วันต่อมา องค์หญิงเฟยเจินรีบมาหาฉันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง และยังเตรียมของมาให้ฉันพอกหน้าให้อีกด้วย ฉันจึงสอนนางกำนัลขององค์หญิงและทำให้ดูเป็นตัวอย่าง "ต่อไปนี้ก็ทำเองได้แล้ว" "ขอบพระทัยเพคะ" องค์หญิงเฟยเจินย่อกายคาระวะ จากนั้นก็พูดว่า "จริงสิเพคะ วันนี้เสด็จพี่เฟยฉีจะกลับมาจากชายแดนเพคะ" "เฟยฉี?" ฉันทำท่านึกก่อนจะนึกออกว่าเขาคือคนที่แอบลอบพบกับฉันก่อนที่ฉันจะทะลุมิติมาที่นี่"พี่สะใภ้...หม่อมฉันทูลด้วยความหวังดี อันที่จริงฝ่าบาท...เสด็จพี่เฟยหรงทรงอบอุ่น ใจดีมากนะเพคะ เพียงแต่แสดงออกไม่เป็นเท่าใดนัก" องค์หญิงเฟยเจินกระซิบที่ข้างหูของฉัน ฉันจึงมองหน้าองค์หญิงเฟยเจินก็พลันเข้าใจในสิ่งที่นางต้องการจะสื่อ "เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก ข้าไม่ไม่มีวันผิดพลาดซ้ำสองแน่" ฉันยิ้มบางๆให้องค์หญิงเฟยเจิน "เฮ้อ~ หม่อมฉันค่อยโล่งใจหน่อย หากหม่อมฉันสมรสจะได้ไม่ต้องห่วงเสด็จพี่เฟยหรง" องค์หญิงเฟยเจินถอนหายใจอย่างโล่งอก "เจ้าจะสมรสกับผู้ใดหรือ?" "พี่สะใภ้ท่านไม่รู้หรือ...เสด็จพี่จะให้หม่อมฉันสมรสเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างแคว้น แต่หม่อมฉันยังคงคิดอยู่ว่าจะเลือกสมรสกับผู้ใดระหว่างฮ่องเต้แคว้นซีฮัน ท่านอ๋อง
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ฉันเดินมาหยุดอยู่ที่สระบัวด้านหลังวัง และกำลังยืนรอใครบางคนอยู่ "เจ้ามาแล้ว" เสียงทุ้มเอ่ยด้วยความดีใจ เขาก็คือองค์ชายเฟยฉีนั่นเอง "ข้าจะลงมือคืนนี้" ฉันยิ้มร้ายๆและมองสบตากับองค์ชายเฟยฉี "ดีมาก...ถ้าหากสำเร็จ...เจ้าก็จะเป็นฮองเฮาของข้า" เขาแสยะยิ้ม ใบหน้าที่ดูอ่อนโยนกลับบิดเบี้ยว รอยยิ้มของเขามันดูโรคจิตราวกับฆาตรในภาพยนตร์ที่เคยดู เล่นซะฉันขนลุกเกรียว "อย่าลืมที่สัญญาล่ะ" ฉันยิ้มกว้าง ก่อนจะมองซ้ายขวาแล้วรีบเดินจากมา วันนี้เป็นงานวันเกิดขององค์ชายเฟยฉี จึงมีการจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองภายในวัง ฉันเห็นพวกนางกำนัลวิ่งวุ่นกันแต่เช้า มองดูแล้วก็รู้สึกเหนื่อยตาม ฉันเดินตามทางไปเรื่อยๆจนมาถึงห้องทรงงานของฝ่าบาทก็พบว่าฝ่าบาทไม่อยู่ "ฝ่าบาทอยู่ที่ใดหรือ" ฉันถามคนที่เฝ้าอยู่ด้านนอก"เสด็จไปที่สวนพะย่ะค่ะ" เมื่อได้ยินอย่างนั้นฉันจึงออกจากห้องทรงงานแล้วเดินไปที่สวน เห็นฝ่าบาทกำลังนั่งจิบชาในศาลาเก๋งจีนพลางชมดอกไม้ และมีบรรดาพระสนมนั่งและข้ารับใช้นั่งอยู่บนพื้นหญ้าด้านข้าง "ฝ่าบาทเพคะ ชาที่หม่อมฉันชงรสชาติดีหรือไม่เพคะ" เสียงออดอ้อนที่ฉันจำได้ว่าเป็นเสียงของพระสนมฉางดังขึ้
ฉันกับองค์หญิงเฟยเจินนั่งรอฝ่าบาทอยู่ในตำหนัก เราต่างก็รู้สึกกังวล กลัวว่าฝ่าบาทจะได้รับบาดเจ็บ เพราะด้านนอกคงมีเสียงของการต่อสู้อยู่"ทำไมเสด็จพี่เฟยฉีต้องคิดก่อกบฏด้วย...ฮือๆ...เสด็จพี่เฟยหรงทรงดีต่อท่านมากแท้ๆ" องค์หญิงเฟยเจินร้องไห้ "เฮ้อ" ฉันถอนหายใจ ไม่รู้ว่าจะปลอบใจอย่างไร จึงได้แต่กอดปลอบองค์หญิงเฟยเจินพร้อมกับลูบหลังเบาๆ "ฮือๆ...ฮือๆ..." สองชั่วยามต่อมา ฝ่าบาทเดินเข้ามาในตำหนักด้วยชุดที่เปื้อนเลือด "เสด็จพี่" องค์หญิงเฟยเจินวิ่งเข้าไปกอดฝ่าบาทพร้อมกับร้องไห้โฮ "เจ้าอย่าร้องไห้เลย พี่ชายอย่างข้าเจ็บปวดหัวใจนัก...องค์หญิงของข้าเหมาะกับรอยยิ้มนะรู้หรือไม่" ฝ่าบาทลูบหัวองค์หญิงเฟยเจินอย่างแผ่วเบา ก่อนจะบอกข้ารับใช้ให้พาตัวองค์หญิงกลับตำหนัก หลังจากที่องค์หญิงเฟยเจินเดินออกไปแล้ว ฉันก็มองสำรวจเขาว่าได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่ "ฝ่าบาท..." ฉันเรียกเขาแล้วกอดเขาไว้ ก่อนจะร้องไห้เสียงดัง"หม่อมฉันกลัวว่าพระองค์จะ...ฮือๆ" "เจ้าห่วงใยเราขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน หืม?"เขาถามเสียงเรียบแต่มีแววหยอกล้อในน้ำเสียง "ฮือๆ..." ฉันทุบอกอกเขาแล้วมองเขาด้วยความโกรธแล้วพูดต่อว่า "เมื่อครู่หม
วันต่อมา ยามอู่ (11.00 - 12.59 น.) ฉันงัวเงียตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกอ่อนเพลีย ถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่ก็แฝงไปด้วยความฟิน บอกตรงๆว่าคิดไม่ผิดที่เลือกเขา>..จากนั้นฉันก็อาบน้ำ แต่งตัว และกินข้าว ก่อนจะเดินออกจากตำหนักของฝ่าบาทและไปตำหนักฮองเฮา ในระหว่างทางที่เดินก็ได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังตะโกนโห่ร้อง"นั่นเสียงอะไรน่ะ" ฉันถามหมิงจู "น่าจะเป็นเสียงฝึกยิงธนูของราชองครักษ์เพคะ หม่อมฉันได้ยินว่าฝ่าบาททรงเสด็จไปทอดพระเนตรด้วยเพคะ" "ยิงธนูเหรอ...น่าสนุกแฮะ" ฉันยิ้มกว้าง จากนั้นจึงเดินไปตามเสียง ก็มาถึงลานกว้าง ที่รอบด้านทำเป็นที่นั่งล้อมรอบเหมือนอัฒจันทร์ มีเป้าธนูขนาดกลางวางเร
สองวันต่อมา วันนี้เป็นวันที่เดินทางไปชายแดน โดยการเดินทางครั้งนี้ไปแบบลับๆ มีผู้ติดตามเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ในระหว่างทางฝ่าบาทก็จะคอยสอบถามความเป็นอยู่ของชาวบ้านว่าเป็นอย่างไรบ้าง โดยไม่ได้บอกว่าตนเป็นผู้ใด เพียงบอกว่ามาจากพระราชวังเท่านั้น "เราอยากให้สถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสามแคว้นสิ้นสุดลงสักที" เขาเอ่ยด้วยเสียงกลัดกลุ้ม เนื่องจากตลอดทางที่มาแม้จะพูดถึงเรื่องภัยธรรมชาติ แต่ส่วนใหญ่แล้วพูดถึงสถานการณ์ของสามแคว้น "แล้วฝ่าบาทคิดจะทำเช่นใดเพคะ" "ถ้าเป็นไปได้เราก็อยากจะสงบศึก...จะมีอะไรสำคัญไปกว่าราษฎรของเราอีกล่ะ" "ฝ่าบาทก็ทำให้เป็นจริงสิเพคะ ไม่แน่ว่าแคว้นอื่นๆก็อาจจะเช่นเดียวกับฝ่าบาท" ฉันยื่นมือไปกุมมือเขา "หากเป็นเช่นนั้นจริงๆก็ดียิ่ง เราจะเป็นผู้เริ่มส่งหนังสือสัญญาสงบศึกก่อน" "ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่ง" ฉันยิ้มกว้างและเกาะแขนเขาอย่างออดอ้อน หกวันต่อมา เดินทางมาหลายวันในที่สุดพวกเราก็มาถึงชายแดน วังของฝ่าบาทที่ชายแดนก็ยังคงงดงามวิจิตดังเช่นพระราชในเมืองหลวงเพียงแต่เล็กกว่าเท่านั้น ยังมีความสะดวกสบายอยู่เช่นเดิม สิ่งแรกที่ฉันทำคืออาบน้ำเพราะในระหว่างเดินทางได้อาบน้ำไม่กี่ครั
หลังจากกลับวัง พวกเราก็รีบเข้าห้องมาอาบน้ำ ฉันอาบก่อนแล้วให้เขาอาบทีหลัง โดยฉันไปค้นกระเป๋าแล้วหยิบดิลโด้ที่พกมาด้วยมาเตรียมไว้ จากนั้นจึงแต่งหน้าด้วยความรวดเร็ว ปล่อยผมยาวสยาย แล้วเอาถุงน่องตาข่ายสีดำมาสวมครึ่งขา ก่อนจะมานอนอยู่บนเตียงเพื่อรอเขา "ฝ่าบาทเพคะ~" ฉันร้องเรียกเขาแล้วนอนโพสท่าราวกับนางแบบในนิตยสาร18+ โดยนอนตะแคงข้างพร้อมโชว์ก้นขาวจั๊วแล้วทำสีหน้ายั่วยวน เขาเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับกลืนน้ำลายลงหนึ่งอีก แล้วพูดว่า "เจ้ายั่วยวนเราเก่งนัก" เขาพูดจบก็ใช้มือบีบก้นฉันเบาๆ "ฝ่าบาทเคยเห็นสิ่งนี้ไหมเพคะ" ฉันหยิบดิลโด้ขึ้นมาพร้อมเปิดสั่น"อย่าเพิ่งสิเพคะ...ฝ่าบาทดูนี่เสียก่อน" "มันคืออะไร" เขาถามดวยความสงสัย "ฝ่าบาทว่า...สิ่งนี้มันดูเหมือนอะไรหรือเพคะ" ฉันถามยิ้มๆ "Banana ของเรา" "คิกๆ ใช่เพคะ" ฉันหัวเราะ ก่อนหันหน้ามาแยกขาออกกว้างแล้วใช้ดิลโด้ถูไถกลีบกุกลาบ "อ๊ะ...อ๊ะ...อ๊ะ" ฉันครางพร้อมทำหน้ายั่วยวน ก่อนจับนิ้วมือเขามาดูดเลีย "เจ้า" เขาพูดได้แค่นั้นก็ยิ้มมุมปากมองฉันอย่างชอบใจ แล้วจับใบหน้าฉันให้หันมาจูบเขา เข้าใช้ลิ้นสอดเข้ามาดูดรักพันเกี่ยวอย่างเร่าร้อน "จ๊วบๆ จ๊วบ" จากนั้
ครึ่งปีต่อมา ราษฎรต่างพากันเดินทางมายังชายแดนของแต่ละแคว้น เนื่องจากในวันนี้จะมีการลงนามสัญญาสงบศึกของทั้งสามแคว้น ซึ่งเริ่มจากแคว้นหลงที่ฮ่องเต้เฟยหรงส่งพระราชสาส์นมายังฮ่องเต้ของแคว้นเว่ยต้าและแคว้นซีฮัน โดยเนื้อหาสำคัญก็คือการที่ราษฎรของทั้งสามแคว้นอยู่เป็นสุข ไม่ต้องรับความเดือดร้อนใดๆจากสงครามระหว่างแคว้นอีกต่อไปแล้ว "ไฮ~" โบตั๋นโบกไม้โบกมือให้ราษฎรที่มารอชมฉากสำคัญของประวัติศาสตร์ระหว่างสามแคว้น โดยตอนนี้ฮ่องเต้เฟยหรงและโบตั๋นยืนอยู่ตรงรอยต่อระหว่างแคว้น แค่ก้าวมาอีกก้าวเดียวก็จะเป็นแคว้นเว่ยต้ากับแคว้นซีฮันแล้ว"โบกมือเป็นนางงามเลยนะแก คิกๆ" หลินหลินที่ยืนอยู่กับท่านอ๋องเซียวหรงอยู่ที่ด้านหลังฮ่องเต้พูดแล้วหัวเราะเบาๆกับท่าทางของเพื่อน"คิกๆ" องุ่นที่ยืนอยู่กับแม่ทัพจางเหว่ย และยืนอยู่ด้านหลังฮ่องเต้แคว้นซีฮันหัวเราะเพื่อนทั้งสองเบาๆ "เริ่มพิธี" เสียงขันทีแคว้นหลงประกาศ ฮ่องเต้เฟยหรงจึงก้าวข้ามเขตแดนของตนมายืนอยู่ในเขตแดนของทั้งสองแคว้น ฮ่องเต้ทั้งสองเห็นอย่างนั้นจึงก้าวข้ามเขตแดนของตนด้วย ทั้งสามแคว้นหยุดอยู่ตรงกลางซึ่งเป็นทางเชื่อมระหว่างแคว้นทั้งสาม ก่อนจะทำการจุดธู
ณ สนามบินแห่งหนึ่งในประเทศไทย "เมื่อไหร่ไอ้โบตั๋นจะมาสักที รอนานแล้วเนี่ย เก้าโมงไม่มีจริงสินะ" เสียงบ่นของสายสวยที่ชื่อว่าองุ่น ผู้มีใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารัก ผิวขาวและตัวเล็ก ราวกับหลุดออกมาจากการ์ตูนญี่ปุ่นพูดขึ้น "โธ่ ไอ้องุ่น แกจะบ่นทำไมวะ ฉันบอกแล้วให้นัดไอ้โบตั๋นก่อนสองชั่วโมงแกก็ไม่เชื่อ" หลินหลินผู้ที่มีตาชั้นเดียวแต่เฉี่ยว ทำให้ดูเป็นสาวเปรี้ยว ผิวขาว รูปร่างสมส่วนพูดพร้อมตบบ่าองุ่นและทำหน้าเหมือนว่าให้ทำใจเสียเถอะ "เหอะ...ลำไย" องุ่นบ่นแล้วนั่งทำหน้าเซ็งๆ "มาแล้วค่า~ คุณเพื่อนขา~" โบตั๋นผู้ที่มีใบหน้าสวยหวาน ผิวขาว อกเป็นอก เอวเป็นเอว ตูดเป็นตูดหรือที่เรียกกันว่าหุ่นนาฬิกาทรายพูดด้วยน้ำเสียงหวานหยดย้อยและวิ่งเข้ามาหาเพื่อนๆที่นั่งรออยู่ราวกับอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ แต่พอเห็นหน้าขององุ่นที่ทำหน้าตาบึ้งตึงจึงรีบไปกอดแขนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนๆว่า "องุ่นคนดี อย่าโกรธโบตั๋นสุดสวยเลยน้า~" พูดจบก็ยื่นหน้าไปหอมแก้มองุ่น "อี๋~ ไม่ใช่ผู้ชายอย่ามาง้อฉันอย่างนี้" องุ่นดันใบหน้าของโบตั๋นออกและรีบลุกมาหลบอยู่ข้างหลังหลินหลิน "ไม่โกรธมันแล้วใช่ป่ะ" หลินหลินหันไปถามองุ่น "ไม่โ
ครึ่งปีต่อมา ราษฎรต่างพากันเดินทางมายังชายแดนของแต่ละแคว้น เนื่องจากในวันนี้จะมีการลงนามสัญญาสงบศึกของทั้งสามแคว้น ซึ่งเริ่มจากแคว้นหลงที่ฮ่องเต้เฟยหรงส่งพระราชสาส์นมายังฮ่องเต้ของแคว้นเว่ยต้าและแคว้นซีฮัน โดยเนื้อหาสำคัญก็คือการที่ราษฎรของทั้งสามแคว้นอยู่เป็นสุข ไม่ต้องรับความเดือดร้อนใดๆจากสงครามระหว่างแคว้นอีกต่อไปแล้ว "ไฮ~" โบตั๋นโบกไม้โบกมือให้ราษฎรที่มารอชมฉากสำคัญของประวัติศาสตร์ระหว่างสามแคว้น โดยตอนนี้ฮ่องเต้เฟยหรงและโบตั๋นยืนอยู่ตรงรอยต่อระหว่างแคว้น แค่ก้าวมาอีกก้าวเดียวก็จะเป็นแคว้นเว่ยต้ากับแคว้นซีฮันแล้ว"โบกมือเป็นนางงามเลยนะแก คิกๆ" หลินหลินที่ยืนอยู่กับท่านอ๋องเซียวหรงอยู่ที่ด้านหลังฮ่องเต้พูดแล้วหัวเราะเบาๆกับท่าทางของเพื่อน"คิกๆ" องุ่นที่ยืนอยู่กับแม่ทัพจางเหว่ย และยืนอยู่ด้านหลังฮ่องเต้แคว้นซีฮันหัวเราะเพื่อนทั้งสองเบาๆ "เริ่มพิธี" เสียงขันทีแคว้นหลงประกาศ ฮ่องเต้เฟยหรงจึงก้าวข้ามเขตแดนของตนมายืนอยู่ในเขตแดนของทั้งสองแคว้น ฮ่องเต้ทั้งสองเห็นอย่างนั้นจึงก้าวข้ามเขตแดนของตนด้วย ทั้งสามแคว้นหยุดอยู่ตรงกลางซึ่งเป็นทางเชื่อมระหว่างแคว้นทั้งสาม ก่อนจะทำการจุดธู
หลังจากกลับวัง พวกเราก็รีบเข้าห้องมาอาบน้ำ ฉันอาบก่อนแล้วให้เขาอาบทีหลัง โดยฉันไปค้นกระเป๋าแล้วหยิบดิลโด้ที่พกมาด้วยมาเตรียมไว้ จากนั้นจึงแต่งหน้าด้วยความรวดเร็ว ปล่อยผมยาวสยาย แล้วเอาถุงน่องตาข่ายสีดำมาสวมครึ่งขา ก่อนจะมานอนอยู่บนเตียงเพื่อรอเขา "ฝ่าบาทเพคะ~" ฉันร้องเรียกเขาแล้วนอนโพสท่าราวกับนางแบบในนิตยสาร18+ โดยนอนตะแคงข้างพร้อมโชว์ก้นขาวจั๊วแล้วทำสีหน้ายั่วยวน เขาเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับกลืนน้ำลายลงหนึ่งอีก แล้วพูดว่า "เจ้ายั่วยวนเราเก่งนัก" เขาพูดจบก็ใช้มือบีบก้นฉันเบาๆ "ฝ่าบาทเคยเห็นสิ่งนี้ไหมเพคะ" ฉันหยิบดิลโด้ขึ้นมาพร้อมเปิดสั่น"อย่าเพิ่งสิเพคะ...ฝ่าบาทดูนี่เสียก่อน" "มันคืออะไร" เขาถามดวยความสงสัย "ฝ่าบาทว่า...สิ่งนี้มันดูเหมือนอะไรหรือเพคะ" ฉันถามยิ้มๆ "Banana ของเรา" "คิกๆ ใช่เพคะ" ฉันหัวเราะ ก่อนหันหน้ามาแยกขาออกกว้างแล้วใช้ดิลโด้ถูไถกลีบกุกลาบ "อ๊ะ...อ๊ะ...อ๊ะ" ฉันครางพร้อมทำหน้ายั่วยวน ก่อนจับนิ้วมือเขามาดูดเลีย "เจ้า" เขาพูดได้แค่นั้นก็ยิ้มมุมปากมองฉันอย่างชอบใจ แล้วจับใบหน้าฉันให้หันมาจูบเขา เข้าใช้ลิ้นสอดเข้ามาดูดรักพันเกี่ยวอย่างเร่าร้อน "จ๊วบๆ จ๊วบ" จากนั้
สองวันต่อมา วันนี้เป็นวันที่เดินทางไปชายแดน โดยการเดินทางครั้งนี้ไปแบบลับๆ มีผู้ติดตามเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ในระหว่างทางฝ่าบาทก็จะคอยสอบถามความเป็นอยู่ของชาวบ้านว่าเป็นอย่างไรบ้าง โดยไม่ได้บอกว่าตนเป็นผู้ใด เพียงบอกว่ามาจากพระราชวังเท่านั้น "เราอยากให้สถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสามแคว้นสิ้นสุดลงสักที" เขาเอ่ยด้วยเสียงกลัดกลุ้ม เนื่องจากตลอดทางที่มาแม้จะพูดถึงเรื่องภัยธรรมชาติ แต่ส่วนใหญ่แล้วพูดถึงสถานการณ์ของสามแคว้น "แล้วฝ่าบาทคิดจะทำเช่นใดเพคะ" "ถ้าเป็นไปได้เราก็อยากจะสงบศึก...จะมีอะไรสำคัญไปกว่าราษฎรของเราอีกล่ะ" "ฝ่าบาทก็ทำให้เป็นจริงสิเพคะ ไม่แน่ว่าแคว้นอื่นๆก็อาจจะเช่นเดียวกับฝ่าบาท" ฉันยื่นมือไปกุมมือเขา "หากเป็นเช่นนั้นจริงๆก็ดียิ่ง เราจะเป็นผู้เริ่มส่งหนังสือสัญญาสงบศึกก่อน" "ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่ง" ฉันยิ้มกว้างและเกาะแขนเขาอย่างออดอ้อน หกวันต่อมา เดินทางมาหลายวันในที่สุดพวกเราก็มาถึงชายแดน วังของฝ่าบาทที่ชายแดนก็ยังคงงดงามวิจิตดังเช่นพระราชในเมืองหลวงเพียงแต่เล็กกว่าเท่านั้น ยังมีความสะดวกสบายอยู่เช่นเดิม สิ่งแรกที่ฉันทำคืออาบน้ำเพราะในระหว่างเดินทางได้อาบน้ำไม่กี่ครั
วันต่อมา ยามอู่ (11.00 - 12.59 น.) ฉันงัวเงียตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกอ่อนเพลีย ถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่ก็แฝงไปด้วยความฟิน บอกตรงๆว่าคิดไม่ผิดที่เลือกเขา>..จากนั้นฉันก็อาบน้ำ แต่งตัว และกินข้าว ก่อนจะเดินออกจากตำหนักของฝ่าบาทและไปตำหนักฮองเฮา ในระหว่างทางที่เดินก็ได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังตะโกนโห่ร้อง"นั่นเสียงอะไรน่ะ" ฉันถามหมิงจู "น่าจะเป็นเสียงฝึกยิงธนูของราชองครักษ์เพคะ หม่อมฉันได้ยินว่าฝ่าบาททรงเสด็จไปทอดพระเนตรด้วยเพคะ" "ยิงธนูเหรอ...น่าสนุกแฮะ" ฉันยิ้มกว้าง จากนั้นจึงเดินไปตามเสียง ก็มาถึงลานกว้าง ที่รอบด้านทำเป็นที่นั่งล้อมรอบเหมือนอัฒจันทร์ มีเป้าธนูขนาดกลางวางเร
ฉันกับองค์หญิงเฟยเจินนั่งรอฝ่าบาทอยู่ในตำหนัก เราต่างก็รู้สึกกังวล กลัวว่าฝ่าบาทจะได้รับบาดเจ็บ เพราะด้านนอกคงมีเสียงของการต่อสู้อยู่"ทำไมเสด็จพี่เฟยฉีต้องคิดก่อกบฏด้วย...ฮือๆ...เสด็จพี่เฟยหรงทรงดีต่อท่านมากแท้ๆ" องค์หญิงเฟยเจินร้องไห้ "เฮ้อ" ฉันถอนหายใจ ไม่รู้ว่าจะปลอบใจอย่างไร จึงได้แต่กอดปลอบองค์หญิงเฟยเจินพร้อมกับลูบหลังเบาๆ "ฮือๆ...ฮือๆ..." สองชั่วยามต่อมา ฝ่าบาทเดินเข้ามาในตำหนักด้วยชุดที่เปื้อนเลือด "เสด็จพี่" องค์หญิงเฟยเจินวิ่งเข้าไปกอดฝ่าบาทพร้อมกับร้องไห้โฮ "เจ้าอย่าร้องไห้เลย พี่ชายอย่างข้าเจ็บปวดหัวใจนัก...องค์หญิงของข้าเหมาะกับรอยยิ้มนะรู้หรือไม่" ฝ่าบาทลูบหัวองค์หญิงเฟยเจินอย่างแผ่วเบา ก่อนจะบอกข้ารับใช้ให้พาตัวองค์หญิงกลับตำหนัก หลังจากที่องค์หญิงเฟยเจินเดินออกไปแล้ว ฉันก็มองสำรวจเขาว่าได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่ "ฝ่าบาท..." ฉันเรียกเขาแล้วกอดเขาไว้ ก่อนจะร้องไห้เสียงดัง"หม่อมฉันกลัวว่าพระองค์จะ...ฮือๆ" "เจ้าห่วงใยเราขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน หืม?"เขาถามเสียงเรียบแต่มีแววหยอกล้อในน้ำเสียง "ฮือๆ..." ฉันทุบอกอกเขาแล้วมองเขาด้วยความโกรธแล้วพูดต่อว่า "เมื่อครู่หม
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ฉันเดินมาหยุดอยู่ที่สระบัวด้านหลังวัง และกำลังยืนรอใครบางคนอยู่ "เจ้ามาแล้ว" เสียงทุ้มเอ่ยด้วยความดีใจ เขาก็คือองค์ชายเฟยฉีนั่นเอง "ข้าจะลงมือคืนนี้" ฉันยิ้มร้ายๆและมองสบตากับองค์ชายเฟยฉี "ดีมาก...ถ้าหากสำเร็จ...เจ้าก็จะเป็นฮองเฮาของข้า" เขาแสยะยิ้ม ใบหน้าที่ดูอ่อนโยนกลับบิดเบี้ยว รอยยิ้มของเขามันดูโรคจิตราวกับฆาตรในภาพยนตร์ที่เคยดู เล่นซะฉันขนลุกเกรียว "อย่าลืมที่สัญญาล่ะ" ฉันยิ้มกว้าง ก่อนจะมองซ้ายขวาแล้วรีบเดินจากมา วันนี้เป็นงานวันเกิดขององค์ชายเฟยฉี จึงมีการจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองภายในวัง ฉันเห็นพวกนางกำนัลวิ่งวุ่นกันแต่เช้า มองดูแล้วก็รู้สึกเหนื่อยตาม ฉันเดินตามทางไปเรื่อยๆจนมาถึงห้องทรงงานของฝ่าบาทก็พบว่าฝ่าบาทไม่อยู่ "ฝ่าบาทอยู่ที่ใดหรือ" ฉันถามคนที่เฝ้าอยู่ด้านนอก"เสด็จไปที่สวนพะย่ะค่ะ" เมื่อได้ยินอย่างนั้นฉันจึงออกจากห้องทรงงานแล้วเดินไปที่สวน เห็นฝ่าบาทกำลังนั่งจิบชาในศาลาเก๋งจีนพลางชมดอกไม้ และมีบรรดาพระสนมนั่งและข้ารับใช้นั่งอยู่บนพื้นหญ้าด้านข้าง "ฝ่าบาทเพคะ ชาที่หม่อมฉันชงรสชาติดีหรือไม่เพคะ" เสียงออดอ้อนที่ฉันจำได้ว่าเป็นเสียงของพระสนมฉางดังขึ้
วันต่อมา องค์หญิงเฟยเจินรีบมาหาฉันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง และยังเตรียมของมาให้ฉันพอกหน้าให้อีกด้วย ฉันจึงสอนนางกำนัลขององค์หญิงและทำให้ดูเป็นตัวอย่าง "ต่อไปนี้ก็ทำเองได้แล้ว" "ขอบพระทัยเพคะ" องค์หญิงเฟยเจินย่อกายคาระวะ จากนั้นก็พูดว่า "จริงสิเพคะ วันนี้เสด็จพี่เฟยฉีจะกลับมาจากชายแดนเพคะ" "เฟยฉี?" ฉันทำท่านึกก่อนจะนึกออกว่าเขาคือคนที่แอบลอบพบกับฉันก่อนที่ฉันจะทะลุมิติมาที่นี่"พี่สะใภ้...หม่อมฉันทูลด้วยความหวังดี อันที่จริงฝ่าบาท...เสด็จพี่เฟยหรงทรงอบอุ่น ใจดีมากนะเพคะ เพียงแต่แสดงออกไม่เป็นเท่าใดนัก" องค์หญิงเฟยเจินกระซิบที่ข้างหูของฉัน ฉันจึงมองหน้าองค์หญิงเฟยเจินก็พลันเข้าใจในสิ่งที่นางต้องการจะสื่อ "เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก ข้าไม่ไม่มีวันผิดพลาดซ้ำสองแน่" ฉันยิ้มบางๆให้องค์หญิงเฟยเจิน "เฮ้อ~ หม่อมฉันค่อยโล่งใจหน่อย หากหม่อมฉันสมรสจะได้ไม่ต้องห่วงเสด็จพี่เฟยหรง" องค์หญิงเฟยเจินถอนหายใจอย่างโล่งอก "เจ้าจะสมรสกับผู้ใดหรือ?" "พี่สะใภ้ท่านไม่รู้หรือ...เสด็จพี่จะให้หม่อมฉันสมรสเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างแคว้น แต่หม่อมฉันยังคงคิดอยู่ว่าจะเลือกสมรสกับผู้ใดระหว่างฮ่องเต้แคว้นซีฮัน ท่านอ๋อง
วันต่อมา ยามซื่อ (09.00 - 10.59 น.) ฉันตื่นนอนและลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจ อันที่จริงโดนกักบริเวณก็ไม่แย่สักเท่าไหร่ จะตื่นหรือจะกินข้าวตอนไหนก็ได้ แถมไม่มีผู้ใดมายุ่งอีก อันที่จริงในตำหนักนี้ยังมีนางกำนัลคนอื่นๆอีกแต่ฉันไม่อยากให้ใครมาวุ่นวาย มากคนก็มากความ "พระองค์จะอาบน้ำเลยหรือไม่เพคะ" หมิงจูที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูได้ยินเสียงสวบสาบภายในห้องจึงรีบเข้ามาปรนนิบัติ "อาบเลย" ฉันพูดแล้วลุกจากเตียงโดยมีหมิงจูช่วยพยุง "ข้าอาบคนเดียว เจ้าออกไปเถอะ" "เพคะ" หมิงจูรับคำแล้วย่อทำความเคารพ ก่อนจะเดินออกไป "ลา~ลา~" ฉันฮัมเพลงพร้อมกับถูสบู่ที่เอามาจากยุคปัจจุบันก็กระเป๋าที่ฉันให้หลินหลินกับองุ่นนั่นแหละ ดีนะที่ฉันฉลาดเตรียมไว้ อันที่จริงไม่ได้เตรียมไว้เพื่อทะลุมิติหรอกนะ ฉันเตรียมไว้เผื่อฉุกเฉิน ในนั้นมีไฟฉาย เซ็ตยา ผงป้องกันแมลง ผงป้องกันงู สารพัดอย่าง และที่สำคัญคือดิลโด้ ฉันใส่ในกระเป๋าเอาฮาเฉยๆ ไม่รู้ว่าพวกมันจะเอาไปทำอะไรกันบ้าง "จริงสิ...ฉันต้องสืบว่าท่านอ๋องกับท่านแม่ทัพที่หลินหลินกับองุ่นเลือกอยู่ที่ไหน ฉันจะได้ไปหาพวกมันไง อิอิ" ฉันยิ้มกว้างอย่างมีความสุข เมื่อคิดว่าจะได้เจอเพื่อนๆ เด
สามวันต่อมา ฉันนั่งเท้าคางด้วยความเบื่ออยู่ในสวนภายในตำหนักฮองเฮา "เฮ้อ~" ฉันถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย "ทรงเป็นอันใดเพคะ" หมิงจูนางกำนัลที่คอยรับใช้ฉันถามด้วยความเป็นห่วง "เบื่อ" ฉันตอบพร้อมกับฟุบหน้าลงบนโต๊ะ หลังจากที่มีคำสั่งจากฮ่องเต้ให้กักบริเวณฉัน ฉันก็ได้สอบถามกับหมิงจูว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง ฉันถึงได้โดนขังอยู่ในตำหนัก เค้นอยู่ตั้งนานกว่าหมิงจูจะยอมบอกหมิงจูบอกว่าเพราะฉันลอบพบบุรุษ และบุรุษผู้นั้นไม่ใช่คนอื่นไกล เพราะเขาคือน้องชายร่วมสายเลือดเดียวกับฮ่องเต้เฟยหรงมีนามว่าเฟยฉี พอฉันได้ฟังเรื่องราวแล้วก็อยากจะตายไปให้รู้แล้วรู้รอด พี่สะใภ้พบกับน้องชายของสามีลอบพบกัน แค่ได้ฟังก็ได้รู้ว่าฮ่องเต้ผู้นั้นโดยสวมหมวกเขียวเข้าแล้ว ฉันที่เพิ่งทะลุมิติมาก็ต้องชดใช้กับสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำ...โคตรซวยเลย(TT) และหมิงจูก็เล่าอีกว่าฮ่องเต้องค์นี้อยากจะปลดสตรีหลังวังให้เหลือเพียงตำแหน่งฮองเฮาเท่านั้น แต่โดนพวกขุนนางคัดค้าน และเขาเห็นพฤติกรรมของฉัน เขาจึงพักเรื่องนี้เอาไว้ก่อน จากการไตร่ตรองจากสมองอันชาญฉลาดของฉันแล้ว ฉันคิดว่าฮ่องเต้ต้องมีใจให้ฉันชัวร์ๆ โดนสวมหมวกเขียวขนาดนี้ยังทำแค่กั