ช่วงเย็นของร้านชาบูแบบบุฟเฟ่ต์ใจกลางห้างดังเนืองแน่นด้วยลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามารับประทาน โดยเฉพาะเป็นช่วงที่มีการเลี้ยงฉลองรับปริญญาของเหล่าบัญฑิตจบใหม่จึงทำให้บรรยากาศของร้านคึกคักเป็นพิเศษ
“ต้องรอคิวนานไหมคะ”
พนักงานหน้าร้านเงยหน้ามองลูกค้าสาวที่คงเป็นหนึ่งในเหล่าบัณฑิตจบใหม่เพราะเธอสวมชุดนักศึกษาและมีชุดครุยพาดที่แขนเรียวสวย ใบหน้าหมดจดสะดุดตาแต้มแต่งด้วยเครื่องสำอางบางๆ แต่กลับดูงามผุดผ่อง ที่โดดเด่นคือดวงตากลมโตที่คมกริบดูเฉลียวฉลาดและเอาเรื่องคู่นั้น
“ไม่ทราบว่ามากี่ท่านคะ”
“สองค่ะ”
“ถ้าเป็นแบบโต๊ะรวมก็อีกสามคิวเท่านั้นค่ะ แต่ถ้านั่งแบบเดี่ยวๆ แยกหม้อ ก็รออีกหกคิวค่ะ สนใจแบบไหนดีคะ”
“โต๊ะรวมค่ะ ลงชื่อจองคือรุจารินนะคะ” บัณฑิตสาวหน้าใสเอ่ย พร้อมกับรอรับบัตรจองคิว และเดินกลับไปหาหญิงวัยกลางคนที่ยืนรอบริเวณหน้าร้าน
“แม่นั่งตรงนี้ก่อนนะคะ รออีกสามคิวเท่านั้นเอง”
“คนเยอะแบบนี้ไว้เราค่อยมาวันหลังไม่ดีหรือลูก หรือไปกินที่ร้านอื่นก็ได้ ร้านหมูกะทะแถวบ้านเราไงลูก ราคาไม่แพงด้วย”
รุจาริน พิชารักษ์ หรือ จ๋า ส่งยิ้มหวานให้มารดา เธอรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังคิดคำนวนค่าอาหารในใจด้วยความเสียดายเงินทั้งที่เธอยืนยันว่าจะเป็นคนรับผิดชอบออกค่าอาหารมื้อพิเศษนี้เองก็ตาม
“โธ่...แม่ขา กินหมูกะทะมันหัวเหม็นนี่คะแม่ วันนี้แม่ของจ๋าแต่งตัวสวยขนาดนี้ เดินหัวเหม็นหึ่งมันจะดีเหรอคะ กินที่นี่แหละ แอร์เย็นๆ อาหารดีๆ ถือว่านานๆ ทีนะคะ”
“แต่ราคามันแพงนะลูก เก็บเงินไม่ดีกว่าเหรอ”
“แหม เลี้ยงแม่แค่คนเดียวเองจะสิ้นเปลืองอะไรนักหนาล่ะคะ ทีแม่เย็บผ้าทำขนมจนมือจะหงิกเลี้ยงดูจ๋าแถมส่งเรียนจนจบปริญญาตั้งกี่ปี หมดเปลืองไปตั้งเท่าไหร่ อีกอย่างตอนนี้จ๋าก็เรียนจบแถมยังได้งานแล้วด้วย ต่อไปนี้จะพาแม่มากินของอร่อยๆ ทุกอาทิตย์ก็ยังได้เลย”
“เก็บเงินไว้ดีกว่าลูก อนาคตหนูยังอีกยาวไกล ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยอีกหน่อยจะลำบาก”
“โถ...คุณนายดารินเจ้าขา เท่าที่ผ่านมาเราก็ลำบากกันจนชินอยู่แล้วนี่คะ ตอนนี้จ๋าก็แค่อยากให้แม่สบายขึ้นบ้าง อยากกินอะไร อยากเที่ยวที่ไหนก็บอกได้เลยนะคะ ถ้าจ๋าทำงานได้เงินมาก็จะให้แม่ไว้ใช้เยอะๆ เลย แม่จะได้ไม่ต้องนั่งหลังขดหลังแข็งทำขนมให้เหนื่อยไงคะ ต่อไปลูกสาวคนนี้จะเลี้ยงดูแม่เองนะคะ”
นางดารินมองใบหน้างามผุดผาดของบุตรีอย่างภาคภูมิใจ ถึงชีวิตที่ผ่านมาจะเหน็ดเหนื่อยลำบากยากเข็ญแค่ไหน นางก็เต็มใจทำเพื่อลูกได้เสมอ ในเมื่อรุจารินคือความหวังเดียวที่เหลืออยู่ในชีวิตของนาง
“คิวที่สามเชิญค่ะ”
“ไปกันเถอะแม่ ได้เวลาอิ่มพุงแตกแล้ว” ว่าพลางฉุดแขนมารดาให้เดินเข้าร้านอย่างร่าเริง โดยไม่ทันเห็นใครคนหนึ่งที่ก้าวพรวดสวนออกจากร้านมาจนชนเข้าเต็มรัก ร่างระหงเซถอยหลังไปเพียงสองสามก้าว ในขณะที่คนชนนั้นล้มก้นจ้ำเบ้าไปกองกับพื้น
“อุ๊ย...ขอโทษค่ะ” ความเคยชินทำให้หญิงสาวเอ่ยไปโดยอัตโนมัติโดยไม่คิดอะไรมาก พลางยื่นมือไปหมายช่วยฉุดอีกฝ่ายลุกขึ้น
“ตาบอดหรือไงยะ ถึงเดินไม่ดูตาม้าตาเรือแบบนี้” เสียงแหลมชวนแสบแก้วหูแหวสวนกลับมาแบบเอาเรื่อง มือที่ยื่นไปจึงหดกลับอย่างเสียความรู้สึก หากยังไม่ทันที่รุจารินจะได้โต้กลับคู่กรณี ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นเสียก่อน
“เป็นไงบ้างคุณณี เจ็บหรือเปล่า” ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาช่วยประคองหญิงผู้นั้นลุกขึ้น
เมื่อมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดๆ รุจารินก็ถึงกับเย็นวาบไปทั้งร่าง หัวใจแทบหยุดเต้นในวินาทีนั้น
“เจ็บสิพี่ยะถามได้ แหม...เล่นชนมาซะแรงเลย ไม่รู้ตายอดตายอยากจากไหนถึงได้รีบร้อนกันนัก สงสัยไม่เคยกินชาบู”
คำนั้นทำให้คนฟังถึงกับหน้าตึงด้วยความไม่พอใจ ดีที่มารดาคอยดึงแขนปรามเธอไว้กลัวจะมีเรื่อง แต่เมื่อนางดารินได้เห็นคนตรงหน้าทั้งสองก็ถึงกับนิ่งงันไปไม่ต่างกับลูกสาว
“พี่ยะ!”
ชายกลางคนผู้นั้นชะงักกึกก่อนเงยหน้าขึ้นมองมาที่พวกเธออย่างตกตะลึง
“ดาริน...ลูกจ๋า...”
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นผ่านมาถึงสิบสามปีเต็ม รุจารินไม่คิดเลยว่าจะได้พบคนพวกนี้อีกครั้ง!
รุจาริน พิชารักษ์ ไม่เคยลบเลือนภาพในวันนั้นออกไปจากสมองและหัวใจได้ แม้เวลาจะผ่านไปอีกกี่ปี เธอจำได้แม่นว่ามันคือวันเกิดปีที่ครบรอบสิบขวบ และยังเป็นวันที่ผลสอบปลายภาคออกอีกด้วยเด็กหญิงรุจาริน เปรมจิตติ ในวันนั้นเดินแกมวิ่งไปบนถนนที่ทอดไปสู่บ้านน้อยกลางซอยของเธอด้วยใจที่เบิกบานที่หนึ่งอีกครั้ง!ริมฝีปากชมพูจิ้มลิ้มยิ้มร่า อันที่จริงก็ไม่ต่างจากทุกครั้งตั้งแต่เริ่มเข้าเรียน เด็กหญิงไม่เคยมีผลการเรียนต่ำกว่าที่หนึ่งของห้องเลยสักครั้ง แต่ที่พิเศษคือครั้งนี้พ่อของเธอสัญญาว่าจะซื้อจักรยานให้ลูกสาวคนเก่งไว้ขับไปโรงเรียน หลังจากที่เขาไปทำงานที่ต่างจังหวัดอยู่นานกว่าสองปี และพ่อคงจะพาเธอและแม่ไปทานอะไรอร่อยๆ ฉลอง พร้อมกับมีขนมเค้กสวยๆ มาให้เธอเป่าเทียนวันเกิดด้วย ส่วนนางดารินแม่ของเธอนั้นให้ของขวัญก่อนล่วงหน้าตั้งแต่เมื่อวานแล้ว มันคือชุดเดรสสีชมพูแสนหวานที่ตัดเย็บเองกับมือ ซึ่งเธอรบเร้าอยากได้ เพื่อใส่ไปงานฉลองปิดภาคเรียนที่เธอได้รับเลือกให้แสดงโชว์บนเวทีนั่นไง! รถเก๋งของพ่อเธอจอดอยู่หน้าบ้านแล้ว เด็กหญิงยิ้มร่า หัวใจพองโต มันนานมากที่เธอไม่ได้เจอพ่อ ความคิดถึงท่วมท้นหัวใจ มือที่กำสมุดพกสั
“เอ่อ...”“อุ๊ยต๊าย...นี่คงเป็นหนูจ๋าลูกสาวคุณใช่ไหมคะ หน้าตาสวยน่ารักจริง” น้ำเสียงแหลมใสเอ่ยทักเป็นคำแรก หากนัยน์ตาคนพูดกลับไม่ได้ยิ้มแย้มเท่าปากของนาง “ฉันชื่อปราณีนะ ส่วนนี่ก็คือปิยะดาหรือหนูแป้ง น้องสาวของหนูไงละจ๊ะ”“น้องสาว!” รุจารินทวนคำอย่างฉงน เพราะตั้งแต่เกิดมา เธอรับรู้ว่าเป็นลูกคนเดียวของครอบครัว เคยคิดว่าอยากมีน้องเหมือนกัน แต่แม่เธอไม่ค่อยแข็งแรงนัก ตอนเธอคลอดก็ลำบากจนแทบจะเสียชีวิตทั้งแม่ทั้งลูกด้วยซ้ำ แล้วน้องสาวตรงหน้านี่โผล่มาจากไหน “แต่จ๋าเป็นลูกคนเดียว! ไม่เคยมีน้องสาว”“ยายจ๋า! ฟังพ่อก่อนลูก”“หยุดนะ! พี่ยะ อย่าได้เอาเรื่องรกหูนี่มาพูดกับลูกสาวคนเดียวของฉัน พี่จะไปทำตัวเหลวไหลเละเทะหรือไปมั่วกับใครยังไงมาก็อย่าได้ทำให้ลูกฉันต้องมารับรู้เรื่องเลวๆ นี่” นางดารินตวาดใส่เสียงสั่นเครือ นางพยายามประคองตัวเองลุกขึ้นอย่างทุลักทุเลโดยมีลูกสาวตัวน้อยช่วยประคับประคอง แม้จะข่มใจให้เข้มแข็งทั้งๆ ที่ภายในหัวใจมันแหลกราญด้วยฝีมือคนที่รักจนชาไปหมดแล้ว เมื่อต้องเป็นหลักให้ลูกสาวสุดที่รัก เธอจะอ่อนแอไม่ได้“นี่ดา พี่บอกแล้วไงว่าให้พูดกันดีๆ คุณณีกับลูกเขาก็เป็นครอบครัวเดียวกันกับเ
“ถ้าไม่ยอม เธอก็ต้องไปอยู่ที่อื่นแล้วละ เพราะบ้านนี้คุณณีจ่ายเงินไถ่ถอนมาเป็นชื่อเขาเสียแล้ว”“แปลว่า...พี่เลือกผู้หญิงคนนั้นงั้นเหรอ” นางดารินแผดเสียงใส่สามีชนิดที่ไม่เคยทำมาก่อน น้ำตาใสๆ ไหลอาบแก้มด้วยความผิดหวังสุดขีด“พี่เสียใจ...แต่พี่ทิ้งคุณณีกับลูกแป้งไม่ได้”สองแม่ลูกรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่ากลางหัวใจ รุจารินมองหน้าพ่อสุดที่รักของเธออย่างไม่เชื่อหู ผู้ชายเห็นแก่ตัวตรงหน้านี่คือพ่อของเธอจริงๆ งั้นหรือ ทำไมเขาช่างพูดง่ายเหลือเกิน นี่เป็นบ้านที่เธอกับแม่อาศัยมาตั้งแต่เธอเกิด แต่จู่ๆ ก็มากลายเป็นของคนอื่น ของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเมียน้อยมาทีหลัง และมาแย่งพ่อไปจากเธอกับแม่ หัวใจเด็กหญิงวัยเพียงสิบปีแทบแตกสลาย เสียพ่อ เสียบ้าน ทุกอย่างพังทลายไปเพราะน้ำมือคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้กำเนิด“ไปกันเถอะลูกจ๋า...” นางดารินหันมาเอ่ยด้วยเสียงเครือแต่เด็ดขาด “ลำบากหน่อยแต่แม่จะไม่ยอมทิ้งให้ลูกต้องอยู่กับคนทรยศพวกนี้ให้ถูกรังแก เราไปตายเอาดาบหน้าก็ได้นะลูกนะ”“ดาริน! ทำไมสิ้นคิดแบบนี้ จะเอาลูกไปลำบากทำไม” นายปิยะต่อว่าภรรยาที่กำลังจะกลายเป็นอดีตอย่างหัวเสีย “ถ้าเธอจะไปก็ไปคนเดียว ทิ้งให้ลูกจ๋าอยู่ที่
หากไม่เห็นภรรยาเก่าที่เดินตามมา เขาคงไม่รู้ว่าเป็นลูกสาว“เอ๊ะ! นั่นชุดครุยนี่นา” ชายกลางคนอุทานด้วยสุ้มเสียงตื่นเต้น ดวงตาเป็นประกายภูมิใจจนปิดไม่มิด“นี่หนูเรียนจบปริญญาแล้วหรือลูก”รุจารินตอบกลับคำถามนั้นด้วยสายตาเย็นชาหมางเมิน ก่อนหันมาเอ่ยกับผู้เป็นมารดาที่ยังคงอึ้งไม่หายเพราะไม่ได้คิดเตรียมใจมาก่อน“แม่คะ จ๋าไม่อยากกินร้านนี้แล้ว เราไปที่อื่นดีกว่านะคะ”“ต๊าย! ยังจองหองเหมือนแม่ไม่มีผิด” ดวงตาคมกริบวาวโรจน์ยามตวัดมองคนสาระแนพูดแทรกอย่างไม่พอใจ พอรับรู้ได้ถึงอาการมือสั่นของมารดาที่คงตกใจไม่น้อย ทำให้เธอกระชับมือข้างนั้นไว้ไม่ยอมปล่อย วันนี้เธอจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมารังแกแม่ได้อีก ข้ามศพเธอไปก่อนเถอะ!“หึ! จองหอง...ก็ยังดีกว่าหน้าด้านไม่ใช่หรือคะ” หญิงสาวลอยหน้าเอ่ยหน้าตาเฉย ปกติเธอไม่ชอบหาเรื่องใครก่อน แต่ก็ไม่ยอมอยู่เฉยหากโดนใครมาหาเรื่อง“เอ๊ะ! แก...”นางปราณีชักสีหน้าใส่ รู้สึกขัดตาเมื่อเห็นความสำเร็จของลูกติดสามี พอนึกเปรียบเทียบกับลูกสาวตนที่หัวไม่ค่อยดีจนเกือบเรียนซ้ำชั้นก็รู้สึกอิจฉา ยิ่งความงามนั้นยิ่งไม่ต้องเทียบกัน เพราะปิยะดาดูจืดสนิทยามยืนเทียบกับหญิงสาวตรงหน้า ไม่บอก
“แม่คะ...” หญิงสาวกระชับมือมารดามากุมไว้แน่น “แม่ยังมีจ๋าทั้งคนนะคะ ทุกวันนี้เรามีกันแค่สองคนก็มีความสุขแล้วไม่ใช่หรือคะ”“จ้ะ...จ้ะลูก” นางดารินข่มเสียงไม่ให้สั่นพลางฝืนยิ้มตอบลูกสาว ทั้งที่กระบอกตาปวดแสบปวดร้อนจนแทบจะกลั้นความชอกช้ำไม่ไหว“จ๋ารักแม่นะคะ รักที่สุดในโลกเลย”“ประจบขนาดนี้อยากได้ของขวัญอะไรว่ามาซิ”“โหย...แม่น่ะ รู้ทันอีกแล้ว” หญิงสาวก้มลงหอมแก้มแม่ฟอดใหญ่ก่อนยิ้มออดอ้อน “จ๋าไม่อยากได้อะไรหรอกค่ะ วันนี้เสียฤกษ์อดกินชาบูในห้างหรูแล้ว งั้นเดี๋ยวเราไปนั่งกินหมูกะทะแถวปากซอยบ้านดีกว่า วันนี้จ๋าเป็นเจ้ามือเอง”“ก็ไหนว่ากลัวหัวเหม็น” คนเป็นแม่เย้า“หัวเหม็นก็ดีกว่าหัวร้อนนะคะ ไปเถอะค่ะ นั่นแท็กซี่มาแล้ว” คนพูดยิ้มหวานประจบก่อนหันมาดักคอ “อ๊ะ! อย่ามาบอกให้นั่งรถเมล์เชียว เมื่อยขบมาทั้งวันแล้ว วันนี้หนูขอสบายบ้างซักวันนะคะ”นางดารินยิ้มอย่างรู้ทันว่าแท้จริงแล้วลูกสาวไม่อยากให้ตนต้องลำบากต่างหากโดยสองแม่ลูกหารู้ไม่ว่ามีใครบางคนแอบมองพวกเธออยู่ห่างๆ ด้วยจุดประสงค์บางอย่างที่แอบซุกซ่อนภายในใจ/////////////ร่างสูงระหงของหญิงสาววัยยี่สิบสามปีเดินแกมวิ่งไปบนถนนเส้นใหม่ที่พาเธอไปสู่
นางดารินมองคนขี้อ้อนอย่างเอ็นดูรักใคร่ “ฉลองทำงานวันแรกด้วยแกงส้มชะอมไข่ หมูทอด ปลานึ่งบ๊วย แล้วก็ตบท้ายด้วยบัวลอยไข่หวานของโปรดลูกสาวคนเก่งของแม่เป็นยังไง”“หูย...นี่แม่กะจะขุนลูกสาวให้อ้วนเป็นหมูเลยเหรอคะ เกิดหนูอ้วนจนใส่ชุดทำงานไม่ได้ขึ้นมาใครจะรับผิดชอบละคะเนี่ย”“จะยากอะไร แม่ก็แค่ตัดชุดใหม่ให้ลูกใส่เองก็เท่านั้น” รุจารินหัวเราะกิ๊ก“งั้นก็เตรียมตัดไว้เลยสิบชุดค่ะ เพราะวันนี้จ๋าจะทานข้าวสองจาน แถมบัวลอยอีกสองชามด้วย” คนพูดหอมแก้มมารดาอีกฟอดด้วยความรักใคร่ ก่อนเดินไปช่วยหยิบถ้วยจานมาจัดแจงตั้งโต๊ะเหมือนเช่นทุกวัน“แล้วเริ่มงานใหม่วันแรกเป็นยังไงบ้างล่ะลูก เหนื่อยไหม”“ไม่เหนื่อยหรอกค่ะแม่ จ๋าสบายมาก เห็นพี่ที่ทำงานบอกว่ากว่าเจ้านายโดยตรงของจ๋าจะกลับจากเมืองนอกก็ปลายๆ เดือนนู่น ตอนนี้จ๋าก็เลยต้องเรียนรู้งานทุกอย่างไปก่อน แต่แม่ไม่ต้องห่วงนะคะ ลูกสาวคนนี้ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอก งานแค่นี้สบายมาก”“จ้า...คนเก่ง กลับมาเหนื่อยๆ ก็ไปล้างหน้าล้างตาก่อนไปลูก แล้วค่อยมากินข้าวกัน ที่เหลือแม่จัดการเอง”“ก็ได้ค่ะ” เจ้าของร่างโปร่งระหงยอมรามือเมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว หากยังไม่ทันได้ทำตา
“แม่คะ!” หญิงสาวสบตามารดาอย่างเป็นกังวล หากพอเห็นแววตาเด็ดเดี่ยวของแม่ รุจารินจึงยอมเดินเปิดประตูให้อย่างไม่เต็มใจนักพอเข้ามาในบริเวณบ้าน กลิ่นหอมยั่วน้ำลายก็แตะจมูกเป็นการทักทาย ชวนให้นายปิยะหวนถึงวันวานในอดีตที่เขายังมีหญิงตรงหน้าเป็นแม่บ้านแม่เรือนให้ ทุกวันจะมีเมนูโปรดของเขาตั้งโต๊ะให้ไม่ขาด รสมือของดารินถือเป็นเสน่ห์อีกสิ่งที่ติดตรึงในใจเขา น่าเสียดายที่เสน่ห์ที่ว่ากลับพ่ายแพ้ต่อรสรักที่ดุเด็ดเผ็ดร้อนของหญิงอีกคนที่ทำให้เขาหลงหัวปักหัวปำ จนเป็นเหตุให้เมียเอกคนนี้กระเด็นจากบ้านไป“กลิ่นแกงส้มเหรอ หอมจริง กับข้าวฝีมือเธอ พี่ไม่ได้กินนานแล้ว จำได้ว่าเธอแกงส้มอร่อยที่สุด” นางดารินต้องทำเป็นหูทวนลม ไม่ได้เชื้อเชิญอีกฝ่ายให้ร่วมโต๊ะอาหารด้วย แต่กลับพาเขาเดินไปนั่งที่โต๊ะม้าหินอ่อนด้านหน้า ปฏิบัติเหมือนที่ทำกับแขกที่มาเยือน เป็นทางการห่างเหิน ไม่ให้ความสนิทสนมกัน“คุณมีธุระอะไรก็ว่ามาเถอะค่ะ ฉันทำงานค้างไว้ ต้องรีบไปทำต่อ”“วันนี้ร้อนจริงๆ พี่ชักคอแห้ง ถ้าเธอจะกรุณา...” คนพูดส่งสายตาเว้าวอนมาให้ “ลูกจ๋า แม่วานเอาน้ำมาให้แขกทีนะลูก”คำว่าแขกทำให้นายปิยะถึงกับสะอึก แต่ต้องเก็บซ่อนความขุ
“นี่หรือคะธุระสำคัญของคุณ”“คิดถึงลูกบ้างสิดา ลูกจ๋าจะได้อยู่พร้อมหน้าพ่อแม่ไง อย่าเห็นแก่ตัวไปเลยนะดา”“เห็นแก่ตัว ฉันนี่หรือคะเห็นแก่ตัว” คนถูกโยนข้อกล่าวหาไม่เป็นธรรมแทบจะสะกดกลั้นอารมณ์ไม่อยู่ ดวงตาจ้องมองใบหน้าที่ครั้งหนึ่งเธอเคยรักเทิดทูนไว้ในหัวใจ “ใครกันแน่ที่เห็นแก่ตัว ตั้งสติแล้วคิดทบทวนให้ดีก่อนที่จะพูดอะไรออกมาดีกว่าไหม เอาเป็นว่าที่ผ่านมาฉันจะยอมอโหสิกรรมให้ ตอนนี้ฉันกับลูกมีความสุขดีแล้ว คุณกลับไปเถอะกลับไปหาครอบครัวใหม่ของคุณ อย่ามากวนตะกอนให้ขุ่นอีกเลย ฉันต้องไปทำงานที่ค้างต่อแล้ว”“เดี๋ยวสิดาริน อย่าเพิ่งไป!” คนพูดรีบฉวยคว้ามืออีกฝ่ายไว้ หน้าตาตื่น “พี่อยากขอให้เธอช่วยพูดกับลูกให้หน่อย!”คำนั้นทำให้ร่างบางที่เดินมาพร้อมถาดน้ำดื่มในมือชะงัก เมื่อได้รู้จุดประสงค์การมาที่แท้จริงของอีกฝ่าย“พูด? พูดอะไร”“พี่อยากขอมาอาศัยอยู่ที่นี่ด้วยชั่วคราว จนกว่าจะได้งานใหม่ ท่าทางลูกจ๋าจะยังโกรธพี่อยู่ แต่ถ้าเธอช่วยพูดให้...”นางดารินจ้องหน้าคนพูดค้าง ต้องหน้าด้านแค่ไหนคนตรงหน้าถึงกล้ามาพูดเช่นนี้กับภรรยาเก่าที่เขาเคยขับไล่ไสส่งเหมือนหมูเหมือนหมา เขาช่างไม่คิดถึงตอนที่เอาเมียใหม่เข้า
“เห็นไหม ยานั่นไม่ขมแล้ว”“คะ...คุณจูบฉันอีกแล้วนะคนฉวยโอกาส”“ผมป้อนยาคุณต่างหาก โอ๊ย!” ชายหนุ่มแสร้งร้องโอดโอยเมื่อถูกคนป่วยทุบอกปั๊กๆ ฐานขโมยจูบทีเผลอ“ทำแบบนี้ทำไม ถ้าแม่ฉันมาเห็นเข้าจะว่ายังไง”“ก็ไม่ว่าอะไร หรือคุณอยากให้ผมว่าอะไรล่ะ”“นี่คุณ อย่ามาเล่นลิ้นแบบนี้นะคะ ฉันไม่ชอบ”“แล้วคุณชอบแบบไหนล่ะ ผมจะได้จัดให้ตามที่คุณชอบ” สายตาวาวชวนหวามของคนพูดทำให้หญิงสาวชาวาบไปทั้งร่าง เมื่อสบสายตายั่วเย้าคู่นั้น หัวใจก็เริ่มไม่เป็นของเธออีกครั้ง“ผมพูดจริงนะ หรือถ้าคุณโอเค จะให้ผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้แม่คุณฟังแล้วรับผิดชอบคุณก็ยังได้”“รับผิดชอบ? คุณจะรับผิดชอบฉันในฐานะอะไรล่ะคะ”“นั่นแล้วแต่คุณเลย อยากได้แบบไหนก็บอกมา”อยากได้แบบไหนเหรอ...หญิงสาวฉุกคิด นั่นสิ ที่แท้แล้วเธออยากคบเขาแบบไหนกันแน่นะ คนรักก็ไม่น่าใช่ คนรู้ใจก็ไม่เชิง หรือจะแบบคู่นอนก็ยิ่งไม่ใช่ใหญ่ จู่ๆ สมองก็ดันมีผู้หญิงอีกคนโผล่แทรกเข้ามากวนใจให้สมองชะงัก“แต่คุณมีคู่หมั้นอยู่แล้ว ลืมแล้วหรือไงคะ”“ผมไม่ได้ลืม คุณต่างหากที่ลืม ผมบอกแล้วว่ากำลังจะหาทางขอยกเลิกการหมั้น” ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ “ผมไม่ได้ล้อคุณเล่น แต่ผมคิดมานานแล้
“นั่นคุณหัวเราะอะไรคะ แล้วมาบ้านฉันทำไมกันแน่”“ก็บอกแล้วว่ามาเยี่ยมไข้”“ไม่จริง มาจับผิดมากกว่า”“ก็แล้วคุณทำผิดอะไรไหมล่ะ” ภูเบศแกล้งเอ่ยหน้านิ่ง แต่ดวงตาพราว “ผมจะได้จับ...”“มะ...ไม่ เอ่อ...นี่คุณ!” “คุณอยู่กับแม่ที่นี่แค่สองคนเหรอ” เห็นอีกฝ่ายอึกอัก หน้าแดงเรื่อสมใจ เขาจึงยอมเปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้เธอเก้อเขินมากไปกว่านี้ พลางมองไปรอบกาย“ห้องสะอาดน่าอยู่ดีนะ แต่แคบไปหน่อย”“เรื่องของฉัน” คนป่วยสะบัดเสียงใส่อย่างไม่สบอารมณ์ “คุณรีบกินรีบกลับไปดีกว่าค่ะ ที่นี่ทั้งเล็กและแคบมาก ไม่เหมาะจะต้อนรับคนมีระดับอย่างคุณหรอกค่ะ”“ทำไมหนีมาไม่ยอมรอผมก่อน” นั่นไง นอกจากจะเป็นแมวแล้วยังเป็นฝ่ายสืบสวนอีกด้วย“ทำไมต้องรอคะ ตัวเราสองคนไม่ได้ติดกันเสียหน่อย” ภูเบศมองใบหน้าหวานที่อิดโรย ขอบตาบวมช้ำ แต่ยังอุตส่าห์มีแรงรวนเขาอย่างมันเขี้ยว“คุณแน่ใจหรือว่าเราไม่เคยตัวติดกัน ผมว่าเราสองคนน่ะยิ่งกว่าเคยตัวติดกันอีกนะ”“คนบ้า อย่ามาทะลึ่งที่บ้านฉันนะ” คนป่วยแหวเสียงเขียว ใบหน้าร้อนผ่าว“อย่าเพิ่งชวนทะเลาะเลยน่า ผมหิวแล้วกินข้าวกันเถอะ หรือว่าอยากให้ผมป้อนก็ได้นะ คุณไม่สบายอยู่ไม่ใช่เหรอ” แขกไม่ได้รับเ
“พอดีผมได้ยินว่าวันนี้คุณจ๋าเธอลางานไม่สบายเลยแวะมาเยี่ยม อ้อ...รอสักครู่นะครับ” ฝ่ายนั้นผลุนผลันไปที่รถและกลับมาอีกครั้งพร้อมกระเช้าผลไม้ในมือ“ของเยี่ยมไข้ครับ”“อ้าว งั้นเหรอคะ แล้วทำไมไม่เชิญเจ้านายลูกขึ้นไปข้างบนล่ะจ๊ะ”“คือพอดีจ๋าเห็นว่าท่านจะกลับแล้วน่ะค่ะแม่ ก็เลยไม่ได้เชิญ” คนป่วยเอ่ยหน้าตาเฉย “อะไรกันคะ เพิ่งมาจะรีบกลับแล้วเหรอคะ ทานอะไรมาหรือยัง ดิฉันตั้งโต๊ะอาหารเช้าไว้แล้ว ถ้าท่านไม่รังเกียจ...”โอ๊ะ เรียกผมธรรมดาดีกว่าครับ อย่าเรียกทงท่านเลย ผมไม่ใช่คนเจ้ายศเจ้าอย่างหรอกครับ” เขาเอ่ยพลางปรายตามองใครบางคนที่กำลังเบ้ปากกับนกกับไม้อย่างมันเขี้ยว“ก็ได้ค่ะ ถ้าคุณภูเบศ”“เรียกผมเบสเถอะครับ”“ค่ะ หากคุณเบสไม่รังเกียจอาหารบ้านๆ ก็ขอเชิญ”“แม่คะ...” รุจารินร้องลั่น“ไม่รังเกียจหรอกครับ ถ้าคุณแม่ไม่ว่างั้นผมก็ขออนุญาตฝากท้องสักมื้อ” รุจารินอ้าปากค้าง หันไปมองคนพูดอย่างไม่เชื่อหู“ด้วยความยินดีค่ะ ไปลูก เชิญค่ะคุณ”“แม่คะ แต่ว่า...”“ขอบคุณครับคุณแม่”โอ๊ย...เธออยากจะบ้าตาย ทำไมเรื่องมันกลับกลายเป็นอย่างนี้ไปได้นะกลิ่นหอมๆ ของอาหารรสเด็ดลอยมาแตะจมูกตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาในห้อ
คนถูกถามไม่ขำ รุจารินจ้องหน้าเจ้านายตัวแสบตาเขียวปัด ในใจคุกรุ่นจนแทบจะหักคออีกฝ่ายได้ แต่เธอต้องพยายามข่มอารมณ์ไว้เพราะเกรงใจพลกฤษณ์ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยต้องพลอยมาผจญกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง“นี่ค่ะขนมของพี่พล”“อ่ะ...อ๋อ ครับ” พลกฤษณ์ที่โดนคู่ต่อสู้น็อกยังไม่หายงงยื่นมือไปรับถุงใส่กล่องขนม แต่อารามรีบร้อนปนตกประหม่าทำให้เผลอจับโดนมือคนส่งถุงเข้าอย่างจังหมับ!“อ๊ะ! พี่ขอโทษครับน้องจ๋า”คิ้วเข้มๆ ของใครบางคนกระตุกทันพลัน ตาดุกร้าวจ้องมือฝ่ายนั้นเขม็ง“ไม่เป็นไรค่ะ” รุจารินส่งยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเข้าใจ โดยไม่ทันเห็นสายตาพิฆาตที่จ้องอยู่ ผิดกับพลกฤษณ์ที่เห็นสายตาคู่นั้นอย่างจัง“นี่ค่าขนมครับ งั้นพี่ขอตัวก่อนนะ”“ค่ะ ขอบคุณมากๆ นะคะที่ช่วยอุดหนุน ฝากความคิดถึงให้น้าดวงด้วยนะคะ ถ้ามีโอกาสจ๋ากับแม่จะแวะไปเยี่ยมที่บ้านนะคะ”หญิงสาวเอ่ยด้วยไมตรี โดยทำเป็นไม่สนใจใครบางคนที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับข้างๆ“ไหนคุณบอกว่าไม่สบายไงครับที่รัก ออกมาตากลมนานๆ แบบนี้เดี๋ยวก็ไข้กลับกันพอดี” คำนั้นทำให้คนเป็นส่วนเกินแอบถอนหายใจออกมาอย่างเสียดาย “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว พวกเราขอตัวก่อนนะครับ”คนตัวร้ายรวบเอาหญิงสาวม
รถเก๋งคันหรูแล่นเข้ามาจอดหน้าหลบมุมที่อะพาร์ตเมนต์กลางเก่ากลางใหม่แห่งนั้นได้สักพักใหญ่แล้ว แต่ทว่าคนขับยังคงนั่งแช่ในรถ ดวงตาคมเข้มมองไปที่ด้านหน้าประตูทางเข้า แม้จะมีที่อยู่จากเอกสารเรซูเม่พนักงานในมือก็เถอะ แต่การจะสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปมันก็ดูจะแปลกๆ ไปหรือเปล่ายัยนั่นไม่สบายมากไหมนะ จะว่าไปเมื่อเช้าหน้าเธอก็ดูซีดๆ อยู่เหมือนกัน ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้ม ที่จริงเขาก็แค่อยากเห็นกับตาแค่นั้นว่าเธอไม่เป็นอะไรมากจะได้สบายใจ หรือถ้าเป็นมากก็จะได้ช่วยเหลือขณะที่ชายหนุ่มครุ่นคิด ตามองตรงไปที่ประตูทางเข้ารอคอย แล้วทันใดนั้นเองสายตาเขาก็เห็นร่างคุ้นตาของใครบางคนเดินออกมา คิ้วเข้มหนาเลิกขึ้นนิดๆ คิดว่าตัวเองตาฝาดไป หากเมื่อเพ่งสายตามองชัดๆ ก็ยิ่งแน่ใจว่าใช่อย่างนี้หรือเปล่าที่เรียกว่าป่วยการเมือง ยัยนั่นตั้งใจหลบหน้าเขาชัดๆ มันน่า...อยากรู้นักว่าถ้าเจอหน้ากันเธอจะแก้ตัวยังไง“ทางนี้ครับน้องจ๋า”ยังไม่ทันที่จะได้ทำตามที่คิด จู่ๆ ก็มีเสียงใครบางคนดังขึ้นเสียก่อนภูเบศปรายตามองไปทางต้นเสียงที่ดังมาจากรถที่จอดเยื้องๆ เขาไปไม่ไกลนัก ก็ได้เห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งโบกมือส่งยิ้มหวานให้เลขาสาวของเขาลูกตาเป็นปร
“ไปพักสักหน่อยดีไหมลูก เดี๋ยวที่เหลือแม่ทำต่อเอง”“ใกล้เสร็จแล้วนี่คะแม่ อีกเดี๋ยวก็ถึงเวลาที่ลูกค้าจะมารับขนมแล้วด้วย ทำให้เสร็จก่อนค่อยไปพักทีเดียวดีกว่า” คำตอบกลับมายิ่งทำให้คนเป็นแม่หนักใจ ยิ่งเห็นใบหน้าซีดเซียวของลูกสาวสุดที่รักก็ยิ่งเป็นกังวลว่าอีกฝ่ายจะเป็นลมล้มป่วยไปตอนไหน“ยังพอมีเวลาอยู่ งั้นก็ไปล้างหน้าล้างตาแล้วมากินอะไรรองท้องซักหน่อยดีไหมลูก เดี๋ยวจะเป็นลมเป็นแล้งไปก่อน เหลือไม่เยอะแล้วเดี๋ยวแม่ทำต่อเอง”ถ้าขืนปฏิเสธมารดาของเธอคงเป็นห่วงกังวลไม่เลิกรา ทำให้หญิงสาวจำใจรามือจากขนมที่เพิ่งใส่ลงกล่องเสร็จไปอีกหนึ่ง“ก็ได้ค่ะ งั้นจ๋าขอไปล้างหน้าล้างตาหน่อยละกันนะคะ เดี๋ยวจะได้มาช่วยแพคของต่อ” สีหน้าอิดโรยของลูกสาวทำให้ผู้เป็นมารดาถึงกับตกใจ“ตายจริง ทำไมหน้าตาโทรมเป็นแบบนี้ล่ะลูก”รุจารินลูบใบหน้าตัวเอง พลางฝืนยิ้มกลบเกลื่อน “จ๋าไม่เป็นไรค่ะ”จะไม่โทรมอย่างไรได้ ในเมื่อต้องอดนอนเพราะเขาคนนั้นไม่ยอมให้เธอได้นอนง่ายๆ รุจารินกัดริมฝีปากเมื่อคิดถึงตัวการที่ทำให้เธอไม่ได้นอนทั้งคืน“ไปให้หมอตรวจหน่อยดีกว่านะแม่ว่า”“จ๋าไม่ได้เป็นอะไรเลยจริงๆ ค่ะแม่ แค่เพลียนิดหน่อย นอนพักหน่อยเดี
“เดี๋ยวครับ!” วรรณิภาชะงัก “ผมเปลี่ยนใจแล้ว ไม่ต้องยกเลิกนัดแล้วนะครับ เท่านี้แหละ ขอบคุณครับ”คนรับคำสั่งถึงกับตาค้างเหวอไปอีกหนกับการเปลี่ยนคำสั่งแบบสายฟ้าแลบของท่านรองประธานหนุ่มรูปงาม วรรณิภาจำใจตอบรับคำสั่ง ในใจภาวนาให้เพื่อนร่วมงานรุ่นน้องหายป่วยไวๆ จะได้มารับมือคุณเจ้านายสุดหล่อตรงหน้าเสียเองพอคล้อยหลังเลขาเฉพาะกิจ ภูเบศก็กระแทกลมหายใจหนักๆ รู้สึกหงุดหงิดกับทุกอย่างรอบตัวขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุ หรือจะบอกให้ถูกคือ เขาไม่อยากยอมรับต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องว้าวุ่นใจอยู่ตอนนี้ต่างหากเป็นไข้เนี่ยนะ! เมื่อเช้าก็เห็นอาการยังดีๆ อยู่นี่นา หรือว่าจะช็อกกับเหตุการณ์เมื่อเช้าจนล้มป่วย หรือว่าเพราะเมื่อคืนเขาหักโหมกับเธอมากไปยิ่งคิดใบหน้าหล่อเหลาก็ยิ่งยุ่งเหยิง กองแฟ้มที่รอการเซ็นต์อนุมัติถูกผลักออกไปเบาๆ เพราะเจ้าตัวไม่มีอารมณ์จะอ่านเสียแล้ว จิตใจว้าวุ่นครุ่นคิดสะระตะเขาควรไปเยี่ยมเธอที่บ้านดีไหมนะ ถ้าไปเธอจะหลงคิดว่าตัวเองสำคัญกับเขาเกินกว่าฐานะเจ้านายลูกน้องไหม มันจะกลายเป็นว่าเขาให้ความหวังเธอมากไปหรือเปล่า จริงอยู่ที่ว่าเขาอยากจะถอนหมั้นกับสลิลดา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะปักใจลงเอยกับ
เอาเถอะ ไว้เงินเดือนออกเธอจะเอามันมาใช้ให้เขาทุกบาททุกสตางค์ก็แล้วกัน แม้สิ่งที่เสียไปแล้วเธอเอากลับคืนมาไม่ได้ แต่เธอจะหยุดทุกอย่างไว้แค่นี้ เธอไม่ต้องการให้ใครมาตราหน้าว่าเป็นผู้หญิงหน้าด้านที่แย่งแฟนชาวบ้าน และไม่ต้องการทำร้ายผู้หญิงด้วยกันเหมือนที่ครั้งหนึ่งพ่อเธอเคยทำร้ายจิตใจแม่เด็ดขาดแต่ทำไมนะ...หัวใจถึงรู้สึกทรมานแบบนี้ มันทั้งเจ็บลึกและทรมานเหมือนคนกำลังจะจมน้ำ เพียงแค่คิดว่าจะไม่ได้อยู่ในอ้อมแขนของเขาคนนั้น ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิดครอบครองเป็นเจ้าของเขาได้ แล้วต่อจากนี้ชีวิตเธอจะเป็นเช่นไร เธอจะใช้ชีวิตต่อไปยังไงดีเธอจะมองหน้าเขาติดได้อีกหรือเมื่อต้องทำงานด้วยกันร่างบางทรุดฮวดกอดเสื้อผ้าที่เขาซื้อให้แน่น ปลดปล่อยน้ำตาไหลริน สีหน้าหม่นหมอง ต่อจากนี้เธอควรทำยังไงดี...“อืม...ไม่เลวนี่ คุณดูดีใช้ได้เลย”ภูเบศมองเรือนร่างระหงในชุดทำงานแบบเพนท์สูทสีน้ำเงินเข้มอย่างพอใจ ด้วยดีไซน์หรูและแบบชุดทรงเข้ารูปทำให้เห็นทรวดทรงองค์เอวของคนใส่ชัดเจนทำให้รู้ว่าหญิงสาวตรงหน้าซ่อนรูปไม่น้อยเลย แต่คงจะดูดีกว่านี้ถ้าเจ้าตัวจะยิ้มเสียบ้าง ไม่ใช่ทำหน้านิ่งเฉยเย็นชาเป็นราชินีหิมะอยู่เช่นนี้ “คุณรอ
ภูเบศส่ายหน้าไปมา มองตามหลังคู่หมั้นที่ปึงปังออกไปราวกับพายุทอร์นาโด ด้วยสีหน้าหนักใจ ถึงแม้จะเตรียมใจล่วงหน้าว่าต้องเจอเหตุการณ์นี้ตั้งแต่ที่คิดจะดึงเลขาสาวมาร่วมแผนปลดอิสรภาพของตนแบบลับๆ แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้อยากทำให้ฝ่ายนั้นเดือดร้อนเช่นนี้ เมื่อคิดถึงเลขาสาว เขาก็รีบปิดประตูหน้าบ้านพร้อมล็อกกลอนแน่นหนา เผื่อว่าคู่หมั้นสาวจะย้อนกลับมาอาละวาดอีกหน แล้วเดินปราดไปที่ห้องนอน“เปิดประตูได้แล้ว”เงียบกริบ...ไม่ใช่ว่ายัยนั่นตกใจจนช็อกตายไปแล้วหรอกนะ ชายหนุ่มชักห่วง รีบไปเอากุญแจสำรองมาไขประตูอย่างรวดเร็วห้องว่างเปล่า สายตาคมเข้มเหลียวมองหาร่างอรชรมาสะดุดตาที่ประตูตู้เสื้อผ้าที่เปิดแง้มเล็กน้อย ร่างสูงจึงตรงเข้าไปกระชากมันออกภูเบศใจหายวาบเมื่อได้เห็นสภาพของเลขาสาวที่นั่งกอดเข่าคุดคู้หลบตัวสั่นเทาราวกับลูกนกตกจากรังน่าสงสารจับใจ ใบหน้าสวยหวานซีดเผือดไร้สีเลือดหม่นหมอง พอเงยหน้าเห็นเขาเธอก็สะดุ้งสุดตัว รีบขยับกายหนี แต่เขากลับเป็นฝ่ายดึงร่างเธอเข้ามากอดปลอบขวัญเสียเอง แม้อีกฝ่ายจะดิ้นขลุกขลักจะหนีจากอ้อมกอดนั้นแต่เขาก็ไม่ยอมปล่อยมือจากเธอ คิดว่าอีกฝ่ายจะร้องไห้โฮแต่ก็กลับไม่ หากมีเพียงเสีย