พวกเราใช้เวลารับประทานอาหารเช้ากันค่อนข้างนานนิดหน่อย เพราะว่ามัวแต่เถียงกันเรื่องที่เรียนใหม่ฉันตลอดเวลาของการทานข้าว และก็เหมือนเดิม...
คนที่ห้ามทัพของเราสองพ่อลูกก็คือแม่เล็ก ผู้มีนิสัยสุขุมและมีเหตุผลที่สุดที่ป๊าฉันยังไม่กล้าขัด
“เบื่อจัง! โทรบอกเรื่องเปลี่ยนที่เรียนให้ยัยยีนส์รู้สักหน่อยดีกว่า” หลังจากที่นั่งอุดอู้อยู่ในห้องตัวเองมานานสองนาน ฉันเลยนึกถึงเพื่อนรัก เพื่อนสนิทในมหาลัยเก่าอย่างยัยยีนส์ขึ้นมา
ถ้าฉันไม่บอกมันก่อนล่วงหน้าว่าฉันต้องลาออกจากที่นั่นเพื่อไปเรียนที่ใหม่มีหวังยัยนี่ได้โกรธฉันไปสามชาติแน่ๆ
ก็ฉันมีเพื่อนสนิทกับเขาแค่คนเดียวนี่เนอะ คนอื่นๆ ที่เข้ามาหาฉันก็เพราะว่าฉันรวยกันทั้งนั้น ยกเว้น! ยัยยีนส์ เพราะนางทั้งสวยและรวยเท่าๆ กับฉัน
ตู๊ด~ ฉันที่นั่งต่อสายหาเพื่อนสนิทอยู่ไม่ถึงสิบวินาทีปลายสายก็กดรับพร้อมกับคำทักทายที่ฉันไม่คิดว่ายัยนี่ก็รู้แล้วเหมือนกัน
[ฉันเก็บของอยู่ ป๊าแกนี่จะรีบย้ายที่เรียนเร็วไปไหนห๊ะยัยเพลย์]
ได้ไงอะ!? นี่ป๊าบอกยัยยีนส์เรื่องย้ายที่เรียนก่อนแล้วเหรอ แล้วที่หล่อนบอกว่าเก็บกระเป๋าอยู่คืออะไร?
“แกเก็บกระเป๋าทำไม แล้วทำไมป๊าถึงต้องบอกแกเรื่องนี้ก่อนฉัน” ฉันรีบถามคำถามเพื่อนสนิทออกไปแทบจะลิ้นพันกัน ไม่เข้าใจทำไมป๊าต้องบอกเรื่องนี้กับยีนส์...
อย่าบอกนะว่าที่เธอกำลังเก็บกระเป๋าอยู่เพราะว่า...
[ก็ฉันต้องไปกับแกไง ยัยเพลย์เพื่อนรัก]
ว่าแล้วเชียว ทำไมเวลาฉันเล่นทายหัวก้อยกับยัยยีนส์และเพื่อนๆ ในห้องถึงไม่ถูกเผงแบบนี้กันนะ “แล้วแกรู้ป้ะ ว่าป๊าย้ายพวกเราสองคนไปที่ไหน” เพราะฉันคิดว่าป๊าต้องบอกรายละเอียดยัยยีนส์เยอะกว่าฉันน่ะสิ เลยต้องถามเธอออกไป
[ป๊าแกบอกว่าเป็น RNN university]
[เป็นมหาลัยเอกชนที่เพิ่งเปิดได้เมื่อปีก่อนน่ะ]
RNN งั้นเหรอ?
ไม่เห็นจะเคยได้ยิน ถ้าเป็นมหาลัยเปิดอย่างที่ยัยยีนส์ว่า น่าจะคุ้นหูบ้างสิ แต่ยัยยีนส์บอกเองนี่ว่าเพิ่งเปิดได้แค่ปีเดียว คงจะยังไม่ดังหรอกมั้ง“โอเค งั้นพรุ่งนี้เจอกันนะเพื่อนรัก” พูดลาเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของตัวเองเสร็จฉันก็วางสายเธอไป หมุนตัวลงจากเก้าอี้ตัวกลม เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าของตัวเอง
“ได้เวลาเปลี่ยนที่อยู่ใหม่อีกแล้วสินะ” สองตาจ้องมองตู้เสื้อผ้าใบใหญ่ตรงหน้า ริมฝีปากบางสีชมพูระเรื่อกัดปลายนิ้วชี้ขวาตัวเองเล่น สองคิ้วขมวดเป็นปมน้อยๆ ครุ่นคิดว่าจะเอาอะไรออกไปจากตู้ใบนี้ดี
ประเด็นมันอยู่ที่ ฉันจะไปอยู่ที่นั่นกี่วัน กี่เดือน หรือว่าตลอดไปไง เพราะคิดไม่ตกก็เลยเลือกที่จะลากกระเป๋าเดินทางใบเขื่องสามใบออกมาวางแหมะบนเตียงนอนขนาดคิงไซส์ที่นอนกันได้ถึงห้าคน จัดการรวบเสื้อผ้าครึ่งค่อนตู้ ยัดมัดลงกระเป๋าใบแรกจนล้น จากนั้นก็จัดการกับใบที่สองและสาม
“เหนื่อยชะมัด!” นี่แค่จัดกระเป๋าเสื้อผ้าตัวเองแค่ห้าใบเองนะ แทบจะหมดแรง ตอนแรกคิดว่าสามใบน่าจะพอ แต่ฉันเป็นพวก รักพี่เสียดายน้อง ถ้าไม่เอาอันนั้นไปก็กลัวไปถึงที่นั่นแล้วเกิดอยากใช้ขึ้นมาจะไม่มีให้ใช้
สุดท้ายเลยกลายเป็นกวาดมันเกือบหมดทั้งตู้จนได้กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ยักษ์มาห้าใบตรงหน้านี่ไงล่ะ
และแล้ววันเดินทางสู่สถาบันการศึกษาแห่งใหม่ของฉันกับยัยยีนส์เพื่อนรักก็มาถึง ตอนนี้ยัยยีนส์มาหาฉันที่บ้านเรียบร้อยแล้ว ก็คำสั่งป๊านั่นแหละ ให้คนไปรับเธอมา เพราะไปด้วยกันมันจะดีกว่าให้เจอกันที่นู่น
“โห! ยัยเพลย์ นี่แกกะจะย้ายบ้านเลยใช่มะ” ยัยยีนส์ทำตาโตทันทีที่เธอเห็นสัมภาระห้าใบของฉันที่พวกแม่บ้านกำลังช่วยกันขนมาขึ้นรถลีมูซีนสีดำมันเงา
“แกก็รู้ว่าฉันต้องพร้อมที่สุด” ฉันจับหน้าสวยเรียวเล็กของเพื่อนสนิทส่ายไปมาเบาๆ พร้อมกับย่นจมูกโด่งรั้นน้อยๆ ของตัวเองให้เพื่อนตรงหน้า
“พอเลย ฉันมึนหัว แล้วอย่ามาขอแรงฉันจัดกระเป๋าตอนถึงที่นู่นแล้วกัน”
หวา!! แย่เลย ยัยยีนส์รู้ทันฉัน นี่กะว่าถึงที่นู่นจะให้เธอช่วยจัดกระเป๋าเข้าตู้สักหน่อย แบบนี้ฉันก็ต้องเอาของในกระเป๋าห้าใบออกมาจัดเองหมดเลยงั้นสิ
เพลย์เยอร์แย่แล้ว~
@RNN university
ไม่นึกไม่ฝันมาก่อน ว่าไอ้ที่เรียนใหม่ของตัวเองจะไกลโคตะระไกลแบบนี้ เหมือนออกมานอกเมืองกรุงยังไงยังงั้นเลย พวกเราใช้เวลานั่งรถกันร่วมสามชั่วโมงเลยนะ กว่าจะถึงจุดหมายปลายทางได้เนี่ย เล่นเอาก้นฉันชาแล้วชาอีก ตะคริวกินไปตั้งกี่ล้านรอบก็ไม่รู้
“ยีนส์... อุ้มหน่อย เพลย์เดินไม่ไหว” ฉันมักจะอ้อนเพื่อนสนิทตัวเองแบบนี้บ่อยๆ ก็ยัยยีนส์น่ะแรงเยอะจะตาย ตัวก็เล็กติ๊ดเดียว
แต่ทำไมถึงอุ้มฉันที่หนักถึง 45 โลขึ้นก็ไม่รู้
“นู่น~ ไปเล่นตรงนู้นไป”
อ้าว! ครั้งนี้ยัยยีนส์ไม่ยอมอุ้มอะ สงสัยเธอก็คงจะเมื่อยเหมือนกัน
“ท่านทูต เศกอนันต์ สวัสดิ์รุ่งโรจน์ ใช่ไหมครับ”
ทันทีที่พวกเราก้าวเท้าเดินมายังตึกหลังหนึ่งที่สร้างได้เหมือนกับอาคารเรียนของพวกประถม ที่มีระเบียงไม้กั้นแทนที่จะเป็นปูนเหมือนกับตึกในมหาลัยทั่วๆ ไป มองดูแล้วก็แปลกตาดีนะ กับการดีไซน์ตึกของมหาลัยแห่งนี้
“ครับ ผมพาลูกสาวกับเพื่อนลูกสาวมามอบตัวเข้าเรียนที่นี่”
เสียงป๊าคุยตอบกลับผู้ชายร่างผอมสูงอายุน่าจะแก่กว่าพ่อฉันหลายปี
“เชิญทางนี้เลยครับ ท่านอธิการกำลังรออยู่เลย” คุณลุงท่านเดิมพูดพร้อมกับผายมือเชิญให้พวกเราสามคนเดินตามท่านเข้าไปในตึกนี้
ดูๆ แล้วภายในตึกนี้ก็น่าอยู่เหมือนกันนะ การตกแต่งที่ดูเรียบๆ แต่รู้สึกอบอุ่น มีแชนเดอเลียที่เป็นโคมไฟระย้ารูปหมวกรับปริญญาที่ออกแบบไม่ซ้ำใคร และฉันไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนห้อยอยู่บนเพดานเรียงรายเต็มไปหมด
“ที่นี่ดูอบอุ่นและแปลกตาดีเนอะ อยากเห็นคนออกแบบตึกพวกนี้จัง”
ฉันพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของยัยยีนส์ เดินมาไม่ถึงสิบนาที แต่ทำไมฉันรู้สึกเหมือนตกอยู่ในบ้านแห่งเวทย์มนต์นานนับชั่วโมงแบบนี้ก็ไม่รู้ ทำให้รับรู้ถึงแรงสะกิดเบาๆ ตรงไหล่ พอมองไปก็เจอกับยีนส์ที่ทำหน้าเอ๋อๆ มองฉันอยู่
“มีไร” ฉันถามเธอออกไปเสียงดังลั่น ก่อนจะเหลือบมองเห็นภายในห้องที่ตัวเองยืนอยู่ตอนนี้ ที่ทุกคนนั่งเก้าอี้กันหมดแล้ว เหลือแค่ฉันที่ยืนหัวโด่อยู่คนเดียว
น่าขายน่าชะมัด! ฉันก้มหัวขอโทษทุกคนที่มีทั้งหัวหงอกหัวดำนั่งอยู่ในห้องนี้ประมาณ 4-5 คน พร้อมกับยิ้มแหยๆ แก้หน้าแหกๆ ให้คนพวกนั้นไป
“ขอโทษแทนลูกสาวผมที่เสียมารยาทด้วยนะครับ ท่านอธิการ”
ป๊าพูดขอโทษคนที่นั่งอยู่โต๊ะตัวเขื่องตรงหน้าพวกเรา ข้างๆ ท่านอธิการมีคุณลุงคนที่นำทางเรามายืนยิ้มน้อยๆ ให้ฉันด้วย นั่นเขายิ้มเยาะเย้ยฉันหรือเปล่านะ!
อาการขี้มโนของฉันเริ่มกำเริบอีกแล้ว เวลาเห็นอะไรที่ตัวเองคิดไม่ออกว่ามันคืออะไร ฉันก็มักจะเป็นแบบนี้แหละ คิดเป็นตุเป็นตะไปก่อนเหตุ
“น้องเพลย์ ไหว้ท่านอธิการพัฒนพงษ์ รัตนะวานนท์ สิลูก หนูยีนส์ด้วยนะ”
สิ้นสุดคำป๊า ฉันกับยัยยีนส์ก็ยกสองมือพนมไหว้ท่านอธิการที่ชื่อยาวเฟี้อยชื่ออะไรสักอย่างแบบกุลสตรีหญิงไทย ฉันแค่คนเดียวนะ ส่วนยัยยีนส์ก็ทำปกตินั่นแหละ
“สวยเหมือนแม่จริงๆ” ทำไมท่านอธิการถึงพูดเหมือนรู้จักแม่ฉันงั้นแหละ
“ไม่ต้องทำหน้าสงสัยหรอกหนูเพลย์”
“ลุงรู้จักกับแม่ของหนูตั้งแต่เรียนอยู่มหาลัยเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนน่ะ”
อ๋อ... ที่แท้ก็เป็นเพื่อนคุณแม่มาก่อนงั้นเหรอ ฉันพยักหน้าน้อยๆ ฉีกยิ้มหวานให้คุณลุงอธิการ
“ยังไงผมก็ขอฝากลูกสาวกับเพื่อนเธอ”
“ไว้ในความดูแลของท่านอธิการด้วยนะครับ”
“อย่าเรียกห่างเกินกันแบบนั้นสิคุณเศก คนกันเองทั้งนั้น”
คุณลุงอธิการเรียกชื่อเล่นป๊าฉันแบบนี้ แสดงว่าต้องสนิทกันมากๆ จริงๆ สินะ
“เอางั้นเหรอคุณพงษ์”
แล้วหลังจากนั้นทั้งห้องก็ตกอยู่ในห้วงแห่งเสียงหัวเราะที่ดังระงมลั่นห้อง ฉันกับยัยยีนส์ก็เลยอดที่จะยิ้มขำกับความเด็กของคนสูงวัยทั้งสามไม่ไหว พอมองพวกท่านหัวเราะมีความสุขกันแบบนี้ ฉันก็หวังว่าจะได้เรียนอยู่ที่นี่จนจบนะ
“เดี๋ยวลุงให้คนพาทั้งสองไปรู้จักกับห้องเรียนต่างๆ แล้วก็พาไปรู้จักอาจารย์ที่ปรึกษาของคณะหนูทั้งสองแล้วกันนะ”
คุณลุงพงษ์ คือ... ท่านให้ฉันเรียกแบบนี้เวลาอยู่กันตามลำพังน่ะ
หลังคำสั่งของคุณลุงพงษ์ก็มีอาจารย์ ฉันคิดว่าน่าจะใช่นะ เพราะเขาแต่งตัวด้วยสูทดำดูเนี๊ยบและเรียบร้อยแถมยังหนีบหนังสือเรียนที่ใต้รักแร้ไว้แบบนั้น แต่หน้าตาเขาดูหล่อเหลา อายุน่าจะสามสิบต้นๆ เป็นคนเดินนำทางพวกเรา
“กว้างชะมัด เล่นเอาขาล้าไปหมดเลย”หลังจากที่กิจกรรมทัวร์มหาลัย RNN ครบทุกซอกทุกมุม พวกเราสองคนก็นั่งรถลีมูซีนของป๊าคันเดิมมาที่คอนโดที่ป๊าซื้อไว้ให้ฉันกับยัยยีนส์พักตอนเรียนอยู่ที่นี่ แล้วท่านก็รีบกลับบ้านเพื่อที่จะไปทำงานต่อ“นั่นน่ะสิ แล้วนี่เมื่อไหร่คนที่บ้านฉันจะเอา นินจา ลูกรักฉันมาส่งสักทีเนี่ย”ฉันรีบหันขวับไปมองหน้ายัยยีนส์ทันที ที่ได้ยินเธอพูดถึงลูกรักของเธอ“นี่แกอย่าบอกนะจะขับไอ้มอเตอร์ไซค์คันใหญ่ยักษ์นั่นไปเรียนน่ะ”ฉันรีบถามยัยยีนส์ออกไปแทบเสียงดังลั่น เคยบอกยัยนี่ไปหลายครั้งแล้วว่าผู้หญิงตัวเล็กจิ้ดเดียวแบบเธอไม่เหมาะที่จะขับไอ้รถมอเตอร์ไซค์คันบักเอ๊กแบบนั้นหรอก เกิดวันดีคืนดีมันเกิดพาแหกโค้งขึ้นมาจะทำยังไงเอ่อ... คือฉันไม่ได้แช่งเพื่อนรักนะ แต่ที่พูดเพราะเป็นห่วงต่างหาก“นี่! อย่าเรียกนินจาลูกรักฉันแบบนั้นสิ” “นั่นน่ะ Kawasaki ZX10R คันโปรดฉันเลยนะเว้ย!”ไม่ไหวจะเคลียร์กับเพื่อนคนนี้ คนอะไรชอบผาดโผนเสียจริงๆ เจ็บตัวเพราะไอ้นินจาลูกรักคันนั้นมาเมื่อไหร่ ฉันจะไม่ไปดูดำดูดีเลยคอยดูเหอะ“นี่แหนะๆ”“โอ๊ย! ทำอะไรของแกเนี่ย เจ็บนะ” อยู่ๆ ยัยยีนส์ก็เล่นอะไรไม่รู้ผลักหัวฉันตั้
หลังจากที่จัดเตรียมเอกสารการเรียนเสร็จ พวกเราก็ลงมาจากชั้นเจ็ด ตรงมาที่ลานจอดรถของคอนโด ซึ่งอยู่ชั้นล่างสุด สองเท้าฉันแข็งทื่อแบบอัตโนมัติ เมื่อสายตามองเห็นสิ่งที่จอดอยู่ตรงหน้าอึก~ ฉันยืนกลืนน้ำลายเอื๊อกๆ มองเจ้านินจาลูกรักยัยยีนส์คันสีเขียวใบตองที่สงสัยคนที่บ้านเธอคงจะเพิ่งเอามาให้เมื่อเช้า“แกจะให้ฉันซ้อนแมงกะไซค์คันยักษ์นี่จริงเหรอ” ฉันว่าพร้อมกับชี้นิ้วเรียวยาวกรีดกรายไปยังเจ้ามอเตอร์ไซค์คันเขื่องลูกรักของยีนส์“ตามใจแกนะ จะเดินไป หรือจะไปเรียกแท็กซี่เองก็แล้วแต่”ชิ! ช่างประชดประชัน รู้ทั้งรู้ว่าฉันไม่กล้าเรียกใช้บริการแท็กซี่ เพราะเคยไม่ประทับใจกับการบริการที่สุดแสนจะสร้างความร้าวฉานให้กับใบหน้างามๆ ของฉันด้วยการที่‘อีหนู... เดี๋ยวลุงจอดข้างหน้านะ’‘อ้าว! ทำไมล่ะคะ ยังไม่ถึงที่หมายเลย’‘พอดี... เอ่อ ลุงไม่ชอบกลิ่นทุเรียนน่ะ ในถุงนั่นคือทุเรียนใช่มั้ย’ปรี้ดแตกมั้ยถามใจฉันดู! แค่ฉันซื้อทุเรียนแล้วนั่งแท็กซี่ แล้วดันไปเรียกใช้บริการคันที่ไม่ถูกกับทุเรียน แล้วลุงแกก็อันเชิญฉันลงจากรถแกทันที แล้วดันจอดให้ฉันในที่ๆ ฉันต้องรอคันต่อไปถึงชั่วโมงเต็มๆพูดแล้วของขึ้น! หลังจากนั้นฉันเลย
“โอ๊ย! แทงเบาๆ สิวะ”หืม!? เท้าฉันหยุดกึกโดยอัตโนมัติ พร้อมกับเงี่ยหูฟังบทสนทนาต่อไปแบบมีมารยาทที่สุด“ไอ้ห่า! แทงทีละนิดมันจะไปเสร็จอะไร เนี่ยแบบนี้แหละดีแล้ว” “แทงครั้งเดียวมิดเลย เจ็บ แสบดีมั้ยล่ะ ฮ่าๆ”เฮ้ย! บทสนทนาของสองคนในห้องน้ำทำไมมันทะแม่งๆ แบบนี้นะ แถมเสียงที่คุยกันดันเป็นเสียงผู้ชายไม่ได้การๆ เข้าใจนะว่าสังคมสมัยนี้มันพัฒนาไปถึงไหนแล้ว เรื่องรักเพศเดียวกันอะไรพวกนี้มันเหมือนเรื่องธรรมชาติเข้าทุกวันแต่นี่!! มันสถานศึกษา แถมยังอยู่ในที่สาธารณะแบบนี้อีก“ไอ้พวกทุเรส ไม่รู้จักกาลเทศะ ได้!! เดี๋ยวแม่เพลย์สุดสวยจะสั่งสอนเอง” พูดเสร็จก็หน้าด้าน ไม่สนอะไรแล้วในนาทีนี้ เปิดประตูห้องน้ำชายเข้าไป โป๊ก!!“เหี้ยตัวไหนขว้างมาวะ!”เหี้ยตัวนี้ล่ะ แถมสวยด้วย ฉันคิดในใจ ยืนกอดอกมองดูผลงานการปาขวดโค้กที่มันเคยอยู่ในกระเป๋าสะพายของตัวเองแต่ตอนนี้มันลอยระริ้วและดันแม่น ตรงเข้ากลางกระบานของไอ้ผู้ชายหัวขาวที่ยืนหันหลังให้ฉันอยู่ แล้วดูสิ ท่าทางอุบาจ บัดสีบัดเถลิงนั่นมันอะไรฉันเห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ติดกับอ่างล้างหน้าแถมยังหันหลังให้ไอ้หัวขาวนี่อีก แต่ฉันมองไม่เห็นหน้าเขาหรอกนะ เพราะมีร่างห
@หน้าตึกคณะศิลป์ - เอกออกแบบ“กว่าจะเสด็จมาได้นะ ไอ้ลูกเจ้าของมหาลัย” ผมยังก้าวขาไม่ถึงโต๊ะที่มีมนุษย์หน้าหล่อสามตัวนั่งอยู่ ไอ้เคซิส ก็เริ่มกัดผมเป็นคนแรก จะรอให้ผมก้นถึงเก้าอี้ก่อนไม่ได้หรือไงวะ‘เคซิส’ คือเพื่อนอีกคนในกลุ่มผมอีกคน มันเป็นถึงนักเรียนนอก แต่ดันมาซิ่วต่อที่ไทย ผมก็ไม่เข้าใจมันเหมือนกัน เรียนที่เมืองนอกจบแล้ว แต่ดันอยากมาลองเข้าเรียนที่มหาลัยเมืองไทยดูอีกที เหตุผลเพราะ... ‘กูอยากจีบสาวไทยในชุดนักศึกษา’ไอ้เคซิส เป็นเจ้าของผับ S นิสัยค่อนข้างสุขุมและเยือกเย็น ใบหน้าคมเข้มออกแนวลูกครึ่งเยอรมัน แถมอายุเยอะกว่าพวกผมตั้งสองปีแต่ด้วยความที่ซิ่วกับซิ่วมาเจอกัน คบกันมาถึงสามปี เลยไม่ค่อยจะเรียกมันว่าพี่เท่าไหร่ แต่ถามว่าพวกเราเคารพมันมั้ยก็... เคารพนะ แต่ไม่อยากเรียกพี่ มีไรป้ะ?“ได้ข่าวเจอดีเหรอมึง” ไอ้การ์เซียถามผมเสียงนิ่งๆ แบบไม่มองหน้า‘การ์เซีย’ หนุ่มหล่อ รวย คมเข้ม ดีกรีเจ้าของสนามแข่งรถเถื่อน ขอเตือนเลยนะ อย่าคิดอยากไปรู้จักมันเด็ดขาด เพราะมันค่อนข้างเลือดเย็น ใจแม่งหิน!“ไอ้ขันแม่งมาฟ้องอีกละสิ” ปากผมพูด แต่ตานี่กำลังก่นด่าไอ้ขันที ที่แท้ที่รีบวิ่งออกจากห้องน้ำมาก่
“ยัยเพลย์!!” เสียงตะโกนแสบแก้วหูของยีนส์ดังลั่นพื้นที่ของโรงอาหาร ที่ตอนนี้ฉันกำลังนั่งรอมันอยู่ “จะตะโกนทำซากอะไร หูจะแตก”เดินอีกไม่กี่ก้าวก็ถึงโต๊ะอยู่แล้ว จะมาตะโกนเรียกให้เจ็บคอทำไมก็ไม่รู้“อย่ามาเนียน” ยีนส์นั่งลงเก้าอี้ม้าหินอ่อนอีกตัวหนึ่งฝั่งตรงข้าม ฉันเลยยิ้มแหยๆ พร้อมกับก้มหน้าเล่นมือถือต่อ“แกปล่อยให้ฉันเดินไปที่ห้องเรียนนั่น โดยที่ไม่ยอมบอกว่ามันไม่มีคลาสเรียนอะไรของเช้านี้แล้ว แถมยังให้ฉันเดินวนหาแกทั่วมหาลัย...”ยีนส์เว้นจังหวะเพื่อหอบหายใจ แล้วเริ่มบ่นให้ฉันต่อ“สุดท้ายแกเพิ่งส่งไลน์หาฉันเมื่อห้านาทีก่อน ว่าแกนั่งหน้าบานอยู่ตรงนี้”ยีนส์ชี้นิ้วเรียวยาวของเธอลงที่โต๊ะที่เราสองคนนั่ง พร้อมกับเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นทำหน้าเชิงหาเรื่องฉัน “ยีนส์ เพลย์ขอโทษ เพลย์ลืม~”ฉันทำเสียงอ่อนเสียงหวาน พร้อมส่งสายตาฟรุ้งฟริ้งที่ชอบทำเวลาตัวเองทำความผิด เพราะยีนส์น่ะเธอแพ้สายตาขี้อ้อนของฉันตลอดแหละ“หึ้ย! มันน่ามั้ย เก็บไปเลยนะ ไอ้สายตาฟรุ้งฟริ้งของแกน่ะ เห็นแล้ว..”“ใจอ่อนชิมิ~” ฉันแกล้งพูดแซวเพื่อนรักที่นั่งเมินหน้าหนีฉันไปอีกทาง พร้อมกับรอยยิ้มบางๆ เหมือนกลั้นขำที่มุมปากของยีนส์พวกเร
เรานั่งเรียนเกี่ยวกับโครงสร้างงานโฆษณาไปได้ประมาณห้าสิบนาที อาจารย์สมรศรีก็ปล่อยพวกเราเลิกคลาสเร็วกว่ากำหนดเกือบสี่สิบนาทีมหาลัยนี้มันเป็นมหาลัยเปิดจริงๆ สินะ อยากเลิกตอนไหนก็เลิก เกิดอินดี้ไม่อยากเข้าสอน ฉันก็ไม่สอน เชิญคุณๆ เรียนรู้เอง ดีชะมัด!!“เพลย์ ยีนส์ จะกลับเลยมั้ย เพราะหลังจากนี้ก็ไม่มีเรียนต่อแล้ว”เสียงหวานๆ ของตาหวานถามพวกเรา“เอาไงดียีนส์ จะกลับเลยมั้ย” ฉันหันไปถามแนวร่วม“ไปห้างกัน แถวนี้มีห้างใกล้ๆ เปล่า” ยีนส์หันไปถามตาหวาน“มีสิ เดี๋ยวหวานพาไป จะพาทัวร์ให้ครบทุกชั้นของห้างเลย”ตาหวานพูดพร้อมกับดึงแขนพวกฉันสองคนเดินตามเธอมา“เดี๋ยว!!” ยีนส์ขืนตัวไว้พร้อมกับตะโกนหยุดตาหวานที่กำลังลากพวกเราสองคน “ทำไมเหรอ หรือว่าเกิดเปลี่ยนใจ”ตาหวานรีบหันหน้าใสๆ พร้อมกับทำตาบ๊องแบ๊วเหมือนแมวขี้สงสัยถาม“เปล่า... จะถามว่าหวานจะไปยังไง คือเราขี่มอไซค์มา”เออ! เกือบลืมไปเลย เรามีกันสามคน แต่รถดันเป็นมอเตอร์ไซค์ แล้วแบบนี้จะซ้อนสามไหวเหรอ “อ้าวเหรอ! งั้นยีนส์กับเพลย์ขับตามรถหวานมาแล้วกัน”“ยีนส์ฝากเพลย์ไปรถหวานได้เปล่าอะ ไม่อยากให้ยัยนี่นั่งตากแดด”ซึ้งค่ะ ฮือๆ ซึ้งในน้ำใจเพื่อนรักที่เป็น
“ซาดีนส์ เขาเป็นลูกเจ้าของมหาลัย หล่อ สูง ผิวขาวเหมือนผิวเด็ก ที่เด่นชัดเลยคือ สีผมบรอนด์ขาวที่โดดเด่นเพราะมีเพียงคนเดียวในมหาลัยนี้ที่ทำสีนี้”แว้บ!! ผมสีบรอนด์ขาวงั้นเหรอ? ทำไมจู่ๆ ภาพไอ้คู่เกย์ที่เมื่อเช้าฉันเพิ่งเจอในห้องน้ำชายมามันถึงได้ฉายภาพซ้ำให้ฉันเห็นนะ“เมื่อกี้เธอบอกว่า มีแค่คนเดียวที่ทำผมสีนี้งั้นเหรอ” เพราะอยากรู้ว่าจะเป็นไอ้โรคจิตสายเหลืองคนเดียวกันหรือเปล่าเลยถามตาหวานออกไป“อื้อ ทำไมเหรอ?” ตาหวานเอียงคอทำหน้าสงสัยถามฉัน“งั้นก็ไอ้โรคจิตสายเหลืองชัวร์” ฉันตบโต๊ะดัง ปึก! พร้อมกับโผล่งสิ่งที่คิดในใจออกมา กะจะคิดแค่ในใจไหงถึงกลายเป็นมีเสียงได้เนี่ย“อะไรของแกยัยเพลย์ พูดให้พวกฉันสองคนเข้าใจดิ” ยีนส์ประสานมือเอาคางวางไว้พร้อมกับหันหน้ามาถามฉันลืมไปเลยว่ายังไม่ได้เล่าเรื่องเมื่อเช้าให้ยัยเพื่อนสนิทคนนี้ฟัง“ก็ถ้าหวานบอกว่าคนที่ทำผมสีบรอนด์ขาวอะไรนั่นมีอยู่คนเดียวในมหาลัยฉันว่าก็ต้องเป็นไอ้โรคจิตที่กำลัง เอ่อ นั่นแหละ ในห้องน้ำชายเมื่อเช้าแน่เลย”ไม่อยากเอ่ยการกระทำที่มันอุจาดตาให้ตาหวานกับยีนส์ฟัง เลยเลี่ยงที่จะให้พวกเธอสองคนคิดกันไปเอง และคาดว่าคงจะพอเดากันได้ เพราะดูจาก
คนอย่างไอ้ซาดีนส์ไม่เคยคิดที่จะมีห่วงมาผูกคอ ยิ่งเรื่องแฟนผมยิ่งไม่เคยคิดให้รกสมอง เพราะอะไรน่ะเหรอ?หนึ่งเลย มนุษย์แฟนเป็นอะไรที่โคตรน่าเบื่อสำหรับผม ไหนจะคอยโทรจิกตลอดเวลา เซ้าซี้น่ารำคาญสอง... ยิ่งอยู่ด้วยยิ่งเหมือนติดคุก เวลาจะไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ต้องคอยขออนุญาต โทรรายงานความเคลื่อนไหว ไร้อิสระโคตรๆสามยิ่งแล้วใหญ่... ทำตัวอย่างกับแม่บังเกิดเกล้า จิกหัวใช้เป็นว่าเล่น แถมยังต้องคอยตามใจพวกมนุษย์แฟนอย่างพวกเธอๆ ไม่ไหวอะบอกเลย!“ตอแหล!” พันซ์พูดเบาๆ เหมือนกับกระซิบ เธอเอียงหน้าที่กำลังซบที่แผงอกขวาผม มองหวาที่กำลังยืนค้ำเอวอยู่ข้างๆ พวกเรา“แกว่าอะไร แน่จริงพูดดังๆ สิ แล้วก็ลงมาจากตักของแฟนฉันได้แล้ว!”หวายังคงพูดเองเออเองเรื่องสถานะของผมและเธอ“นี่ซาดีนส์มีแฟนปากจัด ขี้โวยวาย แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอคะ”พันซ์ไม่สนใจคำพูดของหวา เธอยังคงนั่งบนตักผม พร้อมกับซบใบหน้าอยู่ที่อกผมตามเดิม มือน้อยๆ ของเธอลูบอกข้างซ้ายผมเบาๆ“กรี้ด!! อีหน้าด้าน ฉันบอกให้ลุกจากตักแฟนฉันไง หูแตกหรือไงยะ”ตอนนี้ผมชักจะเริ่มรำคาญเสียงแหลมๆ ของหวาแล้วว่ะ น้องหวาคนที่ดูหงิมๆ ติ๋มๆ ตอนที่ส่งจดหมายรักให้ผมเมื่อช่วง
[รู้ได้ไงฉันชอบ ‘เล่น’ ลิ้น]กรี้ด!!!ได้แต่กรีดร้องอยู่ในใจ ถ้าฉันปรี้ดแตกตอนนี้ สามคนที่นั่งร่วมโต๊ะที่เลิกสนใจการคุยโทรศัพท์ของฉันต้องหันกลับมาถามแน่นอนว่า ‘เป็นอะไร’ ‘ใครโทรมา’“ไอ้ทุเรส ไม่ต้องมาหื่นใส่ ฉันรู้ว่านายชอบผู้ชาย” ปรี้ดแตกไม่ได้ใช่ว่าฉันจะด่าหมอนี่ไม่ได้[…] เฮอะ! เป็นไงเจอฉันแทงใจดำละสิถึงได้เงียบ“เงียบทำไม ตกลงจะพูดได้ยัง ก่อนหน้านั้นนายเรียกฉันว่าอะไร”[อยากรู้ก็มาถามตัวต่อตัว เอาแบบซึ่งๆ หน้า ฉันรออยู่xxx]ซาดีนส์บอกสถานที่ตัวเองอยู่เสร็จสรรพหมอนั่นก็วางสายฉันทันทีอะไรกันเนี่ย บ้าไปแล้ว อยู่ๆ โทรมาหาเรื่องกวนประสาทฉันแล้วก็ให้ฉันออกไปหาที่คณะตัวเองเนี่ยนะ“คุยกับใครนานสองนาน แถมคิ้วแทบจะผูกโบว์อยู่แล้ว”ยีนส์เปิดปากถามฉันคนแรก จากนั้นก็มีเอฟเฟคพยักหน้าอยากรู้ของสองพี่น้อง ตาหวานและตาโตตามมา“เปล่าไม่มีอะไร พอดีที่บ้านโทรให้ออกไปเอาของนิดหน่อย เดี๋ยวขึ้นเรียนคาบต่อไปก่อนเลยนะ เพลย์ตามไปทีหลังเอง”ว่าจบฉันก็ไม่รอให้ใครซักไซ้อะไรต่อ รีบเดินสะบัดก้นงอนๆ ออกไปจากโรงอาหารของคณะตัวเอง มุ่งหน้าไปยังหน้าลานนั่งเล่นของตึกศิลป์สถานที่ที่ไอ้บ้าซาดีนส์มันนัดไว้ก่อนวางสายไป[
[อ้าว! ยีนส์ก็..] ทว่าพ่อของยีนส์เหมือนกำลังจะพูดอะไรสักอย่าง เสียงใสๆ ของคนที่เป็นประเด็นก็ดังขึ้น“เฮลโหลวว สาวๆ”“ยีนส์ / ยัยบ้ายีนส์” ตาหวานและฉันโพล่งเรียกชื่อผู้มาใหม่พร้อมกัน“ขอโทษที่รบกวนนะคะคุณลุง ตอนนี้ยีนส์อยู่ที่นี่แล้วค่ะ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงนะคะ เพลย์อาจจะทึกทักเอาไปเอง ขอโทษมากๆ อีกครั้งนะคะ สวัสดีค่ะ”ฉันร่ายยาวขอโทษขอโพยผู้เป็นพ่อเพื่อน ที่ตอนนี้เธอนั่งหย่อนก้นลงเก้าอี้ตัวข้างๆ ฉันเป็นที่เรียบร้อย“แกหายไปไหนมา” เสียงสั่นเครือของฉันถามเพื่อนสนิทออกไป“เป็นไร ร้องไห้?” ยีนส์ทำสีหน้าตกใจครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอื้อมมือมาโอบไหล่ฉันเข้าไปซบอกเธอ“พวกเราเป็นห่วงยีนส์นะ โดยเฉพาะเพลย์ นั่งเรียนแทบไม่มีสติเลยล่ะ” เสียงตาหวานดังเจื้อยแจ้วเล่าอาการของฉันตอนเรียนคาบแรกจบไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน“โอ๋ๆ เพลย์น้อยขี้แย น้องยีนส์ขอโทษนะคะ พอดีมีเรื่องนิดหน่อย อ้อ... ส่วนตัวนิดนะคะคนดี” ยีนส์รู้ทันว่าฉันจะถามอะไรเธอถึงได้รีบเบรกไว้ก่อนถ้ายีนส์ได้บอกว่า ‘ส่วนตัว’ นี่คือไม่อยากบอกจริงๆ ฉันจะไม่ถือว่ามันคือความลับ เพราะเรื่องบางเรื่องมันก็เป็นสิ่งที่ไม่อยากให้รู้ได้เช่นกันแต่ฉันเชื่อ... เมื่
“ไหนๆ พี่ก็เดินคนเดียวแล้ว อีกอย่างไม่ค่อยชอบสายตาพวกตึกศิลป์เท่าไหร่ มองมาเหมือนกับจะกินพี่งั้นล่ะ เราไปส่งพี่ขึ้นตึกหน่อยแล้วกัน”ที่ฉันพูดไม่ได้เกินจริงเลยนะ ตึกนิเทศฯ กับ ตึกศิลป์มันอยู่ติดกันไง แล้วเมื่อกี้ฉันสังเกตได้ว่ารอบๆ ข้าง มีคนจ้องอยู่ตลอดเวลา มีครั้งหนึ่งฉันเผลอหันไปมองก็เห็นพวกผู้ชายที่นั่งอยู่ตึกศิลป์จ้องมองแล้วก็ซุปซิบๆ อะไรสักอย่าง สายตานะมองเหมือนกับสามารถสแกนทะลุเสื้อผ้าฉันได้ยังไงยังงั้นเลย“ได้สิฮะ เรื่องแค่นี้เอง” ตาโตไม่ปฏิเสธแถมยังตอบแบบเต็มใจฉันเลยอดที่จะเอ็นดูเด็กคนนี้ไม่ได้ ยกมือขึ้นกอดคอน้องมันแล้วเดินไปยังจุดหมายที่เดินไปอีกไม่กี่เมตรก็จะถึงแล้วปึก!จังหวะที่เราสองคนกำลังจะก้าวถึงตีนบันได ก็มีใครสักคนเดินมากระแทกด้านหลังตาโตค่อนข้างแรงเอาเรื่องที่ฉันรับรู้ได้เพราะฉันกอดคอน้องมันอยู่ไง แถมตัวน้องมันยังกระเด็นไปข้างหน้าทำให้มือที่ฉันกอดคอน้องมันอยู่หลุด ตัวฉันเองก็เซนิดหน่อย“อ๊ะ! โทษทีมองไม่เห็น” น้ำเสียงเชิงขอโทษที่ฉันรับรู้ได้ว่าไม่ค่อยเต็มใจเอ่ยออกมา พลันตั้งหลักได้ฉันเลยมองเห็นว่าคนที่เอ่ยและชนพวกเราเป็นใคร“ไม่เป็นไรฮะ” ตาโตเกาหัวแกรกๆ แล้วก้มหัวนิ
พวกมันสามตัวก็คิดเหมือนผมนั่นแหละ แต่ถ้าไม่เจอกับตัวไม่มีทางรู้หรอกความรู้สึกตอนอยู่ในสถานการณ์นั้นมันอึดอัดแค่ไหน“มึงไม่คิดจะพาว่าที่คู่หมั้นมาแนะนำพวกกูหน่อยเหรอวะ” เคซิสถามผมรู้นะว่ามันคิดอะไร ไอ้นี่เห็นน่าดุๆ เงียบๆ แต่ฟาดเรียบนะครับ“เฮ้ย! อย่ามองกูแบบนั้นสิวะ ไหนบอกไม่จริงจังไง” รีบแก้ตัวเชียวนะไอ้ห่า“กูเปล่ามอง” ไม่ยอมรับมีไรมั้ย?“แหล!” เสียงแดกดันเรียบๆ จากไอ้การ์เซียที่นั่งอยู่ม้านั่งตรงข้ามผมดังขึ้นผมที่กำลังจะง้างปากเปล่งคำด่าการ์เซียออกไปก็ดันโดนมันชิงพูดขัดขึ้นมาอีกรอบ “ใช่คนนั้นมั้ยนะ?” มันพูดพร้อมเพยิดหน้าไปทางด้านหลังผมและเมื่อโฟกัสไปตามสายตาไอ้การ์เซียก็รู้ได้ในทันทีเลยว่า มันหมายถึงใคร“เออ! ยัยตัวแสบนั่นแหละ” เพลย์เยอร์ คือคนที่ไอ้การ์เซียถามเมื่อครู่ยัยนั่นกำลังเดินมากับผู้ชายคนหนึ่งที่ดูๆ แล้วน่าจะเด็กกว่าสักปีสองปี แล้วไอ้ท่าทางที่กำลังกอดคอไอ้หน้าอ่อนแบบสนิทชิดเชื้อนั่นคืออะไรวะ“เก็บอาการหน่อยเพื่อนซีนส์” ไอ้ขันทีเดินมาตบไหล่ผมเบาๆ เรียกสติให้กลับมาประจำที่ เมื่อกี้เกือบเดินไปกระชากยัยตัวแสบนั่นออกมาจากไอ้เด็กนั่นแล้ว“ไหนบอกไม่หวง ไม่จริงจัง แต่ทำไมอากา
วูบ~และสักพักไอ้หัวใจบ้าก็เกือบจะหยุดเต้นลงซะงั้น“ก็ฉันเป็นคนแบบนี้ ตกลงแผนนายคืออะไร รีบๆ พูดจะได้รีบกลับ” น้ำเสียงหงุดหงิดนี่หวังว่าเขาคงไม่เอะใจกับมันหรอกนะ“ฉันตกลงกับคุณหญิง เอ่อ แม่ฉันน่ะ” หมอนี่คงชินกับการเรียกแม่ตัวเองแบบนั้น พอเห็นฉันทำคิ้วขมวดเพราะงงในชื่อที่เรียกเลยรีบเฉลย“แล้ว?” เพราะเขาไม่ยอมพูดต่อฉันเลยเร่งเร้า“ฉันตกลงกับแม่ฉันไว้ ว่าจะทดสอบเธอนิดหน่อย ถ้าเธอแกล้งทนฉันไม่ได้สักสองเดือนเรื่องงานหมั้นเราก็จะไม่เกิดขึ้น”แปร๊บ!ทำไมพอได้ยินคำว่า ‘งานหมั้นจะไม่เกิดขึ้น’ ฉันถึงรู้สึกเจ็บปวดที่อกข้างซ้ายแปลกๆ สรุปเขาคือเจ้าชายในวัยเด็กของฉันจริงหรือเปล่า?“ถามไรอย่างสิ!” บอกแล้วฉันเป็นคนตรงๆ ถ้าอยากรู้อะไรจะถามเลย แต่พอคนที่ฉันกำลังจะตั้งคำถามหันมามอง ปากมันก็หยุดทำงานซะงั้น“ว่า?” ไอ้หัวขาวเอียงคอหน่อยๆ เลิกคิ้วขึ้นเหมือนเร่งเร้ารอฟังคำถาม“ที่นายไม่อยากหมั้นเพราะว่า... เพราะ เอ่อ” ทำไมกลับกรอกแบบนี้เพลย์เยอร์ ความตรงไปตรงมาของแกไปไหนหมด เปลี่ยนคำถามซะงั้น!“เพราะอะไร?” คนรอฟังยังคงเร่งเร้าสิ่งที่ฉันยังถามไม่จบ“นายมีคนที่ชอบแล้วเหรอ?” ฉันตัดสินใจถามออกไป แต่กลับไม่มองหน้
“นี่! จะพาฉันไปไหน นิสัยไม่ดี ฉันเป็นผู้หญิงนะเว้ย!” เมื่อถูกลากเข้ามาในลิฟต์ได้สำเร็จ ฉันก็ทั้งดิ้นทั้งยกเท้าเตะไอ้สายเหลืองทันที“เลิกดิ้น! แล้วก็เลิกมโนว่าฉันจะลากเธอไปทำไม่ดี ฉันไม่พิศวาสผู้หญิงแก่นๆ แบบเธอ” วาจาร้ายกาจไม่พอ แต่ดูปากที่เบ้เหมือนกับรังเกียจฉันสิ“คิดว่าฉันอยากให้ไอ้สายเหลืองล่อลวงเพศเดียวกันแบบนายมาถึงเนื้อถึงตัวเหรอยะ เสนียดน่ะรู้จักเปล่า!” ด่ามาด่ากลับไม่โกง คอนเซ็ปเพลย์เยอร์เองค่ะ“เธอนี่มัน!” นึกคำด่าฉันไม่ทันล่ะสิ ถึงได้ทำท่าทางฟึดฟัดหัวเสียแบบนั้นสมน้ำหน้า!อยากเล่นกับเพลย์เยอร์ดีนัก มวยคนละชั้นเหอะ ไปเรียนมาใหม่ไป!หลังจากที่ลิฟต์พาฉันกับไอ้หัวขาวขึ้นมาถึงฉันสามสิบแปดชั้นบนสุดของโรงแรมนี้ ไอ้หัวขาวก็ลากฉันออกมาและเดินขึ้นบันไดมาอีกสิบกว่าขึ้นเพื่อมายังชั้นดาดฟ้า“พาฉันมาที่นี่ทำไม คิดจะผลักฉันตกตึกงั้นหรอ?” ฉันทำท่าทางหวาดระแวงเมื่อสมองมันคิดได้แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว“นี่จะมโนไปถึงไหน ใครจะไปฆ่าแกงกันได้ง่ายๆ” ผู้ชายตรงหน้าที่สวมชุดสูทสีขาวมีเสื้อคลุมปลายแหลมสีดำทับข้างนอกอีกชั้นพูดขึ้น“ถ้าจะคุยเฉยๆ จำเป็นมั้ยที่จะลากขึ้นมาดาดฟ้าขนาดนี้” ปากน่ะต่อปากต่อคำ
ก๊อก ก๊อกฉันที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จก็มีคนมาเคาะประตูห้อง ทำให้ฉันรู้ทันทีว่าได้เวลาที่จะต้องไปเจอกับเจ้าชายในวัยเด็กแล้ว“สวยมากค่ะน้องเพลย์” แม่เล็กคือคนที่เคาะประตูห้องฉันก่อนหน้า ท่านเดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มหลังจากที่เห็นชุดที่อยู่บนตัวฉัน“เพลย์ว่ามันดูเวอร์ไปไหมคะแม่เล็ก” ฉันก้มมองสำรวจตัวเองตั้งแต่ช่วงอกลงไปยันเท้าน้อยๆเดรสสีขาวลายลูกไม้ กระโปรงด้านหน้าสั้นเหนือเข่าเล็กน้อย ปล่อยชายด้านหลังยาวลากดิน ช่วงบนเป็นเสื้อแขนยาวปักลายฉลุที่ดูเรียบแต่หรูหรา ชุดที่ส่งตรงจากแม่เล็กแน่นอนล้านเปอร์เซนต์ เพราะนี่ไม่ใช่ไลฟ์สไตล์ของฉันแม้แต่น้อย“แม่เล็กว่าเข้ากับน้องเพลย์ออก หรือว่าน้องเพลย์ไม่ชอบที่แม่เล็กยุ่งย่ามเรื่องชุดกัน แม่เล็กขะ...” ดราม่ามาอีกแล้วแม่เล็กของฉัน“โอ๋ๆ แม่เล็กอย่าน้อยใจสิคะ เพลย์ชอบค่ะ สวยดี แต่แบบว่ามันจะไม่ดูเวอร์ไปหน่อยเหรอคะ”“ไม่เลยค่ะ ชุดนี้เหมาะกับน้องเพลย์คนสวยของแม่เล็กที่สุด ใส่แล้วดูเป็นเด็กเรียบร้อย น่ารัก” แม่เล็กพูดแล้วก็ทำหน้าล้อเลียนฉันเบาๆท่านคงจะกำลังบอกฉันมันเป็นพวกแก่นแก้วหรือเปล่านะหลังจากที่เสียเวลากับเรื่องชุดฉันไม่นาน ตอนนี้พวกเราสามคนก็มารอฝ
[Sadins’s part]เครียด! เซงค์! หงุดหงิด!อารมณ์ผมตอนนี้แม่งหลากหลายบอกเลย มันบอกไม่ถูกทำไมชีวิตอิสระของหนุ่มโสดของไอ้ซาดีนส์ที่ได้ฉายาว่าเสือร้อยรักต้องมาเจอเรื่องคลุมถุงชนแบบนี้ด้วย นี่มันสมัยไหนกันแล้ว ทำไมต้องเอาชีวิตอิสระอันมีค่าของผมมาล้อเล่นแบบนี้“ว่าไงตาซีนส์ ตกลงลูกจะไปดูตัวน้องกับคุณหญิงมั้ย?” คำถามที่ร้อยได้แล้วมั้ง ตั้งแต่ที่แม่เรียกผมกลับมาบ้านเมื่อเช้านี้ ท่านก็เอาแต่พร่ำถามว่าผมจะไปดูตัวกับว่าที่คู่หมั้นมั้ย ถ้าไม่ไปท่านจะยึดบัตรทุกอย่างที่เป็นของผม จะกักขังผมไม่ให้ออกไปหาผู้หญิงที่ไหนสามเดือนให้ตายเถอะ! ขาดเงินไอ้ซาดีนส์คนนี้ไม่ตายครับ (มีเพื่อนให้เกาะ)แต่ถ้าให้ผมขาดนารีถึงสามเดือนมีหวังซีนส์น้อยผมเป็นหมันแน่นอน“คุณหญิง~” ผมเรียกชื่อแม่ตัวเองเสียงลากยาว ทำตาเหมือนแมวขี้อ้อน“ไม่ค่ะ!” นั่นคือการบอกว่า ‘ไม่สงสาร’ ของแม่ผมครับเอาไงดีวะ! จังหวะที่ผมกำลังระดมสมองอันชาญฉลาดหาทางเอาตัวรอดในนาทีฉุกระหุกแบบนี้ ความคิดดีๆ ก็แวบขึ้นมาหึ! เอาสิ ได้เลย! ถ้าแม่อยากให้ผมไปดูตัวว่าที่คู่หมั้นนักผมก็จะไป“โอเค ผมไปก็ได้ แต่...”“ไม่มีข้อแม้ค่ะ” ผมยังพูดไม่ทันจบเลย ยังไม่ได้บอกเล
แปะ~จบคำแซวฉัน เสียงฝ่ามือน้อยๆ ของแม่เล็กที่ตีเบาๆ ที่ต้นแขนฉันเป็นเชิงปรามสิ่งที่ทำลงไปก่อนหน้า ท่านจ้องฉันเขม็งบอกทางสายตาว่า‘นิสัยไม่ดีเลยค่ะ เป็นเด็กเป็นเล็กทำไมย้อนคุณพ่อแบบนั้น’ ฉันคิดว่านะ“แฮร่ๆ” ยกมือลูบต้นแขนจุดที่แม่เล็กตีเบาๆ เหมือนมันเจ็บมากมายแก้อายที่ตัวเองเผลอทำนิสัยไม่ดีออกไปจริงๆ“ช่างลูกเถอะ!” คุณพ่อพูดกับแม่เล็กปนยิ้มขำให้กับความเจ้าระเบียบของแม่เล็กน้อยๆ“ค่ะคุณ” แม่เล็กยิ้มกลับให้คุณพ่อ พร้อมกับเขยิบเข้ามาใกล้ฉันที่นั่งอยู่ข้างๆ ท่าน“ตอนนี้น้องเพลย์ยังตามหาเจ้าชายในฝันคนนั้นอยู่มั้ยคะ?” แม่เล็กเล่นเปิดด้วยคำถามที่รู้ทั้งรู้ว่าฉันจะตอบอะไรออกไปแบบนี้เลยเหรอ“แน่นอนสิคะ เพลย์ไม่มีทางลืมเจ้าชายคนนั้นได้หรอกค่ะ” เสียงจริงจังของฉันทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองคนหันไปมองหน้าพร้อมกับยิ้มให้กันเหมือนถูกอกถูกใจอะไรสักอย่าง“มีอะไรเหรอคะ” ฉันขมวดคิ้วแบบงงงวยถามออกไป“แม่เล็กจะบอกว่าคุณพ่อเราหาเจ้าชายน้องเพลย์เจอแล้วไงคะ”คำบอกเล่าของแม่เล็กทำให้ฉันสตั้นไปหลายวินาทีเหมือนถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งแล้วคิดว่าฝันไปน่ะ เคยเป็นกันมั้ย?“วะ ว่าไงนะคะ... แม่เล็กหาเขาเจอแล้วเหรอ? เรื่อง