เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นภายในบ้านหลังใหญ่แสนโอ่อ่า หรูหราและสวยงามสมฐานะผู้ที่ครอบครองอย่างครอบครัวแมทธิวและดารียะห์ สองสามีภรรยาที่ต่างเชื้อชาติ แต่ก็รักและเลือกใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน แมทธิวนั้นเป็นเศรษฐีทองคำชาวฝรั่งเศส ได้รู้จักและแต่งงานกับดารียะห์ ทายาทบ่อน้ำมันรายใหญ่ของบรูไน การแต่งงานของทั้งคู่เหมือนเรือล่มในหนองก็ไม่ปาน เพราะยิ่งส่งให้ทั้งสองครอบครัวมั่งคั่งและร่ำรวยมากขึ้น
ดารียะห์หันซ้ายหันขวามองหาคนรับใช้ ก่อนจะส่ายหน้าให้ เพราะไม่เห็นมีใครเดินมารับโทรศัพท์ที่ส่งเสียงอยู่ภายในบ้านสักคน ร่างอวบๆ แต่ยังคงดูสาวและสวยของเจ้าของบ้านเดินไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสายเสียเอง “ฮัลโหล” เสียงเอ่ยทักเป็นภาษาท้องถิ่นชาวบรูไนแบบสั้นๆ แต่กังวานฟังเหมือนคนมีอำนาจ แตกต่างกับหญิงรับใช้ในบ้าน เพียงแค่นี้อัสมาห์ก็ยิ้มออก ไม่คิดว่าดารียะห์จะรับสายด้วยตัวเอง “คุณพี่ดารียะห์ ดิฉันอัสมาห์นะคะ” บุคคลที่โทรเข้ามาเอ่ยแนะนำตัว “อ้าว...อัสมาห์ ไม่ได้คุยกันซะนาน สบายดีหรือเปล่า?” ดารียะห์ค่อยๆ หย่อนตัวลงไปนั่งบนโซฟาสุดหรูของเธอ ก่อนจะยกขาขาวขึ้นไขว่ห้าง เธอนั้นถึงจะมีเชื้อสายบรูไนหรือมุสลิม แต่การเลี้ยงดูก็จะเป็นแบบหัวสมัยใหม่ การแต่งตัวจึงไม่ได้เคร่งธรรมเนียมมากมายนัก ตามแต่ละโอกาสเสียมากกว่า “ค่ะ...คุณพี่จำเรื่องที่เราพูดคุยกันได้ไหมคะ ที่จะให้ลูกๆ ของเราแต่งงานกัน” อัสมาห์ไม่อ้อมค้อม เธอพูดตรงประเด็นในทันที เพราะร้อนใจเรื่องที่ภีรดลลูกชายอยากแต่งงานกับจิตรานุช หญิงสาวชาวไทยที่เธอมองว่าไม่คู่ควรกับลูกชายเธอสักนิด “จำได้สิ เรื่องสำคัญแบบนั้น” คนฟังไม่ได้ตกใจ เพราะเรื่องนี้มีการพูดคุยกันมาสักระยะแล้ว แต่ยังไม่ได้เป็นทางการมากนัก เพราะเห็นว่าเด็กทั้งคู่ยังไม่ได้มีโอกาสพบหน้ากัน “น้องต้องขอโทษคุณพี่ด้วย ที่ไม่ได้ไปคุยกับคุณพี่ด้วยตัวเองที่บ้าน แต่กลับโทรมาแบบนี้ เพราะน้องร้อนใจมากค่ะ ไม่รู้จะทำยังไงดีแล้ว” “ร้อนใจ เกิดปัญหาอะไรขึ้นอัสมาห์” ดารียะห์คิ้วขมวดทันที เพราะฟังจากน้ำเสียงอัสมาห์ดูร้อนใจปนกังวลมากทีเดียว “ก็ลูกชายของน้องน่ะสิคะ ตอนนี้มีผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้จะมาแบล็คเมล์แต่งงานด้วยเสียให้ได้ น้องกับคุณศุภกรกลุ้มใจกันมาก ไม่รู้จะทำยังไงดีแล้ว” พูดจบก็ถอนหายใจออกมาหนักๆ ให้ปลายสายรับรู้ถึงความกลุ้มใจในขณะนี้ “ตายจริง ถ้าลูกชายอัสมาห์เกิดเรื่องแบบนี้แล้วเราจะทำยังไง?” มือขาวอวบยกขึ้นทาบอกพลอยเป็นกังวลไปด้วย “น้องถึงได้โทรมาถามความคิดเห็นของคุณพี่ไงคะ ว่าจะให้หนูนาตาเซียได้พบหน้ากันกับภีรดลได้หรือเปล่า ถ้าเด็กสองคนชอบพอกัน ทางน้องก็จะได้สู่ขอหมั้นหมายหนูนาตาเซียให้เรียบร้อย ผู้หญิงใจง่ายคนนั้นจะได้ไม่มาวุ่นวายอีก” อัสมาห์หวังเป็นอย่างมากที่จะให้นาตาเซียพบหน้ากับภีรดล เพราะมั่นใจว่าลูกชายเธอต้องชอบหญิงสาวตั้งแต่แรกเห็นอย่างแน่นอน “เอ๊ะ! จะดีเหรอ ในเมื่อนี่เป็นปัญหาของลูกชายอัสมาห์ที่น่าจะจัดการเอง ทำไมไม่ทำเสียให้เรียบร้อยค่อยมาพบหน้ากัน” “ลูกชายน้องจัดการแล้วค่ะ ตอนนี้ถึงได้รู้สึกเศร้าและผิดหวังหนักที่ถูกผู้หญิงมาหลอกปั่นหัวเล่น หลอกว่าตัวเองท้องด้วยนะคะคุณพี่ ถ้าได้พบหน้าหนูนาตาเซีย ภีรดลคงพอสดชื่นขึ้นมาได้บ้าง เพราะเราก็มองออกว่าเด็กทั้งคู่เหมาะสมกันมาก” ปลายสายเริ่มตีไข่เพิ่มลงไปอีกหน่อย พยายามหว่านล้อมให้ดารียะห์เห็นด้วย “ฉันก็อยากให้เป็นแบบนั้น แต่ตอนนี้นาตาเซียไม่อยู่บ้าน” ความที่อยากเป็นดองกันอยู่แล้ว ทำให้ดารียะห์ไม่ปฏิเสธเรื่องที่จะให้เด็กทั้งคู่พบหน้ากันแต่อย่างใด “ออกนอกเมืองเหรอคะ” “เขาบินไปยุโรป หามหาวิทยาลัยเพื่อจะเรียนต่อระดับปริญญาโท เห็นว่าเกือบเดือนถึงจะกลับค่ะ” ดารียะห์เอ่ยบอกไป เพราะถ้า อัสมาห์โทรมาเร็วกว่านี้สักวันสองวัน เธอคงห้ามลูกสาวเอาไว้ก่อน “ช่างเป็นข่าวร้าย แต่ไม่เป็นไรค่ะ อย่างน้อยจะได้ไปพร้อมกัน” อัสมาห์ไม่มีทางเลือกก็คงต้องถ่วงเวลารอวันที่นาตาเซียจะเดินทางกลับมาเท่านั้น “รอ...เพื่อจะไปไหน” คนได้ฟังขมวดคิ้วสงสัยอีกครั้ง “เมืองไทยค่ะ คุณพี่กับคุณแมทธิวไปเมืองไทยพร้อมกับครอบครัวน้องนะคะ เราจะได้ไปพักผ่อนที่บ้านเกิดสามีของน้อง บรรยากาศสวยๆ ของทะเลที่นั่น อาจจะทำให้เราสองครอบครัวได้รับข่าวดีก็เป็นได้” น้ำเสียงหว่านล้อมของอัสมาห์ดังขึ้น “เมืองไทย ก็น่าสนใจนะ” “ค่ะ เดี๋ยวทริปนี้น้องจัดการที่พักสุดหรูไว้ให้ รับรองคุณพี่ต้องพอใจ” อัสมาห์รีบเสนอตัวทันที แค่นี้ขนหน้าแข้งของเธอไม่มีทางร่วงหรอก “แต่ฉันขอถามคุณแมทธิวก่อนว่าจะว่างหรือเปล่า?” “ยินดีค่ะ น้องจะรอคำตอบจากคุณพี่ หวังว่าจะเป็นข่าวดีนะคะ” ทั้งสองคนดูจะยิ้มออกมา อัสมาห์วางสายไปแล้ว ดารียะห์นั้นนั่งยิ้มกับตัวเอง ถ้าแผนการนี้สำเร็จเธอก็จะผูกมัดลูกสาวเพียงคนเดียวให้อยู่กับเธอที่บรูไนไปตลอดชีวิต ครอบครัวของอัสมาห์ก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไร เป็นถึงนักธุรกิจน้ำมันรายใหญ่ อีกอย่างยังมีเชื้อสายของคนไทย ที่ไม่คิดมีบ้านเล็กบ้านน้อยให้ลูกสาวเธอช้ำอกถ้าแต่งงานด้วย เพราะถ้าแต่งงานกับผู้ชายบรูไนที่สามารถมีภรรยาได้ถึงสี่คน เธอไม่ยอมแน่นอน ลูกสาวเธอต้องมีผัวเดียวเมียเดียวเหมือนเธอเท่านั้น เธอไม่อยากให้ลูกของนาตาเซีย เกิดมาใช้ชีวิตเหมือนเธอตอนเด็ก ที่เห็นความเจ้าชู้ของพ่อ หรือเห็นนาตาเซียมีทุกข์เพราะสามีพาหญิงอื่นเข้าบ้านหรอกนะ เหตุผลนี้ก็เป็นเหตุผลหลักที่เธอเลือกแต่งงานกับแมทธิวเช่นกัน ลูกสาวเธอต้องมีความสุขแน่นอน มีความสุขแทนคนที่จากไปด้วย“นั่งยิ้มอะไรคุณ?” แมทธิวที่เดินเข้ามาในบ้าน หลังจากออกรอบตีกอล์ฟกับเพื่อนที่เป็นนักธุรกิจเอ่ยถามขึ้นเป็นภาษาอังกฤษ ถึงจะมาอยู่ที่บรูไนเป็นสิบๆ ปีแล้ว แต่หนุ่มใหญ่ก็เลือกที่จะพูดภาษาอังกฤษเสียเป็นส่วนใหญ่ จะพูดภาษาท้องถิ่นของที่นี่ก็ตอนที่ติดต่อธุรกิจแต่ก็น้อยครั้ง “ก็เรื่องแต่งงานของนาตาเซียค่ะ” ดารียะห์หันมาตอบสามีเป็นภาษาอังกฤษด้วยเช่นกัน ในแววตาของเธอยังคงมีความรักให้สามีเสมอ เพราะตลอดเวลาที่แต่งงานมา แมทธิวซื่อสัตย์กับเธอมาโดยตลอด ใจจริงก็อยากให้นาตาเซียแต่งงานกับชาวยุโรปเหมือนเธอ แต่ก็กลัวว่าลูกสาวจะไปอยู่บ้านสามีจึงไม่สนับสนุน “แต่งงาน ตกลงนี่จะคลุมถุงชนลูกจริงๆ นะเหรอ?” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แมทธิวออกอาการเครียดเล็กน้อย เพราะไม่ค่อยชอบใจ อยากให้นาตาเซียตัดสินใจด้วยตัวเองมากกว่า “ค่ะ แต่ก่อนจะคลุมถุงชน ฉันยังให้โอกาสลูกได้พบกับว่าที่เจ้าบ่าวนะ ถือว่าดีแล้ว เพราะบ้านอื่นเขาจัดงานแต่งงานแล้วให้เจอหน้ากันตอนเข้าหอเสียด้วยซ้ำ” “ไม่ลองคิดดูใหม่เหรอคุณดารียะห์” “ฉันคิดดีแล้วค่ะ ถ้านาตาเซียมีแฟนจริงอย่างที่คุณกังวล ป่านนี้เราก็ต้องรู้เรื่อง ให้ลูกแต่งงานกับผู้ชายดีๆ ที่เราเลือก
ส่วนคนที่ไม่รู้เรื่องราวใดๆ นั้น นาตาเซียสาวสวยดวงตาคมเข้มฉบับสาวแขกลูกครึ่งบรูไน-ฝรั่งเศส วัยยี่สิบสี่ปี เดินยิ้มอย่างสบายใจ หลังจากเสร็จธุระเรื่องเรียนต่อของตัวเองที่อิตาลีแล้วแม้จะมาแค่ไม่กี่วันก็ตามที เพราะทุกอย่างเตรียมไว้พร้อมตั้งแต่ก่อนออกเดินทาง นาตาเซียนั้นสนใจเรื่องออกแบบเครื่องประดับเป็นพิเศษ หญิงสาวชื่นชอบทองคำเป็นที่สุด ใฝ่ฝันว่าอยากเข้าไปเป็นคนออกแบบให้ที่บริษัทของพ่อ แต่ยังขาดประสบการณ์อยู่มาก ชั่วโมงบินน้อยเมื่อเทียบกับนักออกแบบคนอื่นๆ จึงเลือกที่จะมาฝึกงานกับร้านจิวเวลรี่ชื่อดังและเรียนต่อด้านนี้เพิ่ม ทุกอย่างก็ดูจะลงตัวเรียบร้อย รอเพียงวันเข้าเรียนเท่านั้น ขณะที่กำลังเดินเที่ยวดูรอบๆ เมืองซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่สามแล้วที่มาเยือน จึงพอคุ้นชินกับเส้นทาง เสียงโทรศัพท์ของหญิงสาวก็ดังขึ้น นาตาเซียควานหาในกระเป๋าหนังสีดำใบใหญ่สักพักก่อนจะหยิบออกมากดรับสาย “ค่ะแม่” นาตาเซียเอ่ยทักเป็นภาษาไทยสำเนียงหวาน เพราะรู้ว่าแม่เข้าใจความหมายนั้นดี “สรุปลูกแม่ได้ที่เรียนแล้วหรือยังจ๊ะ” ในเมื่อลูกสาวเอ่ยเป็นภาษาไทย ดารียะห์ก็ตอบกลับเป็นภาษาไทยบ้าง เรื่องนี้ต้องยกความดีให้ละออ แม่นมข
ภายในบ้านหลังใหญ่ระดับมหาเศรษฐีของหมู่บ้านชื่อดัง ที่รู้ๆ กันว่าบ้านแต่ละหลังในย่านนี้ราคาครึ่งร้อยล้านขึ้นทุกหลัง คนมีอันจะกินหาซื้อบ้านไว้อยู่บ้างตามอารมณ์ เพราะไม่อยากให้เงินนอนจมในธนาคารกินดอกอย่างเดียว จึงเอามาสร้างบ้านและซื้อความสุขแบบฟุ่มเฟือยตามประสาคนรวยล้นฟ้า ลูคัส นิรัตน์ศยางค์กูล บาร์ตัน ชายหนุ่มนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน มาดเข้ม ลูกครึ่งไทย-ออสเตรเลีย อายุยี่สิบแปดปี ใบหน้าที่ดูหล่อเหลา แต่ยามร้ายก็เหมือนซาตานจำแลงลงมา คุณชายของบ้านนิรัตน์ศยางค์กูลกำลังก้าวลงจากเครื่องบินเล็กส่วนตัว ซึ่งเป็นของเล่นชิ้นใหม่ของชายหนุ่มที่จอดอยู่ในลานจอดกว้างของสนามหญ้าสีเขียวหลังบ้าน ที่มีพื้นที่รวมบ้านและสนามก็ขนาดเกือบยี่สิบไร่เห็นจะได้ เมื่อก้าวลงจากเครื่องบินเล็ก ชายหนุ่มก็ก้าวขึ้นรถกอล์ฟแล้วขับมุ่งตรงไปยังประตูบ้านทันที “นายน้อยขับเครื่องบินเป็นยังไงบ้างครับ” คนที่รอรับเมื่อเห็นรถกอล์ฟแล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้านก็รีบวิ่งมาหาพร้อมเอ่ยถามนายน้อยของบ้านทันที “ก็ดี” ชายหนุ่มเอ่ยตอบเสียงเรียบ มองคนขับรถที่อายุมากกว่าเขาห้าปี แต่ทำตัวนอบน้อมเพราะมีคำว่าเจ้านายและลูกน้องเป็นเส้นแบ่งอยู่ “ลูคัส หล
“พ่อ...ผมเข้าไปนะ” ลูคัสเคาะห้องทำงานของพ่อ ก่อนจะเอ่ยขออนุญาตขึ้น เขาเลี่ยงมาดามมิเชลกับวิคตอเรียขึ้นมาข้างบนก่อน เมื่อได้ยินเสียงนี้อดัมก็รีบเก็บรูปภรรยาสุดที่รักในลิ้นชักโต๊ะทำงานทันที แม้จะไม่ได้เจอหน้าเกือบยี่สิบแปดปีแล้ว แต่ในหัวใจของเขาก็ยังมีเธอไม่เปลี่ยนแปลง “เข้ามาสิ” อดัมเอ่ยบอก ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ มองไปยังลูกชายคนเดียวของเขา ที่ยังมีเค้าความเป็นแม่อยู่ในแววตาบ้าง “มาดามมิเชลมา พ่อรู้หรือยังครับ” ชายหนุ่มเดินมานั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามพ่อแล้วเอ่ยถาม ลูคัสนั้นมักจะเรียกย่าตัวเองว่ามาดามมิเชลแบบเต็มยศ และย่าสั้นๆ บ้างตามแต่สถานการณ์ “รู้...ก่อนหน้าลูกครึ่งชั่วโมงน่ะ” ผู้เป็นพ่อเอ่ยบอก เพราะรู้นิสัยของแม่ตัวเองและย่าของลูคัสดีว่าเป็นยังไง เขาอยากรู้นักนิสัยแบบนี้จะใช้กับเขาตอนนั้นด้วยหรือเปล่า ภรรยาเขาถึงได้หายไปแบบไร้ร่องรอย ตามหาตัวแทบพลิกเมืองไทยก็ยังหาตัวไม่พบ “แม่ของพ่อนี่ไม่เบาเลย ถ้ายังสาวคงน่ากลัวใช่เล่น” ลูคัสยิ้มออกมา อดัมอยากหัวเราะ ชักจะอยากให้พ่อลูกชายตัวดีส่องกระจกเสียจริง เพราะนิสัยบางอย่างของลูคัสเองก็ช่างเหมือนมาดามมิเชลไม่มีผิด กัดไม่ปล่อย โหดหน้าต
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!เสียงเคาะประตูหน้าห้อง ทำให้ชายหนุ่มที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำเดินมายังประตูแล้วเปิดมันออก ตอนนี้เขาสวมเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวเท่านั้น มันช่างหมิ่นเหม่ว่าปมที่ผูกเอาไว้หลวมๆ จะหลุดเสียเหลือเกิน“วิคตอเรีย” ชายหนุ่มเอ่ยเรียกชื่อหญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าห้อง เธอสวมชุดนอนเนื้อบางเบามองทะลุไปถึงไหนต่อไหน สายตาชายหนุ่มจ้องมองแบบเปิดเผย เพราะเธอตั้งใจใส่มาให้เขาดูอยู่แล้ว จะไม่มองก็ดูจะเสียความตั้งใจ “ร้อนจังค่ะ แอร์ห้องฉันไม่เย็นเลย” วิคตอเรียสลัดภาพสาวน้อยเขินอายเมื่อตอนหัวค่ำออกไปเสียหมด หญิงสาวเดินนวยนาดเข้ามาในห้องชายหนุ่มเหมือนเป็นเจ้าของ ก่อนจะยกมือพัดไปมาต้องการให้อากาศผ่านตัว รั้งสายชุดนอนเส้นเล็กให้ลงต่ำ เน้นหน้าอกอวบอูมที่โนบราของเจ้าตัวให้ดูเด่นมากขึ้น สาววัยยี่สิบเอ็ดที่ดูจะไม่กลัวกับเรื่องอย่างว่ามองหน้าชายหนุ่มตรงๆ “ถ้าไม่รังเกียจ จะนอนห้องผมก็ได้” ลูคัสเอ่ยชวน ดูท่าทางประโยคร้อนจัง แอร์ไม่เย็นเลย จะเป็นประโยคฮิตของหญิงสาวทุกคนที่มาพักบ้านเขา แม้จะรู้ความหมายมันดี แต่ชายหนุ่มเพลย์บอยตัวฉกาจก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนจะปิดประตูเพื่อความเป็นส่วนตัว “จริงเหรอคะ เจ้
“เวลา...ฉันอยากเที่ยวเมืองไทย เพราะไม่เคยมา คุณช่วยเป็นไกด์ให้ฉันหน่อยสิ” หญิงสาวไม่อยากได้ของพวกนั้น เพราะเธอมีปัญญามากพอที่จะหามันได้ ตอนนี้เธออยากได้เพื่อนเที่ยวเท่านั้นเอง แต่ถ้าเขาอยากให้เธอเป็นผู้หญิงบนเตียงในระหว่างเที่ยวก็โอเค “ผมไม่ว่าง” ลูคัสเอ่ยปฏิเสธ เพราะสำหรับเขา เวลามีค่ามากพอไม่ควรจะเอามาเสียเปล่ากับผู้หญิงคนนี้ “นะคะลูคัส แค่ไม่กี่วันเอง ฉันได้ยินว่ามาดามมิเชลอยากให้คุณกับฉันไปเที่ยวด้วยกัน โดยที่ท่านจะตามไปดูด้วย แต่ถ้าฉันขอไว้ คุณก็ไปกับฉันสองคนเท่านั้น ไม่ต้องอึดอัด เพราะฉันไม่เซ้าซี้คุณแน่นอน” คำพูดของวิคตอเรียทำให้ชายหนุ่มนิ่งคิด ถ้ามาดามมิเชลไปด้วยต้องมากความแน่นอน “อยากไปที่ไหน?”“ภูเก็ต” ได้ยินคำถามเรื่องสถานที่ที่ออกมาจากริมฝีปากหยักได้รูปน่าจูบตรงหน้าของลูคัส วิคตอเรียก็ยิ้มออกมาก่อนจะบอกว่าเธออยากไปที่ไหน หญิงสาวอยากให้รางวัลชายหนุ่มที่ใจดีจึงขยับตัวหวังจะจูบ แต่สุดท้ายลูคัสก็ปฏิเสธและบอกให้เธอกลับห้องไปซะ วิคตอเรียไม่ดื้อดึง เพราะมั่นใจว่าช่วงที่ไปท่องเที่ยวด้วยกัน เธอจะทำให้ชายหนุ่มกลืนน้ำลายที่พูดคำว่า วัน ไนท์ สแตนด์ ออกมาให้ได้ เช้าวันรุ่งขึ้นลูคัส
ในที่สุดวันที่ละออต้องกลับเมืองไทยแบบไม่เต็มใจก็มาถึง ดารียะห์มาส่งแม่นมของลูกสาวที่สนามบินด้วยตัวเอง เพื่อพบหน้าลูกสาวอันเป็นที่รัก เมื่อลงจากเครื่องนาตาเซียก็ปรี่เข้าไปโอบกอดแม่ หอมแก้มซ้ายทีขวาทีอย่างคิดถึง ก่อนจะหันมากอดแม่นมของตัวเองบ้าง ละออหน้าซีดแต่ก็พยายามเก็บอาการเอาไว้ “นาตาเซียกับละออต้องเดินทางไปเมืองไทยพร้อมกับคุณน้าศุภกรและน้าอัสมาห์ก่อน” ดารียะห์แนะนำทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกัน อัสมาห์นั้นชื่นชอบความน่ารักของนาตาเซียมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยิ่งรู้ว่านาตาเซียจะมาเป็นสะใภ้ เธอก็ยิ่งพอใจมากขึ้นเท่านั้น “อ้าว...แล้วแม่กับพ่อไม่ไปพร้อมกันเหรอคะ” คนฟังถึงกับงง อุตส่าห์รีบบินกลับมาเพราะคิดว่าจะได้ไปพร้อมครอบครัว แต่กลับต้องไปพร้อมครอบครัวของเพื่อนแม่ แม้จะเคยทานข้าวกับอัสมาห์มาแล้วบ้าง แต่ให้ไปพร้อมกันแบบนี้ก็ขัดๆ เหมือนกันเพราะไม่ชิน “เผอิญพ่อกับแม่ต้องไปรับแขกคนสำคัญของประเทศ จึงบินไปเมืองไทยพร้อมลูกวันนี้ไม่ได้” ผู้เป็นแม่เอ่ยตอบ เพราะเธอติดธุระจริงๆ ไม่อย่างนั้นจะบินไปพร้อมกันแล้ว “งั้นนาตาเซียรอไปพร้อมพ่อกับแม่ก็ได้ค่ะ” “แต่นาตาเซียต้องบินไปพร้อมคุณน้าวันนี้” ดารียะห์เอ่ยคำขา
“พูดไทยได้ด้วยเหรอครับ ประทับใจจัง” ชายหนุ่มประทับใจหญิงสาวตั้งแต่ใบหน้าสวยคมดูมีเสน่ห์แตกต่างจากผู้หญิงทุกคนที่ได้พบก็ว่าได้ นอกจากใบหน้าแล้วก็ยังประทับใจเข้าไปถึงคำพูดของเธอเลยก็ว่าได้ ช่างแตกต่างและโดดเด่นจนอยากทำความรู้จักให้มากกว่านี้ “ค่ะ แม่นมของฉันเป็นคนไทย จึงพูดได้” ละออที่ยืนอยู่ข้างๆ นาตาเซียส่งยิ้มให้ชายหนุ่ม ดูท่าการมาเที่ยวเมืองไทยครั้งนี้ของคุณหนูเธอจะไม่ค่อยดีเสียแล้ว คงไม่ใช่การดูตัวอะไรนั่นหรอกนะ คงต้องรอถามกับดารียะห์ที่จะตามมาในอีกไม่กี่วันว่าเรื่องราวจะเป็นยังไงต่อ“ผมว่าพูดได้ดีเลยล่ะ” ภีรดลเอ่ยชม ชายหนุ่มผู้แสนโลเลเริ่มเปลี่ยนเป้าหมายอีกครั้ง เมื่อเจอคนที่ถูกใจมากกว่าคนเก่าที่คบอยู่ “ไปโรงแรมกันเถอะ เราจะได้นั่งทานอะไรกัน” ศุภกรเอ่ยบอก ก่อนจะมองหน้าภรรยา เพราะแผนที่วางไว้นั้นไปได้สวยเลยก็ว่าได้ ภีรดลช่วยดูแลเทคแคร์นาตาเซียเป็นอย่างดี เมื่อมาถึงโรงแรมชายหนุ่มก็พาทั้งสี่คนไปทานอาหารไทยรสเลิศของห้องอาหารที่นี่ เอาอกเอาใจหญิงสาวหน้าสวยคมสารพัด แต่นาตาเซียก็วางตัวได้ดี ทั้งๆ ที่ดูจะอึดอัดไม่น้อย เมื่อทานอาหารเรียบร้อยทั้งหมดก็แยกย้าย เพราะอยากพักผ่อน อีกอย่างครอบ
บทที่ 35“นายน้อย...เอ่อ” น้ำอ้อยที่ทำหน้าที่เป็นแม่บ้านให้ลูคัสตั้งแต่รุ่นพ่อของชายหนุ่มเหมือนจะมีอะไรถาม ก่อนจะมองไปยังนาตาเซีย เพราะเธอนั้นอยู่กับครอบครัวนี้มานานแล้ว จับพลัดจับผลูย้ายจากเมืองไทยมาทำงานเป็นแม่บ้านอยู่ที่ซาอุฯ นี่ก็เพราะเป็นห่วงเจ้านายทั้งสองคน ยิ่งนายน้อยคนนี้ด้วยแล้วก็ยิ่งห่วงมากกว่าอดัม ผู้เป็นพ่อของลูคัสเสียอีก“แม่บ้าน ช่วยดูแล สอนงานเธอหน่อยนะป้าอ้อย” การสนทนาของทั้งคู่ ทำให้นาตาเซียใจชื้นขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยที่นี่ก็มีคนไทยให้เธอพอได้พึ่งพายามต้องมาทำงานชดใช้ให้ผู้ชายคนนี้“มะ...แม่บ้าน แต่นายน้อยก็มีป้าแล้วนี่จ๊ะ” คนฟังงง ก่อนจะมองมายังหญิงสาว หน้าตาสวยคม ที่ดูยังไงก็ไม่น่าจะเป็นแค่แม่บ้าน“ฉันหามาเพิ่มไง ป้าจะได้ไม่เหงา เห็นบ่นว่าไม่มีเพื่อนคุย” น้ำเสียงของลูคัสยามพูดกับน้ำอ้อยดูอ่อนโยนมาก ดูจะมีคนไทยเพียงคนเดียวที่ชายหนุ่มยอมพูดดีๆ ด้วย นั่นคือแม่บ้านคนนี้ แม้แรกๆ จะตั้งแง่กับแม่บ้านคนไทยของพ่อนักต่อนัก แต่น้ำอ้อยกลับอดทนกับความเกเรเอาแต่ใจของเขา นานเข้าจึงเป็นแม่บ้านผู้รู้
บทที่ 34“รู้ไหมตอนเข้าเมือง ฉันเสียเงินไปเท่าไหร่เพื่อช่วยเธอ ค่าเสียหายครั้งนี้มันมากพอตัว”“ยะ...อย่าบอกนะว่านายจะคิดบวกเรื่องนั้นด้วย แล้วให้ฉันทำงานชดใช้ให้” สมองของนาตาเซียคิดได้แค่ทางเดียวเท่านั้น ทำไมชีวิตเธอต้องมาเจอเรื่องบ้าๆ แบบนี้ด้วย“ใช่ เพราะฉันเป็นนักธุรกิจ ทำอะไรต้องได้ผลตอบแทนคืน”“ทุเรศ สารเลวที่สุด” มือบางกำเข้าหากันแน่นจนรู้สึกเจ็บ เพราะเล็บที่จิกเนื้อตรงฝ่ามือบาง แต่มันคงไม่เท่าเจ็บใจ ที่คิดว่าผู้ชายคนนี้หวังดีจะช่วยเธอ ที่แท้ก็สารเลว“บนโลกนี้มันโหดร้ายเสมอสาวน้อย” ลูคัสยักคิ้วให้เพราะเป็นต่ออยู่มาก ชายหนุ่มใช้วิธีนี้รั้งตัวนาตาเซียให้อยู่กับเขาต่อ“แล้วฉันต้องทำงานชดใช้คนอย่างนายไปถึงเมื่อไหร่”“อาทิตย์ สองอาทิตย์ เดือน สองเดือน ครึ่งปี หนึ่งปี” ชายหนุ่มไล่ระยะเวลา ที่มันดูจะมีแต่เพิ่มขึ้นทั้งนั้น“นานขนาดนั้นเชียวเหรอ ไม่มีทาง” นาตาเซียส่ายหน้าให้ ระยะเวลานานแบบนั้นใครจะยอมทำได้“นานหรือไ
บทที่ 33“แกล้งอ้วกไง แค่แกล้ง อยากเจอคุกหรือไง” ลูคัสเอ่ยย้ำอีกครั้งหน้าตาจริงจัง จนนาตาเซียหน้าเหลอหลา กลัวตำรวจจับได้จึงยอมทำตามที่เขาบอกทันที ก่อนจะแกล้งอาเจียนออกมาอย่างหนัก ยกมือขึ้นปิดปากไว้ บวกกับหน้าซีดๆ เพราะความกลัวของเธอ ฉากนี้จึงสมบทบาท“คุณผู้หญิงเป็นอะไรมากไหมครับ” นายตำรวจหนุ่มเห็นท่าทางของนาตาเซียก็รู้สึกเห็นใจขึ้นมา เพราะสีหน้าของเธอดูทรมานมาก“ที่รัก...ใจเย็นๆ เดี๋ยวผมจะพาไปโรงพยาบาลนะ” คนที่แกล้งเป็นสามีเอ่ยถามเสียงเป็นห่วงเป็นใยต่อภรรยาจอมปลอมของตัวเอง ความที่อยากเอาตัวรอดทำให้นาตาเซียยิ่งแกล้งอาเจียนให้หนักมากขึ้นไปอีก“ผมเรียกรถพยาบาลให้ไหม”“ไม่ต้องครับ พวกผมไปกันเองได้ ขอบคุณมากที่เป็นห่วง” ลูคัสปฏิเสธความหวังดีของนายตำรวจตรงหน้า ก่อนจะพยุงนาตาเซียแยกตัวออกไป ชายหนุ่มตรงไปยังรถคันใหญ่ที่จอดอยู่หน้าสนามบิน เมื่อเข้าไปนั่งก็สั่งให้ลูกน้องขับรถออกไปทันที จากที่สนามบินไปถึงอาณาจักรของเขาแค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้น“เฮ้อ...โล่งอกไป” นาตาเซียถอนหาย
บทที่ 32“ต้องใช้บัตรโทรศัพท์เหรอ ทำไงล่ะ ซื้อจากที่ไหน?” นาตาเซียอ่านขั้นตอนการใช้งานโทรศัพท์ที่แปะอยู่ข้างๆ ก่อนจะหันซ้ายหันขวามองหาจุดที่พอจะไปซื้อบัตรโทรศัพท์นั่นได้ แต่กลับมืดแปดด้าน ก่อนจะตัดสินใจเดินมาหาลูคัส ที่ตอนนี้ชายหนุ่มกำลังคุยกับใครอยู่สองสามคน เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ลูคัสกลับไม่ได้สนใจเธอแม้แต่น้อย เพราะกำลังคุยเรื่องงานสำคัญกับลูกน้อง ชายหนุ่มถามถึงแรงงานคนไทยที่เดินทางมาถึงที่นี่ก่อนเขาเมื่อสองชั่วโมงก่อน ว่ามีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า เพราะจำนวนแรงงานที่เดินทางมาครั้งนี้เกือบสามสิบคนเห็นจะได้ จึงกลัวว่าจะมีปัญหาบางอย่างที่พ่อเขามองข้ามไป แต่ก็ไม่มีจึงโล่งอก ก่อนจะหันมามองนาตาเซียที่ยืนทำหน้าน่าสงสารอยู่“ทำหน้าแบบนี้หมายความว่ายังไง?”“ฉันอยากโทรศัพท์ แต่ไม่รู้จะไปซื้อบัตรที่ไหน นายช่วยหน่อยสิ” นาตาเซียยืนมองหน้าชายหนุ่มเป็นนานกว่าเขาจะยอมหันมามอง ไม่รู้หรอกว่าเขาพูดคุยเรื่องอะไร เพราะเป็นภาษาที่เธอฟังไม่ออก แต่คงสำคัญจึงไม่อยากขัด“เธอนี่น่ารำคาญจริง” แม้จะพูดว่าน่ารำคาญ แต่ลูคัสก็กำลัง
บทที่ 31นาตาเซียลดฉากบังแดดของหน้าต่างเครื่องบินในห้องนอนลง หญิงสาวปรับสายตาให้ชินกับแสงที่จ้า ก่อนจะหรี่ตามองวิวด้านล่าง ที่เริ่มเห็นความแห้งแล้ง หวังว่าไม่นานเธอจะได้ลงจากเครื่องบินลำนี้ แล้วกลับอิตาลีไปอยู่ที่นั่นจนเรียนจบ โทรบอกที่บ้านให้ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะป่านนี้คงรู้เรื่องที่เธอสะเพร่าขึ้นเครื่องบินผิดลำแล้วแน่ๆ แต่อยู่ๆ ชายหนุ่มที่น่ากลัวเมื่อครู่ก็เปิดประตูเข้ามา ทำเอาคนที่กำลังคิดอะไรเหม่อๆ สะดุ้ง“กินข้าว” น้ำเสียงแข็งกระด้างของชายหนุ่มเอ่ยบอก ก่อนจะกลับไปนั่งรอหญิงสาวที่เก้าอี้ แม้จะไม่ต้องใส่ใจเธอด้วยซ้ำ แต่ก็เลือกที่จะไม่ทำ นาตาเซียลังเลนิดหน่อยว่าจะตามเขาออกไปดีไหม แต่ความหิวก็เป็นตัวแปรหลักให้เธอก้าวลงจากเตียง “นั่งสิ” ลูคัสเอ่ยบอก บนโต๊ะตรงหน้ามีสปาเกตตี กาแฟ และขนมปังวางอยู่ ในเครื่องเขาไม่ค่อยได้เตรียมของกินไว้สักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็เป็นของที่กินง่ายๆ หรือไม่ก็ซื้อแบบอาหารสำเร็จรูปอุ่นแล้วกินได้เลยมาสำรองไว้เสียมากกว่า “กี่โมงแล้ว” นาตาเซียกล้าๆ กลัวๆ ที่จะลงไปนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเขา แต่ก็ยอมทำในที่สุด หญิงสาวเอ่ยถามเรื่องเวลาก่อน เพราะเป็นสิ่งที่อยากรู้“หกโมง
บทที่ 30 นาตาเซียเริ่มขยับตัว เพราะรู้สึกว่าอะไรหนักๆ กอดรัดตัวเองอยู่จนรู้สึกหายใจไม่ออก หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ ภายในห้องนอนตอนนี้มีแสงสว่างเล็ดลอดเข้ามาทางหน้าต่างบานเล็ก พอตั้งสติลดอาการมึนๆ ของตัวเองได้เท่านั้น นาตาเซียก็แทบกรี๊ด เพราะตอนนี้เธอนอนอยู่ในอ้อมกอดใคร หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะอ้าปากค้าง“นาย...” ใบหน้าของลูคัสอยู่ห่างจากเธอไปนิดเดียว นิดเดียวจริงๆ ชายหนุ่มกำลังหลับ นาตาเซียจึงพยายามออกจากอ้อมกอดนี้ให้เร็วที่สุด หน้าตาแดงก่ำยามมองริมฝีปากของเขา ไม่รู้อีตาผู้ชายลามกนี่เข้ามานอนกับเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ ถือว่าเป็นเครื่องบินของตัวเองจะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นน่ะเหรอ หญิงสาวค่อยๆ จับมือของลูคัสที่พาดวางบนเอวกับขาหนักๆ ที่ก่ายเธออยู่ออก กอดซะแน่นทำเหมือนเธอเป็นหมอนข้างไปได้แต่เหมือนความพยายามของเธอจะไม่เป็นผล เพราะออกแรงเท่าไหร่ ขากับแขนของชายหนุ่มก็ไม่ออกไปจากตัวเธอสักที แถมยังเพิ่มแรงกอดจนเธอแทบจะแทรกเข้าไปอยู่ในตัวเขาอยู่แล้ว นาตาเซียพยายามยกแขนกันความแนบชิดนี้ ควันออกหู กัดฟันกรอดๆ อย่างเหลืออด“นี่...ตื่นสักที ไอ้ผู้ชายลามก” นาตาเซียแหวใส่เสียงดังฟังชัดจนลูคัสสะดุ้งตื่น ชายห
บทที่ 29มุมหนึ่งของเวลาที่ยังเดินไปข้างหน้าไม่มีหยุดหรือย้อนคืน ภีรดลนั่งดื่มเหล้าเหมือนคนบ้า สติหลุดตั้งแต่รู้ข่าวว่านาตาเซียหญิงสาวอันเป็นที่รักหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ชายหนุ่มก็เอาแต่นั่งดื่มเหล้าทั้งๆ ที่เฝ้าบอกทุกคนเป็นอย่างดีว่าจะออกตามหาหญิงสาว แต่ก่อนจะมีแรงทำขั้นนั้น ชายหนุ่มกลับเลือกใช้เหล้าดับความกลัดกลุ้ม นาตาเซียหายตัวไปเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้ว แต่ทำไมความรู้สึกเหมือนเธอหายไปนานเป็นสิบๆ ปีแบบนี้“นาตาเซีย” น้ำเสียงบ่งบอกว่าสติของคนพูดไม่ครบร้อยเปอร์เซ็นต์อย่างภีรดลเอ่ยชื่อหญิงสาวออกมา ก่อนจะยกขวดเหล้าในมือขึ้นดื่มแบบเพียวๆ แม้จะบาดคอแต่ก็ไม่ได้สะทกสะท้าน“คุณคะ” อัสมาห์ที่ยืนมองลูกชายที่เอาแต่ดื่มเหล้าจนเมามายตรงระเบียงหลังห้อง ก่อนจะหันมองหน้าสามีที่แม้จะดึกดื่นค่อนคืนจนถึงเช้า ทุกคนต่างข่มตาหลับไม่ลง ไม่รู้สึกง่วงสักนิด อีกอย่างเวลานี้ภีรดลก็ไม่ค่อยดีนัก“ผมรู้ แต่ปล่อยไมค์ไปก่อน คงกำลังกลุ้ม” ศุภกรส่ายหน้าให้ลูกชาย ยามรักภีรดลมักจะเป็นแบบนี้ ทุ่มให้จนหมดตัวและเจ็บปวด แต่ยามหมดรักก็ทิ้งไปแบบไม่เหล
บทที่ 28“ไม่...ผมไม่มีทางทำแบบนั้น” ลูคัสปฏิเสธคำของนาเดียร์ทันที“แต่เราจะตายทั้งคู่นะ เชือกจะรับน้ำหนักไม่ไหวแล้ว”“ตายก็ช่าง แต่ผมไม่ยอมให้คุณทำแบบนั้น เก็บคัตเตอร์กลับไป” น้ำเสียงของความหวาดกลัวว่าเธอจะทำอะไรบ้าๆ เอ่ยบอก“ไม่...” นาเดียร์ปฏิเสธทันทีเหมือนกัน“นาเดียร์!” ลูคัสตะคอกด้วยหัวใจที่เจ็บปวด แต่นาเดียร์ก็ยังไม่ยอมทำตามที่ชายหนุ่มบอกแต่อย่างใด หญิงสาวตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะเลือกช่วยชีวิตชายอันเป็นที่รัก เธอใช้คัตเตอร์ในมือตัดเชือกที่ยึดร่างเธอและเขาให้ขาดออกจากกันทันทีโดยมีสายตาของลูคัสมองอยู่ ชายหนุ่มแทบกลั้นหายใจ คราวนี้ก็เหลือเพียงมือของลูคัสเท่านั้นที่จับมือของนาเดียร์แน่นไม่ยอมปล่อย“ไม่...นาเดียร์ ไม่...” หัวใจของชายหนุ่มแทบแตกสลาย ความเจ็บปวดกลัวว่าจะเสียเธอเข้ามากุมในหัวใจ เขาทำอะไรไม่ได้เลยอย่างนั้นเหรอ ทำไมเรื่องเลวร้ายแบบนี้ต้องเกิดกับเขาและเธอ ทำไม?“ปล่อยมือฉันลูคัส”“ไม่มีทาง” ลูคัสส่า
บทที่ 27เพียงเสี้ยวนาทีสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อลูคัสเสียการทรงตัว เพราะชะง่อนหินจุดที่เขาจับอยู่ทรุดและทะลายลงมาปานถูกของแข็งทุบจากด้านบนก็ไม่ปาน ชายหนุ่มร่วงตามแรงโน้มถ่วงของโลก แต่ยังดีที่มีเชือกนิรภัยซึ่งผูกติดกับตัวเองและก้อนหินก้อนบนสุดไว้อยู่จึงไม่หล่นลงพื้นในทันที แต่การร่วงครั้งนี้ทำให้นาเดียร์ที่ใช้เชือกนิรภัยเช่นเดียวกับชายหนุ่มร่วงตามมาด้วย เพราะความห่างของเชือกมีน้อย ทั้งคู่จึงห้อยอยู่กลางอากาศแบบนั้น“ว้าย!!!” หญิงสาวร้องลั่นด้วยความตกใจ นาเดียร์คุมสติเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่ม ลูคัสพยายามลืมตาขึ้น เพราะเศษหินที่ร่วงลงใส่หน้าเขาเมื่อครู่ ชายหนุ่มขยี้ตาทั้งสองข้างจนแดงก่ำ ก่อนจะค่อยๆ ลืมขึ้นมองแล้วพยายามจะเอื้อมมือไปคว้าหาที่เกาะ ยกเท้าไปแตะหวังดึงตัวเองกลับไป แต่น้ำหนักตัวของนาเดียร์ที่ห้อยอยู่ด้านล่าง มันก็ทำให้เขาทำอย่างที่ต้องการไม่ได้“นาเดียร์ เป็นอะไรหรือเปล่า?” ความห่วงใยทำให้ชายหนุ่มเอี้ยวตัวลงไปถามคนรัก มองใบหน้าของเธอ สื่อแววตาให้มั่นใจว่าไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น“ไม่