แดนนิมิตเหมือนโลกรกร้างไร้สิ่งมีชีวิต ถึงจะสร้างได้สมจริงแค่ไหนทว่าก็ไร้ซึ่งความสมบูรณ์ มีเพียงความหนาวเย็นและหมอกขาวทึบบดบังความบิดเบี้ยว ชายหนุ่มหน้ามนนอนตะแคงข้างขดตัวเกร็งเนื่องด้วยทำอะไรไม่ถูก ความกล้าแก่นกะโหลกเจือจางเมื่ออยู่ในอ้อมแขนของปีศาจตัวหนาใหญ่ จิตใจอันบอบบางทั้งหวาดกลัวและตื่นเต้นจากความแปลกใหม่ที่บังเกิด ขนาดคืออำนาจที่ส่งผลตรงโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยวาจา มิวยอมรับว่าก่อนหน้านี้เขาไม่ยำเกรงดันเต้เลยเมื่อร่างใหญ่ยักษ์นั้นอยู่ห่างออกไป ทว่าในระยะใกล้เช่นนี้มันต่างออกไป เขารู้สึกถึงอันตรายและความปลอดภัยไปพร้อมกัน การประชิดของปีศาจคิวบัสจากด้านหลังนั้นสร้างความกดดันทับเส้นประสาท ร่างแข็งแกร่งนั้นกอดประกบมิวแน่นจนไร้ช่องวาง ดันเต้เอียงใบหน้ากระเซ้าเย้าแหย่ติ่งหูและซอกคอขาวเนียน สูดดมกลิ่นกายอันเป็นเอกลักษณ์ด้วยความเพลิดเพลิน ในขณะที่ด้านล่าง… แก่นเนื้อที่อิสระก็คอยกระตุ้นแก้มก้นทั้งสองข้างอันกลมเกลี้ยงอย่างสนุกสนาน ท่อนแขนอุดมด้วยกล้ามเนื้อสอดลอดซอกคอของมนุษย์หนุ่ม มิววางศีรษะทับลงไปอย่างช้าๆ พลันได้ยินเสียงชีพจร
“เอานี่ไป” ชายหนุ่มในชุดสูทเบาสบายยื่นกาแฟหอมกรุ่นให้เด็กหนุ่มตรงหน้า ใบหน้าที่ดูหนุ่มกว่าวัยของเขามองทอดไปยังอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู ไม่มีใครรู้อายุที่แน่ชัดของเป็นเอกเท่าไหร่นัก เขาเริ่มงานวันแรกตั้งแต่อมอร์ติดป้ายชื่อร้านตรงหน้าทางเข้า ทำให้ที่นี่ไม่มีใครเก่าแก่กว่าชายผู้นี้อีกแล้ว พนักงานในอมอร์ต่างพูดคุยกันว่าผู้จัดการร้านจอมขรึมน่าจะอายุยี่สิบปลายๆ ไม่น่าเกินสามสิบต้นๆ แต่หลายคนก็แย้งว่าน่าจะเยอะกว่านี้มาก เพราะเคยได้ยินพี่พนักงานบัญชีอายุห้าสิบหกเรียกเป็นเอกว่าพี่ แต่ท้ายที่สุดคำค้านนี้ก็ตกไปเนื่องจากพนักงานบัญชีผู้นั้นก็เรียกใครว่าพี่หมด ด้วยความอยากเป็นเด็กเทียบเท่าหนุ่มๆทุกคนในร้าน การถกเถียงอย่างลับๆนี้หาข้อสรุปไม่ได้ ไม่มีใครกล้าถามกับเจ้าตัวสักคน จึงทำได้เพียงคาดเดาจากผิวอ่อนเยาว์ไร้รอยตำหนิบนใบหน้า ควันและกลิ่นหอมกรุ่นลอยห้อมล้อมห้องแต่งตัว เครื่องดื่มแก้เมาหลากหลายชนิดในนี้ถูกแช่และจัดเรียงไว้เป็นอย่างดี ถือเป็นสวัสดิการอย่างหนึ่งของเหล่าแองเจิ้ล มันถูกตั้งไว้ที่มุมห้องให้ทั้งสามเลือกดื่มได้ตามใจชอบ มีบ้างที่
“ตื่นได้แล้ว?” ไม่รู้นานเท่าไหร่ที่เสียงอบอุ่นดังมาคู่กับการสะกิดแสนนุ่มนวล คอยกระเซ้าเย้าแหย่อยู่ข้างแก้ม เมื่อรู้สึกตัว… เด็กหนุ่มค่อยๆเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งอย่างเชื่องช้า สงสัยครางในลำคอเหมือนแมวแสนขี้เกียจ ยืดเหยียดแขนไปสุดเท่าที่พอจะทำได้ เมื่อหันไปสบตากับชายอีกคนฝั่งคนขับ ความสงสัยก็ผุดขึ้นมาในความคิดเลือนรางของอาร์เต้ เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แดดรำไรจากภายนอกที่ลอดเล็ดผ่านช่องกว้างของตัวอาคาร แยงจนดวงตาอาร์เต้จนแสบ เด็กหนุ่มพยายามกะพริบตาอยู่หลายครั้งกว่าจะง้างเปิดตาได้จนสุด “ถึงคอนโดแล้วฯ เจ้าชายขี้เมา” “หือ!?”เด็กหนุ่มพยายามงัดตัวให้ลุกขึ้นนั่ง สำรวจรอบตัวด้วยความมึนงง “นี่ผมเผลอหลับไปเมื่อไหร่?” “ขับออกจากร้านมาได้ครึ่งทางก็โดนทิ้งให้พูดคนเดียวอยู่ตั้งนาน” “อ้าวเหรอ!” อาร์เต้ส่ายหัวสลัดความเกียจคร้าน “สงสัยดื่มมากไปจริงๆ” “ไหวไหม?” เป็นเอกเอื้อมตัวปลดเข็มขัดนิรภัยของเด็กหนุ่ม “ให้พี่ขึ้นไปที่ห้องหรือเปล่า” “อือ… ครับ” อาร์เต้พยักหน้า
ท่อนบนเปลือยของชายทั้งคู่นอนซ้อนทับถูกห่อหุ้มด้วยผ้าผืนบางเพื่อลดความอนาจาร คนที่อยู่ด้านบนเนื้อตัวอัดแน่นด้วยมวลกล้ามเนื้อ จนน่ากลัวว่าอีกฝ่ายที่อยู่ด้านล่างอาจถูกทับบี้แบนจมลงไปกับเบาะ เสียงนกร้องขานรับดวงตะวันทอแสง ความสงบเงียบถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ ความวุ่นวายเซ็งแซ่จากทั่วทิศทางบ่งบอกถึงการเริ่มต้นชีวิตของผู้คน สำหรับอาร์เต้เขาไม่ค่อยชอบเซ็กซ์ในตอนเช้าเท่าไหร่นัก มันหวือหวาและโจ๋งครึ่มเกินไป ทว่าเวลาการทำงานก็มอบทางเลือกเดียวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งที่พอจะทำได้ก็คือพยายามหลับหูหลับตาเมินบรรยากาศไม่พึงประสงค์ไปเสีย ทั้งความสว่างที่เปิดเผยทุกอย่างเด่นชัดเกินไป หรือเสียงการเคลื่อนไหวจากสิ่งอื่น แม้กระทั่งตอนต้องไปปลดปล่อยอารมณ์นอกคอนโด อาร์เต้ก็พยายามหามุมที่ผู้คนคับคั่งน้อยที่สุด อาจเป็นเพราะความไม่มั่นใจในรูปร่างหน้าตาเป็นทุนเดิม เลยทำให้เขากลัวการถูกตัดสินด้วยสายตา ระหว่างการเล้าโลมอันเอื่อยเฉื่อย อาร์เต้ก็อดคิดทบทวนเรื่องความสัมพันธ์ของตัวเองกับผู้จัดการร้านไม่ได้ หนึ่งข่าวลือที่ฟุ้งกระจายเกี่ยวกับการทำงาน มันคอยรบ
นอกเหนือจากดินแดนเนรมิตแล้ว ดันเต้ยังมีสถานที่ใช้สำหรับพักอีกที่ มันตั้งอยู่ในโลกแห่งความจริง แฝงอยู่กับหมู่ตึกมากมายทั่วไป สิ่งปลูกสร้างสูงราวหกสิบชั้นตั้งตระหง่านเด่นอยู่เกือบใจกลางเมือง หากมองด้วยผิวเผินโรงแรมแห่งนี้ก็ไม่ต่างจากโรงแรมหรูทั่วไปในมหานคร ทว่าความลับในนั้นทำให้มันพิเศษกว่าที่อื่น จำนวนหนึ่งเป็นที่หลบซ่อนของเหล่าอมนุษย์ ผสมปนเปไปอย่างแนบเนียนกับมนุษย์ทั่วไป พวกเขาอาศัยอยู่กันชั่วคราวร่วมกันโดยภายใต้การควบคุมเข้มงวด และกฎหมายพิเศษที่ไม่มีประเทศไหนประกาศใช้กับพลเรือนของตน แน่นอนว่าเพื่อการเท่าเทียมกันการใช้เวทมนตร์หรือทำร้ายกันภายในพื้นที่พิเศษนี้เป็นข้อห้ามสำคัญ หากเป็นมนุษย์จะถูกดำเนินตามกฎหมาย นอกเหนือจากนั้นจะต้องรับโทษตามสังกัดของตัวเอง พื้นที่ที่มีการแหกกฎบ่อยคงเป็นบาร์ของโรงแรม…. ห้องที่โอ่อ่ากว้างขวางกินพื้นที่เกือบทั้งชั้นของโรงแรม รองรับผู้คนและกิจกรรมได้มากมาย เพดานสูงโปร่งดูหรูหราด้วยโคมระย้าทำจากคริสตัล ทุกเม็ดหยอกเย้ากับแสงไฟจนเกิดเป็นประกายหลากสี มองดูแล้วเหมือนบอลรูมของเหล่าเชื้อพระวงศ์
ท่ามกลางความวุ่นวายของมหานคร ห้องสี่เหลี่ยมขนาดพอประมาณเป็นดั่งอีกโลกคู่ขนาน มันหลุดพ้นจากวังวนยุ่งเหยิงจากภายนอก ทิ้งไว้เพียงความเงียบเชียบไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจ เบื้องบนที่อยู่สูงเกินเอื้อม ประดับด้วยดวงอาทิตย์ทอแสงอ่อนแรงเฮือกสุดท้าย สีแดงฉานเหนือหมู่เมฆราวกับเลือดของใครสักคน แต่งแต้มท้องนภาจนเกิดสีสันชวนอ่อนไหว หน้าต่างกระจกสะท้อนเงาบางส่วนกลับมาเลือนราง บรรยากาศข้างในห้องมืดมิดไร้สีสัน อุปกรณ์เครื่องใช้ทุกชิ้นไม่ถูกเปิดใช้งาน มันแค่ตั้งนิ่งๆอยู่ตรงนั้นเฉกเช่นเดียวกันกับปีศาจ การประดับประดาในนี้ถือว่าคุมโทนได้ดี ทั้งเย็นชืดและหม่นหมอง มีเพียงสมุดบันทึกเก่าๆกองพะเนินซ้อนทับกันหลายชั้น มันถูกทิ้งระเกะระกะอยู่ตามมุมห้อง บ่งบอกได้ว่าเจ้าของเลิกสนใจไปตั้งนานแล้ว ตู้เสื้อผ้าเป็นอีกอย่างที่ว่างเปล่า ปีศาจส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องสวมใส่อาภรณ์ปกปิด แค่มนต์พรางตาก็เพียงพอสำหรับการลวงหลอกการมองเห็นของมนุษย์ ทว่าก็มีบ้างบางครั้งที่พวกเขาเลือกสวมใส่เสื้อผ้าจริงๆ หากไม่นั่งจ้องออกไปนอกตึก บางครั้งดันเต้ก็จะขังตัวเองในตู้ที่ไม่มีเสื้
ผ่านมาหลายต่อหลายคืนแล้วที่มิวเฝ้าภาวนาขอให้เจออมนุษย์ร่างกายล่ำบึ้ก ไม่ว่าจะเพราะอยากเคลียร์ใจหรือเพราะติดใจบรรยากาศซู่ซ่าในม่านหมอกก็ตาม ชายหนุ่มก็ยังอยากเจอดันเต้อยู่ดี อากาศเย็นสบายในห้องแต่งตัวไม่อาจดับความรุ่มร้อนของชายหนุ่ม ตั้งแต่มิวตะคอกใส่ดันเต้แล้วหลบหนีออกจากความฝัน เขาก็ไม่พานพบคิวบัสตนนั้นอีกเลย จะเป็นที่ทำงานหรือในความฝัน จนดูเหมือนว่าการหายตัวคงเป็นสิ่งถนัดของดันเต้ เด็กหนุ่มไม่แน่ใจว่าปีศาจน้อยใจเป็นหรือไม่ ทว่าก็หวังเอาไว้ว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น หลายสิ่งยากเหนือจินตาการเกิดแบบฉับพลันในระยะเวลาอันรวดเร็ว แรกเริ่มก็ยากเกินความเข้าใจ กระนั้นเมื่อคุ้นเคยมันกลับกลายเป็นเรื่องตื่นเต้นที่โหยหา แต่ตอนนี้เมื่อนั่งตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มิวจำเป็นต้องสลัดเรื่องราวส่วนตัวทิ้งไว้เบื้องหลัง เขาสามารถพกพาความเครียดหรือกังวลใจของตัวเองไปพบลูกค้าได้ ภาพรวมในอมอร์ทุกอย่างเป็นปกติ ในแต่ละวันมีเด็กเข้าออกกันเป็นว่าเล่นอยู่แล้ว จึงไม่ถือว่าเป็นสถานการณ์ยากเกินควบคุมของเป็นเอก ฉะนั้นการขาดหรือมีดันเต้หนึ่งคน ทุกอย่างก็ยังคงดำเนินได
“มันทำอะไรแบบนี้ได้ด้วยเหรอ” ความตกอกตกใจของมิวยังไม่สร่าง เขาทบทวนทุกอย่างด้วยน้ำเสียงกระวนกระวาย เพื่อให้แน่ใจว่าความมึนเมาไม่ได้หลอนประสาทหูของตัวเอง ดวงอาทิตย์รุ่งสางเริ่มทอประกายแสดจากภายนอกอาคาร ทว่าแสงสว่างนั้นก็ไม่อาจสาดส่องความอึมครึมแห่งความสับสนให้กระจ่าง ทุกอย่างไปไกลเกินการควบคุม ฉีกทุกกฎการเรียนรู้ของมิวที่สะสมมานานยี่สิบสี่ปี เขาหวนคิดถึงนักเดินเรือสมัยก่อนที่ค้นพบทวีปใหม่ มันทั้งตื่นและชวนให้รู้สึกอันตรายไปพร้อมกัน “ตอนนี้มนุษย์รอบตัวนายไม่มีใครเชื่อใจได้สักคน” ดันเต้เกลี้ยกล่อม “เป็นเอกเป็นคนพาอาร์เต้ไปสัก ผู้จัดการร้านของนายอาจเป็นผู้ช่วยของคิวปิดอยู่ก็ได้” มิวใส่คะแนนให้ดันเต้ไปอีกหนึ่งแต้มเมื่อฟังจบ ถึงไม่เห็นกับตาแต่ด้วยม่านควันบังตาทำให้ ความน่าเชื่อถือของคิวบัสนั้นมากกว่ารุ่นน้องคนสนิท “พวกนั้นอาจลงมือกับนายอีกเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าหากนายโดนจับไปทำอะไรแบบที่อาร์เต้โดน แล้วนายเกิดเกลียดฉันขึ้นมา ตอนนั้นฉันคงเข้าใกล้นายไม่ได้อีกต่อไป” มิวใส่คะแนนเพิ่มให้ดันเต้อีกสองคะแนน เพราะน้ำเสียงของ
“ทวดของผม” โพรงปากของเด็กหนุ่มอ้าค้างจนมองเห็นลิ้นไก่ข้างในลึกสุด “นี่พี่เกิดสมัยอยุธยาเป็นเมืองหลวงเลยไหมเนี่ย?” “ไม่นานขนาดนั้น” เสียงหัวเราะร่วนของเป็นเอกดัง “พี่เกิดหลังทวดของนายไม่กี่ปี ปี พ.ศ. สองพันสี่ร้อยกว่าเห็นจะได้” “แล้วพี่เป็นใครกันแน่?… ผีบรรพบุรุษส่งให้พี่มาดูแลตระกูลของผมหรือยังไง?” “ฉันว่าเรื่องของนายเหลือเชื่อกว่าเรื่องของฉันอีก” ยังไม่ทันจะต่อความยาวสาวความยืด เสียงฝีเท้าตึงตังก็ดังมาจากบันไดไม้ หญิงสาวแรกรุ่นพรวดพราดเข้ามาในห้องนอนที่ชายทั้งคู่อยู่ เธอกระโจนเข้าหาเป็นเอกและสวมกอดรอบคอจนแน่น “คิดถึงคุณลุงจัง” น้ำเสียงของหญิงสาวสดใสพอกันกับหน้าตา ดวงตาของเธอสุกใสเป็นประกาย ผิวหนังเนียนหนุ่มอ่อนเยาว์สมกับการเป็นสาวแรกรุ่น “คิดถึงลุงหรือคิดถึงของฝากกันแน่” มือของชายผู้แก่กว่ามากลูบศีรษะอย่างเอ็นดู “ก็ต้องคิดถึงคุณลุงอยู่แล้วสิคะ” “ถ้าอย่างนั้นวันนี้ลุงไม่มีของฝาก นิดหน่อยก็จะยังคิดถึงลุงอยู่ใช่ไหม?” หญิงสาวตัวเล็กยืดตัวขึ้นทำแก้มป่อง “ไม่มีจริงเหรอ?”
ไม่ได้มีโอกาสบ่อยนักที่อาร์เต้จะได้อ้าแขนกอดรับดวงอาทิตย์ยามสาย ถึงมันออกจะร้อนสักหน่อยก็เถอะแต่สำหรับชายหนุ่มที่ไม่ค่อยชอบชีวิตช่วงกลางคืนเท่าไหร่นัก นี่ก็นับว่าเป็นคุ้มค่าที่จะแลก หลังจากได้ฟังเรื่องราวอันไกลเกินขอบเขตของความเชื่อมาแล้ว แววตาของอาร์เต้ตอนมองเป็นเอกกลับไม่ได้ต่างจากเดิมเท่าไหร่ หากไม่ใช่เพราะยังไม่เชื่ออย่างสมบูรณ์แบบบ ก็คงเป็นเพราะอคติบางอย่างที่สร้างความเอนเอียง ความรู้สึกในใจของชายทั้งสองไม่อาจถูกคั่นกลางด้วยสิ่งแปลกปลอม ระยะห่างระหว่างกันยังคงเส้นคงวา ไม่อาจใกล้มากกว่านี้หรือถอยห่างจากที่เป็น ถึงหมุดหมายของทริปนี้เป็นเอกจะบอกไว้ว่าเป็นการออกตามหาความจริง ทว่าอาร์เต้มองแตกต่างออกไป เขาคิดเงียบๆ อยู่คนเดียวว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นเสมือนการออกเดตนอกสถานที่ครั้งแรกของพวกเขา นั่นเลยช่วยทำให้รู้สึกดีมากกว่ากังวล อาร์เต้ไม่เอ่ยถามถึงจุดหมายปลายทาง เขารู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมพูดอะไรแน่นอน ซึ่งเป็นเอกก็คิดเช่นนั้น ชายแก่ในร่างหนุ่มคิดไว้ว่าการอธิบายกลางอากาศอย่างเดียว คงไม่หนักแน่นพอจะยืนยันทุกอย่าง ท้องฟ้าปลอ
เมื่อความสุขสุดขีดพุ่งสูงจนทะลุหลอด ความเหนื่อยล้าก็เข้ามาห่อหุ้มร่างกึ่งเปลือยเปล่าของเด็กหนุ่ม หน้าอกภายใต้เสื้อตัวบางกระเพื่อมหนักหน่วง ริมฝีปากเผยออ้าเติมอากาศเข้าไปทดแทนกับที่ขาดหาย ใบหน้าฝาดก่ำด้วยสีเลือดสดๆ และเข้มมากขึ้นไปอีกเมื่อนึกถึงความดังของเสียงที่เพิ่งเปล่งออกไป ท่อนล่างโล่งโจ้งเลอะเทอะด้วยคราบของเหลวจากร่างกาย ในใจของมิวร้องตะโกนกู่ก้องเมื่อความรู้สึกที่อัดอั้นถูกระบายออกมาได้เสียที นั่นเป็นสิ่งประจักษ์แน่ชัดแล้วว่า ร่างกายและความเป็นชายได้กลับเป็นปกติอย่างที่ควรจะเป็น ทว่าก็ยังรู้สึกติดค้างบางอย่างแถวก้นบึ้งของจิตใต้สำนึก รอยยิ้มกางกว้างบนใบหน้าเรียวงาม เด็กหนุ่มรีบจัดแจงตัวเองให้เรียบร้อย ด้วยกลัวจะมีใครเปิดประตูเข้ามา การโดนมองเห็นไม่น่าหนักใจเท่ากับการโดนล้อ มิวนึกออกว่าดันเต้จะพูดอะไรบ้างหากเห็นสภาพของเขาในตอนนี้ ‘ไม่คิดจะชวนกันสักหน่อยเหรอ?’ ‘ทำไมนายถึงหนีมาสนุกคนเดียวล่ะ!’ ‘อีกรอบไหม?’ ‘คิดถึงดุ้นยักษ์ของฉันล่ะสิ!’ น้ำเสียงทะลึ่งตึงตังรวมกับสีหน้าหื่นกระหายของดันเต้ ผุดขึ้นมาใน
ความเงียบบรรเลงดนตรีกระซิบข้างใบหู ความเหนื่อยล้าขับกล่อมท่วงทำนองยืดยานจนชายหนุ่มหลับใหลไปอย่างง่ายดาย พื้นที่แสนปลอดภับโอบกอดมิวเอาไว้แน่นไปถึงความฝัน ชายหนุ่มทิ้งความหวาดระแวงเอาไว้ข้างเตียง และปล่อยความอิสระให้คืนสู่จิตใจ เวลาในกำมือหมดไปอย่างรวดเร็ว จนแอบนึกเสียไม่ได้ว่าสิ่งล้ำค่านี้ไม่เคยเพียงพอในหนึ่งชีวิต… ร่างกายของมิวนั้นฟื้นฟูได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ทั้งความเหนื่อยล้าหรือบาดแผลบนร่างกาย อันที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องนอนเลยด้วยซ้ำหากในตัวมีเมล็ดพันธุ์ปีศาจอยู่ ความรู้สึกเบาสบายจากห้วงนิทราถูกความร้อนตรงท้องทำลาย เด็กหนุ่มกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ ลำตัวบิดงองุ่นง่าน การข่มตาให้หลับกลายเป็นเรื่องยากขึ้นทุกที การโดนร่างกายของตัวเองรังควานสร้างความหงุดหงิดนิดๆ มิวลืมตาตื่นนั่งพิงหัวเตียง ดวงตาแจ่มใสทั้งที่เพิ่งนอนไปได้แค่สองชั่วโมง ด้านล่างของลำตัวร้อนรุ่มอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนบาง ปลายเท้าบิดงอเข้าหากัน ต้นขาหนีบแน่นจนสะโพกเกร็ง อาการวูบวาบแผ่ซ่านจากศูนย์รวมความรู้สึกไปยังเส้นประสาท ดวงตาของมิวหั
เบื้องบนโปรยแสงรำไรออกมาจากมาจากรูโหว่อันดำมืดของท้องฟ้า เช้าวันใหม่นี้แสนอึมครึมไม่สดใส ส่งผลโดยตรงต่อจิตใจให้ขมุกขมัว หัวงมหรรณพแห่งเวลาสงบเสงี่ยมเฉกเช่นหนุ่มน้อยหน้าตาใสซื่อ ปกติท่าทีของอาร์เต้จะกระโดกกระเดกไม่เรียบร้อย บัดนี้กลับสงวนกิริยาขัดจากนิสัยปกติราวกับเป็นอีกคน อาจเพราะเขาถนัดการซ่อนมุมจริงจังเอาไว้เพื่อบดบังตัวตน จึงมีน้อยคนจะเคยได้เห็นอีกด้าน “ที่จริงแล้วพี่เลือกจะโกหกต่อไปก็ได้ แต่พี่ไม่อยากทำ” ชายวัยกลางคนนั่งบนโซฟาที่คุ้นเคย สายตาจับจ้องร่างเด็กกว่าตรงกันข้ามด้วยความสับสน หลังจากพยายามเลี่ยงการเปิดปากตอนอยู่ในรถอยู่นาน เขาก็มาถึงสถานที่เหมาะแก่การคายทุกอย่างออกมา “พี่รู้ว่ามันอาจจะฟังแล้วเหลือเชื่อไปหน่อย แต่พี่ก็อยากให้อาร์ตเปิดใจ” หนุ่มน้อยเอียงคอสงสัย ปกติเป็นเอกเป็นคนขึงขังอยู่แล้ว ยังมีเรื่องอะไรที่ทำให้ผู้จัดการร้านคนนี้หัวเสียได้มากกว่าเดิมอีกเหรอ “ผมเปิดใจให้พี่อยู่แล้ว… พี่รู้ใช่ไหม?” “แต่เรื่องที่พี่จะเล่ามันจะเปลี่ยนความคิดของนายที่มีต่อพี่ไปเลย” นี่คือสิ่งที่อาร์เต้ไม่ชอบ
การโดนสปอยด์ตอนจบไม่น่าอภิรมย์ของพิธีกรรมปีศาจที่ได้ยินจากปากของกามเทพ เป็นสิ่งที่มิวพกติดตัวออกจากห้องคุมขังมาด้วย หากเป็นก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มคงดวงตาเบิกโพลง จิตใจแช่มชื่นเมื่อรู้ว่าตัวเองมีส่วนพัวพันกับเรื่องราวลี้ลับที่น้อยคนจะได้พบเจอ ตอนนี้ทุกอย่างตาลปัตรกลับด้านชวนใจหาย เขาเริ่มหวาดกลัวในสิ่งเหนือธรรมชาติที่ไม่อาจคาดเดาได้ และโทษที่ตัวเองคิดน้อยเกินไป บนถนนที่แออัดไปด้วยรถยนต์อุ่นหนาฝาคั่ง ในห้องโดยสารนั้นกลับอึดอัดมากกว่าข้างนอกนั่นหลายเท่า การหายใจไม่อาจทั่วท้องเมื่อต้องนั่งชิดติดอยู่กับความหงุดหงิด บรรยากาศธรรมดาที่สามารถพบเจอได้ทุกวัน ท้องฟ้าขมุกขมัวสาดไปด้วยแสงของดวงดาว เสียงบีบแตรและไฟท้ายของรถที่สะท้อนเข้าดวงตา ทุกอย่างในการมองเห็นตอนนี้กลับพิเศษเมื่อเด็กหนุ่มขาดหายไปหลายวัน ปกติมิวไม่ค่อยชอบคนขับรถที่ซอกแซกชีวิตส่วนตัวของผู้โดยสาร ยกเว้นวันนี้… เขารู้สึกอยากกดทิปให้หลายร้อยบาทเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณที่ช่วยให้สมองวุ่นวายได้คิดเรื่องอื่นบ้าง คำพูดยาวเหยียดก่นด่าไปทั่ว ตั้งแต่ลม ฟ้า อากาศ รวมไปถึงปัญหาค่าครองชีพถูกยัด
ฝุ่นผงแห่งความอลหม่านถูกพัดปลิวให้จางหาย ถึงต่างฝ่ายจะยังค้างคาต่อกันไม่ว่าจะเป็นฝั่งปีศาจ เทพ หรือมนุษย์ ทว่าการยอมปล่อยให้เชือกที่ถืออยู่หลุดออกจากมือไปก่อน และรอให้คนของตัวเองได้รับการฟื้นฟู เรื่องอื่นยังพอจะรอกันได้ เมื่อบานประตูพังลงมนต์กำกับก็เสื่อมถอยตาม เฉกเช่นโซ่ที่เชื่อมต่อกันไว้อย่างเหนียวแน่น เมื่อมีสักข้อหลุดออกพลังแห่งการพันธนาการก็สิ้นฤทธิ์ ในบรรดาความยุ่งเหยิงทั้งหมดทั้งมวล มีสิ่งหนึ่งที่เอสันเห็นด้วยกับดันเต้ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็คือ เป็นเอกควรเลิกกอดหมอนข้างแล้วทำท่าฟูมฟายเสียที นอกจากมันจะดูตลกในสถานการณ์คับขันแล้ว มันยังไม่ช่วยอะไรเลย ดวงตาแห่งเทพมองเห็นซึ่งความจริงตรงหน้า กลลวงเล็กน้อยจากปีศาจไม่อาจหลบเร้นจากการรู้แจ้งของเอสัน เขามองไปยังร่างของมนุษย์ใกล้ตัวด้วยความสมเพชเจือความขำขัน เพียงการกระดิกและตั้งจิตคิดเล็กน้อย ร่างอ่อนปวกเปียกในอ้อมกอดของเป็นเอกก็คืนกลับไปเป็นหมอนข้างยาวๆ สีหน้าและท่าทางของชายหนุ่มสลับอารมณ์แทบจะในทันที “ไปหาตัวจริงกันเถอะ” คำชักชวนเรียบง่ายจากเอสันดึงความสนใจของเป็นเอก
ตามทางเดินอับชื้นซับซ้อนไร้ซึ่งแสงจากธรรมชาติสาดส่อง สิ่งเดียวที่ทำลายความมืดได้มีเพียงหลอดไฟ มที่ถูกติดอย่างห่างๆ อยู่บนเพดาน ความวังเวงเกาะติดหนึบในทุกเสียงย่ำเท้า ไม่ใช่เพราะนี่เป็นเวลาเลิกงาน แต่เป็นเพราะเส้นทางเหล่านี้เป็นเขตหวงห้าม ผู้คนส่วนใหญ่จึงถูกห้ามไม่ให้เข้ามายุ่มย่ามบริเวณนี้ หัวใจของดันเต้แน่วแน่ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใด แม้ความอึดอัดจะเริ่มคืบคลานไล่ตามหลังเขามาเรื่อยๆ สิ่งเดียวที่ช่วยให้เขามองข้ามความประหวั่นพรั่นพรึงได้หลายได้ คือความมุ่งมั่นต่อภารกิจ ในทุกอย่างก้าวหนักแน่นด้วยการระมัดระวัง ปีศาจคิวบัสเปิดทุกโสตประสาทให้ตื่นรู้ ดวงตาเปล่งประกายสีทองยามถูกเงามืดปกคลุม สิ่งเดียวที่เป็นเอกมีเหนือกว่าคือมันสมองอันชาญฉลาด กระนั้นแค่มนุษย์ก็ไม่อาจทำร้ายปีศาจอย่างดันเต้ได้ ด้วยพละกำลังเหนือกว่าสิบเท่า และเวทมนตร์ลี้ลับในตัว ชายเบื้องหน้าของเขาจึงไม่ถือว่าเป็นตัวอันตราย นอกเสียจากได้รับการช่วยเหลือบางอย่างจากกามเทพ ทางเข้าลับถูกเปิดออก เผยให้เห็นบันไดวนแบบปราสาทยุคกลาง ทุกอย่างข้างล่างนี้ดูแตกต่างจากคุก ทว่ามันกลับถ
หลังจากการเฝ้ามองอมอร์ผ่านสายตามาหลายวันนับตั้งแต่ไม่พบใบหน้าของมิว ต้องตอนนี้และห้องนี้เท่านั้นจึงจะเหมาะสมกับการลงมือที่สุด ดันเต้มั่นใจว่าอีกฝ่ายคงรู้ว่าเขาเทียวไล้เที่ยวขื่ออยู่ละแวกนี้ เพราะอย่างไรเสียคิวปิดก็เป็นเทพระดับสูง อีกอย่างที่นี่ถือเป็นถิ่นลับสำหรับกบดาน เขาเองก็ไม่อยากผลีผลามจนเกินไป ร่างสูงใหญ่ห่อหุ้มด้วยความเงียบงันเฝ้ารอให้กลิ่นหวานน่าสะอิดสะเอียนจางหาย ดันเต้จึงพออนุมานได้ว่าเทพปฏิปักษ์ของเขาจากรังลับนี้ไปแล้ว ไม่ว่าจะด้วยชะล่าใจหรือเหตุผลฉ้อฉลอื่นใดก็ตาม ช่วงเวลานี่จึงเหมาะกับการลงมือที่สุด ส่วนที่ว่าทำไมต้องเป็นห้องพักผ่อนของเหล่าแองเจิ้ล ก็เป็นเพราะดันเต้เคยสำรวจที่นี่มาแล้ว บริเวณนี้ไม่ลึกลับจนเกินไปทว่าก็มีความเป็นส่วนตัวสูง ปีศาจหนุ่มไม่อยากเสี่ยงเปิดเผยตัวตนต่อหน้าคนหมู่มาก หรือเผลอพลั้งมือใช้พลังจนเกินการควบคุมของตัวเอง ทุกอย่างถูกคิดมาอย่างดีเท่าที่สมองทึนทึกของดันเต้จะคิดออก รวมไปถึงการบุ่มบ่ามใช้ความรุนแรงโดยไม่จำเป็นกับอาร์เต้ด้วย มันถูกคาดการณ์เอาไว้โดยคร่าวไว้แล้ว