เป็นการกลับห้องที่เร็วที่สุดในรอบหลายปีของมิว เขาเหลือบมองนาฬิกาตรงข้อมือในระหว่างที่กรอกรหัสปลดล็อกประตู ไม่รู้เลยว่าเวลาที่เหลือตั้งเยอะแยะขนาดนี้จะเอาไปใช้ทำอะไรดี มิวลำดับภาพในหัวในสิ่งที่จะทำ แต่ทั้งหมดล้วนน่าเบื่อ บางทีหากไอ้หนูในกางเกงในมันใช้งานได้ ป่านนี้ชายหนุ่มคงเลือกเส้นทางเสเพลหาความสนุกใส่ตัว โอบกอดผู้หญิงสักสองหรือสามคนในอ้อมแขน แล้วทำอะไรที่ผู้ชายส่วนใหญ่จะทำกัน ดีกว่ากลับมาขลุกตัวจมจ่อมอยู่กับอารมณ์ขมุกขมัวของตัวเอง นึกแล้วก็ยังรู้สึกขุ่นเคืองพี่เจษอยู่เล็กๆ กับเหตุการณ์เมื่อตอนค่ำ ทว่าเมื่อชั่งน้ำหนักความดีกับความชั่วในความสัมพันธ์ของกันและกัน ความโมโหก็แปรเปลี่ยนเป็นความอึดอัด แสงสว่างถูกเปิดเพื่อเติมเต็มความกระจ่างให้กับความเย็นชืด บรรยากาศที่ต้องใช้ไฟฟ้าในห้องของตัวเองตอนกลางคืนช่างไม่คุ้นตาเอาเสียเลย ปกติชายหนุ่มมักกลับมาพร้อมแสงแรกของวัน รองเท้าถูกทอดทิ้งเอาไว้อย่างลวกๆตรงหน้าห้อง มิวโยนข้าวของลงบนโต๊ะในห้องครัวก่อนจะเปิดตู้เย็นเพื่อหาน้ำเปล่ามาดับความกระหาย ระหว่างดื่มน้ำสายตาของเด็กหนุ่มก็เหลือบเ
เด็กหนุ่มพักหายใจครู่หนึ่ง เขาอ้าปากกว้างหายใจให้ทันตามร่างกายต้องการ ทว่าของเหลวเหนียวหนืดในปากก็ขัดขวางลมไม่ให้เข้ามาได้อย่างเต็มร้อย “อือ…” ปีศาจใกล้หมดสภาพอย่างดันเต้ทำได้เพียงส่งเสียงอยู่ในลำคอหนาใหญ่ ในขณะที่เวทมนตร์แปลกปลอมค่อยๆถูกไถ่ถอน “อึก… อืม…” กลิ่นหวานที่เผ็ดร้อนลอยคลุ้งฟุ้งกระจายทั่วทั้งห้อง พลังงานลึกลับที่ปะปนมาด้วยครอบงำมิวจนไม่อาจระงับความอยากของตัวเอง ริมฝีปากเด็กหนุ่มประกบเข้ากับแท่งเนื้ออุ่นๆอีกครั้ง แรงดูดเพียงแผ่วเบารีดเค้นของเหลวออกมาระลอกใหญ่ มิวรู้สึกถึงความร้อนไหลเจิ่งนองแผ่กระจายทั่วโพรงปาก ความซาบซ่านนั้นสดชื่นจนแทบขาดไม่ได้ ในหัวตื้อตันของมิวโดนสะกดจิตให้พุ่งความสนใจกับความหฤหรรษ์ตรงหน้า เขาอยากเติมน้ำจากปีศาจเข้ามาในร่างกายจนกว่าทั้งท้องจะถูกเติมเต็ม “ห่ะ…” ดันเต้อ้าปากได้เล็กน้อย แรงดันจากภายในร่างกายทำให้เขาอึดอัด หากตอนนี้ขยับตัวได้สักหน่อยคงสบายตัวกว่านี้ “แฮก… แฮก” มิวกระหืดกระหอบ ใบหน้าแดงก่ำจากสภาพเกือบขาดอากาศ ริมฝีปากเปียกปอนไปด้วยคราบเหนียวเหนอะ “นายดีขึ้นไหม?” “ฮ
ท่ามกลางความโกลาหลเชี่ยวกราก มีเพียงแขนใหญ่ยักษ์ของปีศาจคิวที่คอยฉุดรั้งมนุษย์หนุ่ม ไม่ให้โดนกระแสพิษสวาทพัดพาจนหลุดไกล ดันเต้โอบกอดยึดโยงมิวเอาไว้จากทางด้านหลัง ลมหายใจติดขัดจากอาการเหนื่อยหอบ ใบหน้าแดงฉานราวดวงตะวันใกล้ตกดิน ท่อนล่างชุ่มโชกไปด้วยของเหลวหลากหลายชนิด รวมไปถึงโซฟาเลอะเป็นคราบจนทั่ว คาดว่าการทำความสะอาดคงไม่ง่าย ร่างเล็กในวงแขนดิ้นกระสับกระส่ายด้วยจิตใจไม่มั่นคง ถึงภารกิจจะลุล่วงไปด้วยดี ทว่าก็ยังเหลือช่องว่างรอการเติมเต็ม นัยน์ตาของอมนุษย์ในร่างชายหนุ่มเรืองรองเป็นสีทอง แม้พลังจะกลับคืนมาไม่เต็มร้อย แต่ก็มากพอจะพาเขาและมนุษย์นอ้อมกอดหลบลี้หนีข้ามไปยังอีกดินแดน เพียงฝ่ามือหนาใหญ่กางออกทาบทับเข้ากับใบหน้าหื่นกระหาย มนุษย์หนุ่มก็ผล็อยหลับโดยไม่ทันตั้งตัว ความรู้สึกทุกอย่างมลายหายพร้อมกับสติ ราวกับทุกอย่างกำลังเริ่มต้นใหม่… เปลือกตาหนักอึ้งค่อยๆเปิดออกอย่างช้าๆ เปลวไฟแผดเผาตามร่างกายมอดดับลง มิวรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก แม้จะมีเศษเสี้ยวบางอย่างคุกรุ่นอยู่ในช่องท้อง ทั้งห้องสาดส่องด้วยแสงจากธ
แดนนิมิตเหมือนโลกรกร้างไร้สิ่งมีชีวิต ถึงจะสร้างได้สมจริงแค่ไหนทว่าก็ไร้ซึ่งความสมบูรณ์ มีเพียงความหนาวเย็นและหมอกขาวทึบบดบังความบิดเบี้ยว ชายหนุ่มหน้ามนนอนตะแคงข้างขดตัวเกร็งเนื่องด้วยทำอะไรไม่ถูก ความกล้าแก่นกะโหลกเจือจางเมื่ออยู่ในอ้อมแขนของปีศาจตัวหนาใหญ่ จิตใจอันบอบบางทั้งหวาดกลัวและตื่นเต้นจากความแปลกใหม่ที่บังเกิด ขนาดคืออำนาจที่ส่งผลตรงโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยวาจา มิวยอมรับว่าก่อนหน้านี้เขาไม่ยำเกรงดันเต้เลยเมื่อร่างใหญ่ยักษ์นั้นอยู่ห่างออกไป ทว่าในระยะใกล้เช่นนี้มันต่างออกไป เขารู้สึกถึงอันตรายและความปลอดภัยไปพร้อมกัน การประชิดของปีศาจคิวบัสจากด้านหลังนั้นสร้างความกดดันทับเส้นประสาท ร่างแข็งแกร่งนั้นกอดประกบมิวแน่นจนไร้ช่องวาง ดันเต้เอียงใบหน้ากระเซ้าเย้าแหย่ติ่งหูและซอกคอขาวเนียน สูดดมกลิ่นกายอันเป็นเอกลักษณ์ด้วยความเพลิดเพลิน ในขณะที่ด้านล่าง… แก่นเนื้อที่อิสระก็คอยกระตุ้นแก้มก้นทั้งสองข้างอันกลมเกลี้ยงอย่างสนุกสนาน ท่อนแขนอุดมด้วยกล้ามเนื้อสอดลอดซอกคอของมนุษย์หนุ่ม มิววางศีรษะทับลงไปอย่างช้าๆ พลันได้ยินเสียงชีพจร
“เอานี่ไป” ชายหนุ่มในชุดสูทเบาสบายยื่นกาแฟหอมกรุ่นให้เด็กหนุ่มตรงหน้า ใบหน้าที่ดูหนุ่มกว่าวัยของเขามองทอดไปยังอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู ไม่มีใครรู้อายุที่แน่ชัดของเป็นเอกเท่าไหร่นัก เขาเริ่มงานวันแรกตั้งแต่อมอร์ติดป้ายชื่อร้านตรงหน้าทางเข้า ทำให้ที่นี่ไม่มีใครเก่าแก่กว่าชายผู้นี้อีกแล้ว พนักงานในอมอร์ต่างพูดคุยกันว่าผู้จัดการร้านจอมขรึมน่าจะอายุยี่สิบปลายๆ ไม่น่าเกินสามสิบต้นๆ แต่หลายคนก็แย้งว่าน่าจะเยอะกว่านี้มาก เพราะเคยได้ยินพี่พนักงานบัญชีอายุห้าสิบหกเรียกเป็นเอกว่าพี่ แต่ท้ายที่สุดคำค้านนี้ก็ตกไปเนื่องจากพนักงานบัญชีผู้นั้นก็เรียกใครว่าพี่หมด ด้วยความอยากเป็นเด็กเทียบเท่าหนุ่มๆทุกคนในร้าน การถกเถียงอย่างลับๆนี้หาข้อสรุปไม่ได้ ไม่มีใครกล้าถามกับเจ้าตัวสักคน จึงทำได้เพียงคาดเดาจากผิวอ่อนเยาว์ไร้รอยตำหนิบนใบหน้า ควันและกลิ่นหอมกรุ่นลอยห้อมล้อมห้องแต่งตัว เครื่องดื่มแก้เมาหลากหลายชนิดในนี้ถูกแช่และจัดเรียงไว้เป็นอย่างดี ถือเป็นสวัสดิการอย่างหนึ่งของเหล่าแองเจิ้ล มันถูกตั้งไว้ที่มุมห้องให้ทั้งสามเลือกดื่มได้ตามใจชอบ มีบ้างที่
“ตื่นได้แล้ว?” ไม่รู้นานเท่าไหร่ที่เสียงอบอุ่นดังมาคู่กับการสะกิดแสนนุ่มนวล คอยกระเซ้าเย้าแหย่อยู่ข้างแก้ม เมื่อรู้สึกตัว… เด็กหนุ่มค่อยๆเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งอย่างเชื่องช้า สงสัยครางในลำคอเหมือนแมวแสนขี้เกียจ ยืดเหยียดแขนไปสุดเท่าที่พอจะทำได้ เมื่อหันไปสบตากับชายอีกคนฝั่งคนขับ ความสงสัยก็ผุดขึ้นมาในความคิดเลือนรางของอาร์เต้ เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แดดรำไรจากภายนอกที่ลอดเล็ดผ่านช่องกว้างของตัวอาคาร แยงจนดวงตาอาร์เต้จนแสบ เด็กหนุ่มพยายามกะพริบตาอยู่หลายครั้งกว่าจะง้างเปิดตาได้จนสุด “ถึงคอนโดแล้วฯ เจ้าชายขี้เมา” “หือ!?”เด็กหนุ่มพยายามงัดตัวให้ลุกขึ้นนั่ง สำรวจรอบตัวด้วยความมึนงง “นี่ผมเผลอหลับไปเมื่อไหร่?” “ขับออกจากร้านมาได้ครึ่งทางก็โดนทิ้งให้พูดคนเดียวอยู่ตั้งนาน” “อ้าวเหรอ!” อาร์เต้ส่ายหัวสลัดความเกียจคร้าน “สงสัยดื่มมากไปจริงๆ” “ไหวไหม?” เป็นเอกเอื้อมตัวปลดเข็มขัดนิรภัยของเด็กหนุ่ม “ให้พี่ขึ้นไปที่ห้องหรือเปล่า” “อือ… ครับ” อาร์เต้พยักหน้า
ท่อนบนเปลือยของชายทั้งคู่นอนซ้อนทับถูกห่อหุ้มด้วยผ้าผืนบางเพื่อลดความอนาจาร คนที่อยู่ด้านบนเนื้อตัวอัดแน่นด้วยมวลกล้ามเนื้อ จนน่ากลัวว่าอีกฝ่ายที่อยู่ด้านล่างอาจถูกทับบี้แบนจมลงไปกับเบาะ เสียงนกร้องขานรับดวงตะวันทอแสง ความสงบเงียบถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ ความวุ่นวายเซ็งแซ่จากทั่วทิศทางบ่งบอกถึงการเริ่มต้นชีวิตของผู้คน สำหรับอาร์เต้เขาไม่ค่อยชอบเซ็กซ์ในตอนเช้าเท่าไหร่นัก มันหวือหวาและโจ๋งครึ่มเกินไป ทว่าเวลาการทำงานก็มอบทางเลือกเดียวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งที่พอจะทำได้ก็คือพยายามหลับหูหลับตาเมินบรรยากาศไม่พึงประสงค์ไปเสีย ทั้งความสว่างที่เปิดเผยทุกอย่างเด่นชัดเกินไป หรือเสียงการเคลื่อนไหวจากสิ่งอื่น แม้กระทั่งตอนต้องไปปลดปล่อยอารมณ์นอกคอนโด อาร์เต้ก็พยายามหามุมที่ผู้คนคับคั่งน้อยที่สุด อาจเป็นเพราะความไม่มั่นใจในรูปร่างหน้าตาเป็นทุนเดิม เลยทำให้เขากลัวการถูกตัดสินด้วยสายตา ระหว่างการเล้าโลมอันเอื่อยเฉื่อย อาร์เต้ก็อดคิดทบทวนเรื่องความสัมพันธ์ของตัวเองกับผู้จัดการร้านไม่ได้ หนึ่งข่าวลือที่ฟุ้งกระจายเกี่ยวกับการทำงาน มันคอยรบ
นอกเหนือจากดินแดนเนรมิตแล้ว ดันเต้ยังมีสถานที่ใช้สำหรับพักอีกที่ มันตั้งอยู่ในโลกแห่งความจริง แฝงอยู่กับหมู่ตึกมากมายทั่วไป สิ่งปลูกสร้างสูงราวหกสิบชั้นตั้งตระหง่านเด่นอยู่เกือบใจกลางเมือง หากมองด้วยผิวเผินโรงแรมแห่งนี้ก็ไม่ต่างจากโรงแรมหรูทั่วไปในมหานคร ทว่าความลับในนั้นทำให้มันพิเศษกว่าที่อื่น จำนวนหนึ่งเป็นที่หลบซ่อนของเหล่าอมนุษย์ ผสมปนเปไปอย่างแนบเนียนกับมนุษย์ทั่วไป พวกเขาอาศัยอยู่กันชั่วคราวร่วมกันโดยภายใต้การควบคุมเข้มงวด และกฎหมายพิเศษที่ไม่มีประเทศไหนประกาศใช้กับพลเรือนของตน แน่นอนว่าเพื่อการเท่าเทียมกันการใช้เวทมนตร์หรือทำร้ายกันภายในพื้นที่พิเศษนี้เป็นข้อห้ามสำคัญ หากเป็นมนุษย์จะถูกดำเนินตามกฎหมาย นอกเหนือจากนั้นจะต้องรับโทษตามสังกัดของตัวเอง พื้นที่ที่มีการแหกกฎบ่อยคงเป็นบาร์ของโรงแรม…. ห้องที่โอ่อ่ากว้างขวางกินพื้นที่เกือบทั้งชั้นของโรงแรม รองรับผู้คนและกิจกรรมได้มากมาย เพดานสูงโปร่งดูหรูหราด้วยโคมระย้าทำจากคริสตัล ทุกเม็ดหยอกเย้ากับแสงไฟจนเกิดเป็นประกายหลากสี มองดูแล้วเหมือนบอลรูมของเหล่าเชื้อพระวงศ์
“มันทำอะไรแบบนี้ได้ด้วยเหรอ” ความตกอกตกใจของมิวยังไม่สร่าง เขาทบทวนทุกอย่างด้วยน้ำเสียงกระวนกระวาย เพื่อให้แน่ใจว่าความมึนเมาไม่ได้หลอนประสาทหูของตัวเอง ดวงอาทิตย์รุ่งสางเริ่มทอประกายแสดจากภายนอกอาคาร ทว่าแสงสว่างนั้นก็ไม่อาจสาดส่องความอึมครึมแห่งความสับสนให้กระจ่าง ทุกอย่างไปไกลเกินการควบคุม ฉีกทุกกฎการเรียนรู้ของมิวที่สะสมมานานยี่สิบสี่ปี เขาหวนคิดถึงนักเดินเรือสมัยก่อนที่ค้นพบทวีปใหม่ มันทั้งตื่นและชวนให้รู้สึกอันตรายไปพร้อมกัน “ตอนนี้มนุษย์รอบตัวนายไม่มีใครเชื่อใจได้สักคน” ดันเต้เกลี้ยกล่อม “เป็นเอกเป็นคนพาอาร์เต้ไปสัก ผู้จัดการร้านของนายอาจเป็นผู้ช่วยของคิวปิดอยู่ก็ได้” มิวใส่คะแนนให้ดันเต้ไปอีกหนึ่งแต้มเมื่อฟังจบ ถึงไม่เห็นกับตาแต่ด้วยม่านควันบังตาทำให้ ความน่าเชื่อถือของคิวบัสนั้นมากกว่ารุ่นน้องคนสนิท “พวกนั้นอาจลงมือกับนายอีกเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าหากนายโดนจับไปทำอะไรแบบที่อาร์เต้โดน แล้วนายเกิดเกลียดฉันขึ้นมา ตอนนั้นฉันคงเข้าใกล้นายไม่ได้อีกต่อไป” มิวใส่คะแนนเพิ่มให้ดันเต้อีกสองคะแนน เพราะน้ำเสียงของ
ผ่านมาหลายต่อหลายคืนแล้วที่มิวเฝ้าภาวนาขอให้เจออมนุษย์ร่างกายล่ำบึ้ก ไม่ว่าจะเพราะอยากเคลียร์ใจหรือเพราะติดใจบรรยากาศซู่ซ่าในม่านหมอกก็ตาม ชายหนุ่มก็ยังอยากเจอดันเต้อยู่ดี อากาศเย็นสบายในห้องแต่งตัวไม่อาจดับความรุ่มร้อนของชายหนุ่ม ตั้งแต่มิวตะคอกใส่ดันเต้แล้วหลบหนีออกจากความฝัน เขาก็ไม่พานพบคิวบัสตนนั้นอีกเลย จะเป็นที่ทำงานหรือในความฝัน จนดูเหมือนว่าการหายตัวคงเป็นสิ่งถนัดของดันเต้ เด็กหนุ่มไม่แน่ใจว่าปีศาจน้อยใจเป็นหรือไม่ ทว่าก็หวังเอาไว้ว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น หลายสิ่งยากเหนือจินตาการเกิดแบบฉับพลันในระยะเวลาอันรวดเร็ว แรกเริ่มก็ยากเกินความเข้าใจ กระนั้นเมื่อคุ้นเคยมันกลับกลายเป็นเรื่องตื่นเต้นที่โหยหา แต่ตอนนี้เมื่อนั่งตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มิวจำเป็นต้องสลัดเรื่องราวส่วนตัวทิ้งไว้เบื้องหลัง เขาสามารถพกพาความเครียดหรือกังวลใจของตัวเองไปพบลูกค้าได้ ภาพรวมในอมอร์ทุกอย่างเป็นปกติ ในแต่ละวันมีเด็กเข้าออกกันเป็นว่าเล่นอยู่แล้ว จึงไม่ถือว่าเป็นสถานการณ์ยากเกินควบคุมของเป็นเอก ฉะนั้นการขาดหรือมีดันเต้หนึ่งคน ทุกอย่างก็ยังคงดำเนินได
ท่ามกลางความวุ่นวายของมหานคร ห้องสี่เหลี่ยมขนาดพอประมาณเป็นดั่งอีกโลกคู่ขนาน มันหลุดพ้นจากวังวนยุ่งเหยิงจากภายนอก ทิ้งไว้เพียงความเงียบเชียบไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจ เบื้องบนที่อยู่สูงเกินเอื้อม ประดับด้วยดวงอาทิตย์ทอแสงอ่อนแรงเฮือกสุดท้าย สีแดงฉานเหนือหมู่เมฆราวกับเลือดของใครสักคน แต่งแต้มท้องนภาจนเกิดสีสันชวนอ่อนไหว หน้าต่างกระจกสะท้อนเงาบางส่วนกลับมาเลือนราง บรรยากาศข้างในห้องมืดมิดไร้สีสัน อุปกรณ์เครื่องใช้ทุกชิ้นไม่ถูกเปิดใช้งาน มันแค่ตั้งนิ่งๆอยู่ตรงนั้นเฉกเช่นเดียวกันกับปีศาจ การประดับประดาในนี้ถือว่าคุมโทนได้ดี ทั้งเย็นชืดและหม่นหมอง มีเพียงสมุดบันทึกเก่าๆกองพะเนินซ้อนทับกันหลายชั้น มันถูกทิ้งระเกะระกะอยู่ตามมุมห้อง บ่งบอกได้ว่าเจ้าของเลิกสนใจไปตั้งนานแล้ว ตู้เสื้อผ้าเป็นอีกอย่างที่ว่างเปล่า ปีศาจส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องสวมใส่อาภรณ์ปกปิด แค่มนต์พรางตาก็เพียงพอสำหรับการลวงหลอกการมองเห็นของมนุษย์ ทว่าก็มีบ้างบางครั้งที่พวกเขาเลือกสวมใส่เสื้อผ้าจริงๆ หากไม่นั่งจ้องออกไปนอกตึก บางครั้งดันเต้ก็จะขังตัวเองในตู้ที่ไม่มีเสื้
นอกเหนือจากดินแดนเนรมิตแล้ว ดันเต้ยังมีสถานที่ใช้สำหรับพักอีกที่ มันตั้งอยู่ในโลกแห่งความจริง แฝงอยู่กับหมู่ตึกมากมายทั่วไป สิ่งปลูกสร้างสูงราวหกสิบชั้นตั้งตระหง่านเด่นอยู่เกือบใจกลางเมือง หากมองด้วยผิวเผินโรงแรมแห่งนี้ก็ไม่ต่างจากโรงแรมหรูทั่วไปในมหานคร ทว่าความลับในนั้นทำให้มันพิเศษกว่าที่อื่น จำนวนหนึ่งเป็นที่หลบซ่อนของเหล่าอมนุษย์ ผสมปนเปไปอย่างแนบเนียนกับมนุษย์ทั่วไป พวกเขาอาศัยอยู่กันชั่วคราวร่วมกันโดยภายใต้การควบคุมเข้มงวด และกฎหมายพิเศษที่ไม่มีประเทศไหนประกาศใช้กับพลเรือนของตน แน่นอนว่าเพื่อการเท่าเทียมกันการใช้เวทมนตร์หรือทำร้ายกันภายในพื้นที่พิเศษนี้เป็นข้อห้ามสำคัญ หากเป็นมนุษย์จะถูกดำเนินตามกฎหมาย นอกเหนือจากนั้นจะต้องรับโทษตามสังกัดของตัวเอง พื้นที่ที่มีการแหกกฎบ่อยคงเป็นบาร์ของโรงแรม…. ห้องที่โอ่อ่ากว้างขวางกินพื้นที่เกือบทั้งชั้นของโรงแรม รองรับผู้คนและกิจกรรมได้มากมาย เพดานสูงโปร่งดูหรูหราด้วยโคมระย้าทำจากคริสตัล ทุกเม็ดหยอกเย้ากับแสงไฟจนเกิดเป็นประกายหลากสี มองดูแล้วเหมือนบอลรูมของเหล่าเชื้อพระวงศ์
ท่อนบนเปลือยของชายทั้งคู่นอนซ้อนทับถูกห่อหุ้มด้วยผ้าผืนบางเพื่อลดความอนาจาร คนที่อยู่ด้านบนเนื้อตัวอัดแน่นด้วยมวลกล้ามเนื้อ จนน่ากลัวว่าอีกฝ่ายที่อยู่ด้านล่างอาจถูกทับบี้แบนจมลงไปกับเบาะ เสียงนกร้องขานรับดวงตะวันทอแสง ความสงบเงียบถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ ความวุ่นวายเซ็งแซ่จากทั่วทิศทางบ่งบอกถึงการเริ่มต้นชีวิตของผู้คน สำหรับอาร์เต้เขาไม่ค่อยชอบเซ็กซ์ในตอนเช้าเท่าไหร่นัก มันหวือหวาและโจ๋งครึ่มเกินไป ทว่าเวลาการทำงานก็มอบทางเลือกเดียวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งที่พอจะทำได้ก็คือพยายามหลับหูหลับตาเมินบรรยากาศไม่พึงประสงค์ไปเสีย ทั้งความสว่างที่เปิดเผยทุกอย่างเด่นชัดเกินไป หรือเสียงการเคลื่อนไหวจากสิ่งอื่น แม้กระทั่งตอนต้องไปปลดปล่อยอารมณ์นอกคอนโด อาร์เต้ก็พยายามหามุมที่ผู้คนคับคั่งน้อยที่สุด อาจเป็นเพราะความไม่มั่นใจในรูปร่างหน้าตาเป็นทุนเดิม เลยทำให้เขากลัวการถูกตัดสินด้วยสายตา ระหว่างการเล้าโลมอันเอื่อยเฉื่อย อาร์เต้ก็อดคิดทบทวนเรื่องความสัมพันธ์ของตัวเองกับผู้จัดการร้านไม่ได้ หนึ่งข่าวลือที่ฟุ้งกระจายเกี่ยวกับการทำงาน มันคอยรบ
“ตื่นได้แล้ว?” ไม่รู้นานเท่าไหร่ที่เสียงอบอุ่นดังมาคู่กับการสะกิดแสนนุ่มนวล คอยกระเซ้าเย้าแหย่อยู่ข้างแก้ม เมื่อรู้สึกตัว… เด็กหนุ่มค่อยๆเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งอย่างเชื่องช้า สงสัยครางในลำคอเหมือนแมวแสนขี้เกียจ ยืดเหยียดแขนไปสุดเท่าที่พอจะทำได้ เมื่อหันไปสบตากับชายอีกคนฝั่งคนขับ ความสงสัยก็ผุดขึ้นมาในความคิดเลือนรางของอาร์เต้ เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แดดรำไรจากภายนอกที่ลอดเล็ดผ่านช่องกว้างของตัวอาคาร แยงจนดวงตาอาร์เต้จนแสบ เด็กหนุ่มพยายามกะพริบตาอยู่หลายครั้งกว่าจะง้างเปิดตาได้จนสุด “ถึงคอนโดแล้วฯ เจ้าชายขี้เมา” “หือ!?”เด็กหนุ่มพยายามงัดตัวให้ลุกขึ้นนั่ง สำรวจรอบตัวด้วยความมึนงง “นี่ผมเผลอหลับไปเมื่อไหร่?” “ขับออกจากร้านมาได้ครึ่งทางก็โดนทิ้งให้พูดคนเดียวอยู่ตั้งนาน” “อ้าวเหรอ!” อาร์เต้ส่ายหัวสลัดความเกียจคร้าน “สงสัยดื่มมากไปจริงๆ” “ไหวไหม?” เป็นเอกเอื้อมตัวปลดเข็มขัดนิรภัยของเด็กหนุ่ม “ให้พี่ขึ้นไปที่ห้องหรือเปล่า” “อือ… ครับ” อาร์เต้พยักหน้า
“เอานี่ไป” ชายหนุ่มในชุดสูทเบาสบายยื่นกาแฟหอมกรุ่นให้เด็กหนุ่มตรงหน้า ใบหน้าที่ดูหนุ่มกว่าวัยของเขามองทอดไปยังอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู ไม่มีใครรู้อายุที่แน่ชัดของเป็นเอกเท่าไหร่นัก เขาเริ่มงานวันแรกตั้งแต่อมอร์ติดป้ายชื่อร้านตรงหน้าทางเข้า ทำให้ที่นี่ไม่มีใครเก่าแก่กว่าชายผู้นี้อีกแล้ว พนักงานในอมอร์ต่างพูดคุยกันว่าผู้จัดการร้านจอมขรึมน่าจะอายุยี่สิบปลายๆ ไม่น่าเกินสามสิบต้นๆ แต่หลายคนก็แย้งว่าน่าจะเยอะกว่านี้มาก เพราะเคยได้ยินพี่พนักงานบัญชีอายุห้าสิบหกเรียกเป็นเอกว่าพี่ แต่ท้ายที่สุดคำค้านนี้ก็ตกไปเนื่องจากพนักงานบัญชีผู้นั้นก็เรียกใครว่าพี่หมด ด้วยความอยากเป็นเด็กเทียบเท่าหนุ่มๆทุกคนในร้าน การถกเถียงอย่างลับๆนี้หาข้อสรุปไม่ได้ ไม่มีใครกล้าถามกับเจ้าตัวสักคน จึงทำได้เพียงคาดเดาจากผิวอ่อนเยาว์ไร้รอยตำหนิบนใบหน้า ควันและกลิ่นหอมกรุ่นลอยห้อมล้อมห้องแต่งตัว เครื่องดื่มแก้เมาหลากหลายชนิดในนี้ถูกแช่และจัดเรียงไว้เป็นอย่างดี ถือเป็นสวัสดิการอย่างหนึ่งของเหล่าแองเจิ้ล มันถูกตั้งไว้ที่มุมห้องให้ทั้งสามเลือกดื่มได้ตามใจชอบ มีบ้างที่
แดนนิมิตเหมือนโลกรกร้างไร้สิ่งมีชีวิต ถึงจะสร้างได้สมจริงแค่ไหนทว่าก็ไร้ซึ่งความสมบูรณ์ มีเพียงความหนาวเย็นและหมอกขาวทึบบดบังความบิดเบี้ยว ชายหนุ่มหน้ามนนอนตะแคงข้างขดตัวเกร็งเนื่องด้วยทำอะไรไม่ถูก ความกล้าแก่นกะโหลกเจือจางเมื่ออยู่ในอ้อมแขนของปีศาจตัวหนาใหญ่ จิตใจอันบอบบางทั้งหวาดกลัวและตื่นเต้นจากความแปลกใหม่ที่บังเกิด ขนาดคืออำนาจที่ส่งผลตรงโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยวาจา มิวยอมรับว่าก่อนหน้านี้เขาไม่ยำเกรงดันเต้เลยเมื่อร่างใหญ่ยักษ์นั้นอยู่ห่างออกไป ทว่าในระยะใกล้เช่นนี้มันต่างออกไป เขารู้สึกถึงอันตรายและความปลอดภัยไปพร้อมกัน การประชิดของปีศาจคิวบัสจากด้านหลังนั้นสร้างความกดดันทับเส้นประสาท ร่างแข็งแกร่งนั้นกอดประกบมิวแน่นจนไร้ช่องวาง ดันเต้เอียงใบหน้ากระเซ้าเย้าแหย่ติ่งหูและซอกคอขาวเนียน สูดดมกลิ่นกายอันเป็นเอกลักษณ์ด้วยความเพลิดเพลิน ในขณะที่ด้านล่าง… แก่นเนื้อที่อิสระก็คอยกระตุ้นแก้มก้นทั้งสองข้างอันกลมเกลี้ยงอย่างสนุกสนาน ท่อนแขนอุดมด้วยกล้ามเนื้อสอดลอดซอกคอของมนุษย์หนุ่ม มิววางศีรษะทับลงไปอย่างช้าๆ พลันได้ยินเสียงชีพจร
ท่ามกลางความโกลาหลเชี่ยวกราก มีเพียงแขนใหญ่ยักษ์ของปีศาจคิวที่คอยฉุดรั้งมนุษย์หนุ่ม ไม่ให้โดนกระแสพิษสวาทพัดพาจนหลุดไกล ดันเต้โอบกอดยึดโยงมิวเอาไว้จากทางด้านหลัง ลมหายใจติดขัดจากอาการเหนื่อยหอบ ใบหน้าแดงฉานราวดวงตะวันใกล้ตกดิน ท่อนล่างชุ่มโชกไปด้วยของเหลวหลากหลายชนิด รวมไปถึงโซฟาเลอะเป็นคราบจนทั่ว คาดว่าการทำความสะอาดคงไม่ง่าย ร่างเล็กในวงแขนดิ้นกระสับกระส่ายด้วยจิตใจไม่มั่นคง ถึงภารกิจจะลุล่วงไปด้วยดี ทว่าก็ยังเหลือช่องว่างรอการเติมเต็ม นัยน์ตาของอมนุษย์ในร่างชายหนุ่มเรืองรองเป็นสีทอง แม้พลังจะกลับคืนมาไม่เต็มร้อย แต่ก็มากพอจะพาเขาและมนุษย์นอ้อมกอดหลบลี้หนีข้ามไปยังอีกดินแดน เพียงฝ่ามือหนาใหญ่กางออกทาบทับเข้ากับใบหน้าหื่นกระหาย มนุษย์หนุ่มก็ผล็อยหลับโดยไม่ทันตั้งตัว ความรู้สึกทุกอย่างมลายหายพร้อมกับสติ ราวกับทุกอย่างกำลังเริ่มต้นใหม่… เปลือกตาหนักอึ้งค่อยๆเปิดออกอย่างช้าๆ เปลวไฟแผดเผาตามร่างกายมอดดับลง มิวรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก แม้จะมีเศษเสี้ยวบางอย่างคุกรุ่นอยู่ในช่องท้อง ทั้งห้องสาดส่องด้วยแสงจากธ