คืนแห่งสัญญาระหว่างมนุษย์หนุ่มหน้ามน กับปีศาจร่างชายอายุนับร้อยนับพันปีจบลงด้วยความเรียบง่าย ไม่มีแสงสีเขียวหวือหวาพวยพุ่งหรือไฟลุกท่วมร่างของใครคนใดคนหนึ่ง มีเพียงคำพูดผ่านสายลมอ่อนโยนประทับพันธะผูกมัดดวงวิญญาณทั้งสองดวง ข้อตกลงของสองโลกเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ปราศจากการกรรโชกขู่เข็ญให้หวาดกลัว มิวยังแอบคิดว่าการยื่นเรื่องเปิดบัญชีธนาคารยังยุ่งยากกว่าเยอะ อาจเพราะอีกฝ่ายคิดไว้แล้ว… ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าลูกเจี๊ยบด้อยค่านี้ก็ไม่อาจหลุดรอดจากเงื้อมมือตน รู้ตัวอีกทีมิวก็นั่งอยู่คนเดียวในห้องนั่งเล่น สมองประมวลผลได้ไม่แจ่มแจ้งถึงเหตุการณ์ทั้งหมด บางอย่างก็ตามทัน บางอย่างก็ปล่อยทิ้งให้มึนลอยเท้งเต้งอยู่ในวังวนอนธการ ในเวลาไล่เลี่ยกันนี้ข้ามมายังอีกฟากฝั่งไม่ไกลจากมิวนัก มีคอนโดฯกว่าห้าสิบชั้นสูงตระหง่านอยู่ลำพัง พื้นที่โดยรอบคลาคลั่งไปด้วยผู้คนขวักไขว่ หัวไหล่ของพวกเขาแทบจะชนกัน เมื่อมองจากมุมสูงจุดเล็กๆเบื้องล่างดูราวกับฝูงมดกำลังเดินสวนสนาม มือหยาบกร้านเปิดประตูของบันไดหนีไฟอย่างระแวดระวัง ร่างสูงใหญ่ที่ลอบเร้นอยู่ในเงามืดค่อยๆแทรกผ่
ไฟสีขาวนวลสาดส่องผิวหนังที่ขาวสดใสให้สว่างเพิ่มขึ้น สีชมพูระเรื่อถูกขับผ่านเส้นเลือดจนเด่นภายใต้สองแก้มและริมฝีปาก นัยน์ตาสีดำขลับล้อกับดวงไฟจนเป็นประกายระยิบระยับ จับจ้องภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกบานใหญ่ ชายหนุ่มยิ้มยิงฟันซักซ้อมสำหรับงานในค่ำคืนนี้ “เมื่อเช้าไปเที่ยวอีกแล้วใช่ไหม?” มิวหันไปคุยกับเด็กหนุ่มทางด้านซ้ายมือ “ขอบตาคล้ำอีกแล้วนะ” ความเป็นห่วงเป็นใยกลั่นออกมาเป็นคำพูด ด้วยความที่อาร์เต้ยังเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่น ผู้เปี่ยมล้นด้วยความคึกคะนองและฮอร์โมนอันพลุ่งพล่าน มิวไม่อยากให้ใครก็ตามฉวยโอกาสจากความเยาว์นี้ แล้วช่วงชิงความสดใสของอาร์เต้ไป กระนั้นพี่ชายต่างสายเลือดอย่างมิวก็ทำได้เพียงทักท้วงด้วยวาจา “เหรอ?” อาร์เต้ยื่นหน้าเข้าใกล้กระจก มองดวงตาลึกโบ๋ของตัวเอง ก่อนจะฮัมเพลงพร้อมโบกเครื่องสำอางทับ “โทรมแต่ร่าเริงแบบนี้สงสัยเพิ่งเติมของ… ใช่หรือเปล่า?” เจษหัวเราะคิกคัก “ผมไม่บอกพี่เจษหรอก เพราะผมทำสัญญากับปีศาจเอาไว้แล้ว” มิวสะดุ้งโหยง “สัญญาอะไร?” “ผมก็ไม่บอกพี่มิวหรอก”
เครื่องดื่มกับของกินเล่นวางดาษดื่นบนโต๊ะตัวเตี้ย จนไม่น่าเชื่อว่าทั้งหมดนี้สำหรับคนเพียงสองคน ในห้องโถงกว้างและสูงถูกโอบล้อมด้วยแสงสีวิบวับ การแสดงประสานกับดนตรีได้อย่างลงตัว เด็กหนุ่มมากหน้าหลายตาพยายามสร้างความบันเทิงอยู่ด้านหน้าเวที ด้วยความหวังว่าคืนนี้เทพีแห่งโชคลาภจะผลักสายตาของใครสักคนให้สะดุดเข้าหา คืนนี้จะได้กลับออกไปพร้อมเงินสักเล็กน้อยก็ยังดี มิวเอนหลังชิดติดโซฟา ใบหน้าเหยเกเมื่อกลิ่นรุนแรงของแอลกอฮอล์แตะปลายจมูก แค่เห็นยี่ห้อเหล้าที่ตัวเองต้องกรอกเข้าปากทุกวัน อาการคลื่นเหียนชวนอาเจียนก็กำเริบ อุตส่าห์ได้หยุดงานด้วยความไม่เต็มใจทั้งที ความตั้งใจแรกเรียกรุ่นน้องสักคนมานั่งเล่น แต่ตอนนี้กลับได้ปีศาจมานั่งเป็นเพื่อน มิหนำซ้ำยังเสียเงินไปโดยไม่สมัครใจอีก “เงินเป็นแสนเลยนะเว้ย ไอ้บ้า!” คำก่นด่าจากปากมิวดังจนเกือบเท่าเสียงดนตรี ตลอดเวลาห้านาทีดันเต้แทบไม่เอาฝ่ามือออกจากรูหู เขาปิดมันเอาไว้ให้แน่นที่สุดราวกับนักเดินเรือที่เผชิญหน้าอยู่กับ *ไซเรน “นี่!” มิวปัดมือของดันเต้ “แล้ววันหยุดทั้งทีฉันยังต้อ
ปีศาจในร่างกำยำล่ำสันแหงนมองเบื้องบนอันมืดมิด ท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้หมู่เมฆไม่ต่างจากดวงตาใสแจ๋วของเขา เศษเสี้ยวของดวงจันทร์สะท้อนประกายวิบวับอยู่ในดวงตา เรือนผมดำขลับทอแสงล้อเล่นกับแสงไฟ ผิวสีเข้มเนียนเรียบไร้รอยตำหนิ เสื้อเชิ้ตสีขาวรัดกล้ามเนื้อแน่นจนเห็นสัดส่วนอย่างชัดเจน แผงอกนูนรับรูปกับส่วนเว้าตรงคอดเอว ราวกับรูปสลักของจิตรกรก้องโลก คราบเหงื่อไหลหยดเป็นจุดเล็กๆ เปียกซึมกับผืนผ้าบางๆ แนบสนิทกับผิวหนังตรงแผ่นหลังและเนินอก ‘ปีศาจจมีเหงื่อด้วยเหรอ?’ คำถามเรียบง่ายผุดขึ้นหลังจากมิวเหลือบมองดันเต้ แค่การสร้างเนื้อหนังให้จับต้องได้ก็นับว่าเหลือเชื่อแล้ว แต่เหงื่อนี่สิ! เลียนแบบกลไกร่างกายของมนุษย์ที่ซับซ้อนได้ขนาดนี้ คงไม่แปลกใจหากมีใครอยากจับตัวดันเต้ไปทดลอง เพราะขนาดมิวเองยังอยากลองฉีกเสื้อผ้าของปีศาจตรงหน้าออก แล้วลองลูบคลำทุกส่วนจนกว่าตัวเองจะพึงพอใจ ทว่าชายหนุ่มก็ไม่แน่ใจว่านี่เรียกว่าการทดลองได้หรือไม่ “นายมีเหงื่อด้วยเหรอ?” มิวเผลอหลุดปากถาม “มีสิ! ฉันไม่ใช่มนุษย์แต่ก็นับว่าเป็นสิ่งมีชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง” ดัน
เสียงดนตรีคลาสสิคดังคลอเคลียล้อกับแสงไฟสีส้ม โอบกอดจิตวิญญาณอย่างอบอุ่น เชื่อกันว่าเพลงนั้นช่วยปลอบประโลมสิ่งมีชีวิตได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะมนุษย์ เทพ หรือแม้กระทั่งปีศาจ ชายหนุ่มผิวพรรณผ่องใสยืนต่อหน้าผืนผ้าใบขนาดใหญ่ เท้ากระดิกไหวตามจังหวะที่ลอยผ่านลำโพง ระบายตรงชายเสื้อสะบัดพลิ้วทุกครั้งที่ดีดนิ้ว ภาพวาดที่ไม่อาจระบุได้ว่าเป็นภาพแบบใดสูงเกือบหนึ่งเมตร และกว้างประมาณสองแขนกางออก ข้างในระบุข้อความที่ต้องการสื่อสารได้ไม่ชัดเจนนัก คาดว่าจิตรกรน่าจะซ่อนความหมายเอาไว้ลึกมาก หากมองแวบแรกมันคงเหมือนใครทำสีหกเลอะเทอะ แต่เมื่อมองดีๆจะเห็นเค้าลางของบางสิ่ง ซึ่งก็แล้วแต่ผู้คนจะจินตนาการถึง มันเหมือนสมุดภาพสามมิติที่ต้องจ้องเพ่ง และใช้เวลากับมันนาน ดวงตาสีฟ้าจับจ้องกับงานศิลปะนั้นอยู่นานราวกับว่ากำลังพูดคุยกันเป็นภาษาเดียวกัน และหากไม่ใช่เพราะการมาถึงของดันเต้ เอสันก็คงจะจับจ้องมันไม่วางตา “นายดูหมกมุ่นนะ” ชายใบหน้าหวานหยดย้อยภายใต้เรือนผมสีทองหม่น เอ่ยถามชายอีกคนที่เดินลอดผ่านประตูหมอกสีทะมึนมาทางด้านหลัง “นายก็เหมือนกัน”
เป็นการกลับห้องที่เร็วที่สุดในรอบหลายปีของมิว เขาเหลือบมองนาฬิกาตรงข้อมือในระหว่างที่กรอกรหัสปลดล็อกประตู ไม่รู้เลยว่าเวลาที่เหลือตั้งเยอะแยะขนาดนี้จะเอาไปใช้ทำอะไรดี มิวลำดับภาพในหัวในสิ่งที่จะทำ แต่ทั้งหมดล้วนน่าเบื่อ บางทีหากไอ้หนูในกางเกงในมันใช้งานได้ ป่านนี้ชายหนุ่มคงเลือกเส้นทางเสเพลหาความสนุกใส่ตัว โอบกอดผู้หญิงสักสองหรือสามคนในอ้อมแขน แล้วทำอะไรที่ผู้ชายส่วนใหญ่จะทำกัน ดีกว่ากลับมาขลุกตัวจมจ่อมอยู่กับอารมณ์ขมุกขมัวของตัวเอง นึกแล้วก็ยังรู้สึกขุ่นเคืองพี่เจษอยู่เล็กๆ กับเหตุการณ์เมื่อตอนค่ำ ทว่าเมื่อชั่งน้ำหนักความดีกับความชั่วในความสัมพันธ์ของกันและกัน ความโมโหก็แปรเปลี่ยนเป็นความอึดอัด แสงสว่างถูกเปิดเพื่อเติมเต็มความกระจ่างให้กับความเย็นชืด บรรยากาศที่ต้องใช้ไฟฟ้าในห้องของตัวเองตอนกลางคืนช่างไม่คุ้นตาเอาเสียเลย ปกติชายหนุ่มมักกลับมาพร้อมแสงแรกของวัน รองเท้าถูกทอดทิ้งเอาไว้อย่างลวกๆตรงหน้าห้อง มิวโยนข้าวของลงบนโต๊ะในห้องครัวก่อนจะเปิดตู้เย็นเพื่อหาน้ำเปล่ามาดับความกระหาย ระหว่างดื่มน้ำสายตาของเด็กหนุ่มก็เหลือบเ
เด็กหนุ่มพักหายใจครู่หนึ่ง เขาอ้าปากกว้างหายใจให้ทันตามร่างกายต้องการ ทว่าของเหลวเหนียวหนืดในปากก็ขัดขวางลมไม่ให้เข้ามาได้อย่างเต็มร้อย “อือ…” ปีศาจใกล้หมดสภาพอย่างดันเต้ทำได้เพียงส่งเสียงอยู่ในลำคอหนาใหญ่ ในขณะที่เวทมนตร์แปลกปลอมค่อยๆถูกไถ่ถอน “อึก… อืม…” กลิ่นหวานที่เผ็ดร้อนลอยคลุ้งฟุ้งกระจายทั่วทั้งห้อง พลังงานลึกลับที่ปะปนมาด้วยครอบงำมิวจนไม่อาจระงับความอยากของตัวเอง ริมฝีปากเด็กหนุ่มประกบเข้ากับแท่งเนื้ออุ่นๆอีกครั้ง แรงดูดเพียงแผ่วเบารีดเค้นของเหลวออกมาระลอกใหญ่ มิวรู้สึกถึงความร้อนไหลเจิ่งนองแผ่กระจายทั่วโพรงปาก ความซาบซ่านนั้นสดชื่นจนแทบขาดไม่ได้ ในหัวตื้อตันของมิวโดนสะกดจิตให้พุ่งความสนใจกับความหฤหรรษ์ตรงหน้า เขาอยากเติมน้ำจากปีศาจเข้ามาในร่างกายจนกว่าทั้งท้องจะถูกเติมเต็ม “ห่ะ…” ดันเต้อ้าปากได้เล็กน้อย แรงดันจากภายในร่างกายทำให้เขาอึดอัด หากตอนนี้ขยับตัวได้สักหน่อยคงสบายตัวกว่านี้ “แฮก… แฮก” มิวกระหืดกระหอบ ใบหน้าแดงก่ำจากสภาพเกือบขาดอากาศ ริมฝีปากเปียกปอนไปด้วยคราบเหนียวเหนอะ “นายดีขึ้นไหม?” “ฮ
ท่ามกลางความโกลาหลเชี่ยวกราก มีเพียงแขนใหญ่ยักษ์ของปีศาจคิวที่คอยฉุดรั้งมนุษย์หนุ่ม ไม่ให้โดนกระแสพิษสวาทพัดพาจนหลุดไกล ดันเต้โอบกอดยึดโยงมิวเอาไว้จากทางด้านหลัง ลมหายใจติดขัดจากอาการเหนื่อยหอบ ใบหน้าแดงฉานราวดวงตะวันใกล้ตกดิน ท่อนล่างชุ่มโชกไปด้วยของเหลวหลากหลายชนิด รวมไปถึงโซฟาเลอะเป็นคราบจนทั่ว คาดว่าการทำความสะอาดคงไม่ง่าย ร่างเล็กในวงแขนดิ้นกระสับกระส่ายด้วยจิตใจไม่มั่นคง ถึงภารกิจจะลุล่วงไปด้วยดี ทว่าก็ยังเหลือช่องว่างรอการเติมเต็ม นัยน์ตาของอมนุษย์ในร่างชายหนุ่มเรืองรองเป็นสีทอง แม้พลังจะกลับคืนมาไม่เต็มร้อย แต่ก็มากพอจะพาเขาและมนุษย์นอ้อมกอดหลบลี้หนีข้ามไปยังอีกดินแดน เพียงฝ่ามือหนาใหญ่กางออกทาบทับเข้ากับใบหน้าหื่นกระหาย มนุษย์หนุ่มก็ผล็อยหลับโดยไม่ทันตั้งตัว ความรู้สึกทุกอย่างมลายหายพร้อมกับสติ ราวกับทุกอย่างกำลังเริ่มต้นใหม่… เปลือกตาหนักอึ้งค่อยๆเปิดออกอย่างช้าๆ เปลวไฟแผดเผาตามร่างกายมอดดับลง มิวรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก แม้จะมีเศษเสี้ยวบางอย่างคุกรุ่นอยู่ในช่องท้อง ทั้งห้องสาดส่องด้วยแสงจากธ
ยามอรุโณทัยถักทอผืนนภาเป็นโทนอุ่น ความมืดจากเบื้องบนค่อยๆถูกเส้นขอบฟ้ารุกคืบทีละเล็กทีละน้อย จนต้องถอยร่นหนีไปยังอีกฟากฝั่งด้วยความจำยอม ความร้อนไต่ผนังทีละด้านของตึก เกาะกระจกทุกบานจนเกิดไอเล็กๆ กระนั้นก็ไม่อาจแยกชายสองคนที่ท่อนบนเปลือยเปล่าให้หลุดจากการกอดก่าย เสียงจากลำโพงโทรทัศน์ดังคลอเคลียให้บรรยากาศไม่น่าเบื่อเกินไป ถึงดวงตาของชายทั้งคู่จะจับจดอยู่กับหน้าจอกะพริบที่มีภาพเคลื่อนไหวตรงหน้า ทว่าก็ไม่อาจดึงความสนใจทั้งหมดได้อย่างเบ็ดเสร็จ ไม่ถึงห้านาทีชายคนร่างสูงใหญ่กว่าก็ก้มลงไปหอมศีรษะของชายตัวเล็กกว่า ที่ซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดราวลูกแมวตัวน้อย อีกห้านาทีต่อมาชายในอ้อมกอดก็ขบกัดหยอกล้อกับหน้าอกของชายตัวใหญ่กว่า สลับวนเวียนอยู่อย่างนี้มาเกือบชั่วโมง เสียงหัวเราะคิกคักดังสรวลขัดกับบทโศกของหนังที่เปิด “ดูไม่รู้เรื่องแล้วนะ” ชายผู้มีผิวหยาบกร้านกว่าเอ็ดด้วยเสียงอิดออด ขณะโดนมือซุกซนเทียวไล้เทียวขื่ออยู่แถวหัวนมอันอ่อนไหว “อยากโดนอีกรอบเหรอ พี่จัดให้หายอยากเอาไหม?” “ไม่เอา” ถึงจะปฏิเสธ… อาร์เต้ไม่หยุดการกระทำยั่วยวนของตัวเอง
ในห้องสี่เหลี่ยมทึบทั้งสี่ด้านไม่มีอะไรให้สังเกตสังกา โดยเฉพาะในช่วงเวลาอันเหนื่อยอ่อนเช่นนี้ เด็กหนุ่มลอบมองไปยังใบหน้าขาวผุดผ่องภายใต้เรือนผมสีทอง เขาไม่อาจคาดเดาได้ว่าข้างในจิตใจของคิวปิดตรงหน้าอยู่นั้น มีความเป็นปีศาจหรือเทวดามากกว่ากัน “เลอะเทอะกว่าที่คิดไว้สักหน่อย” เอสันใช้แรงมหาศาลที่ขัดกับรูปลักษณ์ของตัวเอง ยกเก้าอี้ขึ้นมาตั้งเพื่อให้มิวนั่ง หลังมองเห็นขาเรียวบางของมนุษย์หนุ่มสั่นงันงกแทบยืนไม่ไหว “แต่ก็หวังว่านายจะไม่ได้รับพลังของฉันจนมากเกินไปนะ” “หมายความว่าไง?” มิวถามห้วนๆ หลังพักสะโพกลงบนเก้าอี้บุหนัง จิตใจของเด็กหนุ่มสงบลงหลังเสร็จกิจกามฉบับเร่งด่วน เขามีเวลาได้พักผ่อนร่างนิดหน่อย ถึงกุญแจมือจะเริ่มบาดข้อมือมากขึ้นก็ตาม “ก็ตอนนี้ในตัวนายมีอะไรต่อมิอะไรผสมกันยุ่งเหยิงไปหมด ขืนนายรับเวทมนตร์เล่นงานมั่วซั่วเข้าไปจนเกินพอดี มีหวังนายอาจจะเสียตัวตนไปตลอดกาลก็ได้” เมื่อเห็นแววตาช่างสงสัยของมิว เอสันจึงขยายความต่อสั้นๆ “หมายถึงวิกลจริต” มีข้อดีก็ย่อมมีข้อเสีย สีหน้าของมิวซีดเผือด หางคิ้วและดวงตาลู่ต่ำ ในหัวพยายามจับคู่ใบหน้ากับ
นิ้วมือทั้งสิบของเอสันถูกปกคลุมด้วยเมือกเหลวโดยสมบูรณ์ เมื่อการกระตุกครั้งสุดท้ายสงบนิ่ง กามเทพผู้กระหายก็ปลดปล่อยอีกร่างให้เป็นอิสระ นี่ไม่ใช่จุดสิ้นสุด… ทว่ากลับเป็นการเริ่มสู่บทใหม่ที่เร้าใจยิ่งกว่า ท่าทีกระเสือกกระสนด้วยความเสียวซ่านของมิว ปลุกชีพเทวดาน้อยตัวใหญ่ที่สิงสถิตอยู่ระหว่างขาของเอสัน ให้ชูชันพร้อมสำหรับบรรเลงท่วงทำนองการโหมโรง “ฉันถลำลึกเกินไปแล้ว” เอสันบ่นกับตัวเอง เขาทั้งรู้ตัวเองดีและขลาดเขลาไปพร้อมกัน ทุกอย่างในความนึกคิดถูกไฟแห่งความคลุมเครือแผดเผาจนเหลือแต่ตอตะโก “ฉันควรแค่นี้หรือเปล่า” “แล้วมีอะไรให้นายทำอีกหรือยังไง” มิวถามด้วยดวงตาใสซื่อ “ถ้าฉันอยากทำมากกว่านี้ล่ะ” คิวปิดฉายแววเจ้าเล่ห์ผ่านทางคำพูด พลางกดหลังของมิวให้แอ่นโค้ง และยกสะโพกให้เด้งสูง “ยังไงซะ! ก็หวังว่านายจะชอบของขวัญที่ฉันกำลังจะมอบให้นะ” สำหรับมิวของขวัญจากเทพไม่เคยเป็นเรื่องดี รวมถึงในสถานการณ์แสนหมิ่นเหม่ในครั้งนี้เช่นกัน ถึงอยากจะปฏิเสธหรือแข็งขืน แต่ผลลัพธ์คงออกมาไม่ต่างกัน ศาสตราแห่งเทพชูชันแข็งโด่อย่างเต
เมื่อโดนทักท้วงถึงความรู้สึกที่ถูกละเลย มิวรู้จึงเริ่มรู้ตัวถึงของเหลวที่ไหลซึมผ่านรอยแยกจากด้านหลัง มันพรั่งพรูออกมาไม่ต่างจากด้านหน้า เด็กหนุ่มไม่แน่ใจว่าเขาควรวิตกกังวลกับเหตุการณ์นี้แล้วหรือยัง “เมล็ดพันธุ์คงกำลังกระตุ้นนายอยู่” เอสันพูดพลาง แสยะยิ้มที่ไม่อาจอ่านความหมาย ใบหน้าเคลือบแฝงความบริสุทธิ์และความร้ายกาจไปพร้อมกัน “ไม่ใช่เลือดหรืออะไรที่เลวร้ายใช่ไหม?” มิวลดคิ้วลงต่ำ พยายามก้มมองลงไปยังหว่างขาที่เปียกโชก แต่ก็ติดโซ่เย็นยะเยือกตรึงร่างเอาไว้ “มันก็แค่น้ำใสๆ เผื่อนายอยากรู้” หมอกจางๆสีสวยยังคงครอบคลุมบรรยากาศโดยรอบให้โอบล้อมด้วยเสน่หา คิวปิดผู้ร่วมชะตากรรมลุกขึ้นยืน สาวเท้าก้าวเล็กๆ เข้าไปในวงเวทย์รูปดาว ดวงตาดุจดวงดาราในห้วงอวกาศจับจ้องไปยังใบหน้าขวยเขินของเด็กหนุ่ม “นายเป็นผู้โอบอุ้ม… น่าจะรู้ดีกว่าใครว่าเมล็ดพันธุ์ต้องการอะไร” พูดพลางเอสันก็ยื่นมือจับไปยังแท่งไฟที่ยังแข็งอยู่กลางลำตัวของมิว “เกสรไม้ย่อมมีน้ำหวานเพื่อล่อหลอกให้แมลงเข้ามาเชยชม ถึงจะได้ดอกผลอันงดงาม” “ฮะ… อึก…” มิวย่นคิ้วใบหน้าเหยเก
นอกเหนือจากรสสัมผัสทางการมองเห็นจะน่าหลงใหล กลิ่นแก่นร่างกายของเอสันยังชวนให้มิวเคลิบเคลิ้ม จนเขาอดคิดถึงขนมเพิ่งอบใหม่ๆไปเสียไม่ได้ กลิ่นวานิลลาหอมอ่อนๆผสมกับกลิ่นละมุนของเด็กหนุ่มคละเคล้ากัน สร้างความรู้สึกอันหาสิ่งใดเปรียบเปรยไม่ได้ กามเทพหนุ่มมีรูปร่างสมส่วนราวกับปั้นแต่งโดยช่างศิลป์มือทอง ใบหน้าทั้งสองข้างสมมาตรกันพอดิบพอดีไร้ที่ติ ดวงตากลมโตแต้มสีฟ้าทอเป็นประกายงดงาม เส้นผมหยักศกเป็นลอนใหญ่ราวแสงอรุณสีเหลืองทอง ผิวพรรณก็เนียนลออเรียบลื่นไม่ต่างจากหินอ่อน กล้ามเนื้อมัดเล็กช่วยเสริมให้ร่างกายที่ไม่สูงมากนักดูแข็งแรง หากประเมินผ่านๆด้วยสายตา มิวคิดว่าเอสันน่าจะสูงสักร้อยเจ็ดสิบนิดๆ ซึ่งน่าจะเตี้ยกว่าเขาไม่เกินแปดเซนติเมตรโดยประมาณ เมื่อประกอบรวมกับใบหน้าอันอ่อนเยาว์ ทำให้ชายหนุ่มนึกสงสัยว่ากามเทพตรงหน้านั้นอายุถึงวัยทำเรื่องอย่างว่าจริงๆแล้วแน่ใช่ไหม “นายคงไม่สบายตัวแน่ถ้ายังขืนใส่กางเกงเอาไว้แบบนี้” เอสันพูดพลางเคล้นคลึงกลางเป้าที่เปียกแฉะ ยิ่งเขาสัมผัสและบีบแท่งเนื้อในร่มผ้านั้นมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งแสดงอาการอึดอัดมากตามเท่านั้น “ให้ฉันถอ
สถานการณ์ที่ไม่อาจควบคุมผันเปลี่ยนเร็ว จนหัวของเด็กหนุ่มตาใสอย่างมิวหมุนตามไม่ทัน สติของเด็กหนุ่มอายุยี่สิบสี่ตั้งรับกับการผันผวนยิ่งกว่าดัชนีตลาดหุ้นไม่ไหว ไม่กี่อาทิตย์ก่อนมิวยังหงุดหงิดเรื่องไอ้จ้อนของตัวเองไม่ยอมกระดิกทำหน้าที่มานานหลายปี พอมาช่วงนี้เขากลับมีเรื่องอย่างว่ารุมล้อมไม่เว้นวัน เหมือนได้ช่วงชีวิตวัยหนุ่มฉกรรจ์ที่ขาดหายคืนมาแบบทบต้นทบดอก อากาศนห้องถึงจะถูกเติมเข้ามาจนหายใจสะดวก ทว่ามิวกลับรู้สึกอึดอัด อาการคันยุบยิบปรากฏแถวท้องน้อย ที่สำคัญเด็กหนุ่มครั่นเนื้อครั่นตัวเป็นพิเศษ อาการเหล่านี้เป็นแบบเดียวกับตอนดันเต้พยายามครอบครองร่างกายของเขา ยิ่งมองสบเข้าไปยังดวงตาสีฟ้าประกายแวววาว มิวยิ่งตกอยู่ในวังวนแห่งเสน่หา จิตวิญญาณบอบบางเหมือนลอยคว้างอยู่กลางอวกาศท่ามกลางหมู่ดาว เหงื่อเม็ดใสแตกซิกๆตามกรอบหน้า รูม่านตาขยายออกจากความตื่นเต้น หัวใจเต้นระริกอยู่ในโพรงอันอบอุ่น หมดทั้งสมองทึ่มทื่อมะลื่อของมิวไม่เหลือพื้นที่ให้สงสัยกามเทพหนุ่มตรงหน้า เมื่อเอสันบอกว่าการกลั่นแกล้งสารพัดเป็นฝีมือของน้องชาย มิวก็ยินยอมเชื่อว่าเป็นฝีมือขอ
หลังจากเดินจนครบหนึ่งรอบถ้วนทั่วพื้นที่ห้องสี่เหลี่ยม คิวปิดร่างเล็กก็ทิ้งตัวลงหน้ากรงขัง อันที่จริงเอสันรู้อยู่แล้วว่าทางออกเดียวของที่นี่คือประตูเหล็กบานใหญ่ที่ถูกปิดล็อกจากด้านนอก แต่เขาแค่เพียงอยากหาเรื่องอื่นให้สนใจนอกเหนือจากความปวดแสบกลางลำตัว เวทมนตร์แบบเดียวกับที่ดันเต้โดนเมื่อคราวก่อน มันส่งผลแสลงอย่างร้ายแรงเมื่อผู้รับเป็นปีศาจ แต่ก็ไม่ใช่ว่ามันไม่มีผลอะไรกับคิวปิดผู้เป็นเจ้าของ ความแสบร้อนรวมกระจุกกันอยู่ในช่องท้อง มันไม่ได้ถูกทำให้หาย เพียงแค่กักเก็บเอวไว้เพื่อรอเวลาปลดปล่อยที่เหมาะสม ‘เอสัน’ และ ‘เจสัน’ เป็นคู่พี่น้องฝาแฝดที่ทั้งรักและเกลียด ทว่าความเกลียดส่วนใหญ่จะอยู่กับเจสันผู้เป็นน้องเสียมากกว่า แม่ของทั้งสองเทพเป็นเทพีผู้เรืองนามเรื่องความงามและความรัก จึงทำให้บุตรชายของนางนั้นเป็นที่รักไปด้วย กระนั้นทั้งหมดกลับไปสามารถส่งถึงน้องชายผู้มาทีหลัง จริงๆแล้วอุปนิสัยของเจสันค่อนข้างผิดแผกจากการเป็นเทพทั่วไป ที่มักมีเป้าหมายอย่างชัดเจน แม้จะมีคิวปิดคนอื่นอีกมากมายก็ไม่มีใครเป็นเหมือนเจสันผู้นี้ เขาจึงถูกมองว่าเป
‘เอสันสองคน’ หากยังมีแรงมากพอมิวคงหัวเราะให้กับความตลกร้ายตรงหน้า ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้… สมองเพี้ยนๆ ของเขายังสามารถสร้างภาพลวงตาโป้ปดเพื่อลดทอนความรุนแรง ไอ้อาการแบบนี้มิวเคยเจออยู่บ้างนานๆครั้ง ความรู้สึกเหมือนผีอำทำให้ร่างกายขยับเขยื้อนไม่ได้ มองเห็นอะไรแปลกๆ กึ่งหลับกึ่งตื่นแยกแยะหรือคิดอะไรไม่ค่อยออก มันต่างจากตอนเมาจนแฮงค์ ถึงกุญแจมือจะถูกหุ้มด้วยขนสัตว์เทียมอ่อนนุ่ม แต่ภายในยังคงเป็นเหล็ก มันถึงทิ้งรอยบาดเล็กๆ สีแดงช้ำๆ รอบข้อมือของมิว หากความชาถูกนับเป็นความรู้สึกก็ถือว่ามิวมีความก้าวหน้า เขาเริ่มซ่าๆแถวบริเวณที่ไม่ได้เคลื่อนไหวมานาน และเหมือนว่าจะเริ่มเป็นตะคริวบ้างแล้ว เด็กหนุ่มพยายามกระชากข้อมือให้หลุดจากพันธนาการ เขามั่นใจว่าใช้แรงทั้งหมดที่รวบรวมได้ส่งไปยังท่อนแขนที่ชูเหนือหัว ผลลัพธ์ที่ได้มันเหมือนการกระตุกของกล้ามเนื้อมัดเล็กเสียมากกว่า การเคลื่อนไหวแผ่วเบาไม่อาจสร้างความสนใจได้มากพอ เป็นอีกครั้งที่มิวลองเปล่งเสียงจนสุดกะบังลม เช่นกัน… ผลลัพธ์ที่ได้มีเพียงลมอุ่นๆเล็ดลอดผ่านโพรงปากเพียงเท่านั้น
เสียงอึกทึกครึกโครมครอบคลุมพื้นที่ส่วนบน ยิ่งในวันหยุดด้วยแล้ว… ความโกลาหลและบาปเจ็ดประการรวมกระจุกกันเป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่ แสงไฟระยิบระยับสว่างไสวจนแสงดาวยังยอมแพ้ ทุกคนจับต้องไปยังเวทีที่จัดแสดงดาวบนดินมากหน้าหลายตา ไม่มีใครอยากแหงนหน้าขึ้นมองหมู่ดวงดาราด้านบนแม้แต่น้อย ลึกลงไปใต้ผืนดินในพื้นที่เดียวกันทุกอย่างกลับเงียบสงบ เขตหวงห้ามนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ถึงการมีอยู่ ทางเดินของชั้นใต้ดินลับนั้นทอดยาวเป็นเส้นตรง ไม่ได้มีความซับซ้อนเหมือนด้านบน แต่ละห้องถูกแบ่งแยกตามแต่ละประเภทของการใช้งานเป็นอย่างดี หนึ่งในนั้นมีห้องสี่เหลี่ยมสีชมพูอ่อนหวาน แต่กลับมีชื่อแสนน่ากลัว กามเทพหนุ่มเรียกมันว่า ‘ห้องสังเกตการณ์’ ห้องสังเกตการณ์ถูกสร้างเพื่อเฝ้าดูปฏิกิริยาตอบโต้ของตัวทดลอง เมื่อเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่หรือแม้แต่เวทมนตร์คาถาแบบใหม่ แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ผิดกฎพันธสัญญาสองโลก กามเทพหนุ่มจอมเพี้ยนจึงปกปิดมัน โดยจำกัดวงของผู้ที่รับรู้ความลับให้อยู่แค่คนที่ไว้ใจได้เท่านั้น ความสดใสของห้อ