@หน้าตึกคณะศิลป์ - เอกออกแบบ
“กว่าจะเสด็จมาได้นะ ไอ้ลูกเจ้าของมหาลัย”
ผมยังก้าวขาไม่ถึงโต๊ะที่มีมนุษย์หน้าหล่อสามตัวนั่งอยู่ ไอ้เคซิส ก็เริ่มกัดผมเป็นคนแรก จะรอให้ผมก้นถึงเก้าอี้ก่อนไม่ได้หรือไงวะ
‘เคซิส’ คือเพื่อนอีกคนในกลุ่มผมอีกคน มันเป็นถึงนักเรียนนอก แต่ดันมา
ซิ่วต่อที่ไทย ผมก็ไม่เข้าใจมันเหมือนกัน เรียนที่เมืองนอกจบแล้ว แต่ดันอยากมาลองเข้าเรียนที่มหาลัยเมืองไทยดูอีกที เหตุผลเพราะ... ‘กูอยากจีบสาวไทยในชุดนักศึกษา’
ไอ้เคซิส เป็นเจ้าของผับ S นิสัยค่อนข้างสุขุมและเยือกเย็น ใบหน้าคมเข้มออกแนวลูกครึ่งเยอรมัน แถมอายุเยอะกว่าพวกผมตั้งสองปี
แต่ด้วยความที่ซิ่วกับซิ่วมาเจอกัน คบกันมาถึงสามปี เลยไม่ค่อยจะเรียกมันว่าพี่เท่าไหร่ แต่ถามว่าพวกเราเคารพมันมั้ยก็... เคารพนะ แต่ไม่อยากเรียกพี่ มีไรป้ะ?
“ได้ข่าวเจอดีเหรอมึง” ไอ้การ์เซียถามผมเสียงนิ่งๆ แบบไม่มองหน้า
‘การ์เซีย’ หนุ่มหล่อ รวย คมเข้ม ดีกรีเจ้าของสนามแข่งรถเถื่อน ขอเตือนเลยนะ อย่าคิดอยากไปรู้จักมันเด็ดขาด เพราะมันค่อนข้างเลือดเย็น ใจแม่งหิน!
“ไอ้ขันแม่งมาฟ้องอีกละสิ” ปากผมพูด แต่ตานี่กำลังก่นด่าไอ้ขันที ที่แท้ที่รีบวิ่งออกจากห้องน้ำมาก่อนผมเพราะมันจะรีบมาเล่าเรื่องในห้องน้ำที่ผมถูกยัยบ้าที่ไหนก็ไม่รู้ทำหัวปูดนี่สินะ ไอ้ขี้ฟ้อง!!
“มึงตัวดีเลยไอ้ขัน จะให้กูเจาะหูทั้งทีดันกลัวคนเห็นว่าตัวเองอ้อนแอ้น ให้ไปเจาะที่ห้องน้ำลับตาคน เป็นไงล่ะ หัวกูปูดมั้ยถามใจมึงดู”
ผมชี้หน้าคาดโทษไอ้ขันที ที่ตอนนี้มันเบะปากทำไม่รู้ไม่ชี้อยู่
แม่งน่าตื้บสักทีสองทีจริงๆ
“เออ... ทำไมมึงต้องชวนกันไปทำพิเรนท์ที่ห้องน้ำด้วยวะ”
“เจาะหูเหอะ!”
พอไอ้เคซิสพูดไม่เข้าหูหัวร้อนรีบแก้ต่างเหมือนคนโดนไฟลนก้นเลยนะ
ไอ้เชี่ยขันทีมันคิดจะเล่นประตูหลังผมเหมือนที่ยัยนั่นว่าไว้หรือเปล่าวะ!?
พวกเรานั่งเถียงกันเสียงดังลั่นหอศิลป์ ตึกที่พวกเราเลือกลงเรียนกัน ไม่ใช่ว่าเป็นพวกสร้างสรรค์อะไรหรอกนะ ก็แค่ไม่รู้จะเรียนอะไร เลยเลือกเรียนคณะศิลปกรรมศาสตร์ เอกออกแบบกันทั้งสี่คน แถมยังอยู่ปีสี่ด้วยกันครบกลุ่มอีกต่างหาก
“เอ่อ...”
ขณะที่พวกเราสี่คนกำลังคุยเล่นกันเพลินๆ ก็มีเสียงนุ่มหูดังแว่วๆ อยู่ข้างหลังผม ไอ้พวกสามคนที่นั่งอยู่คนละฝั่งกับผมก็พร้อมใจกันเงยหน้ามองไปด้านหลังผมที่มีเสียงปริศนาดังขึ้นเมื่อกี้
“ว่าไงครับคนสวย” ไอ้ขันทีรีบเดินจ้ำอ้าวมานั่งม้านั่งตัวเดียวกับผม
ตางี้หว่านเสน่ห์เชียว
“คนไหนคือพี่ซาดีนส์คะ”
ว่าไงนะ? ในมหาลัยนี้ยังมีคนไม่รู้จักผมอยู่อีกเหรอ โคตรอเมซิ่งอะ!
“พี่เองน้อง มีอะไรกับพี่อะ” น้ำเสียงผมแข็งกระด้าง สงสัยจะหงุดหงิดที่เพิ่งรู้ตัวว่ามีคนไม่รู้จักตัวเองอยู่ในมหาลัยแห่งนี้
“คะ คือ มีคนให้หวาเอานี่มาให้ค่ะ” ผู้หญิงที่บอกไม่รู้จักผมในตอนแรก ยื่นซองสีชมพูหวานแหววมาให้ แล้ววิ่งเขินอายออกจากพื้นที่นั้นแทบจะล้ม
“โว๊ะ...แม่ง! หัวบันไดบ้านไม่เคยแห้งนะมึง” ไอ้เคซิสแซวผม
“ก็คนมันหล่อ ทำไงได้”
“กูว่าเพราะมึงเป็นลูกคุณลุงพงศ์มากกว่า”
อ้าว! ไอ้การ์เซียพูดแบบนี้ อยากมีเรื่องกับผมหรือไงครับ
คุณลุงพงศ์ที่ไอ้การ์เซียเรียกนะ คือพ่อของผม หรือก็คือ
ท่านอธิการพัฒนพงษ์ รัตนะวานนท์ เจ้าของมหาลัย RNN ที่ย่อมาจากนามสกุลรัตนะวานนท์ แห่งนี้ยังไงล่ะ
“กูก็เห็นด้วยกับไอ้เซีย”
ไอ้ขันที ไอ้ห่า แม่งแปลพรรคเหรอมึง ฝากไว้ก่อนเหอะ
แล้วก็ไม่ต้องแปลกใจนะ ว่าทำไมเพื่อนในกลุ่มถึงเรียกผมว่า ‘ซีนส์’
เพราะว่าชื่อนี้ผมจะให้เฉพาะคนในครอบครัวและเพื่อนสนิทเรียกเท่านั้น ต่อให้จะเป็นสาวๆ ที่ผมควงแล้วทะลวงบนเตียงก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกชื่อต้องห้ามนี้ สำหรับผู้หญิงที่จะเรียกได้ นอกจากแม่ ก็ เมีย เท่านั้นแหละครับ
“อย่าไปสนใจพวกมันเลย ไหนเอามาให้เฮียอ่านสิ!”
ไอ้เคซิสมักแทนตัวเองว่าเฮียตลอด มันบอกว่าเป็นการช่วยกระตุ้นสมองพวกผมให้สำนึกว่ามันน่ะแก่กว่าตั้งสองปี ช่วยให้ความเคารพกูด้วย อะไรทำนองนั้น
แล้วที่มันพูดเมื่อกี้คือมันคิดดีแล้วใช่มั้ย? คิดว่าผมจะโง่ยื่นจดหมายสีหวานแหววที่แม้แต่เด็กอมมือยังรู้ว่ามันคือจดหมายรักที่สาวๆ ส่งให้ผมให้มันอ่าน?
ไอ้เคซีสขี้เสือก!!
ผมมองหน้ามันเย้ยๆ แกะซองสีชมพูออก กวาดสายตาคมๆ ของตัวเองมองลายมือที่สวย อ่านง่าย และได้ใจความว่า...
‘คืนนี้เจอกันที่ผับS นะคะ พี่ซาดีนส์
...จากน้องหวา’หืม! เดี๋ยวนะ ชื่อหวา? เหมือนกับยัยคนเมื่อกี้เลย
แหม!! เดี๋ยวนี้พัฒนาเนอะ ส่งเอง จีบเอง แต่เนียนกลบเกลื่อน
“ขอตัวว่ะ มีธุระ… ด่วนมาก!!” ผมพูดไว้เท่านั้นก็เดินผิวปากอารมณ์ดี สองมือล้วงกระเป๋าสองเท้าก้าวเข้ามา เห้ย! ไม่ใช่แล้ว คนละคอนเซป
แต่ช่างมัน! เพราะตอนนี้ผมก็สองมือล้วงกระเป๋า แต่สองเท้าก้าวเดินไปขึ้นแลมโบสีฟ้าน้ำทะเลรุ่นใหม่ล่าสุดเพื่อที่จะไปรอน้องหวายังผับเอสของไอ้เคซิส
[Endpart]
“ยัยเพลย์!!” เสียงตะโกนแสบแก้วหูของยีนส์ดังลั่นพื้นที่ของโรงอาหาร ที่ตอนนี้ฉันกำลังนั่งรอมันอยู่ “จะตะโกนทำซากอะไร หูจะแตก”เดินอีกไม่กี่ก้าวก็ถึงโต๊ะอยู่แล้ว จะมาตะโกนเรียกให้เจ็บคอทำไมก็ไม่รู้“อย่ามาเนียน” ยีนส์นั่งลงเก้าอี้ม้าหินอ่อนอีกตัวหนึ่งฝั่งตรงข้าม ฉันเลยยิ้มแหยๆ พร้อมกับก้มหน้าเล่นมือถือต่อ“แกปล่อยให้ฉันเดินไปที่ห้องเรียนนั่น โดยที่ไม่ยอมบอกว่ามันไม่มีคลาสเรียนอะไรของเช้านี้แล้ว แถมยังให้ฉันเดินวนหาแกทั่วมหาลัย...”ยีนส์เว้นจังหวะเพื่อหอบหายใจ แล้วเริ่มบ่นให้ฉันต่อ“สุดท้ายแกเพิ่งส่งไลน์หาฉันเมื่อห้านาทีก่อน ว่าแกนั่งหน้าบานอยู่ตรงนี้”ยีนส์ชี้นิ้วเรียวยาวของเธอลงที่โต๊ะที่เราสองคนนั่ง พร้อมกับเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นทำหน้าเชิงหาเรื่องฉัน “ยีนส์ เพลย์ขอโทษ เพลย์ลืม~”ฉันทำเสียงอ่อนเสียงหวาน พร้อมส่งสายตาฟรุ้งฟริ้งที่ชอบทำเวลาตัวเองทำความผิด เพราะยีนส์น่ะเธอแพ้สายตาขี้อ้อนของฉันตลอดแหละ“หึ้ย! มันน่ามั้ย เก็บไปเลยนะ ไอ้สายตาฟรุ้งฟริ้งของแกน่ะ เห็นแล้ว..”“ใจอ่อนชิมิ~” ฉันแกล้งพูดแซวเพื่อนรักที่นั่งเมินหน้าหนีฉันไปอีกทาง พร้อมกับรอยยิ้มบางๆ เหมือนกลั้นขำที่มุมปากของยีนส์พวกเร
เรานั่งเรียนเกี่ยวกับโครงสร้างงานโฆษณาไปได้ประมาณห้าสิบนาที อาจารย์สมรศรีก็ปล่อยพวกเราเลิกคลาสเร็วกว่ากำหนดเกือบสี่สิบนาทีมหาลัยนี้มันเป็นมหาลัยเปิดจริงๆ สินะ อยากเลิกตอนไหนก็เลิก เกิดอินดี้ไม่อยากเข้าสอน ฉันก็ไม่สอน เชิญคุณๆ เรียนรู้เอง ดีชะมัด!!“เพลย์ ยีนส์ จะกลับเลยมั้ย เพราะหลังจากนี้ก็ไม่มีเรียนต่อแล้ว”เสียงหวานๆ ของตาหวานถามพวกเรา“เอาไงดียีนส์ จะกลับเลยมั้ย” ฉันหันไปถามแนวร่วม“ไปห้างกัน แถวนี้มีห้างใกล้ๆ เปล่า” ยีนส์หันไปถามตาหวาน“มีสิ เดี๋ยวหวานพาไป จะพาทัวร์ให้ครบทุกชั้นของห้างเลย”ตาหวานพูดพร้อมกับดึงแขนพวกฉันสองคนเดินตามเธอมา“เดี๋ยว!!” ยีนส์ขืนตัวไว้พร้อมกับตะโกนหยุดตาหวานที่กำลังลากพวกเราสองคน “ทำไมเหรอ หรือว่าเกิดเปลี่ยนใจ”ตาหวานรีบหันหน้าใสๆ พร้อมกับทำตาบ๊องแบ๊วเหมือนแมวขี้สงสัยถาม“เปล่า... จะถามว่าหวานจะไปยังไง คือเราขี่มอไซค์มา”เออ! เกือบลืมไปเลย เรามีกันสามคน แต่รถดันเป็นมอเตอร์ไซค์ แล้วแบบนี้จะซ้อนสามไหวเหรอ “อ้าวเหรอ! งั้นยีนส์กับเพลย์ขับตามรถหวานมาแล้วกัน”“ยีนส์ฝากเพลย์ไปรถหวานได้เปล่าอะ ไม่อยากให้ยัยนี่นั่งตากแดด”ซึ้งค่ะ ฮือๆ ซึ้งในน้ำใจเพื่อนรักที่เป็น
“ซาดีนส์ เขาเป็นลูกเจ้าของมหาลัย หล่อ สูง ผิวขาวเหมือนผิวเด็ก ที่เด่นชัดเลยคือ สีผมบรอนด์ขาวที่โดดเด่นเพราะมีเพียงคนเดียวในมหาลัยนี้ที่ทำสีนี้”แว้บ!! ผมสีบรอนด์ขาวงั้นเหรอ? ทำไมจู่ๆ ภาพไอ้คู่เกย์ที่เมื่อเช้าฉันเพิ่งเจอในห้องน้ำชายมามันถึงได้ฉายภาพซ้ำให้ฉันเห็นนะ“เมื่อกี้เธอบอกว่า มีแค่คนเดียวที่ทำผมสีนี้งั้นเหรอ” เพราะอยากรู้ว่าจะเป็นไอ้โรคจิตสายเหลืองคนเดียวกันหรือเปล่าเลยถามตาหวานออกไป“อื้อ ทำไมเหรอ?” ตาหวานเอียงคอทำหน้าสงสัยถามฉัน“งั้นก็ไอ้โรคจิตสายเหลืองชัวร์” ฉันตบโต๊ะดัง ปึก! พร้อมกับโผล่งสิ่งที่คิดในใจออกมา กะจะคิดแค่ในใจไหงถึงกลายเป็นมีเสียงได้เนี่ย“อะไรของแกยัยเพลย์ พูดให้พวกฉันสองคนเข้าใจดิ” ยีนส์ประสานมือเอาคางวางไว้พร้อมกับหันหน้ามาถามฉันลืมไปเลยว่ายังไม่ได้เล่าเรื่องเมื่อเช้าให้ยัยเพื่อนสนิทคนนี้ฟัง“ก็ถ้าหวานบอกว่าคนที่ทำผมสีบรอนด์ขาวอะไรนั่นมีอยู่คนเดียวในมหาลัยฉันว่าก็ต้องเป็นไอ้โรคจิตที่กำลัง เอ่อ นั่นแหละ ในห้องน้ำชายเมื่อเช้าแน่เลย”ไม่อยากเอ่ยการกระทำที่มันอุจาดตาให้ตาหวานกับยีนส์ฟัง เลยเลี่ยงที่จะให้พวกเธอสองคนคิดกันไปเอง และคาดว่าคงจะพอเดากันได้ เพราะดูจาก
คนอย่างไอ้ซาดีนส์ไม่เคยคิดที่จะมีห่วงมาผูกคอ ยิ่งเรื่องแฟนผมยิ่งไม่เคยคิดให้รกสมอง เพราะอะไรน่ะเหรอ?หนึ่งเลย มนุษย์แฟนเป็นอะไรที่โคตรน่าเบื่อสำหรับผม ไหนจะคอยโทรจิกตลอดเวลา เซ้าซี้น่ารำคาญสอง... ยิ่งอยู่ด้วยยิ่งเหมือนติดคุก เวลาจะไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ต้องคอยขออนุญาต โทรรายงานความเคลื่อนไหว ไร้อิสระโคตรๆสามยิ่งแล้วใหญ่... ทำตัวอย่างกับแม่บังเกิดเกล้า จิกหัวใช้เป็นว่าเล่น แถมยังต้องคอยตามใจพวกมนุษย์แฟนอย่างพวกเธอๆ ไม่ไหวอะบอกเลย!“ตอแหล!” พันซ์พูดเบาๆ เหมือนกับกระซิบ เธอเอียงหน้าที่กำลังซบที่แผงอกขวาผม มองหวาที่กำลังยืนค้ำเอวอยู่ข้างๆ พวกเรา“แกว่าอะไร แน่จริงพูดดังๆ สิ แล้วก็ลงมาจากตักของแฟนฉันได้แล้ว!”หวายังคงพูดเองเออเองเรื่องสถานะของผมและเธอ“นี่ซาดีนส์มีแฟนปากจัด ขี้โวยวาย แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอคะ”พันซ์ไม่สนใจคำพูดของหวา เธอยังคงนั่งบนตักผม พร้อมกับซบใบหน้าอยู่ที่อกผมตามเดิม มือน้อยๆ ของเธอลูบอกข้างซ้ายผมเบาๆ“กรี้ด!! อีหน้าด้าน ฉันบอกให้ลุกจากตักแฟนฉันไง หูแตกหรือไงยะ”ตอนนี้ผมชักจะเริ่มรำคาญเสียงแหลมๆ ของหวาแล้วว่ะ น้องหวาคนที่ดูหงิมๆ ติ๋มๆ ตอนที่ส่งจดหมายรักให้ผมเมื่อช่วง
พลั่ก!หลังจากภารกิจครั้งนี้ลุล่วง ผมผลักหวาที่กำลังหอบหมดแรงลงจากตัก ลุกเดินไปเข้าห้องน้ำที่อยู่หลังห้องทำงานไอ้เคซิส ผมใช้เวลาอาบน้ำอยู่ในนั้นประมาณเกือบยี่สิบนาที ในหัวก็คิดว่าหวาคงจะกลับไปแล้ว จึงได้เดินออกมาจากห้องน้ำเพียงแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวที่พันท่อนล่างมาด้วย“ทำไมนานจังคะ หวานึกว่าหมดแรงในนั้นแล้วซะอีก”เชี่ย! ผมสะดุ้งตกใจหลังจากเดินใจลอยออกมาจากในห้องน้ำ“ยังไม่กลับอีกเหรอ?” ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่พร้อมกับจ้องมองร่างบางที่นอนเอนอยู่บนโซฟาตัวเดิม“ทำไมไล่เมียแบบนี้ล่ะคะ เมื่อกี้ยังกอดหวาแทบจะไม่อยากปล่อย”ผมขมวดคิ้วมุ่นหลังจากที่ได้ยินสรรพนามแทนตัวเองของเธอ“เมีย?” ผมทวนคำนั้นเสียงขุ่น“อ้าว! ไม่ให้เรียกเมียแล้วเมื่อกี้ที่ทำไปคืออะไรล่ะคะ นี่อย่าบอกนะว่าได้หวาแล้วจะเขี่ยทิ้ง หวาไม่ใช่ยัยปากแดงนั่น แล้วก็ผู้หญิงคนอื่นๆ ของพี่หรอกนะ”หวาพูดรัวยาวออกมา ทำหน้าไม่พอใจใส่ผม ให้ตายสิวะ!ผู้หญิงอะไรโคตรน่ารำคาญ แถมยังขี้จุ๊อีกต่างหาก ถ้าการที่ผมมีอะไรกับเธอแค่ครั้งเดียวแล้วให้ยกย่องเป็นเมีย ป่านนี้ไอ้ฉายาเสือร้อยรักแบบผมคงมีเมียเป็นร้อยแล้วล่ะมั้ง!“ฉันว่าเธอคงเข้าใจอะไรผิด” ผมกอดอก
“อะไร ไหนใครมา” ฉันลนลานตามอาการของตาหวาน เธอชี้นิ้วเรียวๆ ไปทางด้านหลังยีนส์ที่นั่งอยู่ฝั่งขวามือฉันเมื่อสายตาปรากฏร่างของคนที่กำลังตามหา ฉันก็แสยะยิ้มแบบชั่วร้ายออกมาทันที“แกเตรียมตัวนอนแก้ผ้าได้เลยเพื่อนรัก” ฉันบอกยีนส์ยิ้มๆ พร้อมกับตบไหล่เธอเบาๆ สองที จากนั้นก็“เฮ้! นั่นแกจะไปไหน”ฉันไม่สนใจเสียงยีนส์ที่ดังถามไล่หลังมา รีบตรงดิ่งสะกดรอยตามไอ้หัวขาวและเพื่อนๆ อีกสามคนของหมอนั่น“ไอ้ซีนส์สรุปอาทิตย์ก่อนมึงกับน้องหวามันยังไงกันแน่วะ” เสียงผู้ชายที่ดูจะอายุเยอะสุดในกลุ่มถามใครบางคนที่ชื่อซีนส์ น่าจะใช่นะถ้าฟังไม่ผิด“ก็ไม่ยังไง กูพลาดว่ะเคซิส กูไม่น่าเล้ย!” ไอ้หัวขาวโจทย์เก่าฉันพูดขึ้นอ๋อ ที่แท้คนที่ชื่อซีนส์คือไอ้หัวขาวนี่เอง“มึงก็พลาดกับทุกคน” เสียงเยือกเย็นของผู้ชายที่มีรอยสักอยู่ที่แขนขวาพูดขึ้น พร้อมกับตบหัวไอ้หัวขาวไปหนึ่งที “ไอ้การ์เซีย มึงอย่าเล่นหัว เดี๋ยวของเสื่อม”“ถ้าอย่างนายมีของ ก็คงของดำแล้วแหละ” ฉันว่าให้ไอ้หัวขาวเบาๆ พร้อมกับเบะปากหมั่นไส้ “ไอ้ขันมึงช่วยผัวมึงคิดสิจะไล่น้องหวาอะไรนั่นไปยังไง”นั่น... เห็นมั้ย! พวกยัยยีนส์กับตาหวานน่าจะมาได้ยินประโยคเด็ดเมื่อกี้ค
แฮ่ก แฮ่ก แฮ่กฉันกำลังวิ่งสี่คูณร้อยบนรองเท้าคัทชูสูงสองนิ้วครึ่ง เพราะตกใจที่ตัวเองโดนไอ้หัวขาวซีนส์อะไรนั่นจับได้ว่าแอบอยู่ตรงนั้นต้องโทษคนที่เตะกระป๋องโค้กมาโดนหัวฉันมากกว่า ทำไมกรรมมันตามสนองเพลย์เยอร์น้อยคนนี้เร็วจุง จำได้ว่าเมื่ออาทิตย์ก่อนเพิ่งจะทำแบบนี้กับใครบางคนไม่รู้ฉันวิ่งมาไกลแค่ไหน เพราะตอนนี้รู้สึกกำลังหายใจเอาอากาศเข้าไปไม่ทันเลยหยุดพิงผนังตึกๆ หนึ่ง“เจ็บเป็นบ้า เหนื่อยด้วย แฮ่กๆ” แผ่นหลังบางของฉันพิงกับผนังปูนขาวสะอาดตา ปากก็พร่ำบ่นไปทั้งๆ ที่หอบแฮ่กๆ“วิ่งหนีไรมาเหรอครับ” ฉันสะดุ้งตัวโหยง จู่ๆ ก็มีเสียงผู้ชายที่ไหนไม่รู้ถามฉันขึ้นข้างๆ ฉันว่าตอนแรกยืนอยู่คนเดียวนะ แล้วเด็กนี่โผล่มาจากไหน แถมยืนซะใกล้ชิดขนาดที่อีกแค่ครึ่งมิลผิวหนังเราคงแตะกันไปแล้ว“นะ นาย” ฉันที่ยังคงมีอาการหอบเหนื่อยอยู่ ครั้นจะเอ่ยปากถาม เขาเป็นใครก็ได้แค่เอ่ยออกไปคำเดียว ก็ต้องหยุดพูดเพื่อหอบเอาอากาศเข้าปอดต่อ“ใจเย็นๆ ฮะ ค่อยๆ หายใจ เดี๋ยวก็สำลักอากาศกันพอดี”แค่ก แค่ก แค่ก ให้ตายสิ! วาจาเด็กคนนี้มันศักดิ์สิทธิ์จริงๆ พูดยังไม่ทันขาดคำ ฉันก็สำลักอากาศเข้าจนได้“เห็นมั้ยผมบอกแล้ว เอ้า! นี่ฮะ” เ
ตาโต กับ ตาหวาน อย่าบอกนะว่า?“พี่สาวผมชื่อตาหวาน เรียนคณะนิเทศศาตร์ สาขาการโฆษณาเหมือนพี่เลย”อา... โลกกลมจริงๆ อยู่ๆ ก็ได้รู้จักน้องชายเพื่อน“พี่กับตาหวานเป็นเพื่อนในกลุ่ม ตาหวานน่ารัก เรียบร้อยแถมยังใจดีพาพวกพี่ทัวร์รอบมหาลัยแถมพาไปเที่ยวห้างบ่อยๆ ด้วย” ฉันอวดสรรพคุณพี่สาวตาโตให้เขาฟัง น้องชายเธอถึงกับฉีกยิ้มไม่หุบ สงสัยจะรักพี่สาวและปลื้มพี่สาวมากๆ สินะ“แล้วทำไมพี่เพลย์ถึงอยู่คนเดียวล่ะ พี่สาวผมไม่ได้มาด้วยกันเหรอ” ตาโตพูดไปก็ชะเง้อคอมองไปรอบๆ บริเวณที่พวกเรานั่งกันอยู่ สงสัยจะมองหาพี่สาวตัวเอง “พี่แยกกับตาหวานมาหาหลักฐานอะไรนิดหน่อย”“หลักฐานอะไรเหรอฮะ อย่าบอกนะ พี่เพลย์จะจับไอ้โรคจิตที่ว่านั่น?”“ก็ไม่เชิง” ฉันหยักไหล่ประกอบคำพูด นึกว่าตัวเองแค่คิด แต่ทำไมดันเพลอหลุดเป็นเสียงออกมาได้ล่ะเนี่ย“มันอันตรายนะฮะ พี่เพลย์เป็นผู้หญิงด้วย ผมว่าเราเอาเรื่องนี้ไปบอกท่านอธิการดีกว่ามั้ย จะได้หามาตรการป้องกัน” ตาโตร่ายยาวเชิงตักเตือนฉันแววตาน้องเขาดูเป็นห่วงเป็นใย พี่น้องคู่นี้นิสัยเหมือนกันเลย ตาหวานก็เป็นคนดี รักเพื่อน น้องชายอย่างตาโตที่เพิ่งรู้จักกันไม่กี่นาทีก็ดูเป็นห่วงเป็นใยฉันอย
[รู้ได้ไงฉันชอบ ‘เล่น’ ลิ้น]กรี้ด!!!ได้แต่กรีดร้องอยู่ในใจ ถ้าฉันปรี้ดแตกตอนนี้ สามคนที่นั่งร่วมโต๊ะที่เลิกสนใจการคุยโทรศัพท์ของฉันต้องหันกลับมาถามแน่นอนว่า ‘เป็นอะไร’ ‘ใครโทรมา’“ไอ้ทุเรส ไม่ต้องมาหื่นใส่ ฉันรู้ว่านายชอบผู้ชาย” ปรี้ดแตกไม่ได้ใช่ว่าฉันจะด่าหมอนี่ไม่ได้[…] เฮอะ! เป็นไงเจอฉันแทงใจดำละสิถึงได้เงียบ“เงียบทำไม ตกลงจะพูดได้ยัง ก่อนหน้านั้นนายเรียกฉันว่าอะไร”[อยากรู้ก็มาถามตัวต่อตัว เอาแบบซึ่งๆ หน้า ฉันรออยู่xxx]ซาดีนส์บอกสถานที่ตัวเองอยู่เสร็จสรรพหมอนั่นก็วางสายฉันทันทีอะไรกันเนี่ย บ้าไปแล้ว อยู่ๆ โทรมาหาเรื่องกวนประสาทฉันแล้วก็ให้ฉันออกไปหาที่คณะตัวเองเนี่ยนะ“คุยกับใครนานสองนาน แถมคิ้วแทบจะผูกโบว์อยู่แล้ว”ยีนส์เปิดปากถามฉันคนแรก จากนั้นก็มีเอฟเฟคพยักหน้าอยากรู้ของสองพี่น้อง ตาหวานและตาโตตามมา“เปล่าไม่มีอะไร พอดีที่บ้านโทรให้ออกไปเอาของนิดหน่อย เดี๋ยวขึ้นเรียนคาบต่อไปก่อนเลยนะ เพลย์ตามไปทีหลังเอง”ว่าจบฉันก็ไม่รอให้ใครซักไซ้อะไรต่อ รีบเดินสะบัดก้นงอนๆ ออกไปจากโรงอาหารของคณะตัวเอง มุ่งหน้าไปยังหน้าลานนั่งเล่นของตึกศิลป์สถานที่ที่ไอ้บ้าซาดีนส์มันนัดไว้ก่อนวางสายไป[
[อ้าว! ยีนส์ก็..] ทว่าพ่อของยีนส์เหมือนกำลังจะพูดอะไรสักอย่าง เสียงใสๆ ของคนที่เป็นประเด็นก็ดังขึ้น“เฮลโหลวว สาวๆ”“ยีนส์ / ยัยบ้ายีนส์” ตาหวานและฉันโพล่งเรียกชื่อผู้มาใหม่พร้อมกัน“ขอโทษที่รบกวนนะคะคุณลุง ตอนนี้ยีนส์อยู่ที่นี่แล้วค่ะ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงนะคะ เพลย์อาจจะทึกทักเอาไปเอง ขอโทษมากๆ อีกครั้งนะคะ สวัสดีค่ะ”ฉันร่ายยาวขอโทษขอโพยผู้เป็นพ่อเพื่อน ที่ตอนนี้เธอนั่งหย่อนก้นลงเก้าอี้ตัวข้างๆ ฉันเป็นที่เรียบร้อย“แกหายไปไหนมา” เสียงสั่นเครือของฉันถามเพื่อนสนิทออกไป“เป็นไร ร้องไห้?” ยีนส์ทำสีหน้าตกใจครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอื้อมมือมาโอบไหล่ฉันเข้าไปซบอกเธอ“พวกเราเป็นห่วงยีนส์นะ โดยเฉพาะเพลย์ นั่งเรียนแทบไม่มีสติเลยล่ะ” เสียงตาหวานดังเจื้อยแจ้วเล่าอาการของฉันตอนเรียนคาบแรกจบไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน“โอ๋ๆ เพลย์น้อยขี้แย น้องยีนส์ขอโทษนะคะ พอดีมีเรื่องนิดหน่อย อ้อ... ส่วนตัวนิดนะคะคนดี” ยีนส์รู้ทันว่าฉันจะถามอะไรเธอถึงได้รีบเบรกไว้ก่อนถ้ายีนส์ได้บอกว่า ‘ส่วนตัว’ นี่คือไม่อยากบอกจริงๆ ฉันจะไม่ถือว่ามันคือความลับ เพราะเรื่องบางเรื่องมันก็เป็นสิ่งที่ไม่อยากให้รู้ได้เช่นกันแต่ฉันเชื่อ... เมื่
“ไหนๆ พี่ก็เดินคนเดียวแล้ว อีกอย่างไม่ค่อยชอบสายตาพวกตึกศิลป์เท่าไหร่ มองมาเหมือนกับจะกินพี่งั้นล่ะ เราไปส่งพี่ขึ้นตึกหน่อยแล้วกัน”ที่ฉันพูดไม่ได้เกินจริงเลยนะ ตึกนิเทศฯ กับ ตึกศิลป์มันอยู่ติดกันไง แล้วเมื่อกี้ฉันสังเกตได้ว่ารอบๆ ข้าง มีคนจ้องอยู่ตลอดเวลา มีครั้งหนึ่งฉันเผลอหันไปมองก็เห็นพวกผู้ชายที่นั่งอยู่ตึกศิลป์จ้องมองแล้วก็ซุปซิบๆ อะไรสักอย่าง สายตานะมองเหมือนกับสามารถสแกนทะลุเสื้อผ้าฉันได้ยังไงยังงั้นเลย“ได้สิฮะ เรื่องแค่นี้เอง” ตาโตไม่ปฏิเสธแถมยังตอบแบบเต็มใจฉันเลยอดที่จะเอ็นดูเด็กคนนี้ไม่ได้ ยกมือขึ้นกอดคอน้องมันแล้วเดินไปยังจุดหมายที่เดินไปอีกไม่กี่เมตรก็จะถึงแล้วปึก!จังหวะที่เราสองคนกำลังจะก้าวถึงตีนบันได ก็มีใครสักคนเดินมากระแทกด้านหลังตาโตค่อนข้างแรงเอาเรื่องที่ฉันรับรู้ได้เพราะฉันกอดคอน้องมันอยู่ไง แถมตัวน้องมันยังกระเด็นไปข้างหน้าทำให้มือที่ฉันกอดคอน้องมันอยู่หลุด ตัวฉันเองก็เซนิดหน่อย“อ๊ะ! โทษทีมองไม่เห็น” น้ำเสียงเชิงขอโทษที่ฉันรับรู้ได้ว่าไม่ค่อยเต็มใจเอ่ยออกมา พลันตั้งหลักได้ฉันเลยมองเห็นว่าคนที่เอ่ยและชนพวกเราเป็นใคร“ไม่เป็นไรฮะ” ตาโตเกาหัวแกรกๆ แล้วก้มหัวนิ
พวกมันสามตัวก็คิดเหมือนผมนั่นแหละ แต่ถ้าไม่เจอกับตัวไม่มีทางรู้หรอกความรู้สึกตอนอยู่ในสถานการณ์นั้นมันอึดอัดแค่ไหน“มึงไม่คิดจะพาว่าที่คู่หมั้นมาแนะนำพวกกูหน่อยเหรอวะ” เคซิสถามผมรู้นะว่ามันคิดอะไร ไอ้นี่เห็นน่าดุๆ เงียบๆ แต่ฟาดเรียบนะครับ“เฮ้ย! อย่ามองกูแบบนั้นสิวะ ไหนบอกไม่จริงจังไง” รีบแก้ตัวเชียวนะไอ้ห่า“กูเปล่ามอง” ไม่ยอมรับมีไรมั้ย?“แหล!” เสียงแดกดันเรียบๆ จากไอ้การ์เซียที่นั่งอยู่ม้านั่งตรงข้ามผมดังขึ้นผมที่กำลังจะง้างปากเปล่งคำด่าการ์เซียออกไปก็ดันโดนมันชิงพูดขัดขึ้นมาอีกรอบ “ใช่คนนั้นมั้ยนะ?” มันพูดพร้อมเพยิดหน้าไปทางด้านหลังผมและเมื่อโฟกัสไปตามสายตาไอ้การ์เซียก็รู้ได้ในทันทีเลยว่า มันหมายถึงใคร“เออ! ยัยตัวแสบนั่นแหละ” เพลย์เยอร์ คือคนที่ไอ้การ์เซียถามเมื่อครู่ยัยนั่นกำลังเดินมากับผู้ชายคนหนึ่งที่ดูๆ แล้วน่าจะเด็กกว่าสักปีสองปี แล้วไอ้ท่าทางที่กำลังกอดคอไอ้หน้าอ่อนแบบสนิทชิดเชื้อนั่นคืออะไรวะ“เก็บอาการหน่อยเพื่อนซีนส์” ไอ้ขันทีเดินมาตบไหล่ผมเบาๆ เรียกสติให้กลับมาประจำที่ เมื่อกี้เกือบเดินไปกระชากยัยตัวแสบนั่นออกมาจากไอ้เด็กนั่นแล้ว“ไหนบอกไม่หวง ไม่จริงจัง แต่ทำไมอากา
วูบ~และสักพักไอ้หัวใจบ้าก็เกือบจะหยุดเต้นลงซะงั้น“ก็ฉันเป็นคนแบบนี้ ตกลงแผนนายคืออะไร รีบๆ พูดจะได้รีบกลับ” น้ำเสียงหงุดหงิดนี่หวังว่าเขาคงไม่เอะใจกับมันหรอกนะ“ฉันตกลงกับคุณหญิง เอ่อ แม่ฉันน่ะ” หมอนี่คงชินกับการเรียกแม่ตัวเองแบบนั้น พอเห็นฉันทำคิ้วขมวดเพราะงงในชื่อที่เรียกเลยรีบเฉลย“แล้ว?” เพราะเขาไม่ยอมพูดต่อฉันเลยเร่งเร้า“ฉันตกลงกับแม่ฉันไว้ ว่าจะทดสอบเธอนิดหน่อย ถ้าเธอแกล้งทนฉันไม่ได้สักสองเดือนเรื่องงานหมั้นเราก็จะไม่เกิดขึ้น”แปร๊บ!ทำไมพอได้ยินคำว่า ‘งานหมั้นจะไม่เกิดขึ้น’ ฉันถึงรู้สึกเจ็บปวดที่อกข้างซ้ายแปลกๆ สรุปเขาคือเจ้าชายในวัยเด็กของฉันจริงหรือเปล่า?“ถามไรอย่างสิ!” บอกแล้วฉันเป็นคนตรงๆ ถ้าอยากรู้อะไรจะถามเลย แต่พอคนที่ฉันกำลังจะตั้งคำถามหันมามอง ปากมันก็หยุดทำงานซะงั้น“ว่า?” ไอ้หัวขาวเอียงคอหน่อยๆ เลิกคิ้วขึ้นเหมือนเร่งเร้ารอฟังคำถาม“ที่นายไม่อยากหมั้นเพราะว่า... เพราะ เอ่อ” ทำไมกลับกรอกแบบนี้เพลย์เยอร์ ความตรงไปตรงมาของแกไปไหนหมด เปลี่ยนคำถามซะงั้น!“เพราะอะไร?” คนรอฟังยังคงเร่งเร้าสิ่งที่ฉันยังถามไม่จบ“นายมีคนที่ชอบแล้วเหรอ?” ฉันตัดสินใจถามออกไป แต่กลับไม่มองหน้
“นี่! จะพาฉันไปไหน นิสัยไม่ดี ฉันเป็นผู้หญิงนะเว้ย!” เมื่อถูกลากเข้ามาในลิฟต์ได้สำเร็จ ฉันก็ทั้งดิ้นทั้งยกเท้าเตะไอ้สายเหลืองทันที“เลิกดิ้น! แล้วก็เลิกมโนว่าฉันจะลากเธอไปทำไม่ดี ฉันไม่พิศวาสผู้หญิงแก่นๆ แบบเธอ” วาจาร้ายกาจไม่พอ แต่ดูปากที่เบ้เหมือนกับรังเกียจฉันสิ“คิดว่าฉันอยากให้ไอ้สายเหลืองล่อลวงเพศเดียวกันแบบนายมาถึงเนื้อถึงตัวเหรอยะ เสนียดน่ะรู้จักเปล่า!” ด่ามาด่ากลับไม่โกง คอนเซ็ปเพลย์เยอร์เองค่ะ“เธอนี่มัน!” นึกคำด่าฉันไม่ทันล่ะสิ ถึงได้ทำท่าทางฟึดฟัดหัวเสียแบบนั้นสมน้ำหน้า!อยากเล่นกับเพลย์เยอร์ดีนัก มวยคนละชั้นเหอะ ไปเรียนมาใหม่ไป!หลังจากที่ลิฟต์พาฉันกับไอ้หัวขาวขึ้นมาถึงฉันสามสิบแปดชั้นบนสุดของโรงแรมนี้ ไอ้หัวขาวก็ลากฉันออกมาและเดินขึ้นบันไดมาอีกสิบกว่าขึ้นเพื่อมายังชั้นดาดฟ้า“พาฉันมาที่นี่ทำไม คิดจะผลักฉันตกตึกงั้นหรอ?” ฉันทำท่าทางหวาดระแวงเมื่อสมองมันคิดได้แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว“นี่จะมโนไปถึงไหน ใครจะไปฆ่าแกงกันได้ง่ายๆ” ผู้ชายตรงหน้าที่สวมชุดสูทสีขาวมีเสื้อคลุมปลายแหลมสีดำทับข้างนอกอีกชั้นพูดขึ้น“ถ้าจะคุยเฉยๆ จำเป็นมั้ยที่จะลากขึ้นมาดาดฟ้าขนาดนี้” ปากน่ะต่อปากต่อคำ
ก๊อก ก๊อกฉันที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จก็มีคนมาเคาะประตูห้อง ทำให้ฉันรู้ทันทีว่าได้เวลาที่จะต้องไปเจอกับเจ้าชายในวัยเด็กแล้ว“สวยมากค่ะน้องเพลย์” แม่เล็กคือคนที่เคาะประตูห้องฉันก่อนหน้า ท่านเดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มหลังจากที่เห็นชุดที่อยู่บนตัวฉัน“เพลย์ว่ามันดูเวอร์ไปไหมคะแม่เล็ก” ฉันก้มมองสำรวจตัวเองตั้งแต่ช่วงอกลงไปยันเท้าน้อยๆเดรสสีขาวลายลูกไม้ กระโปรงด้านหน้าสั้นเหนือเข่าเล็กน้อย ปล่อยชายด้านหลังยาวลากดิน ช่วงบนเป็นเสื้อแขนยาวปักลายฉลุที่ดูเรียบแต่หรูหรา ชุดที่ส่งตรงจากแม่เล็กแน่นอนล้านเปอร์เซนต์ เพราะนี่ไม่ใช่ไลฟ์สไตล์ของฉันแม้แต่น้อย“แม่เล็กว่าเข้ากับน้องเพลย์ออก หรือว่าน้องเพลย์ไม่ชอบที่แม่เล็กยุ่งย่ามเรื่องชุดกัน แม่เล็กขะ...” ดราม่ามาอีกแล้วแม่เล็กของฉัน“โอ๋ๆ แม่เล็กอย่าน้อยใจสิคะ เพลย์ชอบค่ะ สวยดี แต่แบบว่ามันจะไม่ดูเวอร์ไปหน่อยเหรอคะ”“ไม่เลยค่ะ ชุดนี้เหมาะกับน้องเพลย์คนสวยของแม่เล็กที่สุด ใส่แล้วดูเป็นเด็กเรียบร้อย น่ารัก” แม่เล็กพูดแล้วก็ทำหน้าล้อเลียนฉันเบาๆท่านคงจะกำลังบอกฉันมันเป็นพวกแก่นแก้วหรือเปล่านะหลังจากที่เสียเวลากับเรื่องชุดฉันไม่นาน ตอนนี้พวกเราสามคนก็มารอฝ
[Sadins’s part]เครียด! เซงค์! หงุดหงิด!อารมณ์ผมตอนนี้แม่งหลากหลายบอกเลย มันบอกไม่ถูกทำไมชีวิตอิสระของหนุ่มโสดของไอ้ซาดีนส์ที่ได้ฉายาว่าเสือร้อยรักต้องมาเจอเรื่องคลุมถุงชนแบบนี้ด้วย นี่มันสมัยไหนกันแล้ว ทำไมต้องเอาชีวิตอิสระอันมีค่าของผมมาล้อเล่นแบบนี้“ว่าไงตาซีนส์ ตกลงลูกจะไปดูตัวน้องกับคุณหญิงมั้ย?” คำถามที่ร้อยได้แล้วมั้ง ตั้งแต่ที่แม่เรียกผมกลับมาบ้านเมื่อเช้านี้ ท่านก็เอาแต่พร่ำถามว่าผมจะไปดูตัวกับว่าที่คู่หมั้นมั้ย ถ้าไม่ไปท่านจะยึดบัตรทุกอย่างที่เป็นของผม จะกักขังผมไม่ให้ออกไปหาผู้หญิงที่ไหนสามเดือนให้ตายเถอะ! ขาดเงินไอ้ซาดีนส์คนนี้ไม่ตายครับ (มีเพื่อนให้เกาะ)แต่ถ้าให้ผมขาดนารีถึงสามเดือนมีหวังซีนส์น้อยผมเป็นหมันแน่นอน“คุณหญิง~” ผมเรียกชื่อแม่ตัวเองเสียงลากยาว ทำตาเหมือนแมวขี้อ้อน“ไม่ค่ะ!” นั่นคือการบอกว่า ‘ไม่สงสาร’ ของแม่ผมครับเอาไงดีวะ! จังหวะที่ผมกำลังระดมสมองอันชาญฉลาดหาทางเอาตัวรอดในนาทีฉุกระหุกแบบนี้ ความคิดดีๆ ก็แวบขึ้นมาหึ! เอาสิ ได้เลย! ถ้าแม่อยากให้ผมไปดูตัวว่าที่คู่หมั้นนักผมก็จะไป“โอเค ผมไปก็ได้ แต่...”“ไม่มีข้อแม้ค่ะ” ผมยังพูดไม่ทันจบเลย ยังไม่ได้บอกเล
แปะ~จบคำแซวฉัน เสียงฝ่ามือน้อยๆ ของแม่เล็กที่ตีเบาๆ ที่ต้นแขนฉันเป็นเชิงปรามสิ่งที่ทำลงไปก่อนหน้า ท่านจ้องฉันเขม็งบอกทางสายตาว่า‘นิสัยไม่ดีเลยค่ะ เป็นเด็กเป็นเล็กทำไมย้อนคุณพ่อแบบนั้น’ ฉันคิดว่านะ“แฮร่ๆ” ยกมือลูบต้นแขนจุดที่แม่เล็กตีเบาๆ เหมือนมันเจ็บมากมายแก้อายที่ตัวเองเผลอทำนิสัยไม่ดีออกไปจริงๆ“ช่างลูกเถอะ!” คุณพ่อพูดกับแม่เล็กปนยิ้มขำให้กับความเจ้าระเบียบของแม่เล็กน้อยๆ“ค่ะคุณ” แม่เล็กยิ้มกลับให้คุณพ่อ พร้อมกับเขยิบเข้ามาใกล้ฉันที่นั่งอยู่ข้างๆ ท่าน“ตอนนี้น้องเพลย์ยังตามหาเจ้าชายในฝันคนนั้นอยู่มั้ยคะ?” แม่เล็กเล่นเปิดด้วยคำถามที่รู้ทั้งรู้ว่าฉันจะตอบอะไรออกไปแบบนี้เลยเหรอ“แน่นอนสิคะ เพลย์ไม่มีทางลืมเจ้าชายคนนั้นได้หรอกค่ะ” เสียงจริงจังของฉันทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองคนหันไปมองหน้าพร้อมกับยิ้มให้กันเหมือนถูกอกถูกใจอะไรสักอย่าง“มีอะไรเหรอคะ” ฉันขมวดคิ้วแบบงงงวยถามออกไป“แม่เล็กจะบอกว่าคุณพ่อเราหาเจ้าชายน้องเพลย์เจอแล้วไงคะ”คำบอกเล่าของแม่เล็กทำให้ฉันสตั้นไปหลายวินาทีเหมือนถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งแล้วคิดว่าฝันไปน่ะ เคยเป็นกันมั้ย?“วะ ว่าไงนะคะ... แม่เล็กหาเขาเจอแล้วเหรอ? เรื่อง