"กุบกับ กุบกับ" เสียงม้าวิ่งลัดเลาะไปตามเนินเขาเขียวขจี ภายในรถม้ามีสตรีร่างเล็กนางหนึ่งกำลังอยู่ในห้วงนิทรา โดยมีสตรีร่างอวบอัดนั่งเฝ้าอยู่ด้านข้าง "อื้อ~" ฉันส่งเสียงเบาๆ เมื่อรู้สึกถึงความสั่นสะเทือนราวกับกำลังเล่นรถไฟเหาะ "ฮูหยิน...ท่านตื่นแล้ว" เสียงของเหลียนฮวาทักขึ้น "หืม?" ฉันที่เพิ่งตื่นสติสัมปชัญญะยังไม่สมบูรณ์ จึงสะบัดหัวแรงๆแล้วขยี้ตา ก่อนหน้านี้มันเกิดอะไรขึ้นนะ ฉันครุ่นคิดอยู่สักครู่ก็เบิกตาโตเท่าไข่ห่านและกรีดร้องออกมาเสียงดัง "กรี๊ด~" "ว้าย...ฮูหยินท่านเป็นอะไรเจ้าคะ" เหลียนฮวาสะดุ้งสุดตัวก่อนจะตั้งสติแล้วเข้ามาเขย่าตัวฉัน "ฉัน...ฉันตายหรือยัง" ฉันพูดกับตัวเองแล้วใช้มือลูบร่างกายตนเองแล้วพูดต่อว่า "เฮ้อ ค่อยยังชั่ว ฉันยังไม่ตาย" "ฮูหยินเจ้าคะ ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ" "นี่เราจะไปไหนกันเหรอ จะกลับบ้านใช่ไหม" ฉันถามเหลียนฮวา พร้อมกับยื่นมือไปเปิดผ้าม่านที่หน้าต่างรถม้าก็เห็นว่าสองข้างทางมีแต่ป่า ด้านหน้าเป็นเหมือนขบวนอะไรสักอย่าง ส่วนรถม้าคันนี้อยู่ด้านหลังสุด "พวกเราจะไปชายแดนเจ้าค่ะ" เหลียนฮวายิ้มอย่างดีใจ "ไปชายแดนอะไรอีก ยังสวมบทบาทอยู่อีกเหรอ พอได้แล้วนะ ตอนนี้
สามวันต่อมา ฉันยังคงอยู่ในขบวนรถม้าที่จะไปยังชายแดน ในระหว่างนั้นแม่ทัพผู้นั้นยังคงแสดงท่าทีที่ไม่เป็นมิตรกับฉัน แม้จะไม่ได้คุยกันแต่ฉันรู้สึกถึงสายตาของเขาที่จ้องมองฉันอย่างจับผิดราวกับจะมองทะลุให้เห็นความจริงยังไงอย่างงั้น ส่วนเหลียนฮวาที่โดนโบยก็ได้ยาจากกระเป๋าของโบตั๋นช่วยไว้ แม้จะปวดแต่ก็ไม่ได้มีการอักเสบใดๆ และที่เขาทำโทษเหลียนฮวาเป็นเพราะว่าเหลียนฮวาไม่ดูแลฉันให้ดี ปล่อยให้ฉันทำอะไรตามอำเภอใจ ดังนั้นฉันจึงจำใจต้องมานั่งแกร่วอยู่ในรถม้าของเขา แต่ดีตรงที่ว่าเขาไม่ได้เข้ามานั่งกับฉัน แค่ขี่ม้านำหน้าเท่านั้น "คืนนี้พักที่นี่" เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบสั่งการลูกน้องแล้วลงจากม้า จากนั้นจึงให้คนนำม้าไปดื่มน้ำ กินหญ้า และไปช่วยลูกน้องกางกระโจมโดยที่ไม่สนใจพวกเราสองคนแม้แต่น้อย "พวกเรานอนในรถม้าเนี่ยแหละ" ฉันเบะปากใส่เขาแล้วหันมาพูดกับเหลียนฮวา "เจ้าค่ะ" "เฮ้อ~" ฉันถอนหายใจเบาๆ "ฮูหยินเป็นอะไรไปเจ้าคะ" เหลียนฮวาถามด้วยความห่วงใย "ไม่มีอะไรหรอก เพียงแต่คิดว่าไม่ค่อยสะดวก ทั้งการเดินทาง ทั้งอาหารการกิน" ฉันทำหน้าเซ็งๆ นี่ถ้ารู้ว่าจะทะลุมิติมาแบบนี้ฉันขอเลือกผู้ชายคนอื่นดีกว่า นอน
"ช่วยด้วย ช่วยด้วย" เสียงทหารดังแว่วมาให้ได้ยิน ฉันกับเหลียนฮวาหันมามองหน้ากันแล้วรีบจูงมือกันวิ่งไปตามเสียง ก็เห็นทหารใช้มือกุมคอ หน้าเขียว อ้าปากพะงาบพูดไม่ออก"เขาเป็นอะไร?...สำลักสิ่งแปลกปลอมหรือ...นี่เป็นอาการอุดกั้นทางเดินหายใจแบบรุนแรง (Complete obstruction)ไม่ได้การแล้ว" ฉันถามทหารแถวนั้นแล้ววินิจฉัยอาการ"ใช่ครับ เม็ดลำไยติดคอขอรับ" "โอเค" ฉันทำสีหน้าจริงจัง ก่อนจะรีบไปยืนข้างหลังทหารผู้นั้น และใช้แขนสองข้างโอบรอบเอว โดยกำหมัดข้างหนึ่งวางบริเวณเหนือสะดือใต้ลิ้นปี่ จากนั้นก็ออกแรงกระทุ้งดันขึ้นด้านบน"ฮูหยิน ท่านจะทำอะไรขอรับ ท่านกำลังจะฆ่าคน ท่านรักษาเป็นหรือขอรับ" มีเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมกับเข้ามาผลักฉันกระเด็นล้มไปที่พื้น ฉันรีบลุกขึ้นมาแล้วกระโดดถีบกลับด้วยความร้อนใจก่อนจะมาช่วยทหารผู้นั้นต่อ"หุบปากแล้วอยู่เฉยๆ ถ้าเขาตายก็เป็นเพราะเจ้า ที่ขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่" พูดจบฉันก็หันไปปฐมพยาบาลแบบเดิม "หึ ท่านไม่ใช่หมอเสียหน่อย" ทหารผู้นั้นยังคงโวยวาย และมีทหารคนอื่นพูดสนับสนุน"ใครบอกว่าข้าไม่ใช่หมอ...แล้วถ้ายังไม่หุบปาก ข้าจะให้ท่านแม่ทัพฆ่าเจ้าซะ!" ฉันพูดด้วยความโมโห
วันต่อมา ยามซื่อ (09.00 - 10.59) หลังจากที่ฉันอาบน้ำ กินข้าวเสร็จ ก็พาเหลียนฮวาเดินสำรวจภายในจวน ซึ่งจวนเขาก็ดูเหมือนบ้านจีนโบราณทั่วไปไม่มีอะไรน่าสนใจ ฉันจึงชวนเหลียนฮวาไปเดินเล่นนอกจวน ไม่ไกลจากจวนเป็นหมู่บ้านชายแดน ซึ่งก็ดูจะคึกคักไม่ต่างจากเมืองหลวงสักเท่าไหร่ "คำนับฮูหยินเจ้าค่ะ" บรรดาชาวบ้านทักทายฉัน ฉันจึงยิ้มกว้างพร้อมกับยกมือคำนับแล้วพูดว่า "สวัสดีๆ" จากนั้นจึงพูดคุยเรื่องทั่วไปเล็กน้อย แล้วขอตัวออกจากวงสนทนา หลังจากหลอกถามชาวบ้านในที่สุดฉันก็รู้แล้วว่ากองทัพอยู่ที่ไหน อิอิ "ฮูหยิน ท่านจะอยากไปกองทัพทำไมเจ้าคะ" เหลียนฮวากระซิบถาม "ข้าจะไปทัวร์กองทัพจีนน่ะสิ" "อะไรนะเจ้าคะ" เหลียนฮวาทำหน้าตาเหลอหลา "นั่นแหละๆ เจ้าไม่ต้องรู้หรอก แค่ตามข้ามาก็พอ" ฉันยิ้มมุมปากแล้วเดินลัดเลาะไปตามทางที่จะไปกองทัพ แต่ก็หลงมาอยู่ตรงแม่น้ำข้างๆกองทัพเสียได้ "ที่นั่นคือที่ไหนเหรอ" ฉันหันไปถามเหลียนฮวา "ข้าก็ไม่รู้เจ้าค่ะ แต่ฝั่งนั้นไม่ใช่แคว้นเราแล้ว เป็นแคว้นเว่ยต้าหรือไม่ก็แคว้นหลงเจ้าค่ะ" "งั้นเราไปเดินเล่นฝั่งนั้นได้ไหม" ฉันทำหน้าตาตื่นเต้น "ไม่ได้เจ้าค่ะ เพราะสามแคว้นไม่ถูกกันเจ้าค่ะ"
สัปดาห์ต่อมา ฉันอยู่แต่ในจวน...ไม่สิ...อยู่แต่ในห้องภายในเรือนที่มีชื่อว่าลี่จู ฉันไม่ได้ออกไปไหนและไม่ได้พูดคุยกับใครเลย ยกเว้นแค่เหลียนฮวาเพียงคนเดียวเพราะเราอยู่ด้วยกัน เรามักจะทำขนม วาดรูปเล่น หรือจิบชายามบ่ายด้วยกัน บางครั้งฉันก็เล่าเรื่องเวลาตรวจคนไข้ให้เหลียนฮวาฟัง บางครั้งก็จะสอนเหลียนฮวาถึงการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ซึ่งเหลียนฮวาตั้งใจเรียนรู้มาก จนฉันอยากพากลับไปยุคปัจจุบันเลยล่ะ "วันนี้เรียนอะไรดีเจ้าคะ" เหลียนฮวาทำน้ำเสียงตื่นเต้นราวกับรอคอย "วันนี้ไม่เรียนเรื่องปฐมพยาบาลแล้ว เรามาเรียนเรื่องปีนต้นไม้ดีกว่า" "ห๊า...จะเรียนไปทำไมเจ้าคะ" เหลียนฮวาทำหน้างง"เจ้าไม่รู้อะไร คนเรามันต้องมีทักษะหลายๆอย่าง เวลาเจอสถานการณ์ฉุกเฉินจะได้เอาตัวรอดได้" "เจ้าค่ะ"เหลียนฮวาพยักหน้าหงึกๆ แล้วฉันก็สอนวิธีปีนต้นไม้ให้เปลี่ยนฮวาดู "โห~ฮูหยินเจ้าคะ ท่านปีนต้นไม้เก่งมากเลยเจ้าค่ะ อย่างกับลิงแน่ะ" เหลียนฮวายิ้มกว้างพลางตบมือ เอ๊ะ คำชมมันแปลกๆชอบกล=_= "เจ้าลองทำดู" ฉันปีนลงมาแล้วกอดอกถือไม้เรียวกำกับให้เหลียนฮวาปีนต้นไม้ เมื่อเสร็จแล้วพวกเราจึงมาเรียนสัญญาณลับที่เอาไว้พูดคุยกันสองคน "เจ้าทำแ
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา หลังจากเหลียนฮวาตาย ฉันก็รู้สึกเศร้าใจจนต้องหาอะไรทำ สุดท้ายฉันก็ได้เรียนวิชาแพทย์ของยุคนี้ โดยฉันรบเร้ากับท่านแม่ทัพอยู่ตั้งหลายวันกว่าเขาจะอนุญาต อาจจะเป็นเพราะเขาเห็นฉันเศร้าด้วยแหละมั้ง เลยตามใจฉันวันนี้เป็นวันแรกที่ฉันไปเรียนกับหมอชาวบ้าน ที่ฉันเลือกหมอชาวบ้านเพราะคิดว่าหมอชาวบ้านพูดคุยด้วยง่ายและน่าจะมีประสบการณ์เยอะ เนื่องจากเดินทางไปรักษาหลายผู้คนหลากหลายหมู่บ้าน ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งจึงน่าจะพบเห็นคนป่วยหลายโรค ท่านหมอชื่อเหล่ากั๋ว เป็นหมอที่ท่าทางใจดี มีรอยยิ้มบางๆประดับบนใบหน้าตลอดเวลา หมอชาวบ้านสอนเรื่องการจับชีพจร การรักษาโรคด้วยสมุนไพร หรือแม้กระทั่งการสังเกตอาการผู้ป่วยเล็กๆน้อยๆ ซึ่งฉันรู้สึกว่าหมอชาวบ้านท่านนี้มีความสามารถมากๆ และด้วยความที่ฉันเป็นหมออยู่แล้วบทเรียนจึงไม่ยากสำหรับฉันสักเท่าไหร่ เพียงแค่ค่อนวันฉันก็จดจำเรื่องพื้นฐานได้มากแล้ว "พรุ่งนี้ท่านอยากออกตรวจชาวบ้านกับข้าหรือไม่" เหล่ากั๋วถาม "ดีเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ข้าจะติดตามท่านไปตรวจ" ฉันยิ้มด้วยความดีใจ "งั้นเจอกันพรุ่งนี้ขอรับ" "เจ้าค่ะ" ฉันรับคำ แล้วพวกเราก็แยกย้ายกัน ฉันเดินไปเรื
วันต่อมา ฉันตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่ไม่ค่อยสดชื่นนัก แน่ล่ะว่าตอนนี้ยังเหมือนได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งอยู่เลย"ฮูหยินตื่นแล้ว" เสียงสาวใช้คนใหม่ที่ท่านแม่ทัพหามาหาฉันแทนเหลียนฮวาพูดขึ้น "ข้าชื่อซู่ซู่เจ้าค่ะ ข้าเป็นสาวใช้ใหม่ของฮูหยินเจ้าค่ะ" เมื่อซู่ซู่เห็นฉันมอง จึงรีบแนะนำตัวเองทันที "อืม" ฉันรับคำ จากนั้นซู่ซู่จึงมาปรนนิบัติ ทั้งอาบน้ำ ทั้งแต่งตัวจนเสร็จแล้วจึงมานั่งกินข้าว ก่อนที่ฉันจะออกจากจวนไปหาท่านหมอเหล่ากั๋วที่นัดกันไว้เมื่อมาถึงแล้วก็พูดทักทายกับท่านหมอเล็กน้อย จากนั้นพวกเราจึงออกตรวจชาวบ้านในหมู่บ้านที่มีคนป่วยโดยในวันนี้ทุกบ้านจะไม่เสียค่าใช้จ่ายเนื่องจากท่านแม่ทัพจะเป็นคนออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด ในวันนี้คนป่วยส่วนมากจะมีไข้เล็กน้อย มีน้ำมูก เนื่องจากอากาศเปลี่ยนแปลง ท่านหมอเหล่ากั๋วจึงจ่ายยาเป็นสมุนไพรให้ต้มดื่ม เมื่อพวกเราตรวจชาวบ้านมาประมาณสองชั่วยามก็ครบหมดทุกคน จึงแยกย้ายกันกลับจวน ส่วนฉันที่ยังไม่อยากกลับจวนจึงไปเดินเล่นที่ริมน้ำข้างกำแพงกองทัพ ฉันเดินไปเรื่อยๆก็มาหยุดอยู่ตรงที่ที่ฉันกับเหลียนฮวาเคยมาด้วยกัน บทสนทนาของเราในวันนั้นยังคงปรากฏในสมองฉันราวกับภาพฉาย
วันต่อมา ฉันตื่นนอนด้วยความสดชื่นแจ่มใส ก็พบกับซู่ซู่ที่ยืนรอปรนนิบัติรับใช้อยู่ด้านข้าง "สวัสดี~" ฉันทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส "สวัสดีเจ้าค่ะ วันนี้ฮูหยินดูอารมณ์ดีนะเจ้าคะ" ซู่ซู่รีบเดินเข้ามาหาแล้วช่วยพยุงฉันเข้าไปในห้องอาบน้ำ หลังจากอาบน้ำเสร็จก็ช่วยแต่งตัวและช่วยแต่งหน้าทำผม "เจ้าอายุเท่าไหร่" ฉันถามซู่ซู่ "ข้าอายุสิบเจ็ดแล้วเจ้าค่ะ" "เจ้าชอบทำสิ่งใด" "ข้าชอบเที่ยวเล่นเจ้าค่ะ อุ๊ย" ซู่ซู่ตอบพร้อกับเอามือมาปิดปากตนเหมือนกับหลุดพูด "ฮ่าๆ ดีๆ เหมือนข้าเลย" ฉันหัวเราะก่อนจะหันไปมองซู่ซู่ด้วยใบหน้าจริงจังพร้อมกับยื่นมือไปจับมือซู่ซู่ "อยู่กับข้า...ห้ามมีความลับต่อข้า...ถ้าเจ้ามีอะไรที่ไม่สบายใจหรือลำบากใจก็บอกข้า ห้ามทรยศกันเด็ดขาด เงื่อนไขของข้ามีเท่านี้...เจ้าพร้อมติดตามข้าหรือไม่" "พร้อมเจ้าค่ะ" ซู่ซู่ตอบพร้อมทำหน้าจริงจัง "งั้นต่อจากนี้เจ้าเป็นคนของข้าแล้วนะ" ฉันยิ้มแล้วลูบหัวซู่ซู่ก่อนจะหยิบปิ่นปักผมให้เป็นของรางวัล "ขอบคุณเจ้าค่ะ" ซู่ซู่ยิ้มแฉ่ง "เจ้าทำอะไรเป็นบ้าง" "ข้าทำเป็นหมดทุกอย่างเลยเจ้าค่ะ ทำกับข้าว ซักผ้า""อันนั้นมันพื้นฐานของสาวใช้ มีสิ่งอื่นไหม""ม
ครึ่งปีต่อมา ราษฎรต่างพากันเดินทางมายังชายแดนของแต่ละแคว้น เนื่องจากในวันนี้จะมีการลงนามสัญญาสงบศึกของทั้งสามแคว้น ซึ่งเริ่มจากแคว้นหลงที่ฮ่องเต้เฟยหรงส่งพระราชสาส์นมายังฮ่องเต้ของแคว้นเว่ยต้าและแคว้นซีฮัน โดยเนื้อหาสำคัญก็คือการที่ราษฎรของทั้งสามแคว้นอยู่เป็นสุข ไม่ต้องรับความเดือดร้อนใดๆจากสงครามระหว่างแคว้นอีกต่อไปแล้ว "ไฮ~" โบตั๋นโบกไม้โบกมือให้ราษฎรที่มารอชมฉากสำคัญของประวัติศาสตร์ระหว่างสามแคว้น โดยตอนนี้ฮ่องเต้เฟยหรงและโบตั๋นยืนอยู่ตรงรอยต่อระหว่างแคว้น แค่ก้าวมาอีกก้าวเดียวก็จะเป็นแคว้นเว่ยต้ากับแคว้นซีฮันแล้ว"โบกมือเป็นนางงามเลยนะแก คิกๆ" หลินหลินที่ยืนอยู่กับท่านอ๋องเซียวหรงอยู่ที่ด้านหลังฮ่องเต้พูดแล้วหัวเราะเบาๆกับท่าทางของเพื่อน"คิกๆ" องุ่นที่ยืนอยู่กับแม่ทัพจางเหว่ย และยืนอยู่ด้านหลังฮ่องเต้แคว้นซีฮันหัวเราะเพื่อนทั้งสองเบาๆ "เริ่มพิธี" เสียงขันทีแคว้นหลงประกาศ ฮ่องเต้เฟยหรงจึงก้าวข้ามเขตแดนของตนมายืนอยู่ในเขตแดนของทั้งสองแคว้น ฮ่องเต้ทั้งสองเห็นอย่างนั้นจึงก้าวข้ามเขตแดนของตนด้วย ทั้งสามแคว้นหยุดอยู่ตรงกลางซึ่งเป็นทางเชื่อมระหว่างแคว้นทั้งสาม ก่อนจะทำการจุดธู
หลังจากกลับวัง พวกเราก็รีบเข้าห้องมาอาบน้ำ ฉันอาบก่อนแล้วให้เขาอาบทีหลัง โดยฉันไปค้นกระเป๋าแล้วหยิบดิลโด้ที่พกมาด้วยมาเตรียมไว้ จากนั้นจึงแต่งหน้าด้วยความรวดเร็ว ปล่อยผมยาวสยาย แล้วเอาถุงน่องตาข่ายสีดำมาสวมครึ่งขา ก่อนจะมานอนอยู่บนเตียงเพื่อรอเขา "ฝ่าบาทเพคะ~" ฉันร้องเรียกเขาแล้วนอนโพสท่าราวกับนางแบบในนิตยสาร18+ โดยนอนตะแคงข้างพร้อมโชว์ก้นขาวจั๊วแล้วทำสีหน้ายั่วยวน เขาเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับกลืนน้ำลายลงหนึ่งอีก แล้วพูดว่า "เจ้ายั่วยวนเราเก่งนัก" เขาพูดจบก็ใช้มือบีบก้นฉันเบาๆ "ฝ่าบาทเคยเห็นสิ่งนี้ไหมเพคะ" ฉันหยิบดิลโด้ขึ้นมาพร้อมเปิดสั่น"อย่าเพิ่งสิเพคะ...ฝ่าบาทดูนี่เสียก่อน" "มันคืออะไร" เขาถามดวยความสงสัย "ฝ่าบาทว่า...สิ่งนี้มันดูเหมือนอะไรหรือเพคะ" ฉันถามยิ้มๆ "Banana ของเรา" "คิกๆ ใช่เพคะ" ฉันหัวเราะ ก่อนหันหน้ามาแยกขาออกกว้างแล้วใช้ดิลโด้ถูไถกลีบกุกลาบ "อ๊ะ...อ๊ะ...อ๊ะ" ฉันครางพร้อมทำหน้ายั่วยวน ก่อนจับนิ้วมือเขามาดูดเลีย "เจ้า" เขาพูดได้แค่นั้นก็ยิ้มมุมปากมองฉันอย่างชอบใจ แล้วจับใบหน้าฉันให้หันมาจูบเขา เข้าใช้ลิ้นสอดเข้ามาดูดรักพันเกี่ยวอย่างเร่าร้อน "จ๊วบๆ จ๊วบ" จากนั้
สองวันต่อมา วันนี้เป็นวันที่เดินทางไปชายแดน โดยการเดินทางครั้งนี้ไปแบบลับๆ มีผู้ติดตามเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ในระหว่างทางฝ่าบาทก็จะคอยสอบถามความเป็นอยู่ของชาวบ้านว่าเป็นอย่างไรบ้าง โดยไม่ได้บอกว่าตนเป็นผู้ใด เพียงบอกว่ามาจากพระราชวังเท่านั้น "เราอยากให้สถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสามแคว้นสิ้นสุดลงสักที" เขาเอ่ยด้วยเสียงกลัดกลุ้ม เนื่องจากตลอดทางที่มาแม้จะพูดถึงเรื่องภัยธรรมชาติ แต่ส่วนใหญ่แล้วพูดถึงสถานการณ์ของสามแคว้น "แล้วฝ่าบาทคิดจะทำเช่นใดเพคะ" "ถ้าเป็นไปได้เราก็อยากจะสงบศึก...จะมีอะไรสำคัญไปกว่าราษฎรของเราอีกล่ะ" "ฝ่าบาทก็ทำให้เป็นจริงสิเพคะ ไม่แน่ว่าแคว้นอื่นๆก็อาจจะเช่นเดียวกับฝ่าบาท" ฉันยื่นมือไปกุมมือเขา "หากเป็นเช่นนั้นจริงๆก็ดียิ่ง เราจะเป็นผู้เริ่มส่งหนังสือสัญญาสงบศึกก่อน" "ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่ง" ฉันยิ้มกว้างและเกาะแขนเขาอย่างออดอ้อน หกวันต่อมา เดินทางมาหลายวันในที่สุดพวกเราก็มาถึงชายแดน วังของฝ่าบาทที่ชายแดนก็ยังคงงดงามวิจิตดังเช่นพระราชในเมืองหลวงเพียงแต่เล็กกว่าเท่านั้น ยังมีความสะดวกสบายอยู่เช่นเดิม สิ่งแรกที่ฉันทำคืออาบน้ำเพราะในระหว่างเดินทางได้อาบน้ำไม่กี่ครั
วันต่อมา ยามอู่ (11.00 - 12.59 น.) ฉันงัวเงียตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกอ่อนเพลีย ถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่ก็แฝงไปด้วยความฟิน บอกตรงๆว่าคิดไม่ผิดที่เลือกเขา>..จากนั้นฉันก็อาบน้ำ แต่งตัว และกินข้าว ก่อนจะเดินออกจากตำหนักของฝ่าบาทและไปตำหนักฮองเฮา ในระหว่างทางที่เดินก็ได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังตะโกนโห่ร้อง"นั่นเสียงอะไรน่ะ" ฉันถามหมิงจู "น่าจะเป็นเสียงฝึกยิงธนูของราชองครักษ์เพคะ หม่อมฉันได้ยินว่าฝ่าบาททรงเสด็จไปทอดพระเนตรด้วยเพคะ" "ยิงธนูเหรอ...น่าสนุกแฮะ" ฉันยิ้มกว้าง จากนั้นจึงเดินไปตามเสียง ก็มาถึงลานกว้าง ที่รอบด้านทำเป็นที่นั่งล้อมรอบเหมือนอัฒจันทร์ มีเป้าธนูขนาดกลางวางเร
ฉันกับองค์หญิงเฟยเจินนั่งรอฝ่าบาทอยู่ในตำหนัก เราต่างก็รู้สึกกังวล กลัวว่าฝ่าบาทจะได้รับบาดเจ็บ เพราะด้านนอกคงมีเสียงของการต่อสู้อยู่"ทำไมเสด็จพี่เฟยฉีต้องคิดก่อกบฏด้วย...ฮือๆ...เสด็จพี่เฟยหรงทรงดีต่อท่านมากแท้ๆ" องค์หญิงเฟยเจินร้องไห้ "เฮ้อ" ฉันถอนหายใจ ไม่รู้ว่าจะปลอบใจอย่างไร จึงได้แต่กอดปลอบองค์หญิงเฟยเจินพร้อมกับลูบหลังเบาๆ "ฮือๆ...ฮือๆ..." สองชั่วยามต่อมา ฝ่าบาทเดินเข้ามาในตำหนักด้วยชุดที่เปื้อนเลือด "เสด็จพี่" องค์หญิงเฟยเจินวิ่งเข้าไปกอดฝ่าบาทพร้อมกับร้องไห้โฮ "เจ้าอย่าร้องไห้เลย พี่ชายอย่างข้าเจ็บปวดหัวใจนัก...องค์หญิงของข้าเหมาะกับรอยยิ้มนะรู้หรือไม่" ฝ่าบาทลูบหัวองค์หญิงเฟยเจินอย่างแผ่วเบา ก่อนจะบอกข้ารับใช้ให้พาตัวองค์หญิงกลับตำหนัก หลังจากที่องค์หญิงเฟยเจินเดินออกไปแล้ว ฉันก็มองสำรวจเขาว่าได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่ "ฝ่าบาท..." ฉันเรียกเขาแล้วกอดเขาไว้ ก่อนจะร้องไห้เสียงดัง"หม่อมฉันกลัวว่าพระองค์จะ...ฮือๆ" "เจ้าห่วงใยเราขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน หืม?"เขาถามเสียงเรียบแต่มีแววหยอกล้อในน้ำเสียง "ฮือๆ..." ฉันทุบอกอกเขาแล้วมองเขาด้วยความโกรธแล้วพูดต่อว่า "เมื่อครู่หม
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ฉันเดินมาหยุดอยู่ที่สระบัวด้านหลังวัง และกำลังยืนรอใครบางคนอยู่ "เจ้ามาแล้ว" เสียงทุ้มเอ่ยด้วยความดีใจ เขาก็คือองค์ชายเฟยฉีนั่นเอง "ข้าจะลงมือคืนนี้" ฉันยิ้มร้ายๆและมองสบตากับองค์ชายเฟยฉี "ดีมาก...ถ้าหากสำเร็จ...เจ้าก็จะเป็นฮองเฮาของข้า" เขาแสยะยิ้ม ใบหน้าที่ดูอ่อนโยนกลับบิดเบี้ยว รอยยิ้มของเขามันดูโรคจิตราวกับฆาตรในภาพยนตร์ที่เคยดู เล่นซะฉันขนลุกเกรียว "อย่าลืมที่สัญญาล่ะ" ฉันยิ้มกว้าง ก่อนจะมองซ้ายขวาแล้วรีบเดินจากมา วันนี้เป็นงานวันเกิดขององค์ชายเฟยฉี จึงมีการจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองภายในวัง ฉันเห็นพวกนางกำนัลวิ่งวุ่นกันแต่เช้า มองดูแล้วก็รู้สึกเหนื่อยตาม ฉันเดินตามทางไปเรื่อยๆจนมาถึงห้องทรงงานของฝ่าบาทก็พบว่าฝ่าบาทไม่อยู่ "ฝ่าบาทอยู่ที่ใดหรือ" ฉันถามคนที่เฝ้าอยู่ด้านนอก"เสด็จไปที่สวนพะย่ะค่ะ" เมื่อได้ยินอย่างนั้นฉันจึงออกจากห้องทรงงานแล้วเดินไปที่สวน เห็นฝ่าบาทกำลังนั่งจิบชาในศาลาเก๋งจีนพลางชมดอกไม้ และมีบรรดาพระสนมนั่งและข้ารับใช้นั่งอยู่บนพื้นหญ้าด้านข้าง "ฝ่าบาทเพคะ ชาที่หม่อมฉันชงรสชาติดีหรือไม่เพคะ" เสียงออดอ้อนที่ฉันจำได้ว่าเป็นเสียงของพระสนมฉางดังขึ้
วันต่อมา องค์หญิงเฟยเจินรีบมาหาฉันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง และยังเตรียมของมาให้ฉันพอกหน้าให้อีกด้วย ฉันจึงสอนนางกำนัลขององค์หญิงและทำให้ดูเป็นตัวอย่าง "ต่อไปนี้ก็ทำเองได้แล้ว" "ขอบพระทัยเพคะ" องค์หญิงเฟยเจินย่อกายคาระวะ จากนั้นก็พูดว่า "จริงสิเพคะ วันนี้เสด็จพี่เฟยฉีจะกลับมาจากชายแดนเพคะ" "เฟยฉี?" ฉันทำท่านึกก่อนจะนึกออกว่าเขาคือคนที่แอบลอบพบกับฉันก่อนที่ฉันจะทะลุมิติมาที่นี่"พี่สะใภ้...หม่อมฉันทูลด้วยความหวังดี อันที่จริงฝ่าบาท...เสด็จพี่เฟยหรงทรงอบอุ่น ใจดีมากนะเพคะ เพียงแต่แสดงออกไม่เป็นเท่าใดนัก" องค์หญิงเฟยเจินกระซิบที่ข้างหูของฉัน ฉันจึงมองหน้าองค์หญิงเฟยเจินก็พลันเข้าใจในสิ่งที่นางต้องการจะสื่อ "เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก ข้าไม่ไม่มีวันผิดพลาดซ้ำสองแน่" ฉันยิ้มบางๆให้องค์หญิงเฟยเจิน "เฮ้อ~ หม่อมฉันค่อยโล่งใจหน่อย หากหม่อมฉันสมรสจะได้ไม่ต้องห่วงเสด็จพี่เฟยหรง" องค์หญิงเฟยเจินถอนหายใจอย่างโล่งอก "เจ้าจะสมรสกับผู้ใดหรือ?" "พี่สะใภ้ท่านไม่รู้หรือ...เสด็จพี่จะให้หม่อมฉันสมรสเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างแคว้น แต่หม่อมฉันยังคงคิดอยู่ว่าจะเลือกสมรสกับผู้ใดระหว่างฮ่องเต้แคว้นซีฮัน ท่านอ๋อง
วันต่อมา ยามซื่อ (09.00 - 10.59 น.) ฉันตื่นนอนและลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจ อันที่จริงโดนกักบริเวณก็ไม่แย่สักเท่าไหร่ จะตื่นหรือจะกินข้าวตอนไหนก็ได้ แถมไม่มีผู้ใดมายุ่งอีก อันที่จริงในตำหนักนี้ยังมีนางกำนัลคนอื่นๆอีกแต่ฉันไม่อยากให้ใครมาวุ่นวาย มากคนก็มากความ "พระองค์จะอาบน้ำเลยหรือไม่เพคะ" หมิงจูที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูได้ยินเสียงสวบสาบภายในห้องจึงรีบเข้ามาปรนนิบัติ "อาบเลย" ฉันพูดแล้วลุกจากเตียงโดยมีหมิงจูช่วยพยุง "ข้าอาบคนเดียว เจ้าออกไปเถอะ" "เพคะ" หมิงจูรับคำแล้วย่อทำความเคารพ ก่อนจะเดินออกไป "ลา~ลา~" ฉันฮัมเพลงพร้อมกับถูสบู่ที่เอามาจากยุคปัจจุบันก็กระเป๋าที่ฉันให้หลินหลินกับองุ่นนั่นแหละ ดีนะที่ฉันฉลาดเตรียมไว้ อันที่จริงไม่ได้เตรียมไว้เพื่อทะลุมิติหรอกนะ ฉันเตรียมไว้เผื่อฉุกเฉิน ในนั้นมีไฟฉาย เซ็ตยา ผงป้องกันแมลง ผงป้องกันงู สารพัดอย่าง และที่สำคัญคือดิลโด้ ฉันใส่ในกระเป๋าเอาฮาเฉยๆ ไม่รู้ว่าพวกมันจะเอาไปทำอะไรกันบ้าง "จริงสิ...ฉันต้องสืบว่าท่านอ๋องกับท่านแม่ทัพที่หลินหลินกับองุ่นเลือกอยู่ที่ไหน ฉันจะได้ไปหาพวกมันไง อิอิ" ฉันยิ้มกว้างอย่างมีความสุข เมื่อคิดว่าจะได้เจอเพื่อนๆ เด
สามวันต่อมา ฉันนั่งเท้าคางด้วยความเบื่ออยู่ในสวนภายในตำหนักฮองเฮา "เฮ้อ~" ฉันถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย "ทรงเป็นอันใดเพคะ" หมิงจูนางกำนัลที่คอยรับใช้ฉันถามด้วยความเป็นห่วง "เบื่อ" ฉันตอบพร้อมกับฟุบหน้าลงบนโต๊ะ หลังจากที่มีคำสั่งจากฮ่องเต้ให้กักบริเวณฉัน ฉันก็ได้สอบถามกับหมิงจูว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง ฉันถึงได้โดนขังอยู่ในตำหนัก เค้นอยู่ตั้งนานกว่าหมิงจูจะยอมบอกหมิงจูบอกว่าเพราะฉันลอบพบบุรุษ และบุรุษผู้นั้นไม่ใช่คนอื่นไกล เพราะเขาคือน้องชายร่วมสายเลือดเดียวกับฮ่องเต้เฟยหรงมีนามว่าเฟยฉี พอฉันได้ฟังเรื่องราวแล้วก็อยากจะตายไปให้รู้แล้วรู้รอด พี่สะใภ้พบกับน้องชายของสามีลอบพบกัน แค่ได้ฟังก็ได้รู้ว่าฮ่องเต้ผู้นั้นโดยสวมหมวกเขียวเข้าแล้ว ฉันที่เพิ่งทะลุมิติมาก็ต้องชดใช้กับสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำ...โคตรซวยเลย(TT) และหมิงจูก็เล่าอีกว่าฮ่องเต้องค์นี้อยากจะปลดสตรีหลังวังให้เหลือเพียงตำแหน่งฮองเฮาเท่านั้น แต่โดนพวกขุนนางคัดค้าน และเขาเห็นพฤติกรรมของฉัน เขาจึงพักเรื่องนี้เอาไว้ก่อน จากการไตร่ตรองจากสมองอันชาญฉลาดของฉันแล้ว ฉันคิดว่าฮ่องเต้ต้องมีใจให้ฉันชัวร์ๆ โดนสวมหมวกเขียวขนาดนี้ยังทำแค่กั