ตรีทศกลับเข้ามาในห้องที่ยศนอนสงบนิ่งอยู่ ในขณะที่คนอื่นๆ ได้ออกไปจากห้องแล้ว เพราะการแยกตัวออกไปของเขาทำให้คลาดกับเพื่อนๆ คนอื่น ก่อนจะได้รับข้อความจากธนญว่าพวกเขาทั้งหมดไปทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารชื่อดังในตัวเมืองให้เขาตามไปสมทบ เมื่อเขาเปิดประตูออกไป ปลายหางตาของเขาได้เหลือบไปเห็นหญิงสาวในชุดทะมัดทะแมงเสื้อผ้ามิดชิด คลุมด้วยแจ็คเก็ตสีดำ และหมวกแก๊ป กดลงต่ำเพื่อปิดบังใบหน้า แต่เมื่อเห็นเขาออกจากห้องของยศ กลับหมุนตัวเดินกลับไปทางเดิม ตรีทศเดินตามเพื่อให้แน่ใจว่าหญิงสาวที่เขาเห็นไม่ได้เข้าใจผิดว่าเป็นนิอร เพราะพนักงานสาวบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธรรมดาทำไมมาโผล่อยู่ที่นี่ และวนเวียนอยู่ใกล้ตัวเขาเช่นนี้ แต่ยิ่งเดินเข้าใกล้หญิงสาวยิ่งเดินออกห่าง และหลบหายไปในที่สุดจนหาไม่เจอ ตรีทศมองไปรอบๆ ไม่พบใคร นั่นอาจเป็นความเข้าใจผิดของเขาเอง หรืออาจะเป็นความบังเอิญที่เห็นคนที่รูปร่างหน้าตาคล้ายเธอ และคิดมาก เพราะระบบของเขาเพิ่งถูกเจาะเข้ามาเมื่อไม่กี่นาที เขาพยายามหาเหตุผล และส่ายหัวเพื่อสลัดความคิดนั้นไปเสีย ก่อนจะรีบตามธนญและเพื่อนๆไปที่ร้านอาหาร นิอรที่แอบดูตรีทศอยู่ห่างๆ
เมืองเหนือที่เดินกลับไปที่รถ เขาหยิบเสื้อยืดคอกลมตัวเก่งขึ้นมา ก่อนจะถอดเสื้อเชิ้ตเปื้อนเลือดออก ด้วยไม่ได้รู้สึกอายหรือเขินต่อสายตาผู้คนที่มองมา ชีวิตง่ายๆ ของเขาทำให้เขาเองก็ลืมไปว่าเขาเองก็มีชื่อเสียงอยู่บ้างในฐานะน้องชายของเมืองนาย“คุณเหนือไม่รักษาภาพนายน้อยบ้างเลยหรือ”“อ้าว! มาเร็วจัง ก็แค่เปลี่ยนเสื้อน่ะ”“มาโชว์กลางที่สาธารณะแบบนี้เรียกเรตติ้งจากสาวๆ เหรอครับ”เมืองเหนือยิ้มก่อนจะเริ่มอายเมื่อกวาดสายตาไปรอบๆ สาวน้อยสาวใหญ่ต่างชี้ชวนกันมองเขาเป็นตาเดียว ก่อนที่เขาจะรีบพาภูผาไปที่ห้องพักของยศภูผามองผ้าปิดแผลที่คอของเมืองเหนือ ก่อนจะถามด้วยความสงสัย ขณะที่เดินไปด้วยกัน“แผลนี่มายังไง ที่ได้เปลี่ยนเสื้อนั่น เพราะแผลนี่เหรอ”“หมากัดน่ะ”“หมากัด! หมาพันธุ์ไหนกัน กระโดดขย่ำถึงคอได้ขนาดนี้”เมือเปิดประตู้ห้องผู้ป่วยเข้าไป นิอรที่นั่งอยู่ข้างเตียงพี่ชายก็หันมา“หมาตัวนั้นไง”เมืองเหนือมองไปที่นิอร ก่อนจะเพยิดหน้าบอกกับภูผาว่านิอรคือหมาตัวที่กัดเขา ทำให้นิอรย่นหัวคิ้วจรดเข้าหากันสายตาดุดัน โกรธจัดที่เขาว่าเธอเป็นหมา นิอรกัดริมฝีปาก“นี่ผมฟังไม่ผิดใช่ไหม”ภูผาหน้าเหว๋อ
เวลาเข้าสู่ช่วงดึกสงัด ตีสองที่เงียบสงบ ใบไม้ไม่ไหวติง อากาศที่เย็นยะเยือก น้ำค้างเปียกชุ่มบนยอดหญ้า หมอกที่ลอยต่ำ เสียงฝีเท้าที่แผ่วเบาแต่รู้สึกได้ว่ามีน้ำหนักกดลงบนพื้น หยุดอยู่หน้าระเบียง แสงไฟภายนอกที่ส่องเข้ามา แม้จะปิดม่านไว้หมด แต่ระหว่างช่องเปลือกไม่เล็กๆ กับพื้นห้อง นิอรพอจะมองเห็นเงา คล้ายกับเท้าคู่หนึ่งที่หยุดอยู่ตรงนั้นไม่ไหวติง“นั่นผีหรือคนกันแน่”ใจของนิอรเต้นระรัว เธอได้ยินเสียงตึกตักของหัวใจตัวเองราวกับกองรบในความมืด และอากาศที่เย็นเยียบ เมืองเหนือที่นอนบนเตียงอุ่นนุ่มสบาย เขาหลับเป็นตาย โดยมีเพียงเสียงหายใจแรงเพราะความเหนื่อยล้าของเขาที่นิอรได้ยินนิอรพยายามขยับกายถอยจากปลายเตียงมาอยู่ด้านข้างที่เขานอนอยู่ เธอห่อตัวด้วยผ้าห่ม ยันกายขึ้นติดผนังไม้หันไปมองใบหน้าเมืองเหนือที่ดวงตาปิดสนิท เธอมองเขาสลับกับเงาที่ประตู อยู่ ๆ ลมที่เคยสงบกลับกรรโชกแรงจนเสียงกิ่งไม้กระทบกันดังสนั่น อากกาศในห้องเย็นยะเยือกจนหนาวเหน็บแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย“เมืองเหนือ”เสียงกระเส่าของนิอรที่พยายามเรียกเมืองเหนือให้ตื่น เธอแทบไม่กล้ากลืนน้ำลายด้วยซ้ำ นิอรหลับตาเอียงหน้าไปทางเมือง
เมืองเหนือไล้หลังมือไปที่ผิวแก้มของนิอร ก่อนที่เธอจะจับมือเขาไว้ และลืมตาขึ้น ยกตัวขึ้นอย่างรีบร้อนพร้อมกับปล่อยมือจากเขาทันที จนผมที่ตัวเองนอนทับกระตุกอย่างแรงจนต้องร้องออกมา ก่อนจะจับที่โคนผมของตัวเองเพราะความเจ็บ “โอ๊ย!” “ทำไมไม่ไปนอนที่เตียง ไม่ปวดหลังเหรอ” “ไม่อยากให้คุณลำบากใจ” “คุณมีไข้ ไปนอนที่นั่นเถอะ ตัวเย็นหมดแล้ว เดี๋ยวทานยาแก้ไข้ของผมไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยขอใหม่ที่ห้องพยาบาล” นิอรลุกขึ้นเดินโซซัดโซด้วยอาการมึนงง ก่อนจะเข่าอ่อน แต่ทันคว้าแขนเขาไว้ได้ เมืองเหนือช่วยพยุงเธอขึ้น แต่เหมือนร่างกายเธอจะไม่มีแรง เขาจึงตัดสินใจรวบขาทั้งสองอุ้มเธอขึ้นอย่างง่ายดาย ก่อนจะวางลงบนเตียงพร้อมกับห่มผ้าให้ จากนั้นก็หยิบยาแก้ไข้ของเขาในถุงยื่นให้เธอพร้อมน้ำดื่ม นิอรรับไปดื่ม เพราะในเวลาเช่นนี้เธอเองก็ไม่อยากป่วยเช่นกัน อแบมองและหลบสายตาเขาอย่างกริ่งเกรง “ผลัดกันหรือไงเนี่ย พอผมดีขึ้น คุณก็ป่วย” นิอรตะแคงตัวหันหลังให้เขาเสียอย่างนั้น เมืองเหนือสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เธอมีต่อเขา จากคำถามก่อนหน้านั้น เธอเปลี่ยนไป และระวังตัวมากขึ้น พูดน้อยลง และพยายามอยู่ห่
เมืองเหนือที่ย้ายตัวเองไปแทนที่นิอร เขานั่งอยู่ที่โต๊ะตัวเล็กนั่น มองออกไปยังด้านนอกที่ฝนเริ่มซาลงมาก น้ำที่เคยไหลบ่าเป็นทางเริ่มซึมหายไปในดินได้ง่ายขึ้น ไม่เจิ่งนองเหมือนเดิม ร่องรอยคราบโคลนที่ไหลบ่ายังคงมองเห็นเด่นชัด ไข้ของเขาลดลงไปมาก เพราะการได้รับยาอักเสบบาดแผล และลดอากการปวดบรรเทาไข้นิอรยังคงนอนนิ่งหลับจากที่ทานยาไปแล้ว เมืองเหนือนั่งอ่านรายงานวิจัยที่ต้องทำข้อมูลสรุปส่งให้กับ ที เอ็น ฟราแกรนซ์ ตามกำหนด หลังจากที่อนิลได้เดินทางมาดูงานด้วยตนเอง แม้อนิลจะเป็นน้องสาวของธนญ แต่เธอนั้นดูมุ่งมั่นและจริงจังกว่าธนญมาก เพราะความที่ยังเด็กและมีไฟในตัวเป็นสองเท่านั่นเอง งานของเขาคือความหวังในการขอทุนวิจัยชิ้นต่อไปของศูนย์นั่นเองนิอรที่ค่อยๆ ลืมตาขึ้น เห็นไฟที่ยังส่องสว่าง เธอมองไปรอบๆ ก่อนจะพลิกกายหันกลับมา เมืองเหนือยังคงนั่งทำงานของเขา ใบหน้าที่จริงจังขณะนั่งอ่านเอกสาร ชวนหลงใหล นิอรติดอยูในภวังค์เพียงครู่เดียวก่อนจะดึงสติตัวเองกลับมา นิอรลุกขึ้นนั่งช้าๆ ลองเอามือแตะหน้าผากตัวเอง เพื่อดูว่าอุณหภูมิร่างกายของตัวเองลดลงหรือไม่ เพราะอาการปวดหัวหายไปจนสิ้นแล้ว แล
นิอรที่แยกตัวออกมาเพียงลำพังจากเมืองเหนือ เธอนั้นทั้งเสียใจและแค้นใจ เจ็บใจตัวเองที่อ่อนแอต่อความรู้สึก ทั้งที่เธอเป็นคนตัดสินใจเอง ทั้งที่รู้ ทั้งรู้ว่าอาจจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นได้ แต่เธอกลับใจอ่อนและยินยอมเอง สุดท้ายกลับรับไม่ได้ เมื่อได้ยินคำพูดและข้อเสนอของเขานิอรได้รับข้อความแจ้งเตือนจากระบบของ The Bitch ตรีทศได้ตั้งใจส่งข้อความลับถึงเธอ เพราะไม่ต้องการให้ใครรู้ เรื่องที่เป็นความลับและบทสนทนาของพวกเขา ทำให้นิอรต้องหาที่เปิดคอมพิวเตอร์เพื่อเข้าไปในระบบเธอตัดสินใจเข้าไปในร้านกาแฟเล็กๆ แห่งหนึ่ง ที่ไม่มีผู้คนมากนัก บรรยากาศร่มรื่นและเป็นส่วนตัว ในมุมที่แสนสงบ นิอรเปิดคอมพิวเตอร์ตัวเก่งนั่งอยู่ในมุมส่วนตัวที่มิดชิด ไม่โดดเด่นนัก พร้อมสั่งเครื่องดื่มและขนมมาทาน“ผมเข้าไปดูในกล่องบันทึกห้องสนทนาของยศแล้ว”“คุณดูหมดทุกคลิปแล้วใช่ไหม”“ใช่ผมดูหมดแล้ว คุณรู้ใช่ไหมว่าชายคนนั้นเป็นใคร และอันตรายแค่ไหน”“ค่ะ ฉันรู้”“ต่อไปคุณต้องระวังตัวมากขึ้น และอย่าเปิดเผยตัวตนเด็ดขาด เบื้องหน้าให้เป็นหน้าที่ของพวกผม อย่าออกมาในที่แจ้ง คุณควรกลับมาที่กรุงเทพฯ ได้แล้ว”“ฉันยังกล
ธนญมองดูชิพอันเล็กที่อยู่ในซองพลาสติกด้วยสีหน้างุนงง เมืองเหนือวางมันลงบนโต๊ะ และใช้นิ้วดันไปตรงหน้าเขา ก่อนจะเอนหลังอย่างสบายใจ จนภูผาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามที่มองเขาอยู่ถึงกับย่นหัวคิ้วไม่ต่างจากธนญ“มันคืออะไร”ธนญถามเมืองเหนือด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจะหยิบซองเล็กๆ ขึ้นมาดูอย่างพินิจพิเคราะห์“ใช่ของที่คุณนิอรหาอยู่ไหม”“อืม”ภูผาถามนำคำตอบ เมื่อคำตอบเป็นอย่างที่เขาคิด ภูผาเองถึงกับเบิกตากว้างทันที ทำไมมันถึงมาอยู่ที่เขา ทั้งที่นิอรกลับไปแล้ว โดยที่เธอก็หามันไม่เจอ“ผมไม่ได้บอกคุณนิอรว่าผมหามันเจอ ไม่อยากให้เธอต้องเข้ามาข้อเกี่ยวกับสิ่งนี้ ที่มันอันตรายเกินไป”“นายดูมันหรือยัง ว่าข้างในมันคืออะไร”“ยัง ฉันอยากให้พวกเราดูพร้อมกัน”“อืม เย็นนี้ตรีทศกับสืบสายจะบินมาที่นี่เราไว้ดูพร้อมเขาแล้วกัน”สัญญาณเรียกเข้าโทรศัพท์ของภูผา ทำให้เขาต้องขอออกไปรับสายข้างนอก และปล่อยให้สองหนุ่มได้นั่งคุยกันไปก่อน อังคณาโทรหาเขา เพราะเห็นว่าเขาหายไปหลายวันแล้ว และไม่ได้แวะไปหาเธอที่บ้านเหมือนเคย“คุณงานยุ่งเหรอ หายไปไหลายวัน”“ครับ พอดีคุณเหนือไหว้วานให้มาดูแลเพื่อนของเขาที่นอนป่วย
สืบสายมาถึงห้องพักผู้ป่วยของยศก่อนใคร คงทรัพย์ที่นอนเฝ้ารู้สึกตัวทันทีที่ประตูห้องเปิดออก ปฏิกิริยาของเขายังคงไวอยู่เสมอไม่มีเปลี่ยน คงทรัพย์ลุกขึ้นนั่งทันที“มาแล้วเหรอ”“อืม กาแฟกับอาหารเช้าฉันแวะซื้อมาให้”สืบสายส่งแก้วกาแฟร้อนขนาดเหมาะมือ พร้อมถุงขนมปังอบ และแซนวิช ให้กับคงทรัพย์ เขารับไปพร้อมกับรอยยิ้มขอบใจ เขาทานโดยไม่ต้องแปรงฟันล้างหน้าเลยด้วยซ้ำ“นายไม่คิดจะล้างหน้าแปรงฟันก่อนค่อยกินเหรอ”“อืม กินก่อนค่อยล้างทีเดียว”สืบสายหัวเราะอยู่ในลำคอก่อนจะส่ายหัวเบาๆ เพราะคงทรัพย์เป็นผู้ชายที่ไม่ได้พิถีพิถันกับเรื่องพวกนี้มากนัก สืบสายมีเพื่อนสนิทที่แสนจะต่างขั้วกันมาก อย่างคงทรัพย์และธนญ“นายกลับไปอาบน้ำอาบท่าและนอนพักที่โรงแรมก่อนได้นะ ฉันเฝ้าต่อเอง เดี๋ยวพวกธนญก็มาแล้ว ผลัดกันเฝ้า”“แล้วนายภูผาไม่มาแล้วเหรอ”“เห็นว่าจะเข้ามาช่วงบ่ายๆ มีธุระตอนช่วงเช้า”สืบสายบอกให้คงทรัพย์กลับไปพักผ่อนที่โรงแรมก่อน เพราะช่วงเช้าผู้คนพลุกพล่าน ไม่น่ากลัวมากนัก แถมธนญ พัศวี และตรีทศ ก็กำลังมา ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง อีกทั้งเรื่องการย้ายโรงพยาบาลให้กับยศนั้นก็เรียบร้อยดีแล้ว รอเคลื่อน
อาการบอบช้ำตามร่างกายของวิกรม ทุเลาลงมาก เขาร้อนใจ เมื่อพนมกรมารายงานความคุ้มคลั่งของอักษะที่นับวันจะทวีความรุนแรง และออกคำสั่งที่ดูเหมือนคนขาดสติและมิได้ไตร่ตรอง เรื่องหนึ่งไม่ทันจะหายเรื่องใหม่ก็เข้ามาพนมกรประคองร่างที่ยังเดินได้ไม่ดีนักของวิกรมมาที่รถของเขา ก่อนจะรีบเปิดประตูให้วิกรมได้นั่งสบายๆที่เบาะหลัง เขาปฏิบัติต่อวิกรมต่างจากอักษะ ราวกับวิกรมนั้นเป็นนายใหญ่แทนอักษะเสียอีก ดูจะมีความเคารพยำเกรงและเป็นห่วงเป็นใยมากกว่าเสียด้วยซ้ำไม่ทันที่พนมกรจะขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับ เสียงโทรศัพท์ของวิกรมก็ดังขึ้น“เรื่องที่ผมเคยขอให้คุณวิกรมลองตัดสินใจ ตอนนี้ผมตัดสินใจได้แล้ว ผมจะไม่รอคำตอบจากคุณอีกแล้วครับ ผมเลือกแล้ว”“มีอะไรหรือคุณเมืองนาย คนของผมเพิ่งมารับผมออกจากโรงพยาบาลวันนี้”“คุณวิกรมทบทวนข้อเสนอของนายธนญหรือยัง ก่อนหน้าที่ผมเคยบอกกับคุณไว้ ว่ามันเป็นทางเลือกที่ดี และผมฝากคุณวิกรม ไปบอกท่านอักษะด้วยว่า ผมขอยุติการเป็นตัวแทนในการทำธุรกรรมทางการเงินผิดกฎหมายนั่น ถึงผมจะรักเงินมากแค่ไหน แต่น้องชายของผมก็สำคัญกว่าเงินนั่นมากกว่าเป็นหลายเท่า อย่าได้ริอาจมาแตะต้องน้องชา
พระแพงมองแผ่นหลังกว้างของสืบสาย ที่แสงจันทร์จับเป็นเงาวาววับ เสียงพูดคุยที่เบา แต่น้ำเสียงหนักแน่น แม้จะได้ยินไม่ถนัดนัก แต่ก็พอเข้าใจจากโทนเสียง น้ำหนักเสียงหนักเบาของเขา ที่แฝงไปด้วยความจริงจังเคร่งเครียดสืบสายรับโทรศัพท์ของธนญที่เรียกเข้ากลางดึก หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างเสร็จกิจกันผ่านไปไม่นานนัก นับหนึ่งที่หมดแรงหลับไปแล้ว ส่วนพระแพงเองก็ไม่ขยับตัวเมื่อสืบสายประคองศีรษะของเธอออกจากไหล่ของเขา เพื่อที่จะลุกไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ที่โต๊ะหัวเตียงสืบสายนั่งอยู่ที่ปลายเตียงด้วยร่างกายเปลือยเปล่า หันหลังให้พระแพงที่นอนอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่น ปิดคลุมไว้แค่เนินอก จนกระทั้งรู้สึกว่าไออุ่นที่เคยได้รับจากกายของสืบสายหายไป และไหล่ของเธอเริ่มเย็นเฉียบ จนรู้สึกขนลุก อีกทั้งเสียงใครบางคนที่กำลังคุยกับใคร ทำให้พระแพงค่อยๆ ลืมตา และเพ่งมองไปที่แผ่นหลังของสืบสาย เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นเขา“ฉันจะให้คงทรัพย์ ส่งคนไปเฝ้าคนร้ายที่โรงพยาบาลทันที ฉันกลัวจะเหมือนคราวที่แล้วอีก คราวนี้เราต้องมีพยานบุคคลให้ได้ แล้วเพื่อนนายเป็นอะไรมากไหม”“เมืองเหนือปลอดภัย แผลแค่ถากๆ แต่เจ้าหน้าที่หญิงที่ถูกจ
ชายที่ตามไล่ล่าพลอยฟ้า ชะงักฝีเท้าทันที ที่เห็นกลุ่มคนมากมายอยู่ที่รถของพวกเขา แต่ไม่ทันที่จะหลบวิ่งหนีกลับเข้าไปในป่า เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งก็ตะโกนขึ้นด้วยเสียงอันดัง“หยุดนะ ไม่งั้นฉันยิ่ง”ทำให้ตำรวจนายอื่นประทับลำกล้องขึ้นไกปืนทันที แต่คนร้ายกลับไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวกับคำขู่เลยสักนิด พวกเขาวิ่งกลับเข้าไปอย่างรวดเร็ว จนตำรวจนายนั้นลั่นกระสุนตามทันที จนเสียงดังกึกก้องป่า ราวกับเสียงฟ้าคำรามยามฟ้าฝนกระหน่ำเช่นนี้ พร้อมกับไว่ไล่ตามไป“เกิดอะไรขึ้นครับ”เมืองเหนือที่มาถึงที่เกิดเหตุพร้อมภูผารีบตรงเข้าไปถามเจ้าหน้าที่ทันที เมื่อได้ยินเสียงปืน“พวกคนร้ายมันวิ่งหนีการจับกุมครับ”“แล้วผู้หญิงล่ะครับ”“เราไม่เห็นคุณผู้หญิง ผมคาดว่าคุณผู้หญิง อาจจะหลบหนี พวกมันถึงวิ่งหน้าตื่นออกมาตามหาไม่ทันระวังตัวแบบนั้น”“หนีหรือ”น้ำเสียงของเมืองเหนือนั้นตกใจ เพราะเขาชำนาญป่าแถบนี้ และรู้ว่าเป็นพื้นที่อันตราย และมีหุบเหวลึกอยู่มากมาย หากคนไม่ชินทางอาจตกลงไปโดยไม่รู้ตัวฝนที่เบาลง ให้พวกเขาตัดสินใจออกตามล่า พร้อมทั้งตามหาพลอยฟ้าไปพร้อมกัน เพราะพวกเขาเชื่อว่าคนร้ายยังไม่ได้ตัวเธออย่
ชายสองคนที่นั่งอยู่ในรถกระบะเก่าคร่ำคร่า จอดอยู่ใต้ร่มเงาไม้ในซอยเล็กๆ ห่างจากบ้านฟ้าร้อยดาวราวยี่สิบเมตร ไม่ได้โดดเด่นหรือน่าสนใจเกินไปนัก ที่จะเป็นที่สนใจของผู้ผ่านไปผ่านมา เพราะปกติจะมีรถที่หลบเข้ามาหาที่จอด เพื่อเข้ามาทานอาหารหรือมาที่คาเฟ่อยู่เป็นประจำ“ผมซุ่มดูอยู่ครับ ห่างออกมาจากหน้าคาเฟ่ราวยี่สิบเมตรครับ ไม่มีใครสนใจเรา ผู้หญิงนักวิจัยที่มาจากขุนวางพร้อมนายเมืองเหนือพักอยู่ที่นี่ครับ เป็นคาเฟ่เล็กๆครับนาย คนไม่พลุกพล่าน แต่อุปสรรคอย่างหนึ่งคือ ดูเหมือนไอ้ภูผาคนสนิทของคุณเมืองนายและน้องชายจะเป็นเจ้าของที่นี่ และมันก็พักอยู่ที่นี่ครับ พวกบนเขามีคนของนายภูผาเฝ้าอยู่ และคอยติดตามเข้าป่าไปพร้อมป่าไม้ครับ ยากมากที่จะเข้าถึง ”ชายคนขับกำลังส่งข่าวถึงใครบางคน ซึ่งปลายสายนั้นรู้จักเมืองเหนือและเมืองนายเป็นอย่างดี อีกทั้งการพูดถึงนักวิจัยหญิง ซึ่งคนเดียวที่อยู่ที่นี่นั่นคือพลอยฟ้า รวมถึงภูผาที่เป็นอุปสรรคของพวกมัน“นายว่าไงพี่”“นายบอกให้รอจังหวะ อย่าเพิ่งบุ่มบ่าม รอดูพวกมันไปก่อน”ทั้งสองเอนเบาะนอนในรถ พร้อมดับเครื่องและแง้มกระจกไว้ให้อากาศได้ถ่ายเท พวกมันตั้งใจ
คนของอักษะที่ซุ่มรอดูอยู่บริเวณคอนโดหรูที่พักของตรีทศ รอเวลาที่ลลิตาจะออกมา ในที่สุดเป้าหมายของพวกเขาก็ปรากฏตัว ลลิตาที่เดินเคียงคู่มาในชุดลำลองของตรีทศ สองหนุ่มสาวเดินออกมาบริเวณด้านหน้า เดินไปตามฟุตบาททางเท้าเพื่อไปยังร้านอาหารที่ห่างออกไปราว สองร้อยเมตรคนของอักษะรีบส่งสัญญาณไปยังคนที่อยู่ในรถ ส่วนคนที่เดินตามก็ตามมาห่างๆ แต่คอยรายงานเป็นระยะ จนกระทั่งตรีทศและลลิตาถึงที่หมายเนื่องจากเป็นร้านอาหารดัง ราคาย่อมเยา รสชาติถูกปากผู้คนในย่านนั้น ทำให้มีคนไปใช้บริการจำนวนมาก จนต้องมีการตั้งโต๊ะเสริมล้นออกมายังริมฟุตบาท“วันนี้ลูกค้าเยอะ สงสัยเราคงต้องนั่งข้างนอกนี้แล้วหละ”“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันนั่งได้”“คุณครับด้านในที่นั่งเต็มหมดแล้วครับ”เป็นอย่างที่คิด พนักงานเสิร์ฟออกมาแจ้งตรีทศ เมื่อเขามาถึงและถามพนักงานว่าด้านในยังพอที่นั่งเหลือไหม โดยที่พนักงานนั้นจำเขาได้ดี เพราะตรีทศเป็นลูกค้าประจำ พนักงานเสิร์ฟกุลีกุจอ เข้าไปสำรวจด้านในทันที ก่อนจะกลับออกมาพร้อมความผิดหวัง“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพวกเรานั่งข้างนอกนี่ก็ได้”ตรีทศตอบและหันไปทางโต๊ะเสริมที่อยู่ห่างออกไปด้านหลัง ไกลจากปา
ตรีทศตะแคงใช้ศอกค้ำ ฝ่ามือยันศีรษะของตัวเองไว้ นอนมองลลิตาที่มีอาการงัวเงีย เมื่อแสงสว่างจากด้านนอกที่ส่องเข้ามาในห้อง ทำให้ห้องนอนที่แสนจะเรียบง่ายสว่างขึ้น เปลือกตาที่ค่อยๆเปิดออก เธอปรับสายตาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะจ้องตอบเขาไป ราวกับไม่เชื่อว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้า คือความจริง ลลิตาคิดว่าตัวเองฝันไป เธอกระพริบตาอยู่สองถึงสามครั้ง“ตื่นเถอะ”เสียงของตรีทศบอกเธอว่า ไม่ใช่ความฝัน ลลิตาตกใจรีบลุกขึ้น เธอมองไปรอบๆ นี่มันห้องของเขาจริงๆ มันไม่ใช่ความฝัน ตรีทศที่ยังนอนมองลลิตาเหยียดยิ้มออก ก่อนจะลุกขึ้นนั่งลลิตาที่ทำท่าจะก้าวลงจากเตียงถูกตรีทศรวบเอาไว้ก่อน ลลิตานั่งลงบนตักของเขาอย่างไม่ตั้งใจเพราะแรงยื้อที่เหวียงเข้าหาตัวเขา“คุณทศ ไหนบอกให้ฉันตื่น ฉันจะลุกแล้วนี่ไง”“ผมให้คุณตื่นไม่ได้บอกให้คุณลงจากเตียงเสียหน่อย”ตรีทศกอดรอบเอวลลิตาไว้ เธอนั้นจับท่อนแขนที่แน่นขึ้นของเขา พร้อมทั้งห่อตัว เมื่อตรีทศพยายามซุกไซ้ที่ซอกคอ“นี่สายแล้วนะคะ ไม่ไปทำงานหรือ”“ผมทำงานโปรเจคฯ ไม่ต้องเข้าสำนักงานก็ได้ นี่ไงที่ทำงานผม”“แต่ฉันต้องทำ”“เจ้านายคุณไม่อยู่ไม่ใช่เหรอ เขาให้คุณดูแลณัฐกา
ตรีทศและนิอรที่เดินออกมายังโถงส่วนหน้าของโรงพยาบาล ห่างไปไม่ไกลจากตรงนั้น ลลิตานั่งรอณัฐการอยู่ที่ร้านกาแฟ ตามที่ณัฐการบอก โดยตกอยู่ในภวังค์ความคิดที่กำลังสับสนและหวั่นไหวกับความรู้สึกของตัวเอง“นิอร มาทำอะไรที่นี่น่ะ”ณัฐการในชุดคลุมท้องแสนน่ารัก นั่งอยู่บนรถเข็นที่นางพยาบาลช่วยเข็นมาหาลลิตาที่ร้านกาแฟ“คุณอิ๋ง ไม่ได้เจอกันนานเลย ตั้งแต่คุณออกจากบริษัท พวกเราเหงามากเลยค่ะ เจ้านายไม่พาลูกน้องไปเลี้ยงเหมือนเคย อรขอฟ้อง”“นี่พี่อุ๋งกับพี่หัส ละเลยลูกน้องขนาดนี้เลยเหรอฉันต้องจัดการหน่อยแล้ว”“แล้วนี้มาตรวจครรภ์หรือคะ”ตรีทศมองณัฐการ ด้วยความรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตา เขาคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเจอเธอที่ไหนมาก่อน ณัฐการเองก็มองเขาแว้บหนึ่งก่อนจะจำได้“อ้อ ฉันจำนายได้แล้ว นายเป็นเพื่อนของนับหนึ่งนี่นา ฉันเป็นเพื่อนนับหนึ่ง เราเจอกันบ่อยๆ ที่มหาวิทยาลัย”“อ้อ! จำได้แล้ว เธอชื่ออะไรนะ ติดอยู่ที่ปาก”“ฉันชื่อณัฐการคณะบริหาร”“อ่อใช่ ผมตรีทศ”ตรีทศยิ้มให้ณัฐการ ทั้งคู่ต่างฝ่ายต่างยิ้มให้กัน เมื่อจำกันได้“นายเป็นแฟนกับนิอรเหรอ”สิ้นเสียงคำถามของณัฐการ ตรีทศไม่ทันจะได้ตอบ สายต
นายอักษะที่อยู่ในอารมณ์ครุกรุ่น โกรธโมโห และบันดาลโทสะ เขาทำร้ายวิกรมไม่ยั้ง ที่คนของวิกรม ทำผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า ชายสูงอายุสองคนที่เคยเป็นเสมือนเพื่อนรัก คู่หู เจ้านายและลูกน้องที่รักกัน แต่เมื่อเป็นเรื่องงาน ที่พลาด อักษะไม่เคยให้อภัยใคร เพราะมันหมายถึงชีวิตทั้งหมดของเขาอาจจบสิ้นลงนายวิกรมที่กองอยู่ที่พื้น ถูกลูกน้องสองคนประคองข้างให้ทรงตัวนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น ในขณะที่ลูกน้องคนหนึ่งยื่นผ้าขนหนูผืนเล็กให้นายอักษะเช็ดมือ เอาเลือดของวิกรมที่เปรอะเปื้อนออก ด้วยสายตาและมือที่สั่นเทา เขาไม่เคยเห็นอักษะซ้อมหรือทำร้ายวิกรมถึงขั้นปางตายขนาดนี้มาก่อน เพราะทุกคนรู้ดีว่าวิกรมคือเพื่อนรัก ที่เคียงบ่าเคียงไหล่ของนายอักษะมาตั้งสมัยยังหนุ่ม จนกระทั่งเรืองอำนาจ อีกทั้งเป็นนายอีกคนของพวกเขา“พามันออกไป”สิ้นคำสั่งสองหนุ่มรีบหิ้วปีกวิกรมออกไปทันที เป็นครั้งแรกที่วิกรมสิ้นลาย และสูญสิ้นศักดิ์ศรีจากการกระทำที่ไม่ให้เกียรติกันของอักษะ สายตาดุดันเข้มขึ้น เขากัดฟัน และข่มความเจ็บแค้นเอาไว้ด้วยร่างกายที่สะบักสะบอม วิกรมถูกหามส่งโรงพยาบาลทันทีเมื่อสิ้นสติเช้าวันใหม่ที่แสงอร
พลอยฟ้าตกใจตื่นขึ้นมาเมื่อใกล้รุ่งสาง ดวงตาที่พยายามลืมขึ้นในแสงสลัวที่ฟ้ายังไม่แจ้งดี พลอยฟ้านอนหันหลังให้เขาด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่า มีเพียงผ้าห่มอุ่นคลุมกายอยู่ใต้วงแขน เสียงหายใจแรงของภูผาทำให้พลอยฟ้า ไม่แน่ใจว่าเขาตื่นอยู่หรือว่าหลับก่อนจะค่อยลุกขึ้น และหันไปตามเสียงนั้นช้าๆ ใบหน้าที่เอียงไปทางหนึ่ง แขนทั้งสองวางอยู่บนอก ผ้าห่มคลุมแค่ท่อนล่าง ผิวกายที่ขาวสะอาด มีกล้ามเนื้อเล็กน้อยแต่ดูแข็งแรงพลอยฟ้ามองหาเสื้อผ้าของตัวเอง ก่อนจะย่องลงจากเตียง และรีบร้อนสวมใส่มัน และไม่ลืมที่จะเก็บของสำคัญที่เธอตั้งใจมาเอาคืน แต่กลับเป็นสิ่งที่ทำให้เธอและเขาลงเอยกันบนเตียงเสียงประตูที่ปิดลงเบาๆ ทำให้ภูผาลืมตา เขาตื่นนานแล้ว แต่เพราะกลัวว่าพลอยฟ้าจะทำตัวไม่ถูก เขาจึงแกล้งทำเป็นหลับอยู่ เพราะมันก็ยากสำหรับเขาด้วยเช่นกันที่จะต้องเผชิญหากับเธอพลอยฟ้าที่หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แสงแดดอ่อนๆ ก็ฉายแสงเต็มที่ แต่เธอยังคงหมกตัวอยู่ในห้อง อยากออกไปข้างนอกใจจะขาด แต่ไม่แน่ใจว่าโผล่ไปเจอเขาตอนไหน เธอจึงเอาแต่นั่งเงียบๆ อยู่ในห้องจนกว่าจะได้ยินเสียงของเขา จนกระทั่งช่วงสาย เสียง