"ทำไมโรงเตี๊ยมเงียบจัง" ฉันเอ่ยเบาๆพลางเงยหน้าขึ้นมองโรงเตี๊ยมซึ่งอยู่ในสภาพกลางเก่ากลางใหม่ ตกแต่งด้วยโคมไฟ มีจำนวนสองชั้น
"เถ้าแก่ เถ้าแก่" ฉันเดินเข้าไปข้างในพร้อมร้องเรียก เพียงไม่นานก็มีชายวัยกลางคนพุงพลุ้ยแต่ใบหน้าเต็มไปด้วยความดีใจรีบวิ่งเข้ามาและตอบว่า"มาแล้วๆ" เสี่ยวฮวาจึงเดินไปจองห้องกับเถ้าแก่ ส่วนฉันก็เดินสำรวจพร้อมกวาดตามองรอบๆบริเวณ "เถ้าแก่ จองแค่คืนเดียวทำไมแพงจัง" เสี่ยวฮวาขมวดคิ้วแล้วถามด้วยความไม่พอใจ "คือ...คือว่า...พวกเจ้าจะพักไหมล่ะ ถ้าไม่พักก็ไปที่อื่น...แต่ข้าบอกไว้ก่อนที่นี่มีโรงเตี๊ยมที่เดียว คือโรงเตี๊ยมของข้า" เถ้าแก่ทำหน้าลังเลก่อนจะตะคอกตอบ "เพ้ย!! ข้าไม่พักหรอก เอาเปรียบกันอย่างนี้ มีเสียที่ไหนจะเอาตั้ง10ตำลึง ฝันไปเถอะ" เสี่ยวฮวายืนเท้าสะเอวแล้วทำท่าถุยน้ำลาย จากนั้นจึงหันมาพูดกับฉันว่า "คุณหนู พวกเราไปกันเถอะเจ้าค่ะ" "อืม" ฉันจึงเดินนำหน้าเสี่ยวฮวาออกจากโรงเตี๊ยม "เดี๋ยวสิ" เถ้าแก่รีบวิ่งมาดึงแขนเสี่ยวฮวาไว้ "กรี๊ด~ เจ้าทำบ้าอะไรน่ะ" เสี่ยวฮวากรีดร้อง ชาวบ้านที่ได้ยินจึงแอบมองเหตุการณ์อยู่ในที่ไกลๆ "แม่นาง...พักที่นี่เถอะ...ถือว่าข้าขอ" เถ้าแก่ทำหน้าตาเหมือนจะร้องไห้และคล้ายอยากพูดอะไรแต่ก็ไม่พูด "เจ้าเก็บค่าห้องแพง เอาเปรียบพวกเรา เจ้าหวังว่าพวกเราจะพักอีกหรือ เจ้าบ้าหรือไร" เสี่ยวฮวาทำหน้าไม่พอใจ "ปัง ตุบ ตับ" ทันใดนั้นก็มีเสียงเหมือนคนกำลังต่อสู้กัน ฉันกับเสี่ยวฮวาจึงหันไปมอง เถ้าแก่ที่เคยยืนอยู่ก็วิ่งหนี "มาแล้วๆ คนของท่านอ๋องมาอีกแล้ว หนีเร็ว" เสียงชาวบ้านแหกปากโวยวาย ก่อนจะมีเสียงกรีดร้องทั้งสตรีทั้งบุรุษดังขึ้นและทุกคนก็พากันหนีเข้าบ้าน ใครหนีไม่ทันก็จะโดนซ้อมแล้วโดนรีดไถเงิน "พวกนั้นหมายถึงใคร หมายถึงท่านอ๋องเหรอ?" ฉันถามเสี่ยวฮวา แต่เสี่ยวฮวาสั่นศีรษะ "แม่นางทั้งสอง เจ้าเป็นคนต่างถิ่นใช่หรือไม่ รีบหนีเถอะ พวกนั้นเป็นคนของท่านอ๋อง ถ้าไม่หนีพวกเขาจะเอาเงินเจ้าไปหมดนะ" คุณลุงคนหนึ่งตะโกนบอกพร้อมวิ่งหนี "ท่านอ๋องที่ว่าท่านหมายถึงใคร ใช่เซียวหรงหรือไม่" ฉันตะโกนถามคุณลุงคนนั้น แต่บัดนี้ทุกคนที่ได้ยินฉันเรียกชื่อเขาตรงๆพากันมองฉันตาค้าง เสียงการต่อสู้หยุดลงก่อนจะมีคนตะโกนว่า "บังอาจ! ชื่อท่านอ๋องสามารถเรียกตรงๆได้งั้นเหรอ เจ้าไม่กลัวโดนตัดหัวหรือไร" "เจ้าเป็นใคร?" ฉันถามคนที่ตะโกนพูด ชายคนนั้นอายุราวๆสี่สิบปี ใบหน้าชั่วร้าย มีเคราสีขาว ใส่ชุดหรูหรา "ข้าหรือ...ข้าเป็นพ่อบ้านของวังผิงอัน มีนามว่าหมิงเต๋อ" เขาตบอกตัวเองแล้วแสยะยิ้ม "อ้อ...เป็นพ่อบ้านนี่เอง" ฉันยิ้มมุมปาก "หึ กลัวใช่ไหมล่ะ ระวังข้าจะฟ้องท่านอ๋องให้มาตัดหัวเจ้า" หมิงเต๋อเอ่ยอย่างลำพองใจ "ถ้ากล้า...ก็เชิญ" ฉันยิ้มเยาะ เสี่ยวฮวาก็ยืนหัวเราะอยู่ข้างๆ พ่อบ้านยืนทำหน้าดำหน้าแดงด้วยความโกรธแล้วชี้หน้าฉันแล้วพูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า"ข้าจะให้ท่านอ๋องมาสั่งสอนเจ้า" "เซียวหรงน่ะหรือ...ถ้าเขากล้านะ" ฉันเอ่ยเสียงกร้าวก่อนจะแสยะยิ้ม "เจ้าๆๆ...เจ้าเป็นใครกันแน่ๆ" เมื่อเห็นว่าสตรีตรงหน้าไม่กลัว พ่อบ้านจึงถามด้วยความหวาดกลัว "ข้าหรือ...ข้าก็คือพระชายาของท่านอ๋องยังไงล่ะ!"ฉันเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน ท่าทางน่าเกรงขาม 'หึหึ ไม่เสียแรงที่ดูซีรี่ส์จนอดหลับอดนอน ได้เอามาใช้จริงด้วย หลินหลิน...แกเนี่ยเท่ชะมัด โฮะโฮะ" ฉันหัวเราะอยู่ในใจ>.< "พระ...พระชายา..." พ่อบ้านเสียงสั่นและล้มลงอย่างควบคุมไม่อยู่ บรรดาลูกกระจ๊อกของพ่อบ้านก็ขาสั่นล้มล้มคุกเข่ากับพื้น ส่วนชาวบ้านที่ได้ยินอย่างนั้นรีบคุกเข่าและโขกศีรษะ "คาระวะพระชายา" "พวกเจ้าบอกข้ามาว่าเกิดอะไรขึ้น" ฉันเอ่ยเสียงเรียบพร้อมกวาดสายตามองทุกคน "........" "พระชายาถาม พวกเจ้าก็ตอบเถิด" เสี่ยวฮวาพูดเสริมอยู่ด้านหลัง แต่ทุกคนยังคงเงียบ ใบหน้าทุกคนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว "หรือข้า...ต้องเชิญท่านอ๋องเสด็จมาที่นี่พวกเจ้าถึงจะยอมพูด" ฉันพูดด้วยเสียงเรียบๆอีกครั้ง "ทะ...ท่านอ๋องเสด็จ...มาหรือ" พ่อบ้านถามด้วยเสียงสั่นๆ ตาเบิกกว้างด้วยความกลัว "ใช่" "พระชายา" เสี่ยวฮวากระตุกเสื้อปรามฉันอยู่ด้านหลัง ฉันจึงยิ้มอย่างปลอบใจให้เสี่ยวฮวาก่อนจะหันไปพูดกับพวกพ่อบ้านว่า "พ่อบ้าน! เจ้ากินดีหมีหัวใจเสือมาจากไหน แม้กระทั่งเอาชื่อท่านอ๋องมาปล้นเงินชาวบ้านเจ้าก็ยังกล้า!!" "พระชายา หม่อมฉันผิดไปแล้วๆ หม่อมฉันไม่กล้าแล้วๆ" พ่อบ้านน้ำหูน้ำตาไหลพลางโขกศีรษะขอร้อง "พ่อบ้าน...ข้าไล่เจ้าออก...เจ้าเอาเงินที่ปล้นชาวบ้านมาคืนด้วย" "ไม่! ข้าไม่ยอม" พ่อบ้านลุกขึ้นยืนแล้วมองฉันด้วยด้วยตาแข็งกร้าว ไอ้หยา ฉันจะโดนฆ่าไหมเนี่ย(TT) "พวกเจ้าสองคน อาศัยสิ่งใดมาบอกว่าตนเป็นพระชายา หึ พวกเจ้าอยากโดนโทษหลอกลวงเบื้องสูงหรือ" พ่อบ้านหัวเราะเสียงดังแล้วเดินถือดาบมาจ่ออยู่ตรงคอฉัน เอาอีกแล้วเหรอ นี่ฉันทะลุมิติเพื่อมาโดนฟันหรือไง ฮือๆ(TT) "เจ้ากล้าหรือ!!!" ฉันตะคอกเสียงดัง น้ำเสียงเต็มไปด้วยอำนาจ มองหน้าพ่อบ้านอย่างไม่ละสายตา แต่พ่อบ้านก็ยังคงแสยะยิ้มเมื่อเห็นว่าฉันอยู่กับเสี่ยวฮวาเพียงสองคนและยังคงไม่เห็นท่านอ๋องที่ฉันอ้างถึง "แปะๆ แปะๆ" เสียงตบมือดังขึ้น พร้อมกับบุรุษผู้หนึ่งที่เหาะมายืนด้านข้างฉัน "ท่านอ๋อง" เสี่ยวฮวาร้องเรียกเสียงดังแล้วรีบคุกเข่าลงทำความเคารพ ผู้คนที่อยู่ที่นั่นได้แต่มองอย่างตะลึงงัน ก่อนจะมีใครสักคนได้สติแล้วพูดว่า "ถวายบังคมท่านอ๋องพะย่ะค่ะ ทรงพระเจริญ พันปี พันปี พันพันปี" ทุกคนจึงกล่าวตาม เสียงดังกระหึ่มทั่วบริเวณ "ท่านอ๋อง...ฮือๆ" ฉันเรียกเขาแล้วหันไปซุกอยู่ในอกเขา ตอนแรกจะแกล้งบีบน้ำตา แต่น้ำตาดันไหลออกมาจริงๆ "เสแสร้ง" เสียงทุ้มเอ่ยออกมาแล้วผลักฉันออก แต่ใครจะไปยอม ชาวบ้านอยู่ตั้งเยอะ แถมพ่อบ้านหน้าเหม็นนั่นก็มองอยู่ ฉันจะทำให้ตัวเองขายหน้าไม่ได้ ฉันจึงทำตัวหน้าด้านหน้าทนกอดเขาไว้ไม่ยอมปล่อย "ท่านอ๋อง...หม่อมฉันกลัวเพคะ...ฮือๆ" "......." "ท่านอ๋อง...พ่อบ้านผู้นี้อ้างชื่อท่านมารังแกประชาชน เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นพระองค์อยู่ในสายตา ท่านควรจัดการนะเพคะ" "ต้องให้สตรีเช่นเจ้ามาสั่งเปิ่นหวางด้วยหรือ" เขาเอ่ยเสียงดุดัน ฉันเงยหน้าขึ้นมองพร้อมกัดปากอดกลั้นความรู้สึกอยากจะต่อยหน้าเขา "หม่อมฉันมิกล้า" ฉันกอดเขาแน่นขึ้นไปอีกพลางคบเคี้ยวฟันตนเอง หน็อย อีตาบ้านี่=_= "เจ้า...มานี่" เขาเรียกพ่อบ้าน พ่อบ้านจึงคลานเข่าเข้ามาหา "ท่านอ๋อง ไว้ชีวิตข้าน้อยด้วย ข้าน้อยผิดไปแล้ว" "หึ" เขาแค่นเสียงแล้วใช้ดาบฟันคอพ่อบ้าน เลือดพุ่งกระฉูด หัวหลุดกระเด็นไปด้านหลัง "กรี๊ด~" ฉันกับเสี่ยวฮวาและสตรีที่เป็นชาวบ้านกรีดร้องพร้อมกัน "ทะ...ท่าน..." ฉันหน้าซีดเซียว ขาสั่นแทบยืนไม่อยู่ ได้แต่ซุกหน้ากับอกของเขา "พระชายา...เจ้าดูไว้...คนที่คิดร้ายต่อเปิ่นหวางต้องมีจุดจบเช่นนี้" เขาพูดช้าๆแล้วจับใบหน้าของฉันให้หันไปมองพ่อบ้านอีกครั้ง "แงๆ" ฉันส่ายหน้ารัวๆแล้วซุกเข้าอ้อมกอดเขาอีกครั้ง "ฆ่าให้หมด" เขาเอ่ยด้วยเสียงดุดัน ร่างกายแผ่รังสีอำมหิตจนฉันทนไม่ไหวได้แต่สลบฟุบคาอกเขา บุรุษร่างสูงมองสตรีในอ้อมกอดตนเองแล้วพูดว่า "สตรีอ่อนแอเช่นเจ้าน่ะหรือ...ที่ฮ่องเต้ส่งมาสอดแนมอยู่ข้างกายข้า หึ"ฉันงัวเงียตื่นขึ้นมาบนเตียงโบราณ ค่อยๆนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ "อุ๊บส์" ฉันเอามือปิดปากตัวเองเหมือนจะอาเจียนออกมาเพราะรู้สึกว่าเหมือนได้กลิ่นคาวเลือดอยู่ ภาพที่พ่อบ้านโดนตัดหัวยังคงฉายชัดอยู่ในความทรงจำ เขา...เซียวหรง จิตใจเขาช่างโหดร้ายอำมหิตยิ่งนัก"เจ้าฟื้นแล้วหรือ" เสียงดุดันที่แฝงไปด้วยอำนาจเอ่ยถามขึ้น เล่นเอาฉันที่นั่งเหม่ออยู่บนเตียงสะดุ้งตัวโยนพร้อมกรีดร้องด้วยความตกใจในทันที"ว้าย" "เจ้ามีอะไรอยากจะบอกเปิ่นหวางหรือไม่?" เขาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้กลางห้องในคราแรก ค่อยๆเดินเข้ามาหาฉัน ฉันกลืนน้ำลายลงคอแล้วพูดด้วยเสียงสั่นๆว่า "ท่าน...ท่านอย่าเข้ามานะ" "เป็นอะไรไปพระชายา...เจ้ากลัวเปิ่นหวางงั้นหรือ หึหึ" เขายื่นมือมาเชยคางฉันให้สบตากับเขา "ท่าน...ท่านฆ่าคนแล้ว" ฉันชี้มือสั่นเทาไปตรงหน้าเขา "เจ้าตกใจอันใดกัน เจ้าก็เคยฆ่าคนเช่นเดียวกับเปิ่นหวาง" เขาแสยะยิ้ม "มะ...ไม่...ข้าไม่เคย...ข้าไม่เคยฆ่าคน" ฉันส่ายหน้าเป็นพัลวัน ในใจรู้สึกหวาดกลัวเขามากขึ้นไปอีก "น้องสาวเจ้าล่ะ เจ้าเคยฆ่านางมิใช่หรือ?" "ข้าไม่เคยฆ่าใคร" ฉันเถียงเขาด้วยความไม่ยินยอม "แล้วเรื่องที่เจ้าผลักนางตก
ยามซวี (19.00 - 20.59 น.) "โอ๊ย จะทำยังไงดีล่ะเนี่ย" ฉันเดินไปเดินมาอยู่หน้าเตียงนอนจีนโบราณพลางกระสับกระส่ายไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี ตั้งแต่อีตาอ๋องนั่นบอกว่าจะเข้าหอกับฉัน ฉันก็ถูกบ่าวรับใช้จับอาบน้ำ ขัดสีฉวีวรรณ จับแต่งหน้าแต่งตัวแล้วพาฉันเข้ามาในห้องนอนของเขา จะหนีก็ไม่ได้เพราะด้านนอกประตูมีคนเฝ้าอยู่ "โอ๊ย ฉันจะเสียตัวแล้วเหรอเนี่ย เสียตัวให้กับผู้ชายจีนโบราณเสียด้วย" ฉันขยี้ผมตัวเองจนผมยุ่งไม่เป็นทรงพร้อมกับทำหน้าคิดไม่ตก "แต่เขาก็เป็นสามีแกนะหลินหลิน มีอะไรไม่ถูกกันล่ะ" "แต่เขาเป็นสามีของหลินหลินในโลกนี้ ไม่ใช่โลกอนาคตสักหน่อย" "แต่ว่า...ไม่ว่าจะเป็นหลินหลินในโลกไหน ก็คือหลินหลินอยู่ดี" ฉันยืนเถียงกับตัวเองอยู่อย่างนั้น จนได้ยินเสียงคนข้างนอกพูดว่า "คาระวะท่านอ๋องเพคะ" "พระชายาล่ะ" "อยู่ในห้องบรรทมเพคะ" "แอ๊ด~" เสียงประตูเปิดออก ฉันจึงรีบวิ่งขึ้นเตียงแล้วแกล้งหลับ "พระชายา" เขาเดินมาที่เตียงและนั่งลงข้างเตียงจากนั้นจึงสะกิดเรียกฉันแต่ฉันยังคงแกล้งหลับ"นึกว่าเปิ่นหวางไม่รู้หรือว่าเจ้าแกล้งหลับ" "......" "อืม...หรือพระชายาอยากให้เปิ่นหวางลักหลับ...เปิ่นหวางไม่ขัดศรัทธาเจ้
วันต่อมา "ท่านอ๋องเพคะ พวกเราออกไปกันเถิด หม่อมฉันพร้อมแล้ว" ฉันเร่งเขาที่กินข้าวเช้าเสร็จเมื่อครู่ เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า "เจ้ารีบร้อนอันใดกัน" "หม่อมฉันอยากออกไปเดินเล่น" ฉันทำหน้าสลดใส่เขาเพราะเขาขมวดคิ้วใส่ฉัน"งั้นก็ไปกันเถิด" เขารับคำแล้วเดินนำหน้า ฉันจึงยิ้มด้วยความสมใจและเดินตามหลังเขาไป"ว้าว~บรรยากาศที่แสนสดชื่น" ฉันยืนกางแขนพร้อมสูดบรรยากาศที่คิดว่าจะได้รับในแถบชายแดนซึ่งเป็นชนบทแห่งนี้ "สดชื่นอะไรของเจ้า แดดร้อนขนาดนี้" เขาเอ่ยเสียงเข้มอยู่ด้านข้าง "ท่านอ๋องเพคะ ทำไมถึงได้ร้อนเช่นนี้เล่า หม่อมฉันนึกว่าจะมีลมพัดและได้กลิ่นดินของต้นไม้ทำให้รู้สึกสดชื่นเสียอีก เฮ้อ ความฝันกับความจริงมันช่างกันเหลือเกิน" "เกรงว่าเจ้าต้องผิดหวังแล้ว" เขาหันมายิ้มเยาะให้ฉันที่ทำหน้าม่อยลง "เจ้ากลับวังเสียเถิด" เขาโบกมือเหมือนไล่ฉันกับวัง และตัวเขาก็เดินจากไป "ท่านอ๋องจะเสด็จไปไหนเพคะ" "เปิ่นหวางจะไปทำงาน เจ้าอยากไปหรือไม่?" เขาหันมาถามพร้อมกับเลิกคิ้วหนึ่งข้างใส่ฉัน"ไปสิเพคะ ไหนๆก็ออกมาแล้ว" ฉันตอบและรีบเดินไปหาเขา "หืม เจ้าไม่กลัวร้อนหรืออย่างไร?" "กลัวเพคะ แต่ความอยากรู้มีมีมากกว่า"
ณ วังผิงอัน เขาอุ้มฉันวางบนเตียงนอนแล้วเอ่ยขึ้นว่า"เจ้าโกรธเปิ่นหวางหรือ?" "ท่านอ๋อง...หม่อมฉันจะทรงโกรธพระองค์ได้อย่างไร หม่อมฉันมีสิทธิ์อันใดโกรธพระองค์ล่ะเพคะ" ฉันตอบเขาด้วยน้ำเสียงที่ติดจะน้อยใจหน่อยๆ ก่อนจะน้ำตาคลอเบ้าแล้วพูดต่อว่า "ท่านอ๋องเพคะ...พระองค์เคยเชื่อใจหรือเคยเชื่อคำพูดของหม่อมฉันบ้างหรือไม่" "........" "ในสายตาของท่านอ๋อง หม่อมฉันเป็นสตรีเช่นใดกัน" พูดจบฉันก็น้อยใจจนน้ำตามันไหลทะลักออกมา เขาตกใจเล็กน้อย ยืนเก้ๆกังอย่างไม่รู้ว่าจะทำยังไง แล้วจึงดึงฉันเข้าไปกอด "เจ้าจะร้องไห้ทำไมกัน" "ฮือๆ" "เอาล่ะๆ เลิกร้องได้แล้ว เรื่องนี้พวกเราก็ไม่ต้องพูดกันอีกดีหรือไม่" "เพคะ" ฉันตอบด้วยเสียงสั่นเครือ "แล้วเจ้าจะทำเยี่ยงไรกับนาง" เขาถามถึงเรื่องของหลินโหรว "แล้วแต่พระองค์เพคะ" "เปิ่นหวางจับนางมาหั่นเนื้อแล้วโยนให้สุนัขกินดีหรือไม่" เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา แววตาเย็นยะเยือกราวกับจะแช่แข็งคนให้ตาย ฉันมองหน้าเขาแล้วอดตัวสั่นขึ้นมาไม่ได้ "น่ากลัวเกินไป" ฉันกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ "กล้าลอบฆ่าคนของเปิ่นหวาง ก็ต้องรู้อยู่แล้วว่ามีจุดจบเช่นไร" เขาเอ่ยด้วยเสียงดุดัน "อย่าถึงกับ
สามวันต่อมา ฉันกับท่านอ๋องและขุนนางคนอื่นๆตามฮ่องเต้เสด็จไปเยี่ยมราษฎร ฝ่าบาททรงถามถึงความเป็นอยู่ อาหารการกินต่างๆ ซึ่งหลังจากที่ฉันฟังแล้วก็รับรู้ได้ว่าฝ่าบาททรงห่วงใยราษฎรอย่างแท้จริง และเป็นผู้ที่มีพระปรีชาสามารถคนหนึ่ง หลังจากกลับวังผิงอันหลังจากเสด็จไปเยี่ยมราษฎรแล้ว ฝ่าบาทกับท่านอ๋องก็คุยเรื่องราชการกันต่อในห้องหนังสือ ฉันจึงเข้าครัวเพื่อทำผลไม้ลอยแก้วให้ฝ่าบาทกับท่านอ๋อง เนื่องจากสภาพอากาศวันนี้ร้อนมากจึงต้องหาของคลายร้อนสักหน่อย ครึ่งชั่วยามต่อมา ฉันเดินออกจากครัวโดยมีเสี่ยวฮวาและจูจูที่อาการเริ่มขึ้นแล้ว ถือถาดที่มีถ้วยผลไม้ลอยแก้วเดินตามฉันอยู่ด้านหลัง "พี่สาว...ท่านจะไปไหนหรือเพคะ" หลินโหรวยิ้มหวานเดินเข้ามาทักฉัน"พี่สาว?" ฉันมองหน้าหลินโหรวพร้อมกับพูดทวนคำ จากนั้นจึงแสยะยิ้มแล้วพูดต่อว่า "เจ้ามีฐานะใด...เปิ่นกงมีฐานะใด คำเรียกขานเช่นนี้เหมาะสมหรือไม่ เจ้ามิรู้หรือ? เอ๋...หรือว่าคุณหนูรองไม่เคยเรียนเรื่องมารยาท"' "พี่...พระชายา...หม่อมฉันขอประทานอภัยเพคะ...หม่อมฉันใจร้อนไปหน่อย" หลินโหรวย่อกายคำนับแล้วตีหน้าเศร้า ที่ดวงตามีน้ำตาคลอเบาเล็กน้อย ราวกับถูกรังแก ฉันเดินเ
วันต่อมา ยามเฉิน(07.00-08.59 น.) หลินโหรวเตรียมตัวกลับจวน โดยมีคนของฝ่าบาทตามอารักขา ส่วนฝ่าบาทและท่านอ๋องทรงงานอยู่ที่หมู่บ้านอื่นๆในแถบชายแดน "ออกไปเดินเล่นกันเถอะ" ฉันหันไปบอกเสี่ยวฮวาและจูจู จากนั้นพวกเราทั้งสามจึงเดินออกจากวังผิงอัน ฉันเดินเล่นเล่นไปเรื่อยๆจนมาถึงริมแม่น้ำที่ฝั่งตรงข้ามเป็นแคว้นซีฮัน ฉันยืนเหม่อมองสายน้ำที่ไหลตามทางช้าๆ จากนั้นจึงสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วป้องปากตะโกนว่า"ไอ้โบตั๋น ไอ้องุ่น พวกแกอยู่ที่ไหนเนี่ย~" "......" ทุกอย่างเงียบสนิท ฉันทำหน้าเศร้าแล้วเหม่ออีกครั้ง "องุ่น โบตั๋น ถ้าอยู่ก็ช่วยตอบหน่อยเถอะ~" ฉันป้องปากและลองตะโกนเสียงดังอีกครั้ง แต่ครานี้ฉันได้ยินเสียงคนตะโกนตอบกลับมา "นั่นเสียงหลินหลินนี่ นั่นแกใช่ไหม?" "ฉันเอง เสียงแบบนี้แกคือไอ้องุ่นใช่ไหม~" ฉันถามกลับด้วยเสียงตื่นเต้นดีใจ "ใช่....ฉันอยู่นี่" องุ่นตะโกนพร้อมกับโบกไม้โบกมืออยู่ที่ฝั่งตรงข้าม "กรี๊ด~ คิดถึงอ่ะ ฮือๆ" ฉันกรีดร้องด้วยความดีใจก่อนจะร้องไห้เสียงดัง ฉันมองดูองุ่นในชุดจีนโบราณสีเขียวอ่อนด้วยความคิดถึง "กรี๊ด~ฉันก็คิดถึงแกกับไอ้โบตั๋นเหมือนกัน ฮือๆ" องุ่นกรีดร้องด้วยความดีใจ
"ฮูหยินเจ้าคะ! ฮูหยินเจ้าคะ!" เสียงของสาวรับใช้สะกิดเรียกผู้เป็นนายของตนอย่างใจร้อน "อื้อ~" สตรีที่อยู่ในห้วงนิทราพลันขมวดคิ้วแล้วปัดมือของบ่าวรับใช้อย่างรำคาญ"ฮูหยินเจ้าคะ! ตื่นเถิดเจ้าค่ะ!" เสียงของสาวรับใช้พูดอย่างร้อนใจอีกครั้ง จากที่สะกิดก็กลายเป็นเขย่าแขนแทน "โอ๊ย คนกำลังหลับสบาย จะปลุกทำไมเนี่ย ฉันงัวเงียตื่นขึ้นมาแล้วพูดอย่างหงุดหงิด ก่อนจะมองหน้าคนที่เรียกแล้วถามว่า "เธอเป็นใครเนี่ย" "ท่านพูดอะไรเจ้าคะ ข้าเหลียนฮวาบ่าวรับใช้ของฮูหยินไงเจ้าคะ" เหลียนฮวาผู้มีใบหน้ากลม รูปร่างอวบอัด มองเจ้านายของตนอย่างไม่เข้าใจ "บ่าวรับใช้?" ฉันทวนคำพร้อมกับทำหน้างง จากนั้นจึงมองสำรวจรอบบริเวณก่อนจะนิ่งไปสักครู่แล้วหัวเราะออกมา "ฮ่าๆ ฮ่าๆ ดีๆชอบๆ ไอ้สองคนนั้นครีเอทนะเนี่ย ให้ฉันเล่นเป็นตัวละครในยุคโบราณซะด้วย" "ฮูหยินท่านหัวเราะอะไรหรือเจ้าคะ" เหลียนฮวามองหน้าฉันอย่างประหลาดใจ "ห๊ะ....ไม่มีอะไรหรอก" ฉันตบบ่าเหลียนฮวาแล้วยิ้มกว้าง พลางนึกในใจว่า'เล่นตามน้ำไปก่อนแล้วกัน แค่คิดถึงหน้าตาหลินหลินกับโบตั๋นตอนที่รู้ว่าแกล้งฉันไม่สำเร็จ ฉันก็แทบจะรอไม่ไหวแล้ว คิกๆ' "ว่าแต่เธอ...เอ้ย...เจ้ามาปลุ
"กุบกับ กุบกับ" เสียงม้าวิ่งลัดเลาะไปตามเนินเขาเขียวขจี ภายในรถม้ามีสตรีร่างเล็กนางหนึ่งกำลังอยู่ในห้วงนิทรา โดยมีสตรีร่างอวบอัดนั่งเฝ้าอยู่ด้านข้าง "อื้อ~" ฉันส่งเสียงเบาๆ เมื่อรู้สึกถึงความสั่นสะเทือนราวกับกำลังเล่นรถไฟเหาะ "ฮูหยิน...ท่านตื่นแล้ว" เสียงของเหลียนฮวาทักขึ้น "หืม?" ฉันที่เพิ่งตื่นสติสัมปชัญญะยังไม่สมบูรณ์ จึงสะบัดหัวแรงๆแล้วขยี้ตา ก่อนหน้านี้มันเกิดอะไรขึ้นนะ ฉันครุ่นคิดอยู่สักครู่ก็เบิกตาโตเท่าไข่ห่านและกรีดร้องออกมาเสียงดัง "กรี๊ด~" "ว้าย...ฮูหยินท่านเป็นอะไรเจ้าคะ" เหลียนฮวาสะดุ้งสุดตัวก่อนจะตั้งสติแล้วเข้ามาเขย่าตัวฉัน "ฉัน...ฉันตายหรือยัง" ฉันพูดกับตัวเองแล้วใช้มือลูบร่างกายตนเองแล้วพูดต่อว่า "เฮ้อ ค่อยยังชั่ว ฉันยังไม่ตาย" "ฮูหยินเจ้าคะ ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ" "นี่เราจะไปไหนกันเหรอ จะกลับบ้านใช่ไหม" ฉันถามเหลียนฮวา พร้อมกับยื่นมือไปเปิดผ้าม่านที่หน้าต่างรถม้าก็เห็นว่าสองข้างทางมีแต่ป่า ด้านหน้าเป็นเหมือนขบวนอะไรสักอย่าง ส่วนรถม้าคันนี้อยู่ด้านหลังสุด "พวกเราจะไปชายแดนเจ้าค่ะ" เหลียนฮวายิ้มอย่างดีใจ "ไปชายแดนอะไรอีก ยังสวมบทบาทอยู่อีกเหรอ พอได้แล้วนะ ตอนนี้
ครึ่งปีต่อมา ราษฎรต่างพากันเดินทางมายังชายแดนของแต่ละแคว้น เนื่องจากในวันนี้จะมีการลงนามสัญญาสงบศึกของทั้งสามแคว้น ซึ่งเริ่มจากแคว้นหลงที่ฮ่องเต้เฟยหรงส่งพระราชสาส์นมายังฮ่องเต้ของแคว้นเว่ยต้าและแคว้นซีฮัน โดยเนื้อหาสำคัญก็คือการที่ราษฎรของทั้งสามแคว้นอยู่เป็นสุข ไม่ต้องรับความเดือดร้อนใดๆจากสงครามระหว่างแคว้นอีกต่อไปแล้ว "ไฮ~" โบตั๋นโบกไม้โบกมือให้ราษฎรที่มารอชมฉากสำคัญของประวัติศาสตร์ระหว่างสามแคว้น โดยตอนนี้ฮ่องเต้เฟยหรงและโบตั๋นยืนอยู่ตรงรอยต่อระหว่างแคว้น แค่ก้าวมาอีกก้าวเดียวก็จะเป็นแคว้นเว่ยต้ากับแคว้นซีฮันแล้ว"โบกมือเป็นนางงามเลยนะแก คิกๆ" หลินหลินที่ยืนอยู่กับท่านอ๋องเซียวหรงอยู่ที่ด้านหลังฮ่องเต้พูดแล้วหัวเราะเบาๆกับท่าทางของเพื่อน"คิกๆ" องุ่นที่ยืนอยู่กับแม่ทัพจางเหว่ย และยืนอยู่ด้านหลังฮ่องเต้แคว้นซีฮันหัวเราะเพื่อนทั้งสองเบาๆ "เริ่มพิธี" เสียงขันทีแคว้นหลงประกาศ ฮ่องเต้เฟยหรงจึงก้าวข้ามเขตแดนของตนมายืนอยู่ในเขตแดนของทั้งสองแคว้น ฮ่องเต้ทั้งสองเห็นอย่างนั้นจึงก้าวข้ามเขตแดนของตนด้วย ทั้งสามแคว้นหยุดอยู่ตรงกลางซึ่งเป็นทางเชื่อมระหว่างแคว้นทั้งสาม ก่อนจะทำการจุดธู
หลังจากกลับวัง พวกเราก็รีบเข้าห้องมาอาบน้ำ ฉันอาบก่อนแล้วให้เขาอาบทีหลัง โดยฉันไปค้นกระเป๋าแล้วหยิบดิลโด้ที่พกมาด้วยมาเตรียมไว้ จากนั้นจึงแต่งหน้าด้วยความรวดเร็ว ปล่อยผมยาวสยาย แล้วเอาถุงน่องตาข่ายสีดำมาสวมครึ่งขา ก่อนจะมานอนอยู่บนเตียงเพื่อรอเขา "ฝ่าบาทเพคะ~" ฉันร้องเรียกเขาแล้วนอนโพสท่าราวกับนางแบบในนิตยสาร18+ โดยนอนตะแคงข้างพร้อมโชว์ก้นขาวจั๊วแล้วทำสีหน้ายั่วยวน เขาเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับกลืนน้ำลายลงหนึ่งอีก แล้วพูดว่า "เจ้ายั่วยวนเราเก่งนัก" เขาพูดจบก็ใช้มือบีบก้นฉันเบาๆ "ฝ่าบาทเคยเห็นสิ่งนี้ไหมเพคะ" ฉันหยิบดิลโด้ขึ้นมาพร้อมเปิดสั่น"อย่าเพิ่งสิเพคะ...ฝ่าบาทดูนี่เสียก่อน" "มันคืออะไร" เขาถามดวยความสงสัย "ฝ่าบาทว่า...สิ่งนี้มันดูเหมือนอะไรหรือเพคะ" ฉันถามยิ้มๆ "Banana ของเรา" "คิกๆ ใช่เพคะ" ฉันหัวเราะ ก่อนหันหน้ามาแยกขาออกกว้างแล้วใช้ดิลโด้ถูไถกลีบกุกลาบ "อ๊ะ...อ๊ะ...อ๊ะ" ฉันครางพร้อมทำหน้ายั่วยวน ก่อนจับนิ้วมือเขามาดูดเลีย "เจ้า" เขาพูดได้แค่นั้นก็ยิ้มมุมปากมองฉันอย่างชอบใจ แล้วจับใบหน้าฉันให้หันมาจูบเขา เข้าใช้ลิ้นสอดเข้ามาดูดรักพันเกี่ยวอย่างเร่าร้อน "จ๊วบๆ จ๊วบ" จากนั้
สองวันต่อมา วันนี้เป็นวันที่เดินทางไปชายแดน โดยการเดินทางครั้งนี้ไปแบบลับๆ มีผู้ติดตามเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ในระหว่างทางฝ่าบาทก็จะคอยสอบถามความเป็นอยู่ของชาวบ้านว่าเป็นอย่างไรบ้าง โดยไม่ได้บอกว่าตนเป็นผู้ใด เพียงบอกว่ามาจากพระราชวังเท่านั้น "เราอยากให้สถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสามแคว้นสิ้นสุดลงสักที" เขาเอ่ยด้วยเสียงกลัดกลุ้ม เนื่องจากตลอดทางที่มาแม้จะพูดถึงเรื่องภัยธรรมชาติ แต่ส่วนใหญ่แล้วพูดถึงสถานการณ์ของสามแคว้น "แล้วฝ่าบาทคิดจะทำเช่นใดเพคะ" "ถ้าเป็นไปได้เราก็อยากจะสงบศึก...จะมีอะไรสำคัญไปกว่าราษฎรของเราอีกล่ะ" "ฝ่าบาทก็ทำให้เป็นจริงสิเพคะ ไม่แน่ว่าแคว้นอื่นๆก็อาจจะเช่นเดียวกับฝ่าบาท" ฉันยื่นมือไปกุมมือเขา "หากเป็นเช่นนั้นจริงๆก็ดียิ่ง เราจะเป็นผู้เริ่มส่งหนังสือสัญญาสงบศึกก่อน" "ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่ง" ฉันยิ้มกว้างและเกาะแขนเขาอย่างออดอ้อน หกวันต่อมา เดินทางมาหลายวันในที่สุดพวกเราก็มาถึงชายแดน วังของฝ่าบาทที่ชายแดนก็ยังคงงดงามวิจิตดังเช่นพระราชในเมืองหลวงเพียงแต่เล็กกว่าเท่านั้น ยังมีความสะดวกสบายอยู่เช่นเดิม สิ่งแรกที่ฉันทำคืออาบน้ำเพราะในระหว่างเดินทางได้อาบน้ำไม่กี่ครั
วันต่อมา ยามอู่ (11.00 - 12.59 น.) ฉันงัวเงียตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกอ่อนเพลีย ถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่ก็แฝงไปด้วยความฟิน บอกตรงๆว่าคิดไม่ผิดที่เลือกเขา>..จากนั้นฉันก็อาบน้ำ แต่งตัว และกินข้าว ก่อนจะเดินออกจากตำหนักของฝ่าบาทและไปตำหนักฮองเฮา ในระหว่างทางที่เดินก็ได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังตะโกนโห่ร้อง"นั่นเสียงอะไรน่ะ" ฉันถามหมิงจู "น่าจะเป็นเสียงฝึกยิงธนูของราชองครักษ์เพคะ หม่อมฉันได้ยินว่าฝ่าบาททรงเสด็จไปทอดพระเนตรด้วยเพคะ" "ยิงธนูเหรอ...น่าสนุกแฮะ" ฉันยิ้มกว้าง จากนั้นจึงเดินไปตามเสียง ก็มาถึงลานกว้าง ที่รอบด้านทำเป็นที่นั่งล้อมรอบเหมือนอัฒจันทร์ มีเป้าธนูขนาดกลางวางเร
ฉันกับองค์หญิงเฟยเจินนั่งรอฝ่าบาทอยู่ในตำหนัก เราต่างก็รู้สึกกังวล กลัวว่าฝ่าบาทจะได้รับบาดเจ็บ เพราะด้านนอกคงมีเสียงของการต่อสู้อยู่"ทำไมเสด็จพี่เฟยฉีต้องคิดก่อกบฏด้วย...ฮือๆ...เสด็จพี่เฟยหรงทรงดีต่อท่านมากแท้ๆ" องค์หญิงเฟยเจินร้องไห้ "เฮ้อ" ฉันถอนหายใจ ไม่รู้ว่าจะปลอบใจอย่างไร จึงได้แต่กอดปลอบองค์หญิงเฟยเจินพร้อมกับลูบหลังเบาๆ "ฮือๆ...ฮือๆ..." สองชั่วยามต่อมา ฝ่าบาทเดินเข้ามาในตำหนักด้วยชุดที่เปื้อนเลือด "เสด็จพี่" องค์หญิงเฟยเจินวิ่งเข้าไปกอดฝ่าบาทพร้อมกับร้องไห้โฮ "เจ้าอย่าร้องไห้เลย พี่ชายอย่างข้าเจ็บปวดหัวใจนัก...องค์หญิงของข้าเหมาะกับรอยยิ้มนะรู้หรือไม่" ฝ่าบาทลูบหัวองค์หญิงเฟยเจินอย่างแผ่วเบา ก่อนจะบอกข้ารับใช้ให้พาตัวองค์หญิงกลับตำหนัก หลังจากที่องค์หญิงเฟยเจินเดินออกไปแล้ว ฉันก็มองสำรวจเขาว่าได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่ "ฝ่าบาท..." ฉันเรียกเขาแล้วกอดเขาไว้ ก่อนจะร้องไห้เสียงดัง"หม่อมฉันกลัวว่าพระองค์จะ...ฮือๆ" "เจ้าห่วงใยเราขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน หืม?"เขาถามเสียงเรียบแต่มีแววหยอกล้อในน้ำเสียง "ฮือๆ..." ฉันทุบอกอกเขาแล้วมองเขาด้วยความโกรธแล้วพูดต่อว่า "เมื่อครู่หม
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ฉันเดินมาหยุดอยู่ที่สระบัวด้านหลังวัง และกำลังยืนรอใครบางคนอยู่ "เจ้ามาแล้ว" เสียงทุ้มเอ่ยด้วยความดีใจ เขาก็คือองค์ชายเฟยฉีนั่นเอง "ข้าจะลงมือคืนนี้" ฉันยิ้มร้ายๆและมองสบตากับองค์ชายเฟยฉี "ดีมาก...ถ้าหากสำเร็จ...เจ้าก็จะเป็นฮองเฮาของข้า" เขาแสยะยิ้ม ใบหน้าที่ดูอ่อนโยนกลับบิดเบี้ยว รอยยิ้มของเขามันดูโรคจิตราวกับฆาตรในภาพยนตร์ที่เคยดู เล่นซะฉันขนลุกเกรียว "อย่าลืมที่สัญญาล่ะ" ฉันยิ้มกว้าง ก่อนจะมองซ้ายขวาแล้วรีบเดินจากมา วันนี้เป็นงานวันเกิดขององค์ชายเฟยฉี จึงมีการจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองภายในวัง ฉันเห็นพวกนางกำนัลวิ่งวุ่นกันแต่เช้า มองดูแล้วก็รู้สึกเหนื่อยตาม ฉันเดินตามทางไปเรื่อยๆจนมาถึงห้องทรงงานของฝ่าบาทก็พบว่าฝ่าบาทไม่อยู่ "ฝ่าบาทอยู่ที่ใดหรือ" ฉันถามคนที่เฝ้าอยู่ด้านนอก"เสด็จไปที่สวนพะย่ะค่ะ" เมื่อได้ยินอย่างนั้นฉันจึงออกจากห้องทรงงานแล้วเดินไปที่สวน เห็นฝ่าบาทกำลังนั่งจิบชาในศาลาเก๋งจีนพลางชมดอกไม้ และมีบรรดาพระสนมนั่งและข้ารับใช้นั่งอยู่บนพื้นหญ้าด้านข้าง "ฝ่าบาทเพคะ ชาที่หม่อมฉันชงรสชาติดีหรือไม่เพคะ" เสียงออดอ้อนที่ฉันจำได้ว่าเป็นเสียงของพระสนมฉางดังขึ้
วันต่อมา องค์หญิงเฟยเจินรีบมาหาฉันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง และยังเตรียมของมาให้ฉันพอกหน้าให้อีกด้วย ฉันจึงสอนนางกำนัลขององค์หญิงและทำให้ดูเป็นตัวอย่าง "ต่อไปนี้ก็ทำเองได้แล้ว" "ขอบพระทัยเพคะ" องค์หญิงเฟยเจินย่อกายคาระวะ จากนั้นก็พูดว่า "จริงสิเพคะ วันนี้เสด็จพี่เฟยฉีจะกลับมาจากชายแดนเพคะ" "เฟยฉี?" ฉันทำท่านึกก่อนจะนึกออกว่าเขาคือคนที่แอบลอบพบกับฉันก่อนที่ฉันจะทะลุมิติมาที่นี่"พี่สะใภ้...หม่อมฉันทูลด้วยความหวังดี อันที่จริงฝ่าบาท...เสด็จพี่เฟยหรงทรงอบอุ่น ใจดีมากนะเพคะ เพียงแต่แสดงออกไม่เป็นเท่าใดนัก" องค์หญิงเฟยเจินกระซิบที่ข้างหูของฉัน ฉันจึงมองหน้าองค์หญิงเฟยเจินก็พลันเข้าใจในสิ่งที่นางต้องการจะสื่อ "เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก ข้าไม่ไม่มีวันผิดพลาดซ้ำสองแน่" ฉันยิ้มบางๆให้องค์หญิงเฟยเจิน "เฮ้อ~ หม่อมฉันค่อยโล่งใจหน่อย หากหม่อมฉันสมรสจะได้ไม่ต้องห่วงเสด็จพี่เฟยหรง" องค์หญิงเฟยเจินถอนหายใจอย่างโล่งอก "เจ้าจะสมรสกับผู้ใดหรือ?" "พี่สะใภ้ท่านไม่รู้หรือ...เสด็จพี่จะให้หม่อมฉันสมรสเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างแคว้น แต่หม่อมฉันยังคงคิดอยู่ว่าจะเลือกสมรสกับผู้ใดระหว่างฮ่องเต้แคว้นซีฮัน ท่านอ๋อง
วันต่อมา ยามซื่อ (09.00 - 10.59 น.) ฉันตื่นนอนและลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจ อันที่จริงโดนกักบริเวณก็ไม่แย่สักเท่าไหร่ จะตื่นหรือจะกินข้าวตอนไหนก็ได้ แถมไม่มีผู้ใดมายุ่งอีก อันที่จริงในตำหนักนี้ยังมีนางกำนัลคนอื่นๆอีกแต่ฉันไม่อยากให้ใครมาวุ่นวาย มากคนก็มากความ "พระองค์จะอาบน้ำเลยหรือไม่เพคะ" หมิงจูที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูได้ยินเสียงสวบสาบภายในห้องจึงรีบเข้ามาปรนนิบัติ "อาบเลย" ฉันพูดแล้วลุกจากเตียงโดยมีหมิงจูช่วยพยุง "ข้าอาบคนเดียว เจ้าออกไปเถอะ" "เพคะ" หมิงจูรับคำแล้วย่อทำความเคารพ ก่อนจะเดินออกไป "ลา~ลา~" ฉันฮัมเพลงพร้อมกับถูสบู่ที่เอามาจากยุคปัจจุบันก็กระเป๋าที่ฉันให้หลินหลินกับองุ่นนั่นแหละ ดีนะที่ฉันฉลาดเตรียมไว้ อันที่จริงไม่ได้เตรียมไว้เพื่อทะลุมิติหรอกนะ ฉันเตรียมไว้เผื่อฉุกเฉิน ในนั้นมีไฟฉาย เซ็ตยา ผงป้องกันแมลง ผงป้องกันงู สารพัดอย่าง และที่สำคัญคือดิลโด้ ฉันใส่ในกระเป๋าเอาฮาเฉยๆ ไม่รู้ว่าพวกมันจะเอาไปทำอะไรกันบ้าง "จริงสิ...ฉันต้องสืบว่าท่านอ๋องกับท่านแม่ทัพที่หลินหลินกับองุ่นเลือกอยู่ที่ไหน ฉันจะได้ไปหาพวกมันไง อิอิ" ฉันยิ้มกว้างอย่างมีความสุข เมื่อคิดว่าจะได้เจอเพื่อนๆ เด
สามวันต่อมา ฉันนั่งเท้าคางด้วยความเบื่ออยู่ในสวนภายในตำหนักฮองเฮา "เฮ้อ~" ฉันถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย "ทรงเป็นอันใดเพคะ" หมิงจูนางกำนัลที่คอยรับใช้ฉันถามด้วยความเป็นห่วง "เบื่อ" ฉันตอบพร้อมกับฟุบหน้าลงบนโต๊ะ หลังจากที่มีคำสั่งจากฮ่องเต้ให้กักบริเวณฉัน ฉันก็ได้สอบถามกับหมิงจูว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง ฉันถึงได้โดนขังอยู่ในตำหนัก เค้นอยู่ตั้งนานกว่าหมิงจูจะยอมบอกหมิงจูบอกว่าเพราะฉันลอบพบบุรุษ และบุรุษผู้นั้นไม่ใช่คนอื่นไกล เพราะเขาคือน้องชายร่วมสายเลือดเดียวกับฮ่องเต้เฟยหรงมีนามว่าเฟยฉี พอฉันได้ฟังเรื่องราวแล้วก็อยากจะตายไปให้รู้แล้วรู้รอด พี่สะใภ้พบกับน้องชายของสามีลอบพบกัน แค่ได้ฟังก็ได้รู้ว่าฮ่องเต้ผู้นั้นโดยสวมหมวกเขียวเข้าแล้ว ฉันที่เพิ่งทะลุมิติมาก็ต้องชดใช้กับสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำ...โคตรซวยเลย(TT) และหมิงจูก็เล่าอีกว่าฮ่องเต้องค์นี้อยากจะปลดสตรีหลังวังให้เหลือเพียงตำแหน่งฮองเฮาเท่านั้น แต่โดนพวกขุนนางคัดค้าน และเขาเห็นพฤติกรรมของฉัน เขาจึงพักเรื่องนี้เอาไว้ก่อน จากการไตร่ตรองจากสมองอันชาญฉลาดของฉันแล้ว ฉันคิดว่าฮ่องเต้ต้องมีใจให้ฉันชัวร์ๆ โดนสวมหมวกเขียวขนาดนี้ยังทำแค่กั