“เบื่อฉิบ! ไม่เข้าคลาสสอนก็น่าจะบอกนักศึกษาล่วงหน้า แบบนี้ก็แหกขี้ตาตื่นเช้าเสียเวลาฉันหมดน่ะสิ”
ฉันเดินดุ่มๆ บนส้นสูงสามนิ้วในชุดนักศึกษารัดติ้วด้วยความหงุดหงิดเข้าขั้นสิบริกเตอร์ สาเหตุเพราะอาจารย์ประจำคลาสเช้าของคณะนิเทศศาสตร์ที่ฉันเรียนอยู่ เกิดเอาแต่ใจอะไรขึ้นก็ไม่รู้ ทันทีที่ขาเรียวสวยของฉันก้าวเข้าห้องเรียนก็พบกับข้อความที่อ่านแล้วทำให้ถึงกับกุมขมับ
‘วันนี้อาจารย์ไม่สบาย ต้องไปออกเดทกระทันหัน เด็กๆ เรียนรู้เองนะจ๊ะ’
ข้อความที่สุดแสนจะอินดี้ ชิลล์ๆ บนกระดานดำ ย้ำนะคะ ว่ากระดานดำ ที่มองกี่ทีๆ ก็ทำให้นึกถึงสมัยประถม ตัวบักเอ้ง! เขียนไว้ เป็นสารบอกให้เหล่านักศึกษาที่ต้องเข้าเรียนในคลาสนี้ตอนนี้ทุกคนทำหน้าเอือมระอาที่ได้อ่านมัน
รวมถึงฉัน เพลย์เยอร์ สุดสวยคนนี้... แล้วแบบนี้จะไม่ให้ฉันที่อุตส่าห์แหกขี้ตาตื่นตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าเพื่อมาให้ทันเข้าเรียนแปดโมงเช้าโมโหแถมหงุดหงิดแบบนี้ได้ยังไงไหว!!
ขณะที่กำลังเดินผ่านห้องน้ำชายที่หลังตึกคณะศิลป์ที่อยู่ข้างๆ คณะฉัน หูก็ดีดันไปได้ยินเสียงๆ หนึ่งที่ดังในห้องน้ำ
“โอ๊ย! แทงเบาๆ สิวะ”
หืม! เดี๋ยวนะ ใครมามีเรื่องอะไรกันแถวนี้หรือเปล่า อะไรแทงๆ
ฉันเลยหยุดขาไว้เพื่อที่จะเงี่ยหูฟังบทสนทนาต่อไปแบบมีมารยาทที่สุด
“ไอ้ห่า! แทงทีละนิดมันจะไปเสร็จอะไร เนี่ยแบบนี้แหละดีแล้ว แทงครั้งเดียวมิดเลย เจ็บ แสบดีมั้ยล่ะ ฮ่าๆ”
เฮ้ย! ไม่ใช่แล้ว บทสนทนาของสองคนในห้องน้ำทำไมมันทะแม่งๆ แบบนี้นะ แถมเสียงทั้งสองเสียงที่คุยกันดันเป็นเสียง.... ผู้ชาย
ไม่ได้การ เข้าใจนะว่าสังคมสมัยนี้มันพัฒนาไปถึงไหนแล้ว เรื่องรักเพศเดียวกันอะไรพวกนี้มันเหมือนเรื่องธรรมชาติเข้าทุกวัน แต่นี่มันสถานศึกษา แถมยังอยู่ในที่สาธารณะแบบนี้ เอ่อ... ห้องน้ำเรียกที่สาธารณะได้ไหมอะ
แต่ก็ช่างมันอย่าไปสนใจเรื่องนั้น ฉันจะจัดการกับไอ้สองคนที่กำลังทำอะไรๆ กันอยู่ในนั้นยังไงดีนะ “นิสัยทรามแบบนี้ต้องเจอฉัน เดี๋ยวแม่เพลย์คนนี้จะจัดให้เอง”
พูดเสร็จก็หน้าด้าน ไม่สนอะไรแล้วในนาทีนี้ เปิดประตูห้องน้ำชายเข้าไป
โป๊ก!!
“เหี้ยตัวไหนขว้างมาวะ!”
เหี้ยตัวนี้ล่ะ แถมสวยด้วย
ฉันคิดในใจยืนกอดอกมองดูภาพอุจาดตาที่เปิดประตูมาเจอกับ... ผู้ชายสองคน
คนหนึ่งยืนอยู่ติดกับอ่างล้างหน้าฉันมองไม่เห็นหน้าเขา เพราะมีผู้ชายร่างหนา สูง ผมสีบรอนด์ยืนบังอยู่ เหมือนกับไอ้หัวขาว ฉันขอตั้งฉายาให้เขาเลยแล้วกัน
ไอ้หัวขาวกำลังก้มลงไปทำอะไรบางอย่างกับผู้ชายอีกคนที่อยู่ตรงหน้าเขา
ฉันคิดว่าคงจะกำลัง... ล่ะนะ
“ทำอะไรอายฟ้าอายดินบ้างก็ดี ถ้าอยากมากจนอดใจไม่ไหว นู่น!!”
ฉันชี้มือออกไปนอกประตูห้องน้ำ พร้อมกับบู้ปากประกอบท่าทาง
“ออกไปทำกันนอกมหาลัยไป ไอ้พวกสายเหลือง”
สั่งสอนคู่รักสายเหลืองตรงหน้าเสร็จ ฉันก็หันหลังเดินออกมาจากตรงนั้นทันที ไม่อยากอยู่นาน แค่นี้ตาฉันจะเป็นกุ้งยิงมั้ยเนี่ย
“เฮ้อ!” วันนี้ทั้งวันฉันเอาแต่นั่งหายใจทิ้งอยู่ภายในห้องสีฟ้าสดใส สีโปรดของฉัน นั่งเหม่อมองอยู่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้ง มองร่องรอยของรอยสักรูปแมวดำนั่งอยู่บนพระจันทร์เสี้ยวพร้อมกับเถาวัลย์ดอกไม้ที่อยู่บนไหล่ซ้ายของฉัน
ยิ่งมองมัน ยิ่งทำให้ฉันนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันจำเป็นต้องสักรูปนี้เมื่ออายุ 19 เพื่อเป็นการปกปิดรอยแผลเป็นอะไรบางอย่าง
“เมื่อไหร่ฉันจะหานายเจอนะ เจ้าชายของฉัน” เพราะเห็นรอยสักทีไร ใจฉันก็จะเต้นตึกตัก คิดถึงเหตุการณ์ในวัยเด็ก ตอนฉันอายุ 4 ขวบ
วันที่ฉันได้เจอกับ เจ้าชายขี่ม้าขาว ในวันนั้น
“ชิ่วๆ ไปไกลๆ เลยนะเจ้าหมาบ้า อย่ามาทำร้ายน้องแมวของเพลย์นะ”
ฉันในวัยเด็กที่กำลังจะช่วยเจ้าแมวน้อยจากการถูกเจ้าหมาตัวใหญ่ขู่กรอดๆ เตรียมจะขย้ำเจ้าน้องแมวเคราะห์ร้ายสีดำเมี่ยม
กรรรจ์!!
เสียงเจ้าหมาตัวโตร้องคำรามขู่ฉันที่กำลังจะเข้าไปแย่งเหยื่ออันโอชะของมัน แววตาของเจ้าหมาตัวโตสีน้ำตาลน่ากลัวมาก มันคำรามพร้อมโชว์เขี้ยวใหญ่ยาวที่แข็งแกร่งใส่ฉัน“น้องแมว มานี่มา มาหาน้องเพลย์น้า~”
ฉันยังคงใจดีสู้หมาตัวนั้นอยู่ พยายามค่อยๆ ใช้ไม้ยาวๆ ที่ถือไว้ ยื่นไปข้างหน้าเพื่อไล่เจ้าหมาเกเรตัวโตแต่ตอนที่ฉันเกือบจะเอื้อมมือไปหยิบน้องแมวตัวเล็กนั่นได้ ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น
โฮ่ง!!
แง่ง!!“กรี้ด~” ฉันกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด เมื่อเจ้าหมาตัวโตกระโจนเข้ามาใส่ร่างเล็กของฉันจนล้มลง แล้วมันก็กัดเข้าที่ไหล่ซ้ายฉัน ในนาทีนั้นฉันที่ยังเด็กมากนึกว่าจะตายตรงนั้นแล้วซะอีกถ้าไม่ได้...
เอ๋งๆ...!!
จังหวะที่กำลังเหมือนจะขาดอากาศหายใจเพราะทนเจ็บปวดกับแผลที่ถูกกัดไม่ไหว ก็มีเด็กผู้ชายน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับฉันเข้ามาช่วยไล่เจ้าหมาตัวนั้นไว้
ฉันไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีไหนทำให้เจ้าหมาตัวนั้นยอมปล่อยฉันที่เป็นเหยื่อใหม่ของมันแล้ววิ่งหางจุกตูดเผ่นแนบได้ขนาดนั้น
ตอนนี้สมองฉันเริ่มจะขาวโผลน สองตาเริ่มจะดับมืดลง...
ช่วยด้วย!
ฉันได้แต่เอื้อนเอ่ยขอความช่วยเหลือออกไป คิดว่าเสียงมันคงดังออกไปแต่ที่ไหนได้นั่นเป็นเพียงแค่จินตนาการของฉันเท่านั้น เพราะเสียงมันไม่ได้ดังออกไปตามที่ใจคิดเลยหลังจากนั้นผ่านมาประมาณสามวันได้ ฉันก็ฟื้น หมอบอกว่าแผลมันลึกมาก ต้องฉีดยาอะไรไม่รู้ตั้งหลายอย่าง ฉันที่ยังเด็กอยู่จำไม่ได้หรอก ที่จำได้เพราะให้ปะป๊าเล่าให้ฟังอีกรอบตอนอายุ 19
ปีป๊ายังเล่าต่ออีกว่าการช่วยน้องแมวรอบนั้น ทำให้ฉันเย็บถึง 15 เข็ม
ตอนที่ปะป๊าเจอฉันนอนเลือดอาบตัวอยู่ในตอนแรกป๊าแทบช็อค เพราะสภาพฉันเหมือนเด็กที่มีแค่ร่างแต่ไร้วิญญาณไปแล้ว ข้างๆ ตัวฉันมีเด็กผู้ชายน่าจะอายุมากกว่าฉัน 2-3 ปีอยู่ตรงนั้นด้วยป๊าบอกว่า เด็กคนนั้นกำลังช่วยหยุดเลือดที่ไหลออกมาจากแผล เขาถอดเสื้อของตัวเองใช้ห้ามเลือดฉันไว้ แถมตอนมาที่โรงพยาบาลเด็กคนนั้นก็ยังตามฉันมาพร้อมกับเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้กับหมอและพวกป๊าฟัง
แมนแต่เด็กมั้ยล่ะ
เจ้าชายของฉันและหลังจากนั้นประมาณหนึ่งสัปดาห์เราก็ได้เจอกันอีกครั้ง
ที่สวนสาธารณะที่เดิมที่ฉันได้รับความช่วยเหลือจากเขา“เธอยัยเด็กที่โดนหมากัดนี่” เสียงเด็กผู้ชายหัวดำที่สูงกว่าฉันเกือบสามเซนฯ ทักขึ้นด้านหลัง
ตอนแรกที่หันไปมอง ฉันยังคงทำหน้างงๆ ใส่เด็กคนนั้นอยู่“นายเป็นใครเหรอ” ฉันถามพร้อมกับเอียงคอเล็กน้อยครุ่นคิดว่าเด็กผู้ชายคนนี้คือใคร เพราะไม่คุ้นหน้าค่าตาเอาซะเลย
“ฉันคนที่ช่วยเธอไง เป็นไง... แผลหายดีหรือยัง” เด็กคนนั้นยังคงพูดเจื้อยแจ้วถามถึงแผลของฉัน “นายคือคนที่ช่วยฉันเหรอ?” ฉันทำตาโตบ๊องแบ๊วถามเขาออกไป
“อื้อ” เด็กคนนั้นตอบมาเพียงคำเดียวสั้นๆ พร้อมกับยิ้มจนตาหยี
“นายมาเป็นเจ้าชายของฉันตลอดไปได้ไหม โตขึ้นน้องเพลย์จะแต่งงานกับเจ้าชายคนนี้
คิกๆ” มันแปลกนะ ที่ฉันยังคงจำประโยคนี้ของตัวเองในวัยเด็กได้ขึ้นใจ ความทรงจำในวัยเด็กของฉันเรื่องนี้ไม่เคยลืมเลือนไปเลยแม้แต่น้อย“ถ้าน้องเพลย์อายุ 21 เจ้าชายต้องมาขอน้องเพลย์แต่งงานนะ”
“ปะป๊าบอกว่าปะป๊ามีน้องเพลย์ตอนอายุเท่านั้น น้องเพลย์ก็อยากมีน้องเพลย์น้อยตอนอายุเท่านั้นเหมือนกัน ฮี่~”
และหลังจากนั้น ฉันก็ไม่ได้พบกับเจ้าชายในวัยเด็กของฉันอีกเลย
“แกท่าจะบ้านะยัยเพลย์” ใครที่ไหนจะบ้าเท่าฉันที่รอคำสัญญาที่ตัวเองเป็นคนพูดเองเออเองอยู่คนเดียวจนตอนนี้มันผ่านมาถึง 17 ปีแล้วฉันคือใครน่ะเหรอ ฉันชื่อ เพลย์เยอร์ นางสาวพิณณิการ์ สวัสดิ์รุ่งโรจน์ลูกสาวคนเดียวของท่านทูต เศกอนันต์ สวัสดิ์รุ่งโรจน์ ผู้ร่ำรวยอันดับสามของประเทศนี้ก๊อก ก๊อก ขณะที่กำลังนั่งคิดอะไรเพลินๆ เสียงเคาะประตูห้องนอนฉันก็ดังขึ้น พร้อมกับเสียง แกร๊ก เปิดประตูเข้ามาของผู้มาเยือน“คุณหนูตื่นแล้วเหรอคะ” ป้าหวานแม่บ้านเก่าแก่ของตระกูลฉันผู้ที่เปรียบเสมือนแม่อีกคนของฉันเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ดูตกใจนิดหน่อยที่เห็นฉันนั่งอยู่แบบนี้“แหม! ป้าหวานก็ การเห็นเพลย์ตื่นเช้าแบบนี้ทำให้ป้าถึงกับตกใจเลยเหรอคะ” ฉันแกล้งพูดแหย่ป้าหวาน พร้อมกับยิ้มน้อยๆ ให้ท่านที่ป้าหวานท่านดูตกใจเพราะปกติฉันเป็นคนตื่นสายน่ะ ถ้าไม่เก้าโมงเช้าฉันไม่มีทางแหกขี้ตาตื่นแน่นอน ยกเว้นวันไหนเรียนเช้าและก็เป็นวิชาที่สำคัญ“ก็นี่มันเพิ่งจะเจ็ดโมงครึ่งเองนี่ค่ะ ไม่ให้ป้าตกใจไหวเหรอ” ฉันนั่งอมยิ้มขำให้กับป้าหวาน หญิงวัยห้าสิบปลายๆ“แล้วป้ามาหาเพลย์แต่เช้ามีอะไรหรือเปล่าคะ” การที่ป้าหวานบุกห้องฉันแต่เช้าตรู่แบบนี้ต
พวกเราใช้เวลารับประทานอาหารเช้ากันค่อนข้างนานนิดหน่อย เพราะว่ามัวแต่เถียงกันเรื่องที่เรียนใหม่ฉันตลอดเวลาของการทานข้าว และก็เหมือนเดิม...คนที่ห้ามทัพของเราสองพ่อลูกก็คือแม่เล็ก ผู้มีนิสัยสุขุมและมีเหตุผลที่สุดที่ป๊าฉันยังไม่กล้าขัด“เบื่อจัง! โทรบอกเรื่องเปลี่ยนที่เรียนให้ยัยยีนส์รู้สักหน่อยดีกว่า” หลังจากที่นั่งอุดอู้อยู่ในห้องตัวเองมานานสองนาน ฉันเลยนึกถึงเพื่อนรัก เพื่อนสนิทในมหาลัยเก่าอย่างยัยยีนส์ขึ้นมาถ้าฉันไม่บอกมันก่อนล่วงหน้าว่าฉันต้องลาออกจากที่นั่นเพื่อไปเรียนที่ใหม่มีหวังยัยนี่ได้โกรธฉันไปสามชาติแน่ๆก็ฉันมีเพื่อนสนิทกับเขาแค่คนเดียวนี่เนอะ คนอื่นๆ ที่เข้ามาหาฉันก็เพราะว่าฉันรวยกันทั้งนั้น ยกเว้น! ยัยยีนส์ เพราะนางทั้งสวยและรวยเท่าๆ กับฉันตู๊ด~ ฉันที่นั่งต่อสายหาเพื่อนสนิทอยู่ไม่ถึงสิบวินาทีปลายสายก็กดรับพร้อมกับคำทักทายที่ฉันไม่คิดว่ายัยนี่ก็รู้แล้วเหมือนกัน[ฉันเก็บของอยู่ ป๊าแกนี่จะรีบย้ายที่เรียนเร็วไปไหนห๊ะยัยเพลย์]ได้ไงอะ!? นี่ป๊าบอกยัยยีนส์เรื่องย้ายที่เรียนก่อนแล้วเหรอ แล้วที่หล่อนบอกว่าเก็บกระเป๋าอยู่คืออะไร?“แกเก็บกระเป๋าทำไม แล้วทำไมป๊าถึงต้องบอกแกเรื่องนี้
“กว้างชะมัด เล่นเอาขาล้าไปหมดเลย”หลังจากที่กิจกรรมทัวร์มหาลัย RNN ครบทุกซอกทุกมุม พวกเราสองคนก็นั่งรถลีมูซีนของป๊าคันเดิมมาที่คอนโดที่ป๊าซื้อไว้ให้ฉันกับยัยยีนส์พักตอนเรียนอยู่ที่นี่ แล้วท่านก็รีบกลับบ้านเพื่อที่จะไปทำงานต่อ“นั่นน่ะสิ แล้วนี่เมื่อไหร่คนที่บ้านฉันจะเอา นินจา ลูกรักฉันมาส่งสักทีเนี่ย”ฉันรีบหันขวับไปมองหน้ายัยยีนส์ทันที ที่ได้ยินเธอพูดถึงลูกรักของเธอ“นี่แกอย่าบอกนะจะขับไอ้มอเตอร์ไซค์คันใหญ่ยักษ์นั่นไปเรียนน่ะ”ฉันรีบถามยัยยีนส์ออกไปแทบเสียงดังลั่น เคยบอกยัยนี่ไปหลายครั้งแล้วว่าผู้หญิงตัวเล็กจิ้ดเดียวแบบเธอไม่เหมาะที่จะขับไอ้รถมอเตอร์ไซค์คันบักเอ๊กแบบนั้นหรอก เกิดวันดีคืนดีมันเกิดพาแหกโค้งขึ้นมาจะทำยังไงเอ่อ... คือฉันไม่ได้แช่งเพื่อนรักนะ แต่ที่พูดเพราะเป็นห่วงต่างหาก“นี่! อย่าเรียกนินจาลูกรักฉันแบบนั้นสิ” “นั่นน่ะ Kawasaki ZX10R คันโปรดฉันเลยนะเว้ย!”ไม่ไหวจะเคลียร์กับเพื่อนคนนี้ คนอะไรชอบผาดโผนเสียจริงๆ เจ็บตัวเพราะไอ้นินจาลูกรักคันนั้นมาเมื่อไหร่ ฉันจะไม่ไปดูดำดูดีเลยคอยดูเหอะ“นี่แหนะๆ”“โอ๊ย! ทำอะไรของแกเนี่ย เจ็บนะ” อยู่ๆ ยัยยีนส์ก็เล่นอะไรไม่รู้ผลักหัวฉันตั้
หลังจากที่จัดเตรียมเอกสารการเรียนเสร็จ พวกเราก็ลงมาจากชั้นเจ็ด ตรงมาที่ลานจอดรถของคอนโด ซึ่งอยู่ชั้นล่างสุด สองเท้าฉันแข็งทื่อแบบอัตโนมัติ เมื่อสายตามองเห็นสิ่งที่จอดอยู่ตรงหน้าอึก~ ฉันยืนกลืนน้ำลายเอื๊อกๆ มองเจ้านินจาลูกรักยัยยีนส์คันสีเขียวใบตองที่สงสัยคนที่บ้านเธอคงจะเพิ่งเอามาให้เมื่อเช้า“แกจะให้ฉันซ้อนแมงกะไซค์คันยักษ์นี่จริงเหรอ” ฉันว่าพร้อมกับชี้นิ้วเรียวยาวกรีดกรายไปยังเจ้ามอเตอร์ไซค์คันเขื่องลูกรักของยีนส์“ตามใจแกนะ จะเดินไป หรือจะไปเรียกแท็กซี่เองก็แล้วแต่”ชิ! ช่างประชดประชัน รู้ทั้งรู้ว่าฉันไม่กล้าเรียกใช้บริการแท็กซี่ เพราะเคยไม่ประทับใจกับการบริการที่สุดแสนจะสร้างความร้าวฉานให้กับใบหน้างามๆ ของฉันด้วยการที่‘อีหนู... เดี๋ยวลุงจอดข้างหน้านะ’‘อ้าว! ทำไมล่ะคะ ยังไม่ถึงที่หมายเลย’‘พอดี... เอ่อ ลุงไม่ชอบกลิ่นทุเรียนน่ะ ในถุงนั่นคือทุเรียนใช่มั้ย’ปรี้ดแตกมั้ยถามใจฉันดู! แค่ฉันซื้อทุเรียนแล้วนั่งแท็กซี่ แล้วดันไปเรียกใช้บริการคันที่ไม่ถูกกับทุเรียน แล้วลุงแกก็อันเชิญฉันลงจากรถแกทันที แล้วดันจอดให้ฉันในที่ๆ ฉันต้องรอคันต่อไปถึงชั่วโมงเต็มๆพูดแล้วของขึ้น! หลังจากนั้นฉันเลย
“โอ๊ย! แทงเบาๆ สิวะ”หืม!? เท้าฉันหยุดกึกโดยอัตโนมัติ พร้อมกับเงี่ยหูฟังบทสนทนาต่อไปแบบมีมารยาทที่สุด“ไอ้ห่า! แทงทีละนิดมันจะไปเสร็จอะไร เนี่ยแบบนี้แหละดีแล้ว” “แทงครั้งเดียวมิดเลย เจ็บ แสบดีมั้ยล่ะ ฮ่าๆ”เฮ้ย! บทสนทนาของสองคนในห้องน้ำทำไมมันทะแม่งๆ แบบนี้นะ แถมเสียงที่คุยกันดันเป็นเสียงผู้ชายไม่ได้การๆ เข้าใจนะว่าสังคมสมัยนี้มันพัฒนาไปถึงไหนแล้ว เรื่องรักเพศเดียวกันอะไรพวกนี้มันเหมือนเรื่องธรรมชาติเข้าทุกวันแต่นี่!! มันสถานศึกษา แถมยังอยู่ในที่สาธารณะแบบนี้อีก“ไอ้พวกทุเรส ไม่รู้จักกาลเทศะ ได้!! เดี๋ยวแม่เพลย์สุดสวยจะสั่งสอนเอง” พูดเสร็จก็หน้าด้าน ไม่สนอะไรแล้วในนาทีนี้ เปิดประตูห้องน้ำชายเข้าไป โป๊ก!!“เหี้ยตัวไหนขว้างมาวะ!”เหี้ยตัวนี้ล่ะ แถมสวยด้วย ฉันคิดในใจ ยืนกอดอกมองดูผลงานการปาขวดโค้กที่มันเคยอยู่ในกระเป๋าสะพายของตัวเองแต่ตอนนี้มันลอยระริ้วและดันแม่น ตรงเข้ากลางกระบานของไอ้ผู้ชายหัวขาวที่ยืนหันหลังให้ฉันอยู่ แล้วดูสิ ท่าทางอุบาจ บัดสีบัดเถลิงนั่นมันอะไรฉันเห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ติดกับอ่างล้างหน้าแถมยังหันหลังให้ไอ้หัวขาวนี่อีก แต่ฉันมองไม่เห็นหน้าเขาหรอกนะ เพราะมีร่างห
@หน้าตึกคณะศิลป์ - เอกออกแบบ“กว่าจะเสด็จมาได้นะ ไอ้ลูกเจ้าของมหาลัย” ผมยังก้าวขาไม่ถึงโต๊ะที่มีมนุษย์หน้าหล่อสามตัวนั่งอยู่ ไอ้เคซิส ก็เริ่มกัดผมเป็นคนแรก จะรอให้ผมก้นถึงเก้าอี้ก่อนไม่ได้หรือไงวะ‘เคซิส’ คือเพื่อนอีกคนในกลุ่มผมอีกคน มันเป็นถึงนักเรียนนอก แต่ดันมาซิ่วต่อที่ไทย ผมก็ไม่เข้าใจมันเหมือนกัน เรียนที่เมืองนอกจบแล้ว แต่ดันอยากมาลองเข้าเรียนที่มหาลัยเมืองไทยดูอีกที เหตุผลเพราะ... ‘กูอยากจีบสาวไทยในชุดนักศึกษา’ไอ้เคซิส เป็นเจ้าของผับ S นิสัยค่อนข้างสุขุมและเยือกเย็น ใบหน้าคมเข้มออกแนวลูกครึ่งเยอรมัน แถมอายุเยอะกว่าพวกผมตั้งสองปีแต่ด้วยความที่ซิ่วกับซิ่วมาเจอกัน คบกันมาถึงสามปี เลยไม่ค่อยจะเรียกมันว่าพี่เท่าไหร่ แต่ถามว่าพวกเราเคารพมันมั้ยก็... เคารพนะ แต่ไม่อยากเรียกพี่ มีไรป้ะ?“ได้ข่าวเจอดีเหรอมึง” ไอ้การ์เซียถามผมเสียงนิ่งๆ แบบไม่มองหน้า‘การ์เซีย’ หนุ่มหล่อ รวย คมเข้ม ดีกรีเจ้าของสนามแข่งรถเถื่อน ขอเตือนเลยนะ อย่าคิดอยากไปรู้จักมันเด็ดขาด เพราะมันค่อนข้างเลือดเย็น ใจแม่งหิน!“ไอ้ขันแม่งมาฟ้องอีกละสิ” ปากผมพูด แต่ตานี่กำลังก่นด่าไอ้ขันที ที่แท้ที่รีบวิ่งออกจากห้องน้ำมาก่
“ยัยเพลย์!!” เสียงตะโกนแสบแก้วหูของยีนส์ดังลั่นพื้นที่ของโรงอาหาร ที่ตอนนี้ฉันกำลังนั่งรอมันอยู่ “จะตะโกนทำซากอะไร หูจะแตก”เดินอีกไม่กี่ก้าวก็ถึงโต๊ะอยู่แล้ว จะมาตะโกนเรียกให้เจ็บคอทำไมก็ไม่รู้“อย่ามาเนียน” ยีนส์นั่งลงเก้าอี้ม้าหินอ่อนอีกตัวหนึ่งฝั่งตรงข้าม ฉันเลยยิ้มแหยๆ พร้อมกับก้มหน้าเล่นมือถือต่อ“แกปล่อยให้ฉันเดินไปที่ห้องเรียนนั่น โดยที่ไม่ยอมบอกว่ามันไม่มีคลาสเรียนอะไรของเช้านี้แล้ว แถมยังให้ฉันเดินวนหาแกทั่วมหาลัย...”ยีนส์เว้นจังหวะเพื่อหอบหายใจ แล้วเริ่มบ่นให้ฉันต่อ“สุดท้ายแกเพิ่งส่งไลน์หาฉันเมื่อห้านาทีก่อน ว่าแกนั่งหน้าบานอยู่ตรงนี้”ยีนส์ชี้นิ้วเรียวยาวของเธอลงที่โต๊ะที่เราสองคนนั่ง พร้อมกับเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นทำหน้าเชิงหาเรื่องฉัน “ยีนส์ เพลย์ขอโทษ เพลย์ลืม~”ฉันทำเสียงอ่อนเสียงหวาน พร้อมส่งสายตาฟรุ้งฟริ้งที่ชอบทำเวลาตัวเองทำความผิด เพราะยีนส์น่ะเธอแพ้สายตาขี้อ้อนของฉันตลอดแหละ“หึ้ย! มันน่ามั้ย เก็บไปเลยนะ ไอ้สายตาฟรุ้งฟริ้งของแกน่ะ เห็นแล้ว..”“ใจอ่อนชิมิ~” ฉันแกล้งพูดแซวเพื่อนรักที่นั่งเมินหน้าหนีฉันไปอีกทาง พร้อมกับรอยยิ้มบางๆ เหมือนกลั้นขำที่มุมปากของยีนส์พวกเร
เรานั่งเรียนเกี่ยวกับโครงสร้างงานโฆษณาไปได้ประมาณห้าสิบนาที อาจารย์สมรศรีก็ปล่อยพวกเราเลิกคลาสเร็วกว่ากำหนดเกือบสี่สิบนาทีมหาลัยนี้มันเป็นมหาลัยเปิดจริงๆ สินะ อยากเลิกตอนไหนก็เลิก เกิดอินดี้ไม่อยากเข้าสอน ฉันก็ไม่สอน เชิญคุณๆ เรียนรู้เอง ดีชะมัด!!“เพลย์ ยีนส์ จะกลับเลยมั้ย เพราะหลังจากนี้ก็ไม่มีเรียนต่อแล้ว”เสียงหวานๆ ของตาหวานถามพวกเรา“เอาไงดียีนส์ จะกลับเลยมั้ย” ฉันหันไปถามแนวร่วม“ไปห้างกัน แถวนี้มีห้างใกล้ๆ เปล่า” ยีนส์หันไปถามตาหวาน“มีสิ เดี๋ยวหวานพาไป จะพาทัวร์ให้ครบทุกชั้นของห้างเลย”ตาหวานพูดพร้อมกับดึงแขนพวกฉันสองคนเดินตามเธอมา“เดี๋ยว!!” ยีนส์ขืนตัวไว้พร้อมกับตะโกนหยุดตาหวานที่กำลังลากพวกเราสองคน “ทำไมเหรอ หรือว่าเกิดเปลี่ยนใจ”ตาหวานรีบหันหน้าใสๆ พร้อมกับทำตาบ๊องแบ๊วเหมือนแมวขี้สงสัยถาม“เปล่า... จะถามว่าหวานจะไปยังไง คือเราขี่มอไซค์มา”เออ! เกือบลืมไปเลย เรามีกันสามคน แต่รถดันเป็นมอเตอร์ไซค์ แล้วแบบนี้จะซ้อนสามไหวเหรอ “อ้าวเหรอ! งั้นยีนส์กับเพลย์ขับตามรถหวานมาแล้วกัน”“ยีนส์ฝากเพลย์ไปรถหวานได้เปล่าอะ ไม่อยากให้ยัยนี่นั่งตากแดด”ซึ้งค่ะ ฮือๆ ซึ้งในน้ำใจเพื่อนรักที่เป็น
“แต่งเลย / แต่งเลย”ฉันยังไม่ทันได้ตอบอะไร เสียงตะโกนจากด้านล่างก็ดังขึ้น ทุกคนยืนขึ้นพร้อมกับตะโกนให้ฉันตอบรับซาดีนส์ ไม่เว้นแม้แต่พ่อแม่ของพวกเรา“ฉะ ฉัน” มันตื้นตันจนตอบออกมาเป็นคำพูดไม่ได้“ว่าไงครับ เพลย์น้อยของซีนส์ วันนี้จะยอมเป็นเจ้าสาวของเจ้าชายคนนี้หรือเปล่า” รอยยิ้มที่มาพร้อมกับประโยคร้องขอทำให้ฉันฝืนน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป“ฮึก อึก”“เด็กขี้แย ถ้าไม่ตอบ...” ซาดีนส์เงียบเสียงลง ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยคำพูดที่ไม่มีเสียง ‘ฉันจะจับเธอกินทั้งคืน’ ฉันถึงกับกัดปากแน่น แบบนี้เรียกมัดมือชกไหมนะ“อื้อ” ฉันพยักหน้า อยากตอบเขาเป็นคำพูดแต่ตอนนี้มันดีใจสุดๆ มันตื้นตันจนไม่มีเสียงที่จะเปล่งออกมาแล้ว“ไม่เอาสิ อยากได้ยินคำพูดหวานๆ พูดให้ซีนส์ดีใจสักคำสิครับ” เสียงออดอ้อนพร้อมกับแววตาเว้าวอนและโหยหาของซาดีนส์ทำเอาฉันกลืนน้ำลายลงคออึกๆ“ก็บอกว่าอื้อไง” ฉันกัดปากอีกครั้ง เบือนหน้าไปทางอื่นตอนนี้มันทั้งอายและก็ดีใจไปในเวลาเดียวกัน อายเพื่อนๆ และพ่อแม่ดีใจ ที่คำสัญญาในวัยเด็กเป็นจริงสักที“ดื้ออีกแล้ว คนเขาอุตส่าห์บอกความในใจหมดแล้วนะ”ทำเป็นน้อยใจ ชิ! ‘ฝากไว้ก่อนเถอะ’ฉันพูดแบบไม่มีเสียงให้เขา
“สวัสดีค่ะ / ครับ” ทั้งตาหวาน ตาโตรวมถึงยีนส์ยกมือไหว้ป๊ากับแม่เล็กหลังจากได้ยินท่านถามประโยคนั้น “ตามสบายนะเด็กๆ วันนี้เป็นวันพิเศษของพิเศษ” ฉันมองหน้าป๊าแบบงงๆ นิดหน่อยวันพิเศษของพิเศษ คือมันแสนจะพิเศษใช่ไหมนะ?“เด็กๆ เข้าบ้านกันเถอะจ๊ะ เดี๋ยวเลยฤกษ์ดีกันพอดี”ฤกษ์ดี? ฉันกำลังจะเอ่ยถามแม่เล็กแต่ไม่ทันเสียแล้ว เมื่อท่านเดินนำเข้าไปยังตัวบ้านที่ประดับประดาหรูหราไม่แพ้ด้านนอกเลยสักนิดเดียว“สวัสดีค่ะคุณป้า” เมื่อเข้ามาในตัวบ้านเรียบร้อยฉันมองเห็นแม่ซาดีนส์นั่งรออยู่ที่โต๊ะข้างเวทีทรงเตี้ยที่มีป้ายอะไรสักอย่างถูกปิดด้วยผ้าสีขาวผืนบางอีกที “นั่งก่อนสิจ๊ะหนูเพลย์”ป้าแพรวกวักมือเรียกให้ฉันไปนั่งข้างๆ ท่าน“คุณพิณนี่ตาถึงนะคะ เลือกชุดให้หนูเพลย์เข้ากับงานวันนี้จริงๆ” เสียงป้าแพรวแซวแม่เล็กขำๆ ฉันว่าชุดที่แม่เล็กส่งมาให้มันดูหรูมากเกินไปด้วยซ้ำในตอนแรกเดรสลูกไม้แบบรัดรูปสีชมพูอ่อน เปิดโชว์ช่วงเนินอก กระโปรงยาวคลุมเข่าปลายระบายกว้างนิดๆ เหมือนจะไปงานการ่าดินเนอร์เสียด้วยซ้ำ“เอ่อ คุณป้าคะ” ฉันเสียมารยาทพูดแทรกผู้ใหญ่ทั้งสองที่กำลังนั่งเม้าท์กันตามประสาคนไม่ค่อยได้เจอหน้ากัน “ว่าไงจ๊ะลูก”
“หึ” ฉันมองเห็นรอยยิ้มที่มุมปากเฮียการ์เซียผ่านกระจกมองหลังด้วยแหละ แต่คนถูกถามกลับไม่ตอบคำถามฉัน ทำไมแลดูมีลับลมคมนัยจังนะ“ขอบคุณนะคะที่มาส่ง” เมื่อรถจอดหน้าคอนโดเรียบร้อย ยีนส์ลงไปจากรถเป็นคนแรกโดยที่ไม่ได้ล่ำลาหรือกล่าวขอบคุณเฮียการ์เซีย เลยทำให้ฉันที่ยังไม่ลงจากรถรีบเอ่ยขอบคุณเขาด้วยสีหน้าเจื่อนๆ กับความเสียมารยาทของเพื่อนรัก“อย่าคิดมากเลย เดี๋ยวมันกลับมาเธอจะยิ่ง... หลงมัน”“คะ? เมื่อกี้เฮียว่าอะไรนะคะ” เพราะคำพูดท้ายๆ เฮียการ์เซียเบาเสียงลงฉันเลยไม่ได้ยินว่าเขาพูดว่าอะไร “รีบลงไปเถอะ เพื่อนเธอจะกินหัวฉันอยู่แล้ว”เขาไม่ตอบอีกแล้ว ฉันมองตามออกไปนอกรถตามคำบอกเล่าเฮียการ์เซีย เห็นยีนส์กำลังยืนทำท่าทางเบื่อหน่ายและเซ็งๆ จ้องมองมาทางพวกเราที่อยู่ในรถเลยต้องรีบปลีกตัวลงไป@สามวันต่อมาฉันอยากเอาหัวโขลกกำแพงให้มันตายรู้แล้วรู้รอดรู้อะไรไหม? ตั้งแต่ที่ซาดีนส์บอกไปธุระต่างประเทศนี่ก็ผ่านมาสามวันแล้วนะ ไหนเขาบอกจะไปแค่สองวัน วันแรกที่เขาไปคือวันที่เฮียการ์เซียมาส่งฉันกับยีนส์ และหลังจากวันนั้นก็ผ่านมาอีกแล้วสองวัน ซึ่งซาดีนส์ควรจะกลับมาตั้งแต่เมื่อวานแต่นี่ฉันยังไม่เห็นแม้แต่เงาหัวของ
“นั่นสิเพลย์ เฮียซาดีนส์เขาอาจจะติดธุระจริงๆ จนรอเพลย์ตื่นไม่ไหวมั้ง”ฉันกำลังจะอ้าปากเถียงตาหวาน แต่ยีนส์ก็ดันพูดแทรกมาก่อน“ว่าแต่…” ยีนส์เงียบ เหล่ตามองคล้ายกับจับผิดอะไรฉัน“อะไรของแก” ฉันหลบสายตาคาดคั้นของเพื่อนรัก“ปกติแกไม่น่าจะนอนขี้เซาขนาดนั้นนะ แกบอกว่าตื่นมาเกือบแปดโมง นั่นมันเลยเวลาปกติที่แกจะต้องตื่นมาเตรียมตัวเรียนเช้าแล้วไม่ใช่เหรอ”ไม่ได้มาแค่คำถามนะ แต่สายตาอยากรู้อยากเห็นพร้อมกับจ้องจับผิดของยีนส์ที่ส่งมาทำเอาฉันเสียวสันหลังวาบ“กะ... ก็เมื่อวานไปทำธุระมา เมื่อยไปหน่อยเลยเผลอหลับยาว” นิ้วกลางไขว่นิ้วชี้ไว้เพลย์เยอร์ แค่โกหกเพื่อนเองไม่บาปหรอกเนอะ“เหรอ~” เสียงลากยาวแบบไม่เชื่อสุดๆ ของเพื่อนรักทำเอาฉันหน้าแดงฉ่าแค่มองตายีนส์ฉันก็รู้แล้วว่าเธอไม่เชื่อที่ฉันพูด แถมฉันยังคิดว่าเธอต้องคิดไปถึงเรื่อง... เอ่อ ช่างมันเถอะ อย่าไปคิดแทนคนอื่นเลยเนอะ!“เฮ้อ! หิวข้าวจัง” แกล้งยกมือลูบท้องเปลี่ยนเรื่อง“เปลี่ยนเรื่องแบบนี้...” ยังไม่เลิกล้อฉันอีกนะ ยัยยีนส์บ้า!“ยีนส์เลิกแกล้งเพลย์เถอะ ดูสิ จะร้องไห้อยู่แล้ว” น่ารักมากตาหวานที่ช่วยพูด“รักหวานที่สุดเลย งั้นเราไปกินข้าวกัน ปล่อยใ
ไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว รู้แค่ว่าพอรู้สึกตัวมาเหมือนร่างกายผ่านสงครามรบที่ไหนมาไม่รู้ เรี่ยวแรงที่ควรจะมีหลังจากได้หลับพักผ่อนมันน่าจะกลับมาแล้ว แต่เปล่าเลย ตอนนี้ฉันยังรู้สึกปวดเมื่อยไปทุกส่วนของร่างกาย โดยเฉพาะตรงนั้น!“ไอ้บ้าซาดีนส์” ฉันพึมพำกับตัวเองหลังจากตื่นเต็มตาแล้วคิดแล้วก็น่าโมโห! เมื่อวาน ไม่สิ ไม่น่าพลาดท่ายอมรับข้อแลกเปลี่ยนของหมอนั่นตั้งแต่ก่อนไปถ่ายแบบให้เฮียทีมเลย น่าจะรู้นะว่านิสัยแฟนตัวเองเป็นคนเจ้าเล่ห์แค่ไหน ยอมรับเลยว่าครั้งนี้ฉันพลาดมาก พลาดเองเต็มๆ“อ๊ะ ชิ!” แค่ลุกขึ้นนั่งยังรู้สึกปวดแปรบตรงส่วนอ่อนไหว ไม่ต้องคิดถึงตอนเดินเลยว่ามันจะทรมานขนาดไหน“ไอ้บ้าซา...” เสียงฉันหยุดลงเมื่อคิดว่าหันกลับมาจะเจอกับคนที่ทำให้ร่างกายฉันเป็นแบบนี้แต่เปล่าเลย... ซาดีนส์ไม่ได้อยู่บนเตียงกับฉันไปไหนของหมอนี่? เมื่อคืนเขาก็น่าจะหมดแรงเอาเรื่องอยู่เหมือนกันนะ แล้วนี่เพิ่งจะแปดโมงเช้าเอง เขาไม่น่าจะตื่นเช้าแล้วหายตัวไปแบบนี้ แถมตอนนี้ฉันยังกลับมานอนห้องตัวเองแล้ว คงจะเป็นฝีมือซาดีนส์นั่นแหละที่อุ้มฉันมาส่ง“อูย!” ฉันสูดปากระบายความระบมอีกรอบเมื่อกวาดขาจะลงจากเตียงนั่งทำใจอยู่นาน
“อื้อ” จบคำพูดเอาแต่ใจ คนตัวโตด้านหลังก็คว้าปลายคางฉันให้หันไปรับรสจูบที่แสนดูดดื่มและเร่าร้อน เรียวลิ้นหนาสอดแทรกเข้ามาได้อย่างง่ายดายเมื่อฉันไม่ทันตั้งตัวเปิดโอกาสให้เขาเข้ามาตักตวงความหวานหอมด้านในจากแค่จูบ ตอนนี้มือไม้ซาดีนส์ที่ว่างอยู่ค่อยๆ ไต่แตะไปตามเรือนร่างของฉัน จวบจนมือหนาใหญ่ข้างหนึ่งตะปบเข้ากับหน้าอกคู่งามที่มีเตียงรองรับน้ำหนักของมัน“อืม” เสียงครางแหบพร่าหลุดออกมาจากคนที่กำลังพันธนาการฉันด้วยสัมผัส เขาคงกำลังควบคุมอารมณ์บางอย่างที่ตอนนี้มันตื่นตัวจนฉันแทบเป็นบ้า“ขอสด... นะ!” ฉันเบิกตาโพลง ไม่ได้โง่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของฉันทำไมแค่ประโยคนี้ฉันจะแปลความหมายมันไม่ออก“มะ ไม่ได้นะซาดีนส์ มัน อ๊ะ!”ฉันห้ามไม่ทันเมื่อคนเขาแต่ใจค่อยๆ ดุนดันส่วนแข็งขืนนั้นกับสะโพกฉันจากทางด้านหลัง “นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งในข้อแลกเปลี่ยน”ชิ! ฉันได้แต่จิ๊ปากให้กับความพลาดครั้งใหญ่หลวงของตัวเองตอนแรกก็คิดไว้ไม่ผิดเพี้ยน ว่าซาดีนส์ต้องขออะไรพิเรนทร์ๆ แบบนี้ แต่ฉันไม่ได้คิดว่ามันจะเลยเถิดถึงขั้นไม่สวมเครื่องป้องกัน!หมับ! ตุ้บ!“อ๊ะ” ตัวฉันลอยกลางอากาศ เมื่อคนที่ซ้อนอยู่ด้านหลังยกสะโพกฉันลอยขึ้นเหนือพื
“อ๊ะ เจ็บ” ซาดีนส์ใช้ปากปลดกระดุมนักศึกษาเม็ดบนฉันออกได้สำเร็จพร้อมกับฝังคมเขี้ยวลงบนเนื้ออ่อนตรงนั้น เขาทั้งดูดดุนขบกัดจนคิดว่าตรงนั้นต้องเป็นรอยแดงช้ำแน่ๆ“ซะ ซีนส์ อื้อ” ตอนนี้ร่างกายฉันกำลังถูกรุกรานทั้งบนและล่างจากฝีมือผู้ชายคนเดียวกัน ปากหนาปลดกระดุมเสื้อฉันออกครบตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ความเย็นวาบของแอร์ตกกระทบกับร่างกายชวนให้เย็นยะเยือกยิ่งกว่าเดิม แต่ใช่ว่าความเย็นจากแอร์จะดับความกรุ่นร้อนของร่างกายซาดีนส์และฉันได้“เพลย์ อื้อ” เรียกทำไม ฉันอยากถาม แต่ตอนนี้สมองมันไม่ยอมสั่งการให้พูดความกรุ่นร้อนของลมหายใจคนบนร่างกำลังต่ำลงเรื่อยๆ และหยุดอยู่ที่ท้องน้อยพร้อมกับลิ้นสากร้อนลากผ่านเป็นแนวตามลำตัวฉันลงไปยังขอบกระโปรง“ซะ ซีนส์ ไม่” ปากห้ามแต่มือไม้กลับทำได้แค่กำผ้าปูเตียงเท่านั้น“ไม่ทันแล้วเพลย์” ซาดีนส์เงยหน้ามาสบตากันแวบหนึ่งฉันมองเห็นความโหยหาและต้องการจากนัตย์ตาคู่สวยนั้น“วันนี้ฉันจะเอารางวัลจากเธอจนขาสั่นเลยล่ะ” ไม่ว่าเปล่าแต่ซาดีนส์ค่อยๆ ละเลียดเรียวลิ้นชื้นลงยังใจกลางร่างกายส่วนล่างของฉัน “อ๊ะ ซีนส์ อย่า!”ปากสั่งห้าม แต่ร่างกายกับเคลื่อนไหวไปตามสัมผัสร้อนชื้น สะโพกงอนงามแ
“ปะ ปล่อยก่อน ซาดีนส์ มัน...”มันเสียว แต่ฉันไม่กล้าพูดออกไป “มันอะไร?” ยังจะแกล้งแหย่ฉันอีก“ไม่หยุด เพลย์จะโกรธแล้วนะ” ฉันรวบรวมลมหายใจเข้าเต็มปอดทำเสียงโหดใส่ซาดีนส์เพื่อกลั้นความสยิวที่ร่างกายกำลังจะระเบิดออกมา“โกรธไปสิ เดี๋ยวง้อบนเตียง โอ๊ย!”สมน้ำหน้า! ไม่รอช้าฉันกระชากผมหมอนั้นเต็มกำมือเพื่อหยุดริมฝีปากหนาที่กำลังซุกซนมายังคอเสื้อนักศึกษาที่แหวกออก“ง้อบนเตียงเหรอ?” ฉันยังไม่ยอมปล่อยมือออกจากการขยุ้มผมเขา“จะ เจ็บนะเว้ย!” เออ! ก็ทำให้เจ็บไงจะได้หยุดลวนลามฉันสักที“เจ็บแบบนี้ยังจะอยากง้อบนเตียงอีกมั้ย!” ฉันกระชากเสียงต่ำใส่“ง้อ... อะ โอ๊ย! ไม่ง้อแล้วๆ” ชิ! ฉันจิ๊ปากทำหน้าจิกกัดใส่ซาดีนส์“ไปนั่งตรงนู้นเลย ให้ห่างๆ ด้วย” ปล่อยมือที่ขยุ้มผมออก สั่งให้ซาดีนส์กลับไปนั่งที่เดิม แต่รู้อะไรไหม เขาทำท่าเหมือนจะเดินไปตามคำสั่งฉันในทีแรก แต่หลังจากนั้นไม่ทันชั่วพริบตาเขาก็...“ว๊าย! ทำบ้าอะไรอีกเนี่ย!” ฉันแหวใส่ด้วยความตกใจเมื่อซาดีนส์หันกลับมาแล้วช้อนร่างฉันขึ้นอุ้ม ปฏิกิริยาของร่างกายเป็นไปตามสัญชาตยานเมื่อกลัวว่าจะตกจากที่สูงเลยสวมกอดเข้ารอบคอของซาดีนส์ทันที“เมื่อกี้ทำแสบนักนะ ไม่ยอ
“เพราะคนเรามีหัวใจแค่หนึ่งดวง และฉันก็ฝากมันไว้ที่ผู้หญิงที่ชื่อเพลย์เยอร์ไปชั่วนิรันดร์” คำพูดสารภาพรักของซาดีนส์ที่ไม่มีคำว่ารักอยู่ในรูปประโยคแต่กลับทำให้ฉันใจชื้นและมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก “ได้คำตอบแล้ว งั้นกลับกัน”“อ๊ะ! เฮียทีม” โมนาร์สะดุ้งร้องเมื่อเฮียทีมกระชากต้นแขนเธอให้ลุกขึ้นตาม“พี่ขอโทษสำหรับเรื่องวันนี้แทนโมนาร์ด้วย และขอบคุณที่ช่วยปกป้องเพลย์”ประโยคแรกเฮียทีมเอ่ยกับฉัน ส่วนตอนท้ายเขาพูดกับซาดีนส์พร้อมกับโน้มหัวลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความขอบคุณ“นี่ปล่อยโมนะ เฮียทีม!” ฉันไม่ได้มองตามหลังสองคนนั้น แต่ได้ยินเสียงโมนาร์แหวใส่เฮียทีมจนกระทั่งประตูร้านปิดไป“เอ่อ ซาดีนส์” เมื่อภายในโต๊ะตอนนี้เหลือเพียงแค่ฉันกับซาดีนส์สองคนฉันไม่รู้จะเริ่มพูดอะไรก่อนเลยได้แต่เอ่ยเรียกชื่อเขาเบาๆ“กลับคอนโดกัน” แต่ซาดีนส์กลับฉวยกระเป๋าฉันไปถือแล้วเดินออกจากร้านไปหน้าตาเฉย เมื่อกี้ถ้าตาไม่ฟาด ฉันเห็นหน้าเขาแดงๆ ด้วยล่ะอย่าบอกนะที่รีบชิ่งนี่คือเขินกับคำพูดตัวเอง?คนอะไรไม่รู้ จะทำให้ฉันหลงเสน่ห์เขาไปถึงไหนกันนะ แค่นี้ฉันก็ถอนตัวไม่ขึ้นแล้วเหอะ!หลังจากออกจากร้านกาแฟซาดีนส์ก็พาฉันตรงกลับมายังคอนโดทั