หรือ ชีวิตเธอไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้แล้วหรือ
จู่ ๆ หญิงสาวก็รู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมา ยิ่งเมื่อเสี่ยสิงห์ยื่นมือมาเชยคางเธอขึ้น เธอก็ทนกลั้นไม่ไหวเบือนหน้าไปอาเจียนทันที
“ไอ้หยา! นี่มันอะไรกัน”
“คงเครียด เอ่อ ตื่นเต้นน่ะค่ะ” คนเป็นแม่รีบลุกขึ้นมาลูบหลังลูกสาว แต่ญาดายิ่งรู้สึกแย่ลงมากกว่าเดิม หลายวันมานี้เธอกินอะไรไม่ลง คลื่นไส้อาเจียนแต่คิดว่าเป็นเพราะความเครียดที่ถูกจับแต่งงาน
“ไหนบอกลูกสาวแข็งแรงดี มาป่วยอะไรแบบนี้ ไม่เอา ๆ ฉันไม่เลี้ยงคนป่วย” เสี่ยสิงห์พูดด้วยท่าทีรังเกียจ
“ใจเย็น ๆ ครับเสี่ย ลูกสาวผมแข็งแรงดี คงตื่นเต้นที่ได้เจอเสี่ย”
ยิ่งเข้าใกล้ ยิ่งเหม็น ญาดาลุกขึ้นจากเก้าอี้ แต่กลับหน้ามืดหมดสติไป มารู้ตัวอีกทีก็อยู่โรงพยาบาลแล้ว ทันทีที่ลืมตาก็เห็นสีหน้าโกรธเกลียดของพ่อกับแม่
“นังลูกชั่ว เรื่องดีทำไม่ได้ เรื่องงามหน้าละถนัดนัก”
“แม่พูดเรื่องอะไร”
“ไปเอาออกเลย ไอ้ที่อยู่ในท้องแกนั้นนะ ฉันไม่นับมันเป็นหลานเด็ดขาด”
“อะไรนะ!” ญาดาตกใจและยกมือวางบนหน้าท้องตามสัญชาตญาณ ที่พ่อพูดแบบนั้นหมายความ “หนูท้องเหรอ”
“โอ๊ย! อย่ามาทำใสซื่อ แกท้องกับใคร ไอ้เลขาฯ เวรนั่นใช่ไหม” แม่พูดแล้วใช้นิ้วจิ้มหน้าผากแรง ๆ “มันเป็นแค่เลขาฯ เป็นขี้ข้า อย่าเอาเลือดต่ำ ๆ อย่างมันมาแปดเปื้อนครอบครัวเรา”“แม่! แม่จะให้หนูทำแท้งเหรอ”“แล้วจะเก็บไว้ทำไม ไอ้พ่อเด็กมันคงไม่เอาหรอก มันมีคลิปไว้ขู่แบล็กเมล์อยู่แล้วนี่”ญาดาหน้าซีดลงทันที และมันเป็นความจริง ผู้ชายคนนั้นทำไปเพราะต้องการแก้แค้นที่เธอไปทำลายเจ้านายของเขา เขายิ่งไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะเธอเองที่หวังใช้ยาปลุกเซ็กซ์เพื่อจับภาวัต แต่กลับเป็นเธอที่รับกรรมนั้นเองแต่เด็กคนนี้ไม่ผิด เธอทำใจยุติการตั้งครรภ์ไม่ได้“หนูจะเก็บเด็กไว้”“เป็นบ้าไปแล้วเหรอ พูดอะไรออกมา แกจะเลี้ยงลูกไม่มีพ่อได้ยังไง”“หนูจะเลี้ยงลูกของหนูเอง”“ดี! ถ้าอย่างนั้นก็ไสหัวออกจากบ้านไป อย่ามาอยู่ให้เป็นเสนียดบ้านนี้อีก”นั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกพ่อแม่ไล่ออกจากบ้าน แต่เป็นครั้งที่เธอตัดสินใจก้าวออกมาอย่างไร้ความลังเล วันที่ออกจากบ้าน เธอไม่มีเงิน รถยนต์ที่มีหลายคันพ่อแม่ก็ไม่ให้ เธอเก็บเฉพาะเสื้อผ้าและเอกสารจำเป็นไม่กี่ชิ้นใส่กระเป๋าออกจากบ้าน วันที่เธอเคว้งคว้างยกมือขึ้นลูบหน้าท้อ
กลิ่นขนมอบหอมหวนอบอวลในบ้านสองชั้นขนาดเล็กที่เปิดหน้าบ้านเป็นร้านขนมเล็ก ๆ มีตู้โชว์และจัดหน้าร้านสไตล์มินิมอล เพียงแค่ไม่มีบริการนั่งกินที่ร้านเก๋ไก๋เคยได้รับความช่วยจากญาดา ครั้งนั้นครอบครัวเธอมีปัญหาเพียงแค่เธอแสดงออกชัดเจนว่าต้องการเป็นผู้หญิง แต่พ่อไม่เข้าใจไล่เธอกับแม่ออกจากบ้าน ในคราวนั้นเธอเข้าใจว่าปัญหามันเกิดขึ้นเพราะเธอ แต่เมื่อผ่านมาและเติบโตขึ้นจึงรู้ว่า แท้จริงเป็นเพราะพ่อมีผู้หญิงคนใหม่ และใช้เหตุผลที่เธออยากเป็นผู้หญิงไล่แม่กับเธอออกจากบ้าน ในวันที่ไร้คนเห็นใจ ญาดาเป็นน้องรหัสของเธอ เป็นสาวไฮโซที่ใคร ๆ ในคณะก็ป้องปากกระซิบนินทา มีทั้งเรื่องดีและร้าย บางเรื่องก็เกินจริงไปมาก แต่ญาดาก็ไม่ได้สนใจจะแก้ข่าว กลับเชิดหน้าสวย ๆ และใช้ชีวิตอย่างที่เคยเป็นแม่หาบ้านเช่าหลังเล็กใกล้มหาวิทยาลัยเผื่อที่ลูกจะได้ไม่ต้องเดินทางไปมาลำบากและกลับไปทำอาชีพแม่บ้านรับจ้างรายวัน เก๋ไก๋เองก็เริ่มหาเงินด้วยตัวเอง รับแต่งหน้างานต่าง ๆ จนขยับมาเป็นเมคอัพอาร์ติสมีชื่อเสียงในทุกวันนี้แต่ช่วงชีวิตที่ยังไม่เข้าที่เข้าทาง บางเดือนหาเงินมาจ่ายค่าเช่าไม่ทัน เธอวิ่งรอกหลายงาน เริ่มไม่มามหาวิทยาลัยเพรา
แม้ต้องอุ้มท้องโดยไม่มีพ่อของเด็กอยู่ด้วย ญาดาก็ไม่ได้ลำบากอย่างที่กังวลนัก เพราะมีเก๋ไก๋คอยดูแลและยังมีเพื่อน ๆ ของเก๋ไก๋ที่เป็นสาวสองเหมือนกันคอยแวะเวียนมาเยี่ยม ช่วยอุดหนุนขนม หาลูกค้า ทำให้ญาดามีรายได้จากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ด้วยความอร่อยของขนมและมีคนช่วยแนะนำทำให้มีออเดอร์เข้ามาเรื่อย ๆ จนเธอจ้างคนมาช่วยงานในร้านเพิ่มหนึ่งคนแต่เป็นการทำงานแบบไปกลับไม่ได้ประจำอยู่ที่ร้าน ยกเว้นบางครั้งที่ญาดาต้องการคนช่วยเลี้ยงลูกชายตัวน้อย ช่วงเวลาที่เธอไร้ญาติขาดมิตรพ่อแม่พี่ชายไม่สนใจ แต่กลับเป็นช่วงที่มีความสุข ลูกชายก็เป็นเด็กดี แม้เธอจะเคยทำเรื่องเลวร้ายมาก่อนแต่ยังโชคดีที่มีลูกชายที่แสนน่ารักอย่างน้องภีม“น่ากินจัง” เก๋ไก๋ร้องทักทันทีที่เห็นขนมหน้าตาน่ากินอยู่ในกล่องจัดอย่างสวยงาม “ชุดเบรกเหรอ”“ค่ะ ห้าสิบชุด” นอกจากทำขนมแล้ว ญาดายังทำเครื่องดื่มสมุนไพรอีกด้วย เธอได้ไอเดียจากที่ลูกค้าซื้อขนมไปจัดชุดของว่างในห้องประชุม แต่ที่ร้านของเธอไม่มีเครื่องดื่ม จึงได้ลองทำดูและผลก็ออกมาเป็นที่ถูกปากลูกค้า“ขยันจัง มีเวลาพักผ่อนบ้างไหมเนี้ย ระวัง ๆ หน่อย ประเดี๋ยวล้มป่วยไปจะลำบา
“ชุดของว่างมาส่งแล้ว ขอลงไปรับของก่อนนะคะ” ผู้ช่วยเลขาฯ เอ่ยขออนุญาตกับกรณ์กิตติที่กำลังก้มอ่านรายละเอียดการประชุมบนหน้าจอไอแพด ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นแล้วเลิกคิ้วประหลาดใจ“ทำไมต้องไปรับของเอง ปกติทางโรงแรมมีพนักงานเอาขึ้นมาส่งไม่ใช่เหรอ”“คือ...น้ำหวานเปลี่ยนร้านค่ะ เป็นร้านเล็ก ๆ ทำขนมแบบโฮมเมดแต่อร่อยมากเลยค่ะ” ผู้ช่วยเลขาฯ รีบตอบ “ตอนที่ประชุมเล็กก็สั่งร้านนี้ค่ะ คุณกรณ์กับท่านประธานก็เคยกินยังบอกว่าอร่อยดีไม่หวานมาก”“ช่างเถอะ” เขาโบกมือไป เขาไม่ใช่คนชอบกินขนมของหวาน กินไปก็รู้แค่ว่าหวานกับไม่หวานแต่อร่อยหรือไม่อร่อยนั้นเขาแทบแยกไม่ออก ชีวิตตอนเด็กยากจนไม่เคยได้กินขนมดี ๆ เลยด้วยซ้ำน้ำหวาน ผู้ช่วยเลขาฯ เห็นว่ากรณ์กิตติไม่ว่าอะไรก็รีบกวักมือเรียกน้องนักศึกษาฝึกงานไปช่วยถือขนม เธอเองก็เพิ่งรู้จักแม่ค้าร้านนี้ได้ไม่นาน แต่พอรู้ว่าแม่ค้าเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวก็อยากอุดหนุนช่วยเหลือเท่าที่พอช่วยได้ นั่นก็คือการสั่งซื้อชุดขนมของว่างจากร้าน ‘อุ่นรักเบเกอรี่’รถญี่ปุ่นคันเล็กของญาดาจอดอยู่หน้าประตูเข้าอาคารใหญ่โตหรูหรา เธอรับออเดอร์จากลูกค้าที่ชื่อน้ำหวานหล
น้ำหวานยิ้มให้และเดินนำไปพบกับกรณ์กิตติที่กำลังสั่งงานลูกน้องอยู่“บอสคะ นี่คุณแม่น้องภีมร้านอุ้มรักเบเกอรี่ค่ะ” น้ำหวานแนะนำอย่างลืมตัว ปกติชอบเรียกชื่อลูกจนลืมชื่อแม่ไปเสียสนิทกรณ์กิตติหันมาแล้วก็ตะลึงงัน เช่นเดียวกับญาดาที่กำลังยกมือไหว้ก็ชะงักไปเช่นกันไม่อยากจะเชื่อ!เป็นไปไม่ได้!แม้ผู้หญิงตรงหน้าจะเปลี่ยนไปมาก แต่ยังคงเค้าโครงหน้าเดิม ผมสั้นประบ่ามีผ้าคาดผมสีชมพูลายดอกไม้เล็ก ๆ เพิ่มความอ่อนหวาน ผิดกับภาพจำที่เขาเคยเห็นซึ่งเป็นสาวเปรี้ยวเปี่ยมด้วยความมั่นใจ แต่ญาดากลับมองเขาด้วยใบหน้าซีดเผือดราวกับเห็นมัจจุราช เธอเลี่ยงที่จะเจอคนรู้จักมาตลอด โดยเฉพาะทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับภัควเดชากรุ๊ป หรือบริษัทนี้จะเป็นหนึ่งในเครือของภัควเดชากรุ๊ป“บอสคะ” น้ำหวานเรียกพลางมองสองคนสลับไปมา ชายหนุ่มเป็นฝ่ายได้สติก่อน เขาปั้นหน้าเย็นชาแล้วกวาดสายตามองอย่างดูแคลนประสบการณ์ชีวิตทำให้ญาดาเจอคนหลายรูปแบบ แม้กับคนที่เธอไม่อยากเจอก็ตาม เธอเชิดใบหน้าขึ้นข่มความรู้สึกหลากหลายภายในไว้ในอกแล้วยกมือไหว้ตามมารยาทก่อนจะยื่นถุงขนมให้“ขอบคุณที
“จะทำยังไงดีพี่เก๋ไก๋”ญาดาร้อนใจจนไม่มีสมาธิทำขนม เธอให้ลูกน้องขายของแทนแล้วตัวเองก็หมกตัวอยู่แต่ในบ้าน รอจนเก๋ไก๋กลับมาจากทำงานจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง“อะไรมันจะบังเอิญได้ขนาดนี้” เก๋ไก๋ยกมือขึ้นทาบอก “พี่ก็บอกแล้วว่าอย่าขี้เหนียวไม่เข้าเรื่อง ถ้าจ้างไรเดอร์ไปส่งคงไม่เจอพ่อของเด็กแบบนี้หรอก”“มาพูดตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วค่ะ” ญาดาอยากร้องไห้ แต่เธอเลิกร้องไห้ตั้งแต่ออกจากบ้านมาแล้ว “ผ่านมาตั้งสี่ปีไม่คิดว่าอยู่ดี ๆ ก็มาเจอกันได้”“ก็คนมันจะเจอกันนี่นะ” เก๋ไก๋ถอนหายใจ“ญาดากลัวเขามาแย่งลูกไป” ตอนนี้ลูกชายหลับแล้วจึงพูดเรื่องนี้ได้ “พี่เก๋ไก๋หาผู้ชายดี ๆ ให้หน่อยซิ จะเอามาโกหกว่าเป็นพ่อของลูก”“ถ้ามีผู้ชายดี ๆ พี่คงเอาไว้เองแล้วล่ะ” เก๋ไก๋เบ้ปาก“งั้นพี่เก๋ไก๋ปลอมตัวเป็นแฟนญาดาหน่อยสิ”“ต๊ายยย! พูดอะไรออกมา เห็นแก่หน้าอกที่ทำมาของฉันหน่อย!” พูดแล้วก็ใช้สองมือประคองหน้าอกคัพซีที่ทำมาพิเศษ “ฉันทำขนาดนี้แล้วจะให้ไปเป็นผู้ชายได้ยังไง แล้วนี้มันยุคไหนแล้ว สมัยนี้ตรวจดีเอ็นเอก็รู้แล้วย่ะ”“แล้วทำยังไงดีพี่เก๋ไก๋”“จะกลั
“ดูไปดูมาเด็กคนนี้ก็หน้าคล้ายคุณกรณ์นะครับ” นักสืบพูดขณะที่กรณ์กิตติเลื่อนภาพจากหน้าจอไอแพด ดูหญิงสาวที่เป็นเจ้าของร้านเบเกอรี่เล็ก ๆ ที่ดูยังไงก็ไม่มีพิษมีภัยอะไร เขาถ่ายรูปและสืบข่าวมารายงานให้กรณ์กิตติทราบตามที่ถูกสั่งงานไว้“หือ?” เขาเงยหน้าขึ้นแล้วก้มมองภาพเด็กชายตัวน้อยที่วิ่งเล่นในร้านเบเกอรี่“ขอโทษครับผมพูดไม่คิด” นักสืบรีบพูดออกมา ทำงานด้วยกันมาหลายปี เห็นหน้านิ่ง ๆ แบบนี้เวลาโหดก็โหดเอาเรื่อง“คิดว่าหน้าคล้ายผมจริง ๆ เหรอ” เขาถามย้ำ“เอ่อ...แค่คล้าย ๆ ครับ ยังเด็กอยู่ดูอะไรไม่ออกหรอกครับ สมัยนี้ตรวจดีเอ็นเอชัดเจนกว่ามานั่งมองหน้ากันอีก”กรณ์กิตติพยักหน้าแล้วให้นักสืบออกไปได้ เขาเลื่อนภาพดูซ้ำไปซ้ำมาแล้วก็เผลอยิ้มอย่างไม่รู้ตัว‘หรือว่าเด็กคนนี้จะเป็นลูกของเขา’ชายหนุ่มถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า คืนนั้นเป็นครั้งแรกของเธอ แต่หลังจากนั้นเล่า เขาเองก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ เขาเองก็ไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัย และข้อมูลที่ได้มาจากนักสืบทำให้รู้ว่าชีวิตญาดาก็ไม่ได้สวยงามอย่างที่เห็นเขาทำงานกับภาวัตมาหลายปีย่อมเจอคนหลากรูปแบบ ครอบครัวแบ
กรณ์กิตติไม่คิดว่าจะมีวันที่ตัวเองจนมุมขนาดนี้ คนที่มั่นใจตัวเองมาตลอดแต่กลับได้แต่นั่งอยู่ในรถแอบมองร้านเบเกอรี่เล็ก ๆ ที่มีลูกค้าแวะเวียนเข้าออกแทบตลอดเวลา เขาสามารถใช้กำลังบังคับขู่เข็นหรือใช้ทนายขู่บังคับให้ญาดามอบลูกมาให้ตรวจดีเอ็นเอ แต่เขากลับทำไม่ได้ เขาต้องการให้เธอพูดกับเขาด้วยความจริงใจรอยยิ้มผุดขึ้นไม่รู้ตัวเมื่อเห็นเด็กชายตัวน้อยวิ่งเล่นในร้าน ความทรงจำในวันวานจึงผุดขึ้น เขาเป็นพี่คนโตที่ต้องช่วยแม่เลี้ยงน้อง ๆ จึงเข้าใจดีว่าการเลี้ยงเด็กไม่ง่ายเลย แล้วนี่...ตามที่สายสืบรายงานมา เธอถูกครอบครัวตัดขาดไม่เหลียวแลมีเพียงเพื่อนรุ่นพี่ที่เป็นสาวประเภทสองให้ความช่วยเหลือ เธอในตอนนั้นจะลำบากขนาดไหน ตอนอุ้มท้องและคลอดลูกเขาปวดใจอย่างบอกไม่ถูก เธอต้องมาอยู่ในสภาพนี้เขาก็มีส่วนผิดควรรับผิดชอบด้วย เขารักญาดาไหม แน่นอนว่าไม่รู้สึก เรื่องในวันนั้นมันเกิดเพราะสถานการณ์บังคับและพาไป หากเธอไม่วางแผนชั่วร้ายเขาก็ไม่ลงมือกับผู้หญิงแบบนั้น แต่หลายวันมานี้ที่เขาแอบมาดูญาดากับลูก แม้จะเห็นรอยยิ้มของสองแม่ลูกอยู่ไกล ๆ แต่กลับสั่นไหวหัวใจของเขาได้อย่างง่ายดายก๊อกๆ
สายตาของทุกคนในห้องหันขวับไปมองเจ้าของเสียงดุดันที่ก้าวพรวดพราดเข้ามาอย่างไม่สนใจมารยาท แค่ได้ยินเสียงร้องไห้หัวใจคนเป็นพ่อก็เจ็บปวด เด็กน้อยเห็นคนคุ้นเคยที่ทำให้อุ่นใจก็หยุดร้องแล้วยื่นมือไปสุดแขนความหมายคือต้องการให้กรณ์กิตติอุ้มคนเป็นพ่อไม่รอช้าไม่สนใจหน้าใครทั้งนั้น เขาอุ้มเด็กน้อยขึ้นแนบอกแล้วก้าวมายืนเคียงข้างญาดา“แกเข้ามาในบ้านฉันได้ยังไง ใครอนุญาต ไม่มีมารยาท!” พ่อของญาดาส่งเสียงดังทำให้เด็กชายกลัวจนซุกหน้ากับบ่าของพ่อ“ผมเป็นพ่อของน้องภีม” กรณ์กิตติยังไม่อยากใช้ไม้แข็ง ยังไงก็ไม่อยากให้ครอบครัวมีปัญหาไปมากกว่านี้“แก..แกที่มันทำลายอนาคตของลูกสาวฉัน”“พ่อคะ...ก็บอกแล้วไงว่าเป็นความผิดของญาดาเอง”“นังลูกชั่ว!”“ขอเถอะครับ อย่าพูดหยาบคายและใช้เสียงดังต่อหน้าเด็กแบบนี้” กรณ์กิตติลดน้ำเสียงลงและลูบแผ่นหลังของลูกอย่างปลอบโยน ประโยคของเขาทำให้ผู้ใหญ่ทุกคนเงียบปากลง กรณ์กิตติจึงพูดต่อ“ผมเป็นพ่อของน้องภีมและพร้อมจะรับผิดชอบ แม้ผมไม่ได้ร่ำรวยแต่ก็สามารถเลี้ยงดูลูกเมียได้ ไม่ให้คุณพ่อกับคุณแม่ต้องลำบากใจ”“ไม่ได้นะ ญาดา
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านายจะลางานไปเพราะผู้หญิงคนเดียว”เสียงภาวัตเอ่ยถามทันทีที่เห็นกรณ์กิตติเดินเข้ามาในออฟฟิศ เลขาฯ หนุ่มถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เขายืนประสานมือนิ่งอยู่หน้าเจ้านายของตน“ที่บอกว่าเรื่องด่วนนี่เรื่องอะไรครับ”“เดี๋ยวนี้ฉันเรียกนาย ต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ”“มันยังอยู่ในวันลาพักของผมครับ”กรณ์กิตติตอบน้ำเสียงราบเรียบไม่ได้คิดกระด้างกระเดื่องผู้เป็นนายแต่อย่างใด เพียงแต่ตอนนี้เขามีลูกและเมียที่ต้องดูแล ไม่สามารถทุ่มเทเวลาทั้งหมดเพื่อเจ้านายได้ภาวัตยื่นซองจดหมายส่งให้ บนหน้าซองมีโลโก้ของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งที่ กรณ์กิตติเห็นก็จำได้ทันทีว่าเป็นโรงพยาบาลที่ตรวจดีเอ็นเอของเขาและลูก“เจ้านายครับ...” กรณ์กิตติพูดน้ำเสียงเคร่งเครียด“ทำไมฉันถึงมีซองจดหมายนี้ใช่ไหม จริง ๆ ฉันไม่อยากก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวนาย แต่อยากรู้ว่าทำไมอยู่ ๆ นายถึงหยุดงานไปเป็นเดือน”“ผมไม่เคยคิดทรยศหักหลังเจ้านาย” เขาพูดไปตามสัตย์จริง“เรื่องนั้นฉันรู้ ฉันมั่นใจว่า นายจะไม่ทำอย่างนั้นกับฉันและภัควเดชา แต่นายรู้หรือเปล่า ผู้หญิงที่นายยุ่งอยู่
เก๋ไก๋เดินลงมาจากชั้นบนหิ้วกระเป๋าสีรุ้งเตรียมไปทำงานต่างจังหวัด ช่วงนี้ได้งานแต่งหน้านักแสดงในกองถ่าย เธอจึงไม่ค่อยได้อยู่บ้านนัก แต่ก่อนเธอมักเป็นห่วงญาดากับลูกที่ต้องอยู่บ้านกันแค่สองคน แต่ตอนนี้ที่บ้านมีผู้ชายตัวโตมาอยู่ด้วย ถึงจะเทียวไปเทียวมาแต่ก็นับได้ว่าดูแลสองแม่ลูกอย่างดีในห้องนั่งเล่นที่เป็นทุกอย่างของบ้าน มีสองหนุ่มต่างวัยกำลังต่อรางรถไฟจำลอง เด็กชายภีมหัวเราะคิกคักปีนหลังขี่คอเล่นสนุกสนาน ดูไปดูมาเหมือนมีเด็กชายสองคนในบ้านเสียมากกว่า“นี่ซื้อมาเอาใจน้องภีมหรือว่าอยากเล่นเองคะ” เก๋ไก๋หัวเราะแล้วชี้ ๆ ไปที่ของเล่นในห้อง“ก็ทั้งซื้อให้ลูกแล้วก็อยากเล่นเองด้วยครับ” กรณ์กิตติหัวเราะเขิน ๆ “ตอนเด็ก ๆ อยากเล่นแต่ไม่มีเงิน พอมีลูกแล้วก็เลยขอเล่นพร้อมลูกเลยแล้วกัน”เก๋ไก๋ได้ยินเขาเรียก ‘ลูก’ อย่างไม่ขัดเขินก็ยิ้มพอใจ “ฝากดูแลสองแม่ลูกด้วยนะคะ เก๋ไก๋ไปทำงานสามสี่วันถึงจะกลับ”“ได้ครับ ไม่ต้องห่วงแล้วถ้าติดขัดอะไรหรือจะให้ไปรับก็โทรบอกได้นะครับ นั่งแท็กซี่ดึก ๆ มันอันตราย”“ต๊ายรู้ว่าฉันกลับดึกด้วย” เก๋ไก๋หัวเราะร่า “คุณก็รู้ว่าฉันเป็นสาว
กลายเป็นภาพไม่คุ้นตาเมื่อหน้าร้านอุ่นรักเบเกอรี่มีพนักงานขายเป็นผู้ชายตัวโต วันแรก ๆ ทำหน้านิ่งเคร่งขรึมจนลูกค้านึกว่าเป็นพวกเจ้าหนี้นอกระบบ“นี่คุณจะมาช่วยหรือไล่ลูกค้า”ญาดาดุกรณ์กิตติ เขาขออาสาเป็นผู้ช่วยในร้านของเธอ หญิงสาวจำได้ว่าวันแรกที่เห็นเขาโผล่หน้ามาแต่เช้าและบอกวัตถุประสงค์ที่มา เธอกวาดตามองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า คนตัวสูงสวมเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์แบบที่เธอไม่เคยเห็น สลัดภาพเลขาฯ หนุ่มที่สวมสูทเนี้ยบตลอดเวลา เธอให้เขามาช่วยงานเพราะคิดว่าเขาคงทำได้ไม่กี่วันก็คงหายไปจากชีวิตเธอเอง วันแรกก็ถูกเธอดุยกใหญ่แต่เขาก็ไม่โกรธหรือหัวเสียใส่แค่ยิ้มและขอโทษพร้อมทั้งปรับปรุงไม่ทำผิดซ้ำอีก ไป ๆ มา ๆ เขามาช่วยงานเธอเป็นสัปดาห์จนเธอนึกว่าเขาลาออกจากงานแล้ว“ผมลาพักร้อน” เขายิ้ม ตั้งใจว่าจะใช้เวลาช่วงนี้ตีสนิทกับลูกชายเสียหน่อย ยังไงก็เป็นแค่เด็กแม้จะหวงแม่มากไปนิดแต่เขาเชื่อว่าสามารถพิชิตใจลูกชายได้ เพราะตอนนี้น้องภีมก็ไม่ได้ทำหน้าตึงใส่เขาแล้ว แม้จะมีบ้างที่ยังลังเลเวลาเขาซื้อของเล่นมาให้“แล้วถ้าหมดวันลาพักร้อนล่ะ” เธอถามแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจนัก แต่ลึก ๆ แล้ว ก
“ไหน ๆ ก็มาโรงพยาบาลแล้ว ตรวจดีเอ็นเอไปด้วยเลยแล้วกัน”“ค่ะ” เธออยากทำให้เขาสบายใจไม่ใช่คิดว่าเธอไปมั่วกับคนอื่นแล้วมาปรักปรำให้เขาเป็นพ่อของน้องภีมทั้งสามใช้เวลาอยู่โรงพยาบาลเอกชนไม่กี่ชั่วโมงก็เสร็จธุระ เด็กชายภีมมีแค่แผลถลอกเล็กน้อยทุกอย่างปกติดี ส่วนผลตรวจดีเอ็นเอใช้เวลาประมาณยี่สิบวัน ไหน ๆ ก็ได้ตรวจแล้ว กรณ์กิตติจึงเลือกฟลูโปรแกรมตรวจสุขภาพเด็กไปด้วยวันนี้มีเรื่องมากมาย เจ้าตัวน้อยเริ่มง่วงแล้วนั่งรถก็คอพับคออ่อนตลอดทาง กรณ์กิตติก็นึกได้ว่าตัวเองคงต้องเอารถไปติดคาร์ซีทให้ลูก“ขอบคุณที่มาส่งแล้วก็จัดการเรื่องค่าใช้จ่ายด้วยค่ะ”ญาดาเอ่ยขึ้นแล้วจะปลุกลูกเพื่อลงจากรถ สองแม่ลูกนั่งเบาะหลังจึงเหมือนกรณ์กิตติเป็นคนขับรถให้ ชายหนุ่มรีบห้ามไว้ก่อนแล้วเดินลงไปอุ้มเด็กน้อยด้วยตัวเอง“เด็กหลับอยู่ให้เขาหลับไปเถอะ ตื่นตอนนี้ก็งอแงเปล่า ๆ”“เคยเลี้ยงเด็กหรือคะ”“ผมช่วยแม่เลี้ยงน้องสองคน สมัยนั้นไม่มีผ้าอ้อมสำเร็จรูป ผมต้องซักผ้าอ้อมให้น้อง ๆ” เขายิ้มขำแล้วอุ้มลูกชายพาเดินเข้าไปในบ้าน และพาลูกชายไปนอนบนเตียง“ห้องแคบไปหน่อยนะ”
แม้จะมีแค่แผลถลอกเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่กรณ์กิตติก็ขอให้ทางโรงพยาบาลตรวจอย่างละเอียด ระหว่างที่ยืนรอหน้าห้องเอ็กซเรย์ ชายหนุ่มชำเลืองมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ คงเพราะความเป็นแม่ทำให้เธอไม่โต้แย้งเขาเมื่อเสนอให้ตรวจอย่างละเอียด“ญาดา” กรณ์กิตติเรียกเบา ๆ “เราต้องคุยเรื่องน้องภีมอย่างจริงจัง”“เพื่ออะไรคะ” เธอหันมาถามรู้สึกปวดใจอย่างบอกไม่ถูก “เราไม่ได้เป็นอะไรกัน เรื่องคืนนั้นมันก็เป็นความผิดของฉัน มันจบลงแล้ว คุณไม่ต้องมาวุ่นวายอะไรอีก”“เด็กคนนั้นเป็นลูกผมใช่ไหม”“คุณมั่นใจเหรอว่าผู้หญิงอย่างฉันไม่ได้มั่วกับคนอื่น”“ญาดา เราคุยกันด้วยเหตุผลได้ไหม”“ถ้าอย่างนั้นคุณบอกเหตุผลที่คุณอยากรู้ว่าน้องภีมเป็นลูกใครได้ไหมล่ะ ถ้าน้องภีมเป็นลูกคุณ คุณจะทำยังไง”“ผมก็ต้องรับผิดชอบสิ”“รับผิดชอบยังไงคะ”“ก็ค่าเลี้ยงดู ค่าเทอม ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ”คราวนี้ญาดาผ่อนลมหายใจออกมา “คุณไม่ได้จะมาเอาลูกไปจากฉันใช่ไหม”“ผมไม่ได้คิดแบบนั้น” เขาเข้าใจดี ถ้าเขาเอาลูกไปเธอคงคลั่งแน่ แค่เมื่อครู่เขาแย่งอุ้มลูกเอง เธอก็ทำท่าจะขย้ำเขาแล้ว แล้วเข
“พี่เก๋ไก๋ช่วยดูร้านกับน้องภีมให้หน่อยนะคะ ญาดาขอคุยกับ...คุณกรณ์สักประเดี๋ยว”“คุณกรณ์?” เก๋ไก๋เคยได้ยินชื่อนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแต่ไม่เคยเห็นหน้าคร่าตา เธอกวาดตามองผู้ชายคนนั้นแล้วก็ยกมือทาบอกอุทานออกมา “อย่าบอกว่าคนนี้คือกรณ์กิตติคู่กรณี...เอ่อ...ช่างเถอะ ๆ ฉันดูหลานกับร้านเอง ถ้ามีอะไรก็ตะโกนเรียกได้เลย ถึงจะเป็นสาวสองแต่แรงเตะฉันเยอะกว่าน้องภีมอยู่แล้ว”กรณ์กิตติได้แต่ยิ้มเจือนรับคำขู่ของอีกฝ่ายอย่างจำนน เขามองเด็กชายตัวน้อยด้วยหัวใจที่เต้นแรงแล้วเดินตามแผ่นหลังของญาดาเข้าในบ้าน เขามองสิ่งรอบตัวอย่างสำรวจ บ้านสองชั้นหลังเล็กที่ดัดแปลงหน้าบ้านเป็นร้าน ‘อุ่นรักเบเกอรี่’ เธอชี้ให้เขานั่งที่โซฟาแล้วเดินไปหยิบน้ำดื่มจากตู้เย็นออกมาส่งให้เขา“ที่นี่ไม่มีห้องรับแขก ตรงนี้เป็นทั้งห้องนั่งเล่น ดูโทรทัศน์แล้วก็กินข้าวรวมทั้งน้องภีมน้องกลางวันด้วยค่ะ”“คุณ...” กรณ์กิตติจนคำพูด จะถามว่าสบายดีไหมก็เหมือนไม่ใช่ประโยคที่ควรใช้ในตอนนี้“ถ้าอยากสมน้ำหน้าก็เชิญค่ะ” เธอพูดเสียงเรียบไม่ใช่ประชดประชัน “ฉันทำตัวเองก็ได้รับกรรมที่ทำไว้แล้ว”“อย่าพูดแบบนั้นสิ เ
กรณ์กิตติไม่คิดว่าจะมีวันที่ตัวเองจนมุมขนาดนี้ คนที่มั่นใจตัวเองมาตลอดแต่กลับได้แต่นั่งอยู่ในรถแอบมองร้านเบเกอรี่เล็ก ๆ ที่มีลูกค้าแวะเวียนเข้าออกแทบตลอดเวลา เขาสามารถใช้กำลังบังคับขู่เข็นหรือใช้ทนายขู่บังคับให้ญาดามอบลูกมาให้ตรวจดีเอ็นเอ แต่เขากลับทำไม่ได้ เขาต้องการให้เธอพูดกับเขาด้วยความจริงใจรอยยิ้มผุดขึ้นไม่รู้ตัวเมื่อเห็นเด็กชายตัวน้อยวิ่งเล่นในร้าน ความทรงจำในวันวานจึงผุดขึ้น เขาเป็นพี่คนโตที่ต้องช่วยแม่เลี้ยงน้อง ๆ จึงเข้าใจดีว่าการเลี้ยงเด็กไม่ง่ายเลย แล้วนี่...ตามที่สายสืบรายงานมา เธอถูกครอบครัวตัดขาดไม่เหลียวแลมีเพียงเพื่อนรุ่นพี่ที่เป็นสาวประเภทสองให้ความช่วยเหลือ เธอในตอนนั้นจะลำบากขนาดไหน ตอนอุ้มท้องและคลอดลูกเขาปวดใจอย่างบอกไม่ถูก เธอต้องมาอยู่ในสภาพนี้เขาก็มีส่วนผิดควรรับผิดชอบด้วย เขารักญาดาไหม แน่นอนว่าไม่รู้สึก เรื่องในวันนั้นมันเกิดเพราะสถานการณ์บังคับและพาไป หากเธอไม่วางแผนชั่วร้ายเขาก็ไม่ลงมือกับผู้หญิงแบบนั้น แต่หลายวันมานี้ที่เขาแอบมาดูญาดากับลูก แม้จะเห็นรอยยิ้มของสองแม่ลูกอยู่ไกล ๆ แต่กลับสั่นไหวหัวใจของเขาได้อย่างง่ายดายก๊อกๆ
“ดูไปดูมาเด็กคนนี้ก็หน้าคล้ายคุณกรณ์นะครับ” นักสืบพูดขณะที่กรณ์กิตติเลื่อนภาพจากหน้าจอไอแพด ดูหญิงสาวที่เป็นเจ้าของร้านเบเกอรี่เล็ก ๆ ที่ดูยังไงก็ไม่มีพิษมีภัยอะไร เขาถ่ายรูปและสืบข่าวมารายงานให้กรณ์กิตติทราบตามที่ถูกสั่งงานไว้“หือ?” เขาเงยหน้าขึ้นแล้วก้มมองภาพเด็กชายตัวน้อยที่วิ่งเล่นในร้านเบเกอรี่“ขอโทษครับผมพูดไม่คิด” นักสืบรีบพูดออกมา ทำงานด้วยกันมาหลายปี เห็นหน้านิ่ง ๆ แบบนี้เวลาโหดก็โหดเอาเรื่อง“คิดว่าหน้าคล้ายผมจริง ๆ เหรอ” เขาถามย้ำ“เอ่อ...แค่คล้าย ๆ ครับ ยังเด็กอยู่ดูอะไรไม่ออกหรอกครับ สมัยนี้ตรวจดีเอ็นเอชัดเจนกว่ามานั่งมองหน้ากันอีก”กรณ์กิตติพยักหน้าแล้วให้นักสืบออกไปได้ เขาเลื่อนภาพดูซ้ำไปซ้ำมาแล้วก็เผลอยิ้มอย่างไม่รู้ตัว‘หรือว่าเด็กคนนี้จะเป็นลูกของเขา’ชายหนุ่มถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า คืนนั้นเป็นครั้งแรกของเธอ แต่หลังจากนั้นเล่า เขาเองก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ เขาเองก็ไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัย และข้อมูลที่ได้มาจากนักสืบทำให้รู้ว่าชีวิตญาดาก็ไม่ได้สวยงามอย่างที่เห็นเขาทำงานกับภาวัตมาหลายปีย่อมเจอคนหลากรูปแบบ ครอบครัวแบ