“พ่อ...ผมเข้าไปนะ” ลูคัสเคาะห้องทำงานของพ่อ ก่อนจะเอ่ยขออนุญาตขึ้น เขาเลี่ยงมาดามมิเชลกับวิคตอเรียขึ้นมาข้างบนก่อน เมื่อได้ยินเสียงนี้อดัมก็รีบเก็บรูปภรรยาสุดที่รักในลิ้นชักโต๊ะทำงานทันที แม้จะไม่ได้เจอหน้าเกือบยี่สิบแปดปีแล้ว แต่ในหัวใจของเขาก็ยังมีเธอไม่เปลี่ยนแปลง
“เข้ามาสิ” อดัมเอ่ยบอก ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ มองไปยังลูกชายคนเดียวของเขา ที่ยังมีเค้าความเป็นแม่อยู่ในแววตาบ้าง “มาดามมิเชลมา พ่อรู้หรือยังครับ” ชายหนุ่มเดินมานั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามพ่อแล้วเอ่ยถาม ลูคัสนั้นมักจะเรียกย่าตัวเองว่ามาดามมิเชลแบบเต็มยศ และย่าสั้นๆ บ้างตามแต่สถานการณ์ “รู้...ก่อนหน้าลูกครึ่งชั่วโมงน่ะ” ผู้เป็นพ่อเอ่ยบอก เพราะรู้นิสัยของแม่ตัวเองและย่าของลูคัสดีว่าเป็นยังไง เขาอยากรู้นักนิสัยแบบนี้จะใช้กับเขาตอนนั้นด้วยหรือเปล่า ภรรยาเขาถึงได้หายไปแบบไร้ร่องรอย ตามหาตัวแทบพลิกเมืองไทยก็ยังหาตัวไม่พบ “แม่ของพ่อนี่ไม่เบาเลย ถ้ายังสาวคงน่ากลัวใช่เล่น” ลูคัสยิ้มออกมา อดัมอยากหัวเราะ ชักจะอยากให้พ่อลูกชายตัวดีส่องกระจกเสียจริง เพราะนิสัยบางอย่างของลูคัสเองก็ช่างเหมือนมาดามมิเชลไม่มีผิด กัดไม่ปล่อย โหดหน้าตายแบบนี้ “เห็นว่าคราวนี้พาใครมาด้วย” “มาดามมิเชลบอกว่าเป็นหลานของเพื่อนน่ะครับ ผมเจอแล้วเมื่อกี้” ชายหนุ่มเอนหลังพิงเก้าอี้ ไม่ว่าจะกลับมาที่นี่สักกี่ครั้ง เขาไม่เคยชอบเลยสักทีให้ตาย มันรู้สึกอึดอัดมากจนแทบหายใจไม่ออก ที่ต้องมายืนมาใช้อากาศของประเทศนี้หายใจ ยิ่งโตมาก็ยิ่งเกลียดให้ตายเถอะ แต่ยิ่งเกลียดเขาก็ต้องยิ่งอยู่ “เพิ่งรู้ว่ามาดามมีเพื่อนเยอะกับเขาเหมือนกัน” อดัมเอ่ยประชดประชันผู้เป็นแม่ เพราะมาดามมิเชลถึงจะเดินทางมาเมืองไทยไม่บ่อย แต่ทุกครั้งที่มามักจะหาเรื่องให้แปลกใจเสมอ แต่ถึงกระนั้นมาดามมิเชลก็เลี้ยงลูคัสจนเติบใหญ่ ซึ่งเขาก็ขอลูคัสกลับมาเลี้ยงเองตอนที่ลูกชายอายุได้สิบขวบ ก่อนจะส่งไปเรียนต่อที่อังกฤษตอนเข้าไฮสคูลจนถึงมหาวิทยาลัย ด้วยอาชีพของเขาที่ต้องไปดูความเรียบร้อยของพื้นที่ขุดเจาะน้ำมันที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย จึงไม่ค่อยมีเวลาให้ลูกชายเท่าที่ควร แม่ของเขาจึงหมั่นไปเยี่ยมหลานชายคนโปรดที่อังกฤษบ่อยๆ แต่พอโตขึ้นดูทั้งคู่จะห่างๆ กันออกไป “คงงั้น” ลูคัสเอ่ยตอบเหมือนไม่สนใจ “เรื่องคนงานรอบใหม่ที่จะพาไปซาอุ พ่อให้คนจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วนะ รอแค่วันเดินทาง เอาคนไทยไปดีแล้ว ฝีมือดี จะได้ช่วยคนที่นี่ด้วย” ผู้เป็นพ่อหันกลับมาคุยเรื่องงานบ้าง เพราะตอนนี้ลูคัสดูจะเป็นหัวเรือใหญ่ในการบริหารจัดการทุกอย่างของบริษัท ซึ่งชายหนุ่มก็ทำได้ดีทีเดียว แม้จะเสี่ยงอันตรายต่อการทำงาน ที่ผ่านมาก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ส่วนเขาก็คอยหาพื้นที่ร่วมทุนแห่งใหม่เสมอ เพราะสัมปทานการขุดเจาะน้ำมันที่ประเทศซาอุดีอาระเบียนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอด พักนี้ทางรัฐบาลก็ค่อนข้างบีบบริษัทข้ามชาติเสียด้วย จึงต้องหาช่องทางใหม่ๆ รองรับไว้ “ช่วยคน พ่อนี่ใจดีจริง ยังช่วยคนในประเทศนี้อยู่อีก” พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทีไร ลูคัสมักจะรู้สึกไม่ชอบใจเสียทุกครั้งไป “พ่อไม่รู้ว่ามาดามมิเชลพูดอะไรให้เราฟังบ้าง แต่ความจริงคือความจริง ที่ลูกมีสายเลือดของคนในประเทศนี้อยู่ครึ่งหนึ่ง จำไว้” อดัมมองลูกชายคนเดียวด้วยสายตาที่ไม่ชอบใจกับสิ่งที่ได้ยิน ไม่รู้ทำไมลูคัสถึงได้มีอคติกับคนไทยนัก ทั้งๆ ที่เรื่องในอดีตยังไม่ได้รู้ความจริงด้วยซ้ำ ทุกอย่างมันต้องมีเหตุผลสิ “แต่ผมไม่ยอมรับ” “ลูคัส!” ฝ่ามือใหญ่ตบลงโต๊ะทำงานอย่างไม่กลัวเจ็บ มองหน้าลูกชายนิ่งด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ซึ่งลูคัสเองก็ไม่ได้ละสายตาไปทางไหน สบตาของผู้เป็นพ่ออย่างแข็งกร้าวเช่นกัน “ผมไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก แค่มาเหยียบพื้นดินที่คนคนนั้นเคยอยู่ และอาจจะอยู่ถึงทุกวันนี้ ผมก็รังเกียจจะแย่แล้ว” “ลูคัส หยุดพูดแบบนั้น” ได้ยินคำพูดที่ดูถูกแผ่นดินเกิดผู้เป็นแม่ของลูกชายแบบนี้ อดัมถึงกับลุกขึ้นจากเก้าอี้ จ้องมองลูกชายที่ไม่รู้ถึงความผิดที่ได้พูดออกมา “ผมยอมทำตามที่พ่อสั่งหลายเรื่อง ทั้งเรื่องที่ให้ผมอยู่ที่นี่ เรื่องรับคนงานไทยไปทำงานที่พื้นที่ขุดเจาะน้ำมัน และอื่นๆ ที่เกี่ยวกับคำว่าไทย มันมากพอแล้ว ผมไม่อยากทำเกินกว่านี้” ลูคัสเน้นคำว่าไทยอย่างชัดเจน เพราะเขาไม่ชอบคำนี้เลยจริงๆ แต่ก็ต้องทนอยู่ทนทำเรื่องมากมายตามที่พ่อสั่งสิ่งที่ชายหนุ่มพูดออกมา ทำให้คนที่ยืนนอกห้องซึ่งได้ยินประโยคนี้เข้าถึงกับยิ้มพอใจ มาดามมิเชลรู้สึกพอใจกับหลานชายที่เธออุตส่าห์เลี้ยงมากับมือ แม้จะไม่ได้ดั่งใจไปซะทุกอย่าง แต่เรื่องแรงเกลียดชังนี้ ลูคัสไม่เคยทำให้เธอผิดหวังเลยจริงๆ
“หลานย่า ต้องรักย่าสิถึงจะถูก” มาดามมิเชลเอ่ยกับตัวเองยิ้มๆ ก่อนจะเดินผ่านเข้าห้องนอนของตัวเองไป เธอเคยเจ็บปวดจากการถูกแย่งของรัก แต่ตอนนี้ของรักชิ้นนั้นได้กลับมาอยู่ในอ้อมกอดของเธอแล้ว แต่เพิ่มจากหนึ่งเป็นสองก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!เสียงเคาะประตูหน้าห้อง ทำให้ชายหนุ่มที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำเดินมายังประตูแล้วเปิดมันออก ตอนนี้เขาสวมเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวเท่านั้น มันช่างหมิ่นเหม่ว่าปมที่ผูกเอาไว้หลวมๆ จะหลุดเสียเหลือเกิน“วิคตอเรีย” ชายหนุ่มเอ่ยเรียกชื่อหญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าห้อง เธอสวมชุดนอนเนื้อบางเบามองทะลุไปถึงไหนต่อไหน สายตาชายหนุ่มจ้องมองแบบเปิดเผย เพราะเธอตั้งใจใส่มาให้เขาดูอยู่แล้ว จะไม่มองก็ดูจะเสียความตั้งใจ “ร้อนจังค่ะ แอร์ห้องฉันไม่เย็นเลย” วิคตอเรียสลัดภาพสาวน้อยเขินอายเมื่อตอนหัวค่ำออกไปเสียหมด หญิงสาวเดินนวยนาดเข้ามาในห้องชายหนุ่มเหมือนเป็นเจ้าของ ก่อนจะยกมือพัดไปมาต้องการให้อากาศผ่านตัว รั้งสายชุดนอนเส้นเล็กให้ลงต่ำ เน้นหน้าอกอวบอูมที่โนบราของเจ้าตัวให้ดูเด่นมากขึ้น สาววัยยี่สิบเอ็ดที่ดูจะไม่กลัวกับเรื่องอย่างว่ามองหน้าชายหนุ่มตรงๆ “ถ้าไม่รังเกียจ จะนอนห้องผมก็ได้” ลูคัสเอ่ยชวน ดูท่าทางประโยคร้อนจัง แอร์ไม่เย็นเลย จะเป็นประโยคฮิตของหญิงสาวทุกคนที่มาพักบ้านเขา แม้จะรู้ความหมายมันดี แต่ชายหนุ่มเพลย์บอยตัวฉกาจก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนจะปิดประตูเพื่อความเป็นส่วนตัว “จริงเหรอคะ เจ้
“เวลา...ฉันอยากเที่ยวเมืองไทย เพราะไม่เคยมา คุณช่วยเป็นไกด์ให้ฉันหน่อยสิ” หญิงสาวไม่อยากได้ของพวกนั้น เพราะเธอมีปัญญามากพอที่จะหามันได้ ตอนนี้เธออยากได้เพื่อนเที่ยวเท่านั้นเอง แต่ถ้าเขาอยากให้เธอเป็นผู้หญิงบนเตียงในระหว่างเที่ยวก็โอเค “ผมไม่ว่าง” ลูคัสเอ่ยปฏิเสธ เพราะสำหรับเขา เวลามีค่ามากพอไม่ควรจะเอามาเสียเปล่ากับผู้หญิงคนนี้ “นะคะลูคัส แค่ไม่กี่วันเอง ฉันได้ยินว่ามาดามมิเชลอยากให้คุณกับฉันไปเที่ยวด้วยกัน โดยที่ท่านจะตามไปดูด้วย แต่ถ้าฉันขอไว้ คุณก็ไปกับฉันสองคนเท่านั้น ไม่ต้องอึดอัด เพราะฉันไม่เซ้าซี้คุณแน่นอน” คำพูดของวิคตอเรียทำให้ชายหนุ่มนิ่งคิด ถ้ามาดามมิเชลไปด้วยต้องมากความแน่นอน “อยากไปที่ไหน?”“ภูเก็ต” ได้ยินคำถามเรื่องสถานที่ที่ออกมาจากริมฝีปากหยักได้รูปน่าจูบตรงหน้าของลูคัส วิคตอเรียก็ยิ้มออกมาก่อนจะบอกว่าเธออยากไปที่ไหน หญิงสาวอยากให้รางวัลชายหนุ่มที่ใจดีจึงขยับตัวหวังจะจูบ แต่สุดท้ายลูคัสก็ปฏิเสธและบอกให้เธอกลับห้องไปซะ วิคตอเรียไม่ดื้อดึง เพราะมั่นใจว่าช่วงที่ไปท่องเที่ยวด้วยกัน เธอจะทำให้ชายหนุ่มกลืนน้ำลายที่พูดคำว่า วัน ไนท์ สแตนด์ ออกมาให้ได้ เช้าวันรุ่งขึ้นลูคัส
ในที่สุดวันที่ละออต้องกลับเมืองไทยแบบไม่เต็มใจก็มาถึง ดารียะห์มาส่งแม่นมของลูกสาวที่สนามบินด้วยตัวเอง เพื่อพบหน้าลูกสาวอันเป็นที่รัก เมื่อลงจากเครื่องนาตาเซียก็ปรี่เข้าไปโอบกอดแม่ หอมแก้มซ้ายทีขวาทีอย่างคิดถึง ก่อนจะหันมากอดแม่นมของตัวเองบ้าง ละออหน้าซีดแต่ก็พยายามเก็บอาการเอาไว้ “นาตาเซียกับละออต้องเดินทางไปเมืองไทยพร้อมกับคุณน้าศุภกรและน้าอัสมาห์ก่อน” ดารียะห์แนะนำทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกัน อัสมาห์นั้นชื่นชอบความน่ารักของนาตาเซียมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยิ่งรู้ว่านาตาเซียจะมาเป็นสะใภ้ เธอก็ยิ่งพอใจมากขึ้นเท่านั้น “อ้าว...แล้วแม่กับพ่อไม่ไปพร้อมกันเหรอคะ” คนฟังถึงกับงง อุตส่าห์รีบบินกลับมาเพราะคิดว่าจะได้ไปพร้อมครอบครัว แต่กลับต้องไปพร้อมครอบครัวของเพื่อนแม่ แม้จะเคยทานข้าวกับอัสมาห์มาแล้วบ้าง แต่ให้ไปพร้อมกันแบบนี้ก็ขัดๆ เหมือนกันเพราะไม่ชิน “เผอิญพ่อกับแม่ต้องไปรับแขกคนสำคัญของประเทศ จึงบินไปเมืองไทยพร้อมลูกวันนี้ไม่ได้” ผู้เป็นแม่เอ่ยตอบ เพราะเธอติดธุระจริงๆ ไม่อย่างนั้นจะบินไปพร้อมกันแล้ว “งั้นนาตาเซียรอไปพร้อมพ่อกับแม่ก็ได้ค่ะ” “แต่นาตาเซียต้องบินไปพร้อมคุณน้าวันนี้” ดารียะห์เอ่ยคำขา
“พูดไทยได้ด้วยเหรอครับ ประทับใจจัง” ชายหนุ่มประทับใจหญิงสาวตั้งแต่ใบหน้าสวยคมดูมีเสน่ห์แตกต่างจากผู้หญิงทุกคนที่ได้พบก็ว่าได้ นอกจากใบหน้าแล้วก็ยังประทับใจเข้าไปถึงคำพูดของเธอเลยก็ว่าได้ ช่างแตกต่างและโดดเด่นจนอยากทำความรู้จักให้มากกว่านี้ “ค่ะ แม่นมของฉันเป็นคนไทย จึงพูดได้” ละออที่ยืนอยู่ข้างๆ นาตาเซียส่งยิ้มให้ชายหนุ่ม ดูท่าการมาเที่ยวเมืองไทยครั้งนี้ของคุณหนูเธอจะไม่ค่อยดีเสียแล้ว คงไม่ใช่การดูตัวอะไรนั่นหรอกนะ คงต้องรอถามกับดารียะห์ที่จะตามมาในอีกไม่กี่วันว่าเรื่องราวจะเป็นยังไงต่อ“ผมว่าพูดได้ดีเลยล่ะ” ภีรดลเอ่ยชม ชายหนุ่มผู้แสนโลเลเริ่มเปลี่ยนเป้าหมายอีกครั้ง เมื่อเจอคนที่ถูกใจมากกว่าคนเก่าที่คบอยู่ “ไปโรงแรมกันเถอะ เราจะได้นั่งทานอะไรกัน” ศุภกรเอ่ยบอก ก่อนจะมองหน้าภรรยา เพราะแผนที่วางไว้นั้นไปได้สวยเลยก็ว่าได้ ภีรดลช่วยดูแลเทคแคร์นาตาเซียเป็นอย่างดี เมื่อมาถึงโรงแรมชายหนุ่มก็พาทั้งสี่คนไปทานอาหารไทยรสเลิศของห้องอาหารที่นี่ เอาอกเอาใจหญิงสาวหน้าสวยคมสารพัด แต่นาตาเซียก็วางตัวได้ดี ทั้งๆ ที่ดูจะอึดอัดไม่น้อย เมื่อทานอาหารเรียบร้อยทั้งหมดก็แยกย้าย เพราะอยากพักผ่อน อีกอย่างครอบ
บทที่ 11 “นาตาเซียไหน?” กุสุมางง แต่ก็แค่แกล้งทำเท่านั้น นาตาเซีย ชื่อที่เพราะแบบนี้พลอยคิดถึงใบหน้าสวยคมของเจ้าของชื่อด้วยไม่ได้ พอนึกถึงความคิดถึงก็เข้ามาทันที “โธ่...ยายบ๊องนิด จำเราไม่ได้เลยหรือไง?” คนโทรหาออกอาการงอนเล็กน้อย ที่กุสุมาจำตัวเองไม่ได้ ถึงจะไม่ได้ยินเสียง แต่ก็ส่งเมลคุยกันบ่อยๆ นะ “เวอร์...จำได้ตั้งแต่ได้ยินเสียงหวานๆ แล้วจ้า ว่าแต่นี่มันเบอร์ในประเทศเรานี่ อย่าบอกนะว่าตอนนี้นาตาเซียอยู่เมืองไทย” “ถูกต้อง มาตามสัญญา ต้องการไกด์นำเที่ยว” นาตาเซียยิ้มกว้างทันที เมื่อรู้ว่าเพื่อนสาวจำเธอได้ ไม่อย่างนั้นก็คงเที่ยวกรุงเทพฯ แบบงงกันไปสองคนกับละออ “นั่งไง...ว่าแล้วเชียว เจอกันก่อนไหม จะได้กอดให้หายคิดถึง” “ได้สิ ที่ไหน” หญิงสาวเอ่ยรับทันที เพราะเธอเองก็อยากเจอกุสุมามากเหมือนกัน “แหมๆ ถามยังกับเป็นคนในพื้นที่ ว่าแต่ตอนนี้นาตาเซียพักที่ไหนเถอะ” คนฟังยิ้มออกมา นิสัยแบบนี้ของนาตาเซียไม่เคยหายไปตามกาลเวลา นิสัยที่ซื้อใจเพื่อนด้วยใจแบบนี้ “โรงแรม...ที่สุขุมวิท ใช่ไหมนม” ความไม่แน่ใจทำให้นาตาเซียหันไปถามละออเรื่องสถานที่อีกครั้ง ซึ่งละออก็พยักหน้าให้ว่าถูกแล้ว“งั้นเราไปหา
บทที่ 11เมื่อได้ฤกษ์แต่งงานที่แน่ชัดแล้ว ครอบครัวของจิตรานุชก็จัดแจงทุกอย่างทันที ว่าที่บ่าวสาวต่างก็ง่วนกับการเลือกชุด การ์ดและของชำร่วย จิตรานุชนั้นคิดรูปแบบงานไว้แล้วว่าเธออยากทำให้งานแต่งงานของตัวเองเหมือนเจ้าหญิงในนิยาย ซึ่งภีรดลก็ไม่ขัด แต่บางเสี้ยวบางความคิดชายหนุ่มกลับคิดถึงนาตาเซียขึ้นมา อยากรู้ว่าตอนนี้หญิงสาวทำอะไรอยู่ จึงแวะมาหาที่โรงแรมแต่ก็ไม่พบ ส่วนครอบครัวของภีรดลตอนนี้กลับสบายๆ เพราะถามตามมารยาทกับครอบครัวจิตรานุชมาแล้วว่าอยากให้ช่วยเหลืออะไรบ้าง แต่คำตอบที่ได้คือไม่เป็นไร ขอจัดการเอง ส่วนงานแต่งงานที่บรูไนค่อยให้ทางนี้จัดการ ซึ่งศุภกรกับอัสมาห์ก็อยากหัวเราะเยาะให้ดังๆ เพราะไม่รู้จะมีวันนั้นอยู่อีกหรือเปล่า ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!“นาตาเซีย น้าเองจ้ะ” อัสมาห์ที่รอให้หญิงสาวกลับมาถึงห้องเดินเข้ามาเคาะประตู เพราะแม้จะดึกดื่นแค่ไหนเธอก็ยังรอ “คุณอัสมาห์ เข้ามาก่อนสิคะ” ละออเป็นคนเดินมาเปิดประตู เพราะนาตาเซียกำลังคุยโทรศัพท์กับผู้เป็นแม่อยู่ “หนูนาตาเซียทำอะไรอยู่ละออ” เมื่อเข้ามาในห้องพัก อัสมาห์ก็เอ่ยถามเพราะไม่เห็นคนที่เธออยากพูดด้วยอยู่ในห้อง “กำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับค
บทที่ 12ตลอดเวลาที่มาพักผ่อนยังภูเก็ต ทุกคนต่างมีกิจกรรมที่ชอบทำแทบตลอดเวลา ใบหน้าของนาตาเซียนั้นบ่งบอกว่าหญิงสาวมีความสุขมาก กีฬาทางทะเลที่ว่าตื่นเต้นเร้าใจ หญิงสาวดูจะลองเล่นมาเสียหมด ภาพของหญิงสาวร่างบอบบางภายใต้เสื้อชูชีพสีส้มเผยให้เห็นเอวคอดที่กำลังขับเจ็ตสกีกลางทะเล มันทำให้ชายหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งมองภาพความน่าสนใจนั้นนานแล้วบนเรือยอชต์สนใจเธอมาก เขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย“แม่นักกีฬา” ชายหนุ่มเอ่ยกับตัวเอง ยามมองเธอบางมุมช่างรู้สึกเหมือนคนคุ้นเคยมาก แต่เขาคงคิดไปเอง ลูคัสละสายตาที่มองหญิงสาวผ่านแว่นกันแดด เพราะตอนนี้แขกของเขากำลังเดินมาหา“มองอะไรคะ” วิคตอเรียที่ได้ลงมาเที่ยวภูเก็ตสมใจกับลูคัสเพียงสองต่อสองเอ่ยถามชายหนุ่ม หญิงสาวเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะยกมือขึ้นคล้องคอเขา ตอนนี้เธออยู่ในชุดว่ายน้ำทูพีชตัวจิ๋ว ที่ลูคัสกลัวว่ามันจะหล่นหายยามเธอกระโดดลงน้ำทะเลเสียเหลือเกิน“วิว” ลูคัสเอ่ยตอบนิ่งๆ แต่สักพักสายตาก็มองไปยังหญิงสาวที่เขาสนใจอีกครั้ง เหมือนมีแรงดึงดูดอะไรบางอย่าง ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันคืออะไรกันแน่ “วิว...น่าเชื่อจัง ทาครีมกันแดดให้หน่อยสิคะ” หญิงสาวยิ้มออกมา
บทที่ 13เช้าวันรุ่งขึ้นภีรดลก็บินกลับมาที่กรุงเทพฯ ชายหนุ่มไปหาจิตรานุชทำตัวเหมือนไม่มีอะไรทั้งสิ้น แต่ถ้าพอจะมีเวลาว่างเขาก็บินไปที่ภูเก็ตเป็นว่าเล่น เพราะมีอีกคนที่อยากเอาใจอยู่ที่นั่น แบบไม่ห่วงเงินที่เสียไปกับค่าเครื่องบินสักนิด แต่วันนี้คงเลี่ยงไม่ได้ เพราะเขามีนัดกับจิตรานุชเพื่อถ่ายภาพชุดแต่งงาน ทั้งๆ ที่ใจอยู่ภูเก็ตแล้ว และตอนนี้คำตอบของเรื่องนี้ดูภีรดลจะมีคำตอบแล้ว “ว่าที่เจ้าสาวสวยมากเลยค่ะ ดูผ่อง ออร่าเจ้าสาวจับเชียว” ช่างแต่งหน้าภายในร้านเวดดิ้งชื่อดังเอ่ยชมจิตรานุช เธอยิ้มเขินรับทันที เมื่อแต่งหน้าทำผมเรียบร้อย หญิงสาวนั้นดูสวยจริงๆ พอม่านห้องแต่งตัวเปิดออก ภาพของจิตรานุชในชุดแต่งงานสีขาวบริสุทธิ์ มันกลับไม่ได้ทำให้ภีรดลชื่นชมแม้แต่น้อย รู้สึกเฉยเสียมากกว่า ยิ่งเห็นเธอและตัวเองในชุดบ่าวสาวแบบนี้ ความคิดเรื่องแต่งงานก็แทบไม่มี“ไอซ์สวยไหมคะ” จิตรานุชเดินเข้ามาหาชายหนุ่ม ที่เห็นว่าเขามองเธอตาแทบไม่กะพริบก็ว่าได้ เห็นแบบนี้ก็ภูมิใจในความสวยของตัวเองไม่น้อย “ครับ” ชายหนุ่มเอ่ยรับเพียงสั้นๆ ทั้งคู่เดินไปยังสตูดิโอก่อนจะเริ่มถ่ายภาพ แต่บางรูปที่ถ่ายออกมาภีรดลก็ไม่ยิ้มแม้แต่น
บทที่ 35“นายน้อย...เอ่อ” น้ำอ้อยที่ทำหน้าที่เป็นแม่บ้านให้ลูคัสตั้งแต่รุ่นพ่อของชายหนุ่มเหมือนจะมีอะไรถาม ก่อนจะมองไปยังนาตาเซีย เพราะเธอนั้นอยู่กับครอบครัวนี้มานานแล้ว จับพลัดจับผลูย้ายจากเมืองไทยมาทำงานเป็นแม่บ้านอยู่ที่ซาอุฯ นี่ก็เพราะเป็นห่วงเจ้านายทั้งสองคน ยิ่งนายน้อยคนนี้ด้วยแล้วก็ยิ่งห่วงมากกว่าอดัม ผู้เป็นพ่อของลูคัสเสียอีก“แม่บ้าน ช่วยดูแล สอนงานเธอหน่อยนะป้าอ้อย” การสนทนาของทั้งคู่ ทำให้นาตาเซียใจชื้นขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยที่นี่ก็มีคนไทยให้เธอพอได้พึ่งพายามต้องมาทำงานชดใช้ให้ผู้ชายคนนี้“มะ...แม่บ้าน แต่นายน้อยก็มีป้าแล้วนี่จ๊ะ” คนฟังงง ก่อนจะมองมายังหญิงสาว หน้าตาสวยคม ที่ดูยังไงก็ไม่น่าจะเป็นแค่แม่บ้าน“ฉันหามาเพิ่มไง ป้าจะได้ไม่เหงา เห็นบ่นว่าไม่มีเพื่อนคุย” น้ำเสียงของลูคัสยามพูดกับน้ำอ้อยดูอ่อนโยนมาก ดูจะมีคนไทยเพียงคนเดียวที่ชายหนุ่มยอมพูดดีๆ ด้วย นั่นคือแม่บ้านคนนี้ แม้แรกๆ จะตั้งแง่กับแม่บ้านคนไทยของพ่อนักต่อนัก แต่น้ำอ้อยกลับอดทนกับความเกเรเอาแต่ใจของเขา นานเข้าจึงเป็นแม่บ้านผู้รู้
บทที่ 34“รู้ไหมตอนเข้าเมือง ฉันเสียเงินไปเท่าไหร่เพื่อช่วยเธอ ค่าเสียหายครั้งนี้มันมากพอตัว”“ยะ...อย่าบอกนะว่านายจะคิดบวกเรื่องนั้นด้วย แล้วให้ฉันทำงานชดใช้ให้” สมองของนาตาเซียคิดได้แค่ทางเดียวเท่านั้น ทำไมชีวิตเธอต้องมาเจอเรื่องบ้าๆ แบบนี้ด้วย“ใช่ เพราะฉันเป็นนักธุรกิจ ทำอะไรต้องได้ผลตอบแทนคืน”“ทุเรศ สารเลวที่สุด” มือบางกำเข้าหากันแน่นจนรู้สึกเจ็บ เพราะเล็บที่จิกเนื้อตรงฝ่ามือบาง แต่มันคงไม่เท่าเจ็บใจ ที่คิดว่าผู้ชายคนนี้หวังดีจะช่วยเธอ ที่แท้ก็สารเลว“บนโลกนี้มันโหดร้ายเสมอสาวน้อย” ลูคัสยักคิ้วให้เพราะเป็นต่ออยู่มาก ชายหนุ่มใช้วิธีนี้รั้งตัวนาตาเซียให้อยู่กับเขาต่อ“แล้วฉันต้องทำงานชดใช้คนอย่างนายไปถึงเมื่อไหร่”“อาทิตย์ สองอาทิตย์ เดือน สองเดือน ครึ่งปี หนึ่งปี” ชายหนุ่มไล่ระยะเวลา ที่มันดูจะมีแต่เพิ่มขึ้นทั้งนั้น“นานขนาดนั้นเชียวเหรอ ไม่มีทาง” นาตาเซียส่ายหน้าให้ ระยะเวลานานแบบนั้นใครจะยอมทำได้“นานหรือไ
บทที่ 33“แกล้งอ้วกไง แค่แกล้ง อยากเจอคุกหรือไง” ลูคัสเอ่ยย้ำอีกครั้งหน้าตาจริงจัง จนนาตาเซียหน้าเหลอหลา กลัวตำรวจจับได้จึงยอมทำตามที่เขาบอกทันที ก่อนจะแกล้งอาเจียนออกมาอย่างหนัก ยกมือขึ้นปิดปากไว้ บวกกับหน้าซีดๆ เพราะความกลัวของเธอ ฉากนี้จึงสมบทบาท“คุณผู้หญิงเป็นอะไรมากไหมครับ” นายตำรวจหนุ่มเห็นท่าทางของนาตาเซียก็รู้สึกเห็นใจขึ้นมา เพราะสีหน้าของเธอดูทรมานมาก“ที่รัก...ใจเย็นๆ เดี๋ยวผมจะพาไปโรงพยาบาลนะ” คนที่แกล้งเป็นสามีเอ่ยถามเสียงเป็นห่วงเป็นใยต่อภรรยาจอมปลอมของตัวเอง ความที่อยากเอาตัวรอดทำให้นาตาเซียยิ่งแกล้งอาเจียนให้หนักมากขึ้นไปอีก“ผมเรียกรถพยาบาลให้ไหม”“ไม่ต้องครับ พวกผมไปกันเองได้ ขอบคุณมากที่เป็นห่วง” ลูคัสปฏิเสธความหวังดีของนายตำรวจตรงหน้า ก่อนจะพยุงนาตาเซียแยกตัวออกไป ชายหนุ่มตรงไปยังรถคันใหญ่ที่จอดอยู่หน้าสนามบิน เมื่อเข้าไปนั่งก็สั่งให้ลูกน้องขับรถออกไปทันที จากที่สนามบินไปถึงอาณาจักรของเขาแค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้น“เฮ้อ...โล่งอกไป” นาตาเซียถอนหาย
บทที่ 32“ต้องใช้บัตรโทรศัพท์เหรอ ทำไงล่ะ ซื้อจากที่ไหน?” นาตาเซียอ่านขั้นตอนการใช้งานโทรศัพท์ที่แปะอยู่ข้างๆ ก่อนจะหันซ้ายหันขวามองหาจุดที่พอจะไปซื้อบัตรโทรศัพท์นั่นได้ แต่กลับมืดแปดด้าน ก่อนจะตัดสินใจเดินมาหาลูคัส ที่ตอนนี้ชายหนุ่มกำลังคุยกับใครอยู่สองสามคน เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ลูคัสกลับไม่ได้สนใจเธอแม้แต่น้อย เพราะกำลังคุยเรื่องงานสำคัญกับลูกน้อง ชายหนุ่มถามถึงแรงงานคนไทยที่เดินทางมาถึงที่นี่ก่อนเขาเมื่อสองชั่วโมงก่อน ว่ามีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า เพราะจำนวนแรงงานที่เดินทางมาครั้งนี้เกือบสามสิบคนเห็นจะได้ จึงกลัวว่าจะมีปัญหาบางอย่างที่พ่อเขามองข้ามไป แต่ก็ไม่มีจึงโล่งอก ก่อนจะหันมามองนาตาเซียที่ยืนทำหน้าน่าสงสารอยู่“ทำหน้าแบบนี้หมายความว่ายังไง?”“ฉันอยากโทรศัพท์ แต่ไม่รู้จะไปซื้อบัตรที่ไหน นายช่วยหน่อยสิ” นาตาเซียยืนมองหน้าชายหนุ่มเป็นนานกว่าเขาจะยอมหันมามอง ไม่รู้หรอกว่าเขาพูดคุยเรื่องอะไร เพราะเป็นภาษาที่เธอฟังไม่ออก แต่คงสำคัญจึงไม่อยากขัด“เธอนี่น่ารำคาญจริง” แม้จะพูดว่าน่ารำคาญ แต่ลูคัสก็กำลัง
บทที่ 31นาตาเซียลดฉากบังแดดของหน้าต่างเครื่องบินในห้องนอนลง หญิงสาวปรับสายตาให้ชินกับแสงที่จ้า ก่อนจะหรี่ตามองวิวด้านล่าง ที่เริ่มเห็นความแห้งแล้ง หวังว่าไม่นานเธอจะได้ลงจากเครื่องบินลำนี้ แล้วกลับอิตาลีไปอยู่ที่นั่นจนเรียนจบ โทรบอกที่บ้านให้ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะป่านนี้คงรู้เรื่องที่เธอสะเพร่าขึ้นเครื่องบินผิดลำแล้วแน่ๆ แต่อยู่ๆ ชายหนุ่มที่น่ากลัวเมื่อครู่ก็เปิดประตูเข้ามา ทำเอาคนที่กำลังคิดอะไรเหม่อๆ สะดุ้ง“กินข้าว” น้ำเสียงแข็งกระด้างของชายหนุ่มเอ่ยบอก ก่อนจะกลับไปนั่งรอหญิงสาวที่เก้าอี้ แม้จะไม่ต้องใส่ใจเธอด้วยซ้ำ แต่ก็เลือกที่จะไม่ทำ นาตาเซียลังเลนิดหน่อยว่าจะตามเขาออกไปดีไหม แต่ความหิวก็เป็นตัวแปรหลักให้เธอก้าวลงจากเตียง “นั่งสิ” ลูคัสเอ่ยบอก บนโต๊ะตรงหน้ามีสปาเกตตี กาแฟ และขนมปังวางอยู่ ในเครื่องเขาไม่ค่อยได้เตรียมของกินไว้สักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็เป็นของที่กินง่ายๆ หรือไม่ก็ซื้อแบบอาหารสำเร็จรูปอุ่นแล้วกินได้เลยมาสำรองไว้เสียมากกว่า “กี่โมงแล้ว” นาตาเซียกล้าๆ กลัวๆ ที่จะลงไปนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเขา แต่ก็ยอมทำในที่สุด หญิงสาวเอ่ยถามเรื่องเวลาก่อน เพราะเป็นสิ่งที่อยากรู้“หกโมง
บทที่ 30 นาตาเซียเริ่มขยับตัว เพราะรู้สึกว่าอะไรหนักๆ กอดรัดตัวเองอยู่จนรู้สึกหายใจไม่ออก หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ ภายในห้องนอนตอนนี้มีแสงสว่างเล็ดลอดเข้ามาทางหน้าต่างบานเล็ก พอตั้งสติลดอาการมึนๆ ของตัวเองได้เท่านั้น นาตาเซียก็แทบกรี๊ด เพราะตอนนี้เธอนอนอยู่ในอ้อมกอดใคร หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะอ้าปากค้าง“นาย...” ใบหน้าของลูคัสอยู่ห่างจากเธอไปนิดเดียว นิดเดียวจริงๆ ชายหนุ่มกำลังหลับ นาตาเซียจึงพยายามออกจากอ้อมกอดนี้ให้เร็วที่สุด หน้าตาแดงก่ำยามมองริมฝีปากของเขา ไม่รู้อีตาผู้ชายลามกนี่เข้ามานอนกับเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ ถือว่าเป็นเครื่องบินของตัวเองจะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นน่ะเหรอ หญิงสาวค่อยๆ จับมือของลูคัสที่พาดวางบนเอวกับขาหนักๆ ที่ก่ายเธออยู่ออก กอดซะแน่นทำเหมือนเธอเป็นหมอนข้างไปได้แต่เหมือนความพยายามของเธอจะไม่เป็นผล เพราะออกแรงเท่าไหร่ ขากับแขนของชายหนุ่มก็ไม่ออกไปจากตัวเธอสักที แถมยังเพิ่มแรงกอดจนเธอแทบจะแทรกเข้าไปอยู่ในตัวเขาอยู่แล้ว นาตาเซียพยายามยกแขนกันความแนบชิดนี้ ควันออกหู กัดฟันกรอดๆ อย่างเหลืออด“นี่...ตื่นสักที ไอ้ผู้ชายลามก” นาตาเซียแหวใส่เสียงดังฟังชัดจนลูคัสสะดุ้งตื่น ชายห
บทที่ 29มุมหนึ่งของเวลาที่ยังเดินไปข้างหน้าไม่มีหยุดหรือย้อนคืน ภีรดลนั่งดื่มเหล้าเหมือนคนบ้า สติหลุดตั้งแต่รู้ข่าวว่านาตาเซียหญิงสาวอันเป็นที่รักหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ชายหนุ่มก็เอาแต่นั่งดื่มเหล้าทั้งๆ ที่เฝ้าบอกทุกคนเป็นอย่างดีว่าจะออกตามหาหญิงสาว แต่ก่อนจะมีแรงทำขั้นนั้น ชายหนุ่มกลับเลือกใช้เหล้าดับความกลัดกลุ้ม นาตาเซียหายตัวไปเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้ว แต่ทำไมความรู้สึกเหมือนเธอหายไปนานเป็นสิบๆ ปีแบบนี้“นาตาเซีย” น้ำเสียงบ่งบอกว่าสติของคนพูดไม่ครบร้อยเปอร์เซ็นต์อย่างภีรดลเอ่ยชื่อหญิงสาวออกมา ก่อนจะยกขวดเหล้าในมือขึ้นดื่มแบบเพียวๆ แม้จะบาดคอแต่ก็ไม่ได้สะทกสะท้าน“คุณคะ” อัสมาห์ที่ยืนมองลูกชายที่เอาแต่ดื่มเหล้าจนเมามายตรงระเบียงหลังห้อง ก่อนจะหันมองหน้าสามีที่แม้จะดึกดื่นค่อนคืนจนถึงเช้า ทุกคนต่างข่มตาหลับไม่ลง ไม่รู้สึกง่วงสักนิด อีกอย่างเวลานี้ภีรดลก็ไม่ค่อยดีนัก“ผมรู้ แต่ปล่อยไมค์ไปก่อน คงกำลังกลุ้ม” ศุภกรส่ายหน้าให้ลูกชาย ยามรักภีรดลมักจะเป็นแบบนี้ ทุ่มให้จนหมดตัวและเจ็บปวด แต่ยามหมดรักก็ทิ้งไปแบบไม่เหล
บทที่ 28“ไม่...ผมไม่มีทางทำแบบนั้น” ลูคัสปฏิเสธคำของนาเดียร์ทันที“แต่เราจะตายทั้งคู่นะ เชือกจะรับน้ำหนักไม่ไหวแล้ว”“ตายก็ช่าง แต่ผมไม่ยอมให้คุณทำแบบนั้น เก็บคัตเตอร์กลับไป” น้ำเสียงของความหวาดกลัวว่าเธอจะทำอะไรบ้าๆ เอ่ยบอก“ไม่...” นาเดียร์ปฏิเสธทันทีเหมือนกัน“นาเดียร์!” ลูคัสตะคอกด้วยหัวใจที่เจ็บปวด แต่นาเดียร์ก็ยังไม่ยอมทำตามที่ชายหนุ่มบอกแต่อย่างใด หญิงสาวตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะเลือกช่วยชีวิตชายอันเป็นที่รัก เธอใช้คัตเตอร์ในมือตัดเชือกที่ยึดร่างเธอและเขาให้ขาดออกจากกันทันทีโดยมีสายตาของลูคัสมองอยู่ ชายหนุ่มแทบกลั้นหายใจ คราวนี้ก็เหลือเพียงมือของลูคัสเท่านั้นที่จับมือของนาเดียร์แน่นไม่ยอมปล่อย“ไม่...นาเดียร์ ไม่...” หัวใจของชายหนุ่มแทบแตกสลาย ความเจ็บปวดกลัวว่าจะเสียเธอเข้ามากุมในหัวใจ เขาทำอะไรไม่ได้เลยอย่างนั้นเหรอ ทำไมเรื่องเลวร้ายแบบนี้ต้องเกิดกับเขาและเธอ ทำไม?“ปล่อยมือฉันลูคัส”“ไม่มีทาง” ลูคัสส่า
บทที่ 27เพียงเสี้ยวนาทีสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อลูคัสเสียการทรงตัว เพราะชะง่อนหินจุดที่เขาจับอยู่ทรุดและทะลายลงมาปานถูกของแข็งทุบจากด้านบนก็ไม่ปาน ชายหนุ่มร่วงตามแรงโน้มถ่วงของโลก แต่ยังดีที่มีเชือกนิรภัยซึ่งผูกติดกับตัวเองและก้อนหินก้อนบนสุดไว้อยู่จึงไม่หล่นลงพื้นในทันที แต่การร่วงครั้งนี้ทำให้นาเดียร์ที่ใช้เชือกนิรภัยเช่นเดียวกับชายหนุ่มร่วงตามมาด้วย เพราะความห่างของเชือกมีน้อย ทั้งคู่จึงห้อยอยู่กลางอากาศแบบนั้น“ว้าย!!!” หญิงสาวร้องลั่นด้วยความตกใจ นาเดียร์คุมสติเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่ม ลูคัสพยายามลืมตาขึ้น เพราะเศษหินที่ร่วงลงใส่หน้าเขาเมื่อครู่ ชายหนุ่มขยี้ตาทั้งสองข้างจนแดงก่ำ ก่อนจะค่อยๆ ลืมขึ้นมองแล้วพยายามจะเอื้อมมือไปคว้าหาที่เกาะ ยกเท้าไปแตะหวังดึงตัวเองกลับไป แต่น้ำหนักตัวของนาเดียร์ที่ห้อยอยู่ด้านล่าง มันก็ทำให้เขาทำอย่างที่ต้องการไม่ได้“นาเดียร์ เป็นอะไรหรือเปล่า?” ความห่วงใยทำให้ชายหนุ่มเอี้ยวตัวลงไปถามคนรัก มองใบหน้าของเธอ สื่อแววตาให้มั่นใจว่าไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น“ไม่