บทที่ 4 บาดแผลในใจ
วันต่อมา
พราวดาวตื่นขึ้นมาในช่วงสายของวัน เรียวแขนเล็กยื่นออกมาจากผ้าห่ม เธอบิดกายไปมาไล่ความเมื่อยล้า ทว่า ณ ตอนนั้นโทรศัพท์มือถือกลับส่งเสียงร้องดัง จนเธอรู้สึกรำคาญที่มีคนโทร. มารบกวนเวลานี้ เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดรับสายพร้อมกรอกเสียงหวานทักทายไป
“ค่า~”
(คุณพราวคะ เอ่อ...คุณท่านไม่สบายค่ะ จะมาเยี่ยมไหมคะ)
เสียงสั่นเครือของหญิงชราร่างท้วมตอบกลับมาทำเอาพราวดาวหยุดชะงัก เธอนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงตอบกลับ
“พราวไปก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น เผลอ ๆ อาการจะแย่ลงด้วยซ้ำค่ะป้า พ่อเกลียดหนูจะตาย พ่อคงไม่อยากเห็นหน้าพราวหรอก”
(แต่คุณท่านเพ้อหาคุณพราวตลอดเลยนะคะ)
“...”
(มาหน่อยนะคะ มาเจอกันหน่อย ป้าเองก็คิดถึงคุณพราวมาก ไม่ได้เจอหน้าตั้งหลายเดือนแล้ว)
“...” พราวดาวเงียบไปพักใหญ่อย่างใช้ความคิด “โอเคค่ะ งั้นพราวจะเข้าไป”
(คุณพราวจะทานอะไรไหมคะ เดี๋ยวป้าทำไว้รอ)
“อ๋อ ไม่เป็นไรค่ะ พราวคงไป...ไม่นานนัก”
(อ๋อ...ได้ค่ะ)
เมื่อพูดจบพราวดาวก็เป็นฝ่ายกดวางสายก่อน หญิงสาวพรูลมหายใจออกราวคนกำลังแบกโลกทั้งใบไว้ จู่ ๆ เธอก็รู้สึกอึดอัดและจุกแน่นที่หน้าอก มันเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่ต้องไปเจอหน้าพ่อ
“เฮ้อ...”
เบื้องหลังชีวิตที่แสนสวยงามกลับไม่ได้งดงามอย่างที่คนอื่นเห็นเสมอไป และคนที่รู้เรื่องทุกอย่างดีก็คงจะเป็นแฟรงค์ หากเขาจะหักหลังเธอ ป่านนี้พราวดาวก็คงเป็นแค่พริตตีล้างรถ หรือไม่ก็ทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านอาหารที่มีป๋า ๆ ให้ทิปหนัก ๆ
“เฮ้อ เกิดเป็นอีพราวนี่มันไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ เลยสินะ” ร่างเล็กคู้ไหล่ลงจนไม่มีความสง่างาม ทำใจอยู่พักใหญ่แล้วจึงไปเปลี่ยนชุดเพื่อไปเยี่ยมพ่อที่บ้าน
หนึ่งชั่วโมงต่อมา
พราวดาวสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ เธอแหงนมองประตูบ้านครู่หนึ่งแล้วเดินเข้ามาด้านใน ทุกคนในบ้านยังให้การต้อนรับเธอเป็นอย่างดี โดยเฉพาะแม่นมที่เลี้ยงเธอมาตั้งแต่เท้ายังแดง ๆ
“คุณพราว...” น้ำเสียงสั่นเครือของแม่นมดังขึ้น พราวดาวหันไปมองแทบจะทันทีพร้อมกันเดินเข้าไปหา “ดูสิคะ คุณพราวของป้าโตขึ้นเยอะเลย”
“สบายดีไหมคะ”
“สบายดีค่ะ ป้าคิดถึงคุณพราวมาก ๆ เลย ตั้งแต่คุณพราวออกไปจากบ้าน บ้านหลังนี้ก็เงียบเหงามาก ๆ”
“ค่ะ พราวเข้าใจ บ้านหลังนี้มันเงียบเหงาตั้งแต่แม่เสียแล้วค่ะ” เธอคลี่ยิ้มบาง ๆ “แล้วคุณพ่อเป็นยังไงบ้างคะ”
“ท่านอยู่บนห้องค่ะ คุณพราวขึ้นไปเลยไหมคะ”
“ท่านหลับอยู่หรือเปล่าคะ”
“ป้าว่าท่านน่าจะตื่นแล้วค่ะ”
หัวใจดวงน้อยกระหน่ำเต้นแรงอย่างหนัก จนเธอต้องยกมือขึ้นมาทาบที่หน้าอกข้างซ้าย
“ไปเยี่ยมพ่อดีกว่าค่ะ”
“เชิญค่ะ” แม่นมนำทางเธอไปชั้นสอง เท้าเล็กทั้งสองข้างหยุดยืนอยู่หน้าห้องนอนใหญ่ หัวใจเธอยิ่งเต้นแรง มือไม้สั่นเทาเมื่อแม่นมเปิดประตูห้อง เธอก้าวเข้ามาด้านใน และเดินไปที่เตียงนอนขนาดใหญ่
“คุณพ่อ...เป็นยังไงบ้างคะ”
“...”
“พราวได้ข่าวจากป้าว่าพ่อไม่สบาย เลยมาเยี่ยมค่ะ” คำถามที่เอ่ยถามไปไร้ซึ่งคำตอบจากคนที่นอนอยู่บนเตียง กำลังใจและความหวังเล็ก ๆ ในใจริบหรี่
“แกมาทำไม ฉันยังไม่ตายง่าย ๆ หรอก”
“พราวเป็นห่วงค่ะ คุณพ่อไปหาหมอบ้างหรือยะ...”
“กลับไป!”
ไม่ทันที่พราวดาวจะได้เอ่ยถามจบประโยค คำพูดที่ทำเอาหัวใจดวงน้อยหล่นไปอยู่ตาตุ่มก็ดังขึ้น
“กลับไปอยู่ในที่ของแก ไม่ต้องเป็นห่วงฉัน ฉันไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น”
“พราวไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้พ่อหายโกรธ หากย้อนเวลาได้ พราวจะพาแม่กลับมาหาพ่อ”
“ฉันบอกให้ออกไป!!”
“...” พราวดาวยืนตัวแข็งทื่อกับเสียงตะคอกของผู้เป็นพ่อ เท้าเล็กก้าวถอยหลังอัตโนมัติ ก่อนที่เธอจะวิ่งออกมาจากห้องนอนพ่อด้วยอาการหวาดกลัว
“คุณพราว! คุณพราวคะ...”
“ออกไป!” เสียงเข้มเอ่ยไล่แม่บ้านอีก
พราวดาววิ่งมาขึ้นรถในสภาพใบหน้าเปียกปอนด้วยเม็ดเหงื่อที่ผุดออกมา หัวใจดวงน้อยเต้นระรัวราวกับมีคนตีกลองอยู่ในนั้น
‘เพราะแก แม่ถึงตาย เพราะแกคนเดียว ลูกเลว แกพรากคนรักไปจากฉัน...’
คำพูดที่มันฝังลึกในก้นบึ้งหัวใจผุดขึ้นมาในหัว น้ำเสียงและแววตาของพ่อยังติดตรึงอยู่ที่ปลายตาของเธอ บาดแผลที่ไม่มีใครรักษามันหาย...
“ถ้าเลือกได้ หนูจะขอให้แม่กลับมา...ขอให้แม่กลับมาหาพ่อ”
บทที่ 5 ข้ออ้าง ร่างบางเดินโซเซมานั่งลงที่ม้านั่งในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ใบหน้าจิ้มลิ้มแดงซ่านจากการร้องไห้เป็นเวลานาน ดีที่วันนี้เป็นวันหยุด ผู้คนจึงไม่พลุกพล่านเท่าไร “ฮึก...ฮือ~” พราวดาวยกมือขึ้นปิดหน้าแล้วปล่อยโฮออกมาอย่างยากที่จะกลั้น น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลอาบสองแก้มแดงระเรื่อ ภาพและน้ำเสียงของพ่อยังติดที่ปลายตา มันยิ่งทำให้เธอหยุดร้องไห้ไม่ได้ บาดแผลที่ฝังลึกในใจมานานหลายปีมันยากที่จะหาย และยิ่งไปสะกิด มันก็ยิ่งเจ็บปวด “คุณครับ” เสียงเข้มของใครคนหนึ่งดังขึ้น พราวดาวหยุดสะอื้นแล้วเงยหน้ามอง “เอ่อ...เป็นอะไรหรือเปล่าครับ พอดีผมเห็นคุณนั่งร้องไห้มานานแล้ว” “เปล่าค่ะ ฉันไม่เป็นไร” เธอปฏิเสธชายหนุ่มแล้วลุกขึ้นยืนหมายจะเดินออกมา “ไม่เป็นไรครับ ขอโทษที่มารบกวนคุณ นั่งต่อได้นะครับ” ชายหนุ่มยิ้มให้บาง ๆ เขาผายมือไปที่ม้านั่ง พราวดาวแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะนั่งลงเหมือนเดิม และมองหน้าเขา “คุณรู้จักฉันไหมคะ” “เอ่อ...ไม่รู้จักครับ” ‘แปลก...หรือฉันยังดังไม่พอ หรือว่าเขาไม่สนใจข่าวพวกดารา’ นาง
บทที่6 เคลิ้ม ฝ่ามือหนาบีบสองแก้มแรงขึ้นจนพราวดาวรีบยกมือขึ้นมาฟาดอกแกร่งเป็นการประท้วง แผลเดิมยังไม่หายดี เขากลับมาสร้างความเจ็บปวดให้เธออีก “เจ็บนะ! รุนแรงไปแล้วนะแฟรงค์” “ฮึ...” “ทำอะไร” หญิงสาวเบี่ยงตัวหลบ แต่ก็ไม่ทันฝ่ามือหนาที่จับหมับเข้าที่ข้อมือเล็ก แฟรงค์ลากแขนพราวดาวเข้ามาในห้องนอนและปิดประตู ล็อกอย่างแน่นหนา “บอกแล้วว่าอย่าท้าทาย” “แล้วมีสิทธิ์อะไรมาทำแบบนี้” นี่เขากับเธอจะไม่คุยกันดี ๆ สักวันเลยหรือไงเนี่ย เจอหน้ากันทีไรเป็นต้องตีฝีปาก ไม่ก็ลงไม้ลงมือกันแบบนี้ เฮ้อ... “เลิกทำตัววุ่นวายเหมือนเป็นผัวฉันได้แล้วแฟรงค์” คำพูดนั้นทำเอาแฟรงค์หยุดชะงัก แต่ชายหนุ่มกลับแสยะยิ้มแล้วเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ ๆ ใบหน้าสวย “ก็เป็นอยู่แล้วไหม หรือจะให้ทวนคำพูดนั่นอีกครั้ง แต่ไม่พูดแล้วนะ...จะทำให้ดูว่าคำนั้นมันหมายความว่ายังไง” สิ้นคำพูดเขาก็โน้มตัวลงไปจูบพราวดาวอย่างแรงจนได้กลิ่นคาวเลือด หญิงสาวพยายามเบี่ยงหน้าหลบ แต่ฝ่ามือหนาก็ยกขึ้นมาประคองใบหน้าเธอไว้ รสจูบที่ว่ารุนแรงก่อนหน้านี้ เป
บทที่ 7 ไม่สบาย หลายนาทีที่ทั้งสองใช้เวลาอยู่ด้วยกันในห้องน้ำ จนกระทั่งอาบน้ำเสร็จสรรพ พราวดาวเดินนวยนาดออกมาจากห้องน้ำ ตรงไปที่เตียงแล้วทรุดนั่งลง เธอยกมือขึ้นกุมขมับและนวดคลึงเบา ๆ “เป็นอะไร” แฟรงค์เอ่ยถามเสียงเรียบ แต่ทว่าในจังหวะที่พราวดาวจะเอ่ยตอบ ฝ่ามือหนาก็เลื่อนขึ้นมาอังหน้าผากเธอ และเลื่อนลงไปคลำที่ลำคอระหงที่มีรอยรักเขาฝากไว้จาง ๆ “ไม่สบาย” แฟรงค์เลิกคิ้วถามแต่อีกฝ่ายกลับทำหน้าบึ้งตึงใส่ “ก็บอกไปแล้วว่าไม่สบาย” พราวดาวกระแทกเสียงใส่อย่างหงุดหงิดแล้วปัดมือหนาออก เธอลุกขึ้นไปสวมใส่ชุดนอนกระโปรงผ้าพลิ้วบาง ๆ แล้วกลับมานอนที่เตียงด้วยอาการหนาว ๆ ร้อน ๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว “กินข้าวกินยาก่อนไหม ถ้าไม่สบายจริง ๆ งั้นวันนี้ฉันจะอยู่ที่นี่” พราวดาวหันขวับไปมองเจ้าของคำพูดนั้นอย่างเร็ว “ไม่ต้อง ฉันอยู่คนเดียวได้ แต่ถ้าเป็นห่วงเดี๋ยวให้พี่วิกกี้มาอยู่ด้วย” “ไม่เป็นไร ฉันว่าง” “เอ๊ะ!” หญิงสาวขึ้นเสียงใส่คนตัวโต แฟรงค์ไม่ได้สนใจสีหน้าบึ้งตึงนั้น แต่กลับเดินออกมาด้านนอกแล้วเอาของกินจัดใส่จาน ยกเข้ามาเสิร์ฟพ
บทที่ 8 ดูแล มาเฟียหนุ่มหลุดยิ้มอย่างง่ายดายกับข้อความจากพราวดาว เขากดอ่านและตอบกลับไปเพียงสั้น ๆ แฟรงค์ : ไปนอน หัวเหม่ง : จุ้นจ้าน! เขาหลุดขำอีกครั้ง ยิ่งอ่านชื่อของคนส่งข้อความแล้วยิ่งขำขันเข้าไปใหญ่ “ฮึ!” ชายหนุ่มกดปิดหน้าจอแล้วทำงานต่อจนกระทั่งถึงเวลาเลิกงาน “นายครับ วันนี้คุณพราวไม่ได้ออกไปไหนครับ” ลูกน้องหนุ่มที่เขาใช้ให้เฝ้าดูพราวดาวที่คอนโดก้าวเข้ามารายงาน ก่อนที่เจ้านายจะเดินออกมาจากห้องทำงาน แฟรงค์หยุดฟังแล้วพยักหน้ารับเบา ๆ “ไม่ต้องตาม บอกป๊าด้วยว่าวันนี้ไม่ว่าง” เขาสั่งเสียงเรียบแล้วเดินผ่านหน้าลูกน้องที่เตรียมจะเดินตามเขา ทุกคนหยุดยืนแล้วทำความเคารพผู้เป็นนาย แฟรงค์เดินอาด ๆ มาที่รถยนต์ส่วนตัว เขาขับออกมาจากบริษัท มุ่งหน้าไปที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อของสด ผัก และผลไม้ เมื่อได้ครบอย่างที่ต้องการแล้วก็กลับไปที่คอนโด...พราวดาว คอนโดพราวดาว “เฮ้อ~” ร่างเล็กพ่นลมหายใจออกหนัก ๆ เป็นครั้งที่สามภายในสองนาที เธอรู้สึกหน่วงที่ท้องน้อยเนื่องจากประจำเดือนมา เมื่อเช
บทที่ 9 หวงในฐานะเพื่อน หนึ่งชั่วโมงกว่า ๆ ที่แฟรงค์นั่งลูบท้องพราวดาวเพื่อให้เธอนอนเต็มอิ่มและสบายตัวขึ้น ขณะเดียวกันก็สำรวจใบหน้าจิ้มลิ้มด้วย “อื้อ~ ปวดท้อง” พราวดาวขยับปากพูดเสียงพร่า ก่อนที่จะยกมือขึ้นมาจับฝ่ามือหนา “แฟรงค์~ ฉันปวดท้อง” “แล้วให้ทำยังไง กินยาไหม มียาตัวไหนกินไหม” เขาเอ่ยถามอย่างจริงจัง “บอกมา เดี๋ยวไปหยิบให้” “ยาอยู่ในลิ้นชัก ขอบคุณนะ” เมื่อได้ฟังแบบนั้นแฟรงค์จึงรีบลุกขึ้นไปหยิบยามาให้พราวดาวพร้อมกับน้ำดื่มอุณหภูมิห้องหนึ่งขวด “ลุกไหวไหม” “ปวดท้อง เดี๋ยวค่อยกิน” “ไม่ได้” ชายหนุ่มแกะเม็ดยาออก จากนั้นจึงดันตัวพราวดาวลุกขึ้นเล็กน้อยแล้วป้อนยาใส่ปากเธอ พร้อมกับเอาน้ำให้ดื่ม “เวลาประจำเดือนมาทุกครั้งก็เป็นแบบนี้เหรอ” “ไม่หรอก เป็นบางครั้งที่จะปวดท้องแบบนี้” “แล้วมันจะหายไหม” “หายสิ เป็นแบบนี้แค่วันแรกเท่านั้นแหละ จากนั้นก็ปกติ” “อืม...พอมีวิธีนะ ไม่เป็นประจำเดือน ไม่ปวดท้อง และไม่ทรมานแบบนี้ด้วย” “อะไรของนาย” “ฮึ! นอ
บทที่ 10 ออกเดต หลังจากเลิกกองถ่ายแบบ พราวดาวกับผู้จัดการสาวก็กลับมาพักผ่อนที่คอนโดมิเนียม ซึ่งวิกกี้กำลังนั่งเช็กรูปที่ช่างภาพส่งให้ตรวจเช็กอยู่บนโซฟาอย่างสบายใจ “พี่วิกกี้ว่าไอ้บ้านั่นมันแปลกไปไหมคะ” “อะ...ไอ้บ้า ไอ้บ้าที่ไหนลูก” พราวดาวกลอกตามองบนแล้วเอ่ยตอบ “แฟรงค์ลูกรักพี่วิกกี้ไง เห็นเอาอกเอาใจมันเก่งเหลือเกิน หมั่นไส้” “โธ่ลูก เขาเป็นคนจ่ายเงิน พี่วิกกี้ก็ต้องพูดกับเขาดีอยู่แล้ว ยังไงหนูก็ลูกแม่นะลูก” “ชิ! แล้วพี่วิกกี้ก็ชอบตามใจมัน” “ลูก...” “พอเลยค่ะ เย็นนี้พราวจะออกไปกินข้าวกับคุณติ๊กนะคะ” “ติ๊กไหนลูก” “คนคุยค่ะ” “อีกแล้วเหรอน้องพราว เดี๋ยวคุณแฟรงค์ก็อารมณ์ไม่ดีหรอก” “เกี่ยวอะไรกับแฟรงค์ นี่ชีวิตพราวนะคะ และอีกอย่างแฟรงค์ก็รู้เรื่องนี้แล้วด้วย เพราะฉะนั้นพี่วิกกี้อย่าห้ามพราว โอเคไหม” “อะ...โอเคก็ได้ค่ะ แต่อย่าไปในที่ที่คนเยอะนะคะ” “รู้แล้วค่า” พราวดาวเดินนวยนาดเข้าห้องนอนไปเพื่ออาบน้ำแต่งตัวสวย ๆ ไปกินข้าวกับ
บทที่ 11 หงุดหงิด สองวันต่อมา แฟรงค์นั่งเคาะนิ้วกับโต๊ะทำงานอย่างใช้ความคิด ขณะที่เลขาฯ หนุ่มทำงานจนหัวหมุนแต่เช้า “นายครับ วันนี้นายมีนัดกินข้าวกับคุณหนูพายนะครับ” “ใครวะ” คำถามเจ้านายทำเอาเลขาฯ หนุ่มแทบยกมือกุมขมับ นี่เขาไม่รู้หรือแกล้งไม่รู้กันแน่เนี่ย “มองหน้าแบบนั้นหมายความว่าไงวะ” “โธ่ เจ้านายครับ เจ้านายจะลืมคุณหนูพายว่าที่คู่หมั้นไม่ได้นะครับ” พอได้ฟังสิ่งที่ลูกน้องพูด แฟรงค์ก็ทำหน้านิ่งเหมือนเดิม เขาออกจะเฉยชาด้วยซ้ำ ไม่มีบทสนทนาต่อจากนั้น ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ “เจ้านายครับ เจ้านายจะหลบหน้าคุณหนูพายไปนานแค่ไหนครับ ยังไงสักวันก็ต้องเจอกันอยู่ดี” “อย่าเอ่ยชื่อผู้หญิงคนนั้นให้กูได้ยินอีก ทำงานของมึงไป” สิ้นเสียงเข้ม เลขาฯ หนุ่มก็รีบก้มหน้าทำงานอย่างขะมักเขม้น แฟรงค์ส่ายหน้าไปมาอย่างเบื่อหน่ายแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู เขาไม่ได้ติดต่อพราวดาวสองวันแล้ว ไม่โทร. ไม่ทัก และไม่อ่านไลน์ที่เธอส่งมาถึงยี่สิบข้อความ “นายจะไปไหนเหรอครับ” “ซื้อกาแฟ” “เดี๋ยวผมให้คนไปซื้อก็ได้น
บทที่12 จริงจัง(?) พราวดาวเม้มปากแน่นแล้วตอบกลับไปเสียงห้วน ๆ “แกจะมาชงมาชอบอะไรฉัน จู้จี้!” (ฮึ! แค่นี้นะ เบื่อจะคุยแล้ว) “อืม” เธอเป็นฝ่ายกดวางสายก่อน ตอนนี้หัวใจดวงน้อยเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง ทั้งที่รู้ว่าคำนั้นแฟรงค์แค่พูดเล่น “ไอ้บ้าเอ๊ย! เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย” เธอโยนโทรศัพท์ไปที่โต๊ะตรงหน้าโซฟาอย่างไม่ไยดีแล้วจึงเดินไปที่ห้องครัว อุ่นแกงจืดถ้วยนั้นและกินจนหมด ไม่ลืมที่จะถ่ายรูปถ้วยเปล่า ๆ และกระดาษโน้ตส่งไปให้แฟรงค์ดู หลายวันต่อมา แฟรงค์นั่งจิบชาร้อนอยู่สวนหลังบ้านในวันหยุดพักร้อน บรรยากาศโดยรวมน่าจัดปาร์ตีมากกว่านั่งจิบชายามบ่ายแบบนี้ “นายครับ มีคนมาขอพบครับ” “ใคร” แฟรงค์ถามทั้งที่สายตายังจดจ้องที่ถ้วยชาในมือ กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้ทำให้จิตใจเขาสงบนิ่งลง “คุณพายครับ” “...” สายตาดุดันผู้เป็นนายจดจ้องเขาจนไม่อาจเงยหน้าสบตาตรง ๆ ได้ “วันนี้วันหยุด ไม่รับแขก” แฟรงค์วางถ้วยน้ำชาลงบนจานรอง แล้วหยิบขนมมาการองขึ้นมากัดเคี้ยวเบา ๆ “ขนม...หวานไปมันก็เลี่ยนนะ” ขนมที่เหลือถูกเ
ตอนพิเศษ 2 วันต่อมา แฟรงค์นั่งขัดสมาธิพับใบตองตามที่พราวดาวสั่ง ส่วนลูกน้องคนอื่น ๆ ก็ปูเสื่อนั่งทำกระทงของตนเองอยู่ในสวน เพราะวันนี้เจ้านายจะพาออกไปเที่ยวข้างนอก “เท” หนูพิ้งค์ยื่นดอกไม้ให้แล้วขยับตัวไปนั่งบนหน้าตักของเทนต์ ทำเอาแฟรงค์หยุดชะงักเหลือบตามองลูกน้องอย่างเอาเรื่อง “คุณหนูทำกระทงไหมครับ เดี๋ยวผมสอนพับกระทงนะ” เทนต์ไม่ได้มองเจ้านายและสอนคุณหนูพับใบตองทำกระทงเล็ก ๆ เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กน้อยเรียกความสนใจจากเหล่าแม่บ้านและบอดีการ์ดคนอื่นได้เป็นอย่างดี “หนูพิ้งค์อยู่กับเทนต์ก็ดีแล้วค่ะ แกจะได้ไม่ป่วนคนอื่น” พราวดาวห้ามแฟรงค์ที่ตั้งท่าจะเดินไปหาลูกสาว แต่กลับถูกพราวดาวรั้งตัวไว้ด้วยคำพูด “หนูพิ้งค์แกเป็นเด็กเรียบร้อยนะคะ” “เฮ้อ...เรียบร้อยแล้วยังไง แฟรงค์ห่วงลูกมากอยู่ดี” “แฟรงค์ห่วงลูก หวงลูกอะได้ พราวไม่ห้ามหรอกค่ะ แต่คนในบ้านเว้นไว้ได้ไหม อย่างน้อย ๆ พวกเขาก็ช่วยเลี้ยงยายหนูมานะ” “คนในบ้านก็ไม่น่าไว้ใจเท่าไร ยิ่งหนูพิ้งค์สนิทกับเทนต์มากแค่ไหนแฟรงค์ยิ่งไม่ชอบ” มาเฟียหนุ่มขมวดคิ้วแน
ตอนพิเศษ 1 หนึ่งปีต่อมา กาลเวลาผ่านมาอย่างรวดเร็ว แต่ความรักของเขาและเธอยังคงสดใสเหมือนวันแรกที่คบกัน “หนูพิ้งค์อย่าวิ่งค่ะ เดี๋ยวล้มคุณแม่ไม่โอ๋นะคะ” นางแบบสาวดุลูกสาวตัวน้อยที่กำลังอยู่ในวัยซุกซน เธอวิ่งเล่นอยู่ในสวนหลังบ้าน และได้หันมามองหน้าแม่เมื่อได้ฟังสิ่งที่แม่บอก “หนูจะให้เทโอ๋” เด็กน้อยที่ยังพูดไม่ชัดเท่าไรตอบกลับแม่ ทำเอาพราวดาวอึ้งกินกับสิ่งที่ได้ฟัง “หนูไปเอาคำพูดพวกนั้นมาจากไหนคะเนี่ย หนูพูดแบบนั้นไม่ได้นะคะหนูพิ้งค์” “หนูจะไปหาเท” ว่าจบก็วิ่งหน้าตั้งจนปลายผมถักเปียสะบัดไปมาไปหาเทนต์ที่ห้องพักบอดีการ์ด เด็กน้อยมาแอบอยู่ที่ประตูห้องแล้วกวาดสายตามองหาคนที่จะมาหา เมื่อเห็นเป้าหมายแล้วจึงวิ่งไปกอดขาเทนต์ไว้แน่นจนชายหนุ่มตกใจ “คุณหนูครับ เล่นแบบนี้ไม่ได้นะครับ ถ้าผมถือของมีคมอยู่จะทำยังไง” เทนต์ย่อเข่านั่งลงตรงหน้าหนูพิ้งค์แล้วลูบผมออกจากพวงแก้มแดงปลั่งจากการวิ่งมา เด็กน้อยยังอยู่ในอาการหอบหายใจเร็ว “ไปเย็งกัง” “ไม่เล่นแล้วครับ ตอนนี้ผมทำงานอยู่” “เย็งกัน” ม
บทที่ 69 ตอนจบ หลายเดือนต่อมา “คุณหนูไม่เล่นนะครับ เดี๋ยวคุณพ่อดุเอานะ” เทนต์ลูกน้องคนสนิทแฟรงค์กำลังดุคุณหนูตัวน้อยที่กำลังซนเดินเล่นรอบบ้าน วันนี้มีการนัดกินข้าวและประชุมใหญ่ของตระกูลโสภณ เขากับพี่เลี้ยงคุณหนูพิ้งค์อีกคนจึงต้องพาเธอออกมาเดินเล่นที่สวน เพราะบรรยากาศในห้องรับประทานอาหารไม่ค่อยดีเท่าไร “แอ๊ะ~” เด็กน้อยวัยหนึ่งขวบเดินเตาะแตะล้มบ้างไม่ล้มบ้าง เธอหัวเราะขบขันที่เห็นเทนต์วิ่งตามมาจับแล้วอุ้มขึ้นไปแนบอก “ปาปะ” “ไม่ใช่ครับ ไม่ปะป๋าครับ” เขาปัดเศษหญ้าออกจากตัวคุณหนูแล้วพาเธอเดินไปนั่งลงบนม้านั่ง หนูพิ้งค์นั่งนิ่งฉีกยิ้มกว้างอย่างดีใจพลางปรบมือแปะ ๆ เมื่อเทนต์ไกวชิงช้าไปมาเบา ๆ “ชอบเหรอครับ” “อื้อ~” เด็กน้อยยิ้มแป้นแล้วแหงนมองหน้าเขา หนูพิ้งค์ส่งสายตาหวานเยิ้มและรอยยิ้มที่ทำเอาคนทื่อ ๆ แข็งกระด้างเป็นต้องโอนอ่อนและเผยรอยยิ้มเอ็นดูออกมา “เท...” หนูพิ้งค์เอนตัวไปซบอกแกร่งอย่างออดอ้อนออเซาะ นิ้วน้อย ๆ เขี่ยแก้มเทนต์เบา ๆ พลางทำปากยื่น ๆ “คุณหนูจะเอาอะไรครับ” “หม่ำ ๆ กิงหม่ำ ๆ” “อา...นา
บทที่ 68 ความรัก ในช่วงชีวิตนางแบบคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่าชีวิตข้างหน้าจะดังเป็นพลุแตก หรือดับอนาถไม่ได้เฉิดฉายอยู่ในวงการ แต่วันนี้มีผู้ชายคนหนึ่งทำให้เธอรู้ว่าบนโลกใบนี้เธอไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว ยังมีเขาที่เป็นดั่งลมหายใจและทุก ๆ อย่างในชีวิต “ขอบคุณมากนะที่รักที่ดูแลกันมา” พราวดาวที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างเอี้ยวหน้ามายิ้มให้คนรักซึ่งแฟรงค์ยืนโอบเอวเธออยู่ด้านหลัง มาเฟียหนุ่มกดปลายจมูกลงบนไหล่มนอย่างแผ่วเบา “หากไม่ใช่เธอ ฉันเองก็ไม่รู้จะเป็นแบบไหน ชีวิตดำเนินไปในทางไหนมากกว่ากันระหว่างเป็นคนเลวกับเป็นคนดี แต่เพราะมีเธอ ชีวิตฉันถึงดีขึ้น เธอเองก็เป็นดั่งดวงใจของฉัน” “ปากหวานแบบนี้อยากให้พราวมีน้องให้หนูพิ้งค์เหรอคะ” แฟรงค์คลี่ยิ้มชอบใจกับคำถามเชิงหยอกล้อแฟนสาว แม้จะรู้ว่าเป็นเพียงการเย้าหยอก แต่เขากลับรู้สึกดีจนต้องซุกหน้าลงกับไหล่พราวดาว หลบสายตาเธอด้วยความเขินอาย “อย่ามาพูดดีกว่า ในเมื่อไม่อนุญาตให้มีอะ” แฟรงค์เบะปากใส่พราวดาว เพราะเธอเป็นคนบอกเองว่าจะยังไม่มีลูกคนที่สองถ้าหนูพิ้งค์ยังไม่สองขวบ “จริง ๆ แล้วลูกอาจจะอยากมีน้องนะ” แฟ
บทที่ 67 ครอบครัว หลายเดือนต่อมา พราวดาวอุ้มลูกน้อยในวัยเจ็ดเดือนไปที่สวนหลังบ้าน เพราะคุณปู่คุณย่ารอเล่นกับหลานอยู่ที่นั่น วันนี้เป็นวันคริสต์มาสเลยมีการแลกของขวัญกันหน่อย “หลานปู่มาแล้ว” พอพิ้งค์ได้ยินเสียงคุ้นหู เธอก็กรีดร้องและดีดดิ้นดีใจที่เห็นหน้าปู่กับย่า “มาหาปู่มาลูก” คาร์ลลุกขึ้นมาอุ้มหลานสาวมาแนบอก พร้อมทั้งหอมแก้มหนูพิ้งค์ไปหนึ่งฟอดใหญ่ด้วยความคิดถึงมาก ๆ แม้ว่าพราวดาวจะไม่ได้ย้ายมาอยู่กับเขาตามที่พูดกันไว้ แต่ก็พาหลานสาวมาหาทุกวัน ทว่าความคิดถึงปู่กับย่าก็มีให้ทุกวันเหมือนกัน “แอ๊ะ~” หนูพิ้งค์ส่งเสียงอ้อแอ้มองหน้าปู่กับย่าด้วยรอยยิ้มสดใส เธอยกมือขึ้นมาลูบแก้มปู่แล้วซบหน้าลงกับบ่า “นี่หนูง่วงนอนเหรอเนี่ย หรือว่าอยากได้อะไรครับ” “พ่อไม่ต้องตามใจพิ้งค์เลย เดี๋ยวเอาแต่ใจ เสียนิสัยอีก” แฟรงค์รีบดักทางพ่อกับแม่ไว้ เพราะท่านทั้งสองเอาใจและตามใจหนูพิ้งค์เก่งพอ ๆ กับตามใจลูกสะใภ้ พราวดาวคลี่ยิ้มจนตาหยีเมื่อเห็นปู่ย่าทำหน้าสลดเมื่อถูกลูกชายปรามไว้ “ความสุขของท่านค่ะ ให้แกทำเถอะ” “ไม่ได้
บทที่ 66 ความสุข “มันไม่ยากขนาดนั้นหรอกน่าเพื่อน มึงออกจะหล่อ สูงยาวขาวตี๋แบบนี้ ผู้หญิงคนไหนก็อยากเข้าหา” หมอพีทหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ก่อนจะพ่นลมหายใจออกอย่างหนักแล้วหันมองหน้าแฟรงค์อย่างเหนื่อยหน่ายใจ “ก็ถ้าเป็นอย่างที่พูดก็ดีดิ กูเจอแต่คนไม่จริงใจ” “เออน่า ครั้งนี้ต้องเจอคนที่ดีแน่” “สองปีครั้งเนี่ยนะ” “เออ ดีกว่าไม่มีคนมาจีบแล้วกัน” “แหม...มึงมีเมียแล้วก็พูดได้ดิ กูยังไม่มี มันหายากเว้ย!” แฟรงค์หัวเราะขบขันกับสีหน้าเหมือนคนจะร้องไห้ของเพื่อนรัก “มีเมียไม่พอ ยังหลงลูกหลงเมียอีก” “ก็ธรรมดาไหมวะ” หมอพีทกลอกตามองบนกับสิ่งที่ได้ยิน “เออ...มองแค่ปราดเดียวก็รู้แล้วว่าคุณพ่อป้ายแดงขาโหดอย่างแฟรงค์หลงลูกหลงเมียมากแค่ไหนน่ะ” “ก็จริง ไม่กล้าเถียงเลย” แฟรงค์ยกยิ้มมุมปาก จากนั้นจึงเดินออกมาด้านนอก “ทำอะไรกันครับ” แฟรงค์เดินไปหาพราวดาวแล้วโน้มตัวลงไปโอบกอดเธอไว้หลวม ๆ “กำลังกินน้ำร้อนอยู่ค่ะ คุณแม่โทร. มาบอกให้พราวกินน้ำร้อนบ่อย ๆ แล้วเดี๋ยวอีกสิบห้าวันท่านจะมาหาและให้พราวอยู่ไฟ
บทที่ 65 สุดหวง หลายวันที่พราวดาวพักฟื้นอยู่โรงพยาบาล จนกระทั่งวันนี้หมอให้ออกจากโรงพยาบาลได้ เธอก้าวเข้ามานั่งในรถซึ่งแฟรงค์อุ้มลูกขึ้นมานั่งก่อนแล้ว เธอชะโงกหน้ามองลูกน้อยที่นอนอยู่ในอ้อมแขนพ่อแล้วพ่นลมหายใจออกยาว ๆ “หลับก็ดีค่ะ กลัวจะงอแงตอนนั่งรถ” “ลูกเราไม่งอแงขนาดนั้น” “ค่า~” เธอเอนหลังพิงเบาะแล้วพักสายตาจนมาถึงคอนโด ปภัสสรและคาร์ลพูดกล่อมสองหนุ่มสาวอยู่หลายครั้งว่าให้ไปอยู่ด้วยกัน แต่แฟรงค์กับพราวดาวก็ยืนยันว่าจะเลี้ยงหนูพิ้งค์เอง “มาแล้ว...หลานสาวป้าวิกกี้” วิกกี้รีบเดินเข้ามารับพราวดาวกับลูกน้อง “หนูพิ้งค์คนสวยของป้าวิกกี้ หนูถอดแบบพ่อมาเป๊ะเลยนะลูก” “เห็นไหม มีแต่คนว่าหนูพิ้งค์เหมือนผม” “ก็เหมือนคุณแฟรงค์จริง ๆ หนิคะ” “แล้วไม่เหมือนพราวบ้างเลยเหรอพี่วิกกี้” พราวดาวเบ้ปาก ทำหน้าบูดบึ้งใส่ผู้จัดการสาวที่เอาแต่ป้องปากหัวเราะขบขันกับแฟรงค์ “เหมือนค่ะ เหมือนที่เป็นผู้หญิง” “พี่วิกกี้อ่า...” “พาลูกขึ้นห้องก่อนดีกว่า” ว่าจบแฟรงค์ก็พาลูกสาวและเมียสุดที่
บทที่ 64 ฝึกสมาธิกับหนูพิ้งค์ หลายนาทีต่อมา พราวดาวถูกพาเข้ามาในห้องพักฟื้นพร้อมกับลูกน้อยที่ถูกพยาบาลสาวเข็นตามเข้ามาทีหลัง แฟรงค์กับปภัสสรรีบเดินไปรับตัวเธอ “เป็นไงบ้างลูก” “เจ็บค่ะ” ตอนนี้ไม่มีความรู้สึกไหนเท่าความเจ็บปวดแล้ว หลังจากงัวเงียอยู่นาน แฟรงค์ก็อุ้มลูกน้อยเดินมาหา “ดูซิ...คุณแม่อยากเห็นหน้าหนูไหมคะ” ไม่ว่าเปล่า แต่เขายังย่อตัวลงพอให้พราวดาวได้เห็นหน้าลูกน้อย เธอคลี่ยิ้มกว้างแล้วยกมือขึ้นมาจับแขนแฟรงค์เบา ๆ “หนูพิ้งค์หน้าได้พ่อหมดเลยค่ะคุณแม่” “จริงลูก หน้าตาเหมือนไอ้ลูกตัวแสบของแม่หมดเลย” ปภัสสรเดินเข้ามาหาลูกชายแล้วรับตัวหลานสาวมาอุ้ม เปลี่ยนกันเพื่อให้แฟรงค์ดูแลพราวดาว “แล้วคุณพ่อล่ะคะ” เธอเอ่ยถามเสียงเรียบ “เดี๋ยวคงตามมาน่ะลูก ติดประชุมใหญ่” “อ๋อค่ะ” “พักผ่อนเถอะลูก” หญิงสาวพยักหน้าหงึก ๆ แล้วหลับไปเลย ส่วนแฟรงค์กับแม่ก็นำตัวหนูพิ้งค์ไปให้พี่พยาบาลนำไปที่ห้องทารกแรกเกิด ไว้พราวดาวตื่นจะนำตัวลูกน้อยมาให้กินนมอีกทีหนึ่ง “ยินดีด้
บทที่ 63 คุณพ่อป้ายแดง เข้าเดือนที่เก้า สัปดาห์สุดท้ายของการนับถอยหลังรอวันผ่าคลอด พราวดาวที่ตอนนี้ท้องใหญ่จนเดินเหินลำบากกว่าเดิมเดินมานั่งลงบนโซฟา ซึ่งแฟรงค์กำลังพับผ้าอ้อมเด็กใส่ตะกร้าเตรียมสำหรับไปโรงพยาบาล เธอมองเขาแล้วอดที่จะยิ้มตามไม่ได้ ก็แฟรงค์ยืนกรานว่าจะทำเองทุกอย่าง ตั้งแต่ซื้อของให้ลูกสาวและซักเสื้อผ้ารวมถึงตอนนี้ที่เขากำลังเตรียมของไปโรงพบาบาล “สนุกไหมคะ เห็นหยิบเสื้อลูกตัวไหนขึ้นมาก็อมยิ้ม” “สนุกและมีความสุขมากเลยละ ไม่น่าเชื่อว่าคนเราจะรู้จักหน้าที่ตนเองมากขนาดนี้ สมองสั่งการอัตโนมัติเลยละพราว” เขาหันมาพูดกับคนรักด้วยใบหน้ายิ้มแย้มมีความสุข แววตาเปล่งประกายบ่งบอกถึงความสุขที่เขาได้รับจากสิ่งที่กำลังทำอยู่ “พรุ่งนี้ป้าหมอก็ให้หนูไปแอดมิตแล้วนะคะคนสวย เราจะได้เจอกันเร็ว ๆ นี้แล้วนะ” “อยากเจอใจจะขาดแล้วครับคนสวย อยากเห็นว่าหนูจะหน้าเหมือนใครมากกว่ากัน ระหว่างพ่อกับแม่” “ก็ต้องเหมือนนายอยู่แล้ว ตั้งแต่อัลตราซาวนด์แล้ว” “ก็ไม่รู้แหละ เผื่อออกมาหนูแกล้งพ่อทำให้พ่อดีใจ” “ไม่แกล้งหร