คล้อยหลังสองนายบ่าว ผมต้องนั่งจับเจ่าอยู่ในห้องกว้างเพียงลำพัง นับรวมแล้วนี่เป็นครั้งที่สองที่ผมถูกลากมาสถิต ณ รังมาเฟียแม้ลูเซียสจะทำตัวเหมือนเป็นแค่นักธุรกิจชาวต่างชาติก็ตาม ช่วงระยะเวลาที่ผมถูกกักตัวอยู่ที่นี่คราวก่อน ผมสำรวจทั่วทุกซอกทุกมุม ไม่มีโอกาสให้หนีเลยแม้แต่น้อย ในหนังในละครเขาพากันไปติดเกาะ ผมนี่ติดตึกไม่มีระเบียง มีแต่ทางเดินออกไปยังสระว่ายน้ำส่วนตัว
หนทางเดียวที่จะหนีได้คือ กระโดดลงตึกแม่งตรงสระว่ายน้ำนั่นแหละ ซึ่งผมยังไม่คิดสั้นขนาดนั้น ในเมื่อไม่มีทางหนี ขอนั่งถอนหายใจผลาญพลังงานชีวิตเล่นอยู่เฉยๆ ดีกว่า เอาไว้ฟื้นกำลังเต็มที่เมื่อไหร่ค่อยคิดอีกทีว่าจะเอาไงต่อ
ลูเซียสไม่ได้บอกซะด้วยสิว่าจะกักตัวผมกี่วัน ให้ตาย ผมจะเรียนจบมั้ยเนี่ยคิดแล้วเครียด จะปรึกษาใครก็ไม่ได้ ให้ใครช่วยก็ไม่ได้อีก ต้องลองกล่อมเจ้าของตึกดู หวังว่าลูเซียสจะมีเหตุผลมากพอ...มั้ง
ผ่านไปไม่ถึงชั่วโมง เชฟประจำตัวลูเซียส เดฟเข็นรถอาหารเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเช่นเคย เห็นประตูเปิดออกมีการ์ดสองคนยืนเฝ้าอยู่โคตรตัดทางหนี ผมเลื้อยลงจากเตียงหยิบเสื้อคลุมอาบน้ำมาสวมไว้ แล้วเดินเป็นคุณชายมานั่งเก้าอี้รอเดฟจัดโต๊ะให้ด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
“กินอะไรสักหน่อยนะครับคุณมิทรี่จะได้ทานยาหลังอาหาร ถ้ามีอะไรต้องการเป็นพิเศษบอกผมหรือการ์ดหน้าห้องได้เลย”
เสียงนุ่มนวลจากหนุ่มหล่อไม่ทำให้ผมรู้สึกดี แต่ยังไม่ใช่สเปก...โอเค เลิกมองแบบนั้น สเปกผมเป็นแบบลูเซียสพอใจยัง ตัวสูงใหญ่ กำลังเหลือเฟือ อายุมากกว่า พึ่งพาได้ ฐานะดี แฝงความอันตรายให้ท้าทาย แล้วยังไง ชอบก็ส่วนชอบ แต่เขาไม่น่าข้องเกี่ยวด้วย ผมไม่ได้ตัวคนเดียว ยังมีหน้าที่อันหนักอึ้งอยู่บนบ่า ต่อให้ตายก็ทิ้งไม่ได้ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม
ดังนั้นกับคนอันตรายอย่างลูเซียส ผมควรอยู่ให้ห่างหากยังอยากมีชีวิตยืนยาวต่อไป จริงสิ รอบก่อนถูกปล่อยตัวก่อนจะลองขอให้เดฟช่วย ถือโอกาสเอาความคิดนั้นมาใช้ตอนนี้เลยแล้วกัน
“เดฟ คุณช่วยผมออกจากที่นี่ได้รึเปล่า ผมเป็นเด็กมหา’ลัยยังต้องเรียน ไม่สามารถมาอยู่ไปวันๆ แบบนี้ได้” ผมเข้าเรื่องพูดไปตรงๆ ไม่หวังว่าอีกฝ่ายจะช่วยเหลือ ถึงจะมีความคิดว่าต่อให้ดีแค่ไหนก็ยังเป็นคนของลูเซียสอยู่ดี แต่อยากลองเท่าที่ตัวเองทำได้
“ผมก็อยากช่วยคุณนะ แต่ผมขัดคำสั่งบอสไม่ได้จริงๆ” น้ำเสียงจริงใจกับสีหน้าเห็นอกเห็นใจไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ ไม่ได้เกลียดคนที่มองผมด้วยความสงสาร สมเพช หรือดูถูก คนพวกนั้นไม่มีอิทธิพลสำหรับผมอยู่แล้ว ในเมื่อสิ่งที่ช่วยผมได้มีเพียงเงินเท่านั้น ผมเลยเลือกที่จะเงียบ ไม่พูดอะไรต่ออีก เวลานี้ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งแกล้งทำตัวให้ดูร่าเริง ชวนคุยแบบพวกบ้าที่มีมนุษยสัมพันธ์ดี ผมอยากอยู่เงียบๆ รอโอกาส...
จนกระทั่งผมกลับมาอยู่คนเดียวอีกครั้ง เดฟเข็นรถอาหารออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ ผมอาบน้ำ ทำความสะอาดร่างกาย เปิดทีวีดูฆ่าเวลาเพราะมือถือถูกยึดไปตั้งแต่เมื่อคืน หูได้ยินเสียงทีวีที่จับใจความไม่ได้ ดวงตาจ้องมองแต่เหม่อไปถึงไหนไม่ทราบ
และในที่สุด โอกาสที่ผมรอคอยก็มาถึง...
“เปิดทีวีโดยไม่สนใจแบบนั้นมันเปลืองไฟไม่รู้เหรอ” รูปประโยคคล้ายจะดุ แต่น้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ ผมแหงนคอจากโซฟามองชายร่างสูงโปร่งในชุดสูทเรียบกริบเดินโดยไร้เสียงมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้า นี่ถ้าเขาไม่ส่งเสียงทัก ผมคงไม่รู้สึกตัวจนกระทั่งอีกฝ่ายเข้ามาประชิดตัวแน่
“ค่าไฟพวกคุณจ่าย ไม่เกี่ยวกับผมนี่” ผมตอบพลางยักไหล่ ขยับมานั่งหลังตรงในชุดเสื้อคลุม โดยมีร่างสูงใหญ่ทิ้งตัวนั่งฝั่งตรงข้าม ”มาเร็วกว่าที่คิด นึกว่าจะมาตอนเย็นๆ ซะอีก คุณไนท์” พูดไปเหมือนรู้ดี ความจริงไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายจะมาคุยเป็นการส่วนตัว ถามว่าผมเดาได้ยังไงน่ะเหรอ
จากที่ได้ฟังและสังเกตมา ไนท์เป็นมือขวาของลูเซียส ควบตำแหน่งเลขามีอำนาจเป็นรองแค่เพียงลูเซียสคนเดียวเท่านั้น เขาดูไม่ค่อยพอใจตั้งแต่แรกที่เจ้ามาเฟียนั่นหิ้วผมมานอนกก ครั้งเดียวก็เกินพอ นี่ยังมีรอบสองแถมยังตั้งท่าจะจับผมเป็นอีหนูส่วนตัวจนกว่าจะเบื่อด้วย
ในฐานะมือขวาคงไม่ต้องการให้ผมซึ่งไม่รู้หัวนอนปลายเท้ามาอยู่ใกล้บอสคนสำคัญ คงคาดเดาไปต่างๆ นานา ว่าผมอาจจะเป็นสายให้กับแก๊งอื่น ไม่ก็สายจากคู่แข่งทางธุรกิจ แม้ผมจะไม่รู้ว่ามีธุรกิจอะไรบ้างก็เถอะ
“ฉลาดดีนี่ ฉลาดแบบที่ไม่น่ามาทำตัวแบบนี้ น่าเสียดาย...”
ผมเมินกับวาจาดูถูกจากอีกฝ่าย
“มีอะไรพูดมาตรงๆ เลยดีกว่า ผมไม่มีสิทธิ์อะไรอยู่แล้ว จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด ถ้าบอสของคุณยอมปล่อยละก็นะ” ท้ายเสียงแฝงความหงุดหงิดจนคนฟังต้องเลิกคิ้วมอง
“นายดูไม่อยากเป็นเด็กลูเซียส? ทั้งที่ได้อยู่แบบสบาย มีเงินใช้จ่ายตามใจชอบ เด็กแบบนายน่าจะชอบนี่”
“ผมไม่ปฏิเสธว่ามันสบาย แต่ผมยังอยากมีอนาคต ยังต้องเรียนหนังสือ ที่สำคัญ ผมอยากมีอายุยืนยาว” ไม่ต้องอธิบายขยายความประโยคสุดท้าย ของแบบนี้รู้กันดี ชีวิตมาเฟียแขวนอยู่บนเส้นด้าย มีแต่คนจ้องจะฆ่า ถ้าผมมาเป็นอีหนูให้ ไม่รู้วันไหนจะเบื่อแล้วส่งต่อให้คนอื่นจนชีวิตมันบัดซบมากไปกว่านี้ หรืออาจจะซวยโดนลูกหลงตายเข้าสักวัน กับอีแค่เด็กไซด์ไลน์ เขาไม่เจียดเวลา ลดตัวเองมาปกป้องคุ้มครองหรอก ผมรู้ตัวเองดี ความสบายเพียงชั่วครั้งชั่วคราวกับชีวิตที่ต้องจบลงเพียงเสี้ยววิ ผมไม่เอาดีกว่า
ที่ผมเลือกบอกไปตามตรงเพราะไนท์แสดงออกชัดเจนว่าไม่ต้องการให้ผมอยู่กับลูเซียส ซึ่งมันตรงใจผมพอดี ผมอยากจะเผ่นหนีไปให้ไกลๆ เหมือนกัน อีกอย่างลางสังหรณ์ของผมมันบอกว่า กับคนแบบไนท์ห้ามโกหกเด็ดขาด นอกจากจะไม่ช่วยอะไรแล้วอาจทำให้ตัวเองซวยกว่าเดิม
ต่างฝ่ายต่างจ้องตากันนิ่ง คนมากประสบการณ์มองออกอย่างง่ายดายว่าเด็กตรงหน้าต้องการอะไร ส่วนคนถูกมองจนทะลุปรุโปร่งกลับยืดอกรับไม่หวั่นเกรง มุมปากมือขวามาเฟียยกยิ้ม น่าเสียดายจริงๆ นั่นแหละเด็กคนนี้
“ฉันจะให้เงินตามที่ลูเซียสตกลงไว้กับเธอและจะเปิดโอกาสให้เธอหนีออกไปจากที่นี่ซะ พยายามทำยังไงก็ได้ให้ห่างไกลพวกเรามากที่สุด ถ้ายังอยากจะใช้ชีวิตกับโลกภายนอกต่อไป” มือใหญ่ของไนท์ล้วงหยิบธนบัตรปึกหนึ่งมาวางไว้เบื้องหน้า แต่ยังไม่เลื่อนส่งให้ผมทันที
“ขอบอกไว้ก่อน ฉันปล่อยนายไปได้แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น หากเจอกันคราวหน้า ฉันต้องทำตามคำสั่งของเจ้านั่นแม้ว่าจะไม่ชอบใจก็ตาม หวังว่าที่ยังพูดไปเธอคงเข้าใจนะ”
“อืม จะพยายามหนีให้รอดแล้วกัน” ตอบแบบไม่มั่นใจนัก เด็กไซด์ไลน์ธรรมดาคนหนึ่งจะเอาอะไรไปงัดข้อกับมาเฟียตัวเอ้กัน ไนท์พยักหน้ารับปล่อยมือจากธนบัตร ผมหยิบมาพร้อมกับเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับชุดเดิม เห็นไนท์ยืนคุยมือถือเป็นภาษารัสเซียอยู่ตรงทีวีที่ถูกปิดไปแล้วเรียบร้อย ฟังคร่าวๆ น่าจะคุยกับลูเซียส เจ้าตัวคงขอปลีกตัวมาชั่วครู่ไม่นานคงกลับไปหาเจ้านายตามเดิม
ผมไม่สนใจเดินออกมานอกห้อง มองซ้ายมองขวาไร้เงาของการ์ด ผมเม้มปากกัดฟันฝืนเดินให้ดูเป็นมนุษย์ปกติมากที่สุด ความเจ็บแสบคัดยอกยังมีอยู่เต็มเปี่ยมแม้ว่าจะทานยาไปแล้วก็ตาม คิดว่าการรองรับลูเซียสทั้งคืนมันเป็นเรื่องง่ายหรือไง ส่วนนั้นขนาดชาวต่างชาตินะ ไม่พอยังจะมีตัวเสริมเป็น....ไอ้นั่นแหละ ไอ้ห้าเม็ดนั่นไง
โชคยังดีที่สกิลการเดินเป็นเต่าแต่ตลอดทางยังคงราบรื่นไร้คนรบกวน ไนท์จัดการได้สุดยอดจริงๆ สมแล้วที่เป็นมือขวา ผมลากสังขารโบกรถแท็กซี่แวะไปทำธุระก่อนกลับห้องพักซอมซ่อของตัวเอง คิดทบทวนตลอดทางว่าจะหนีลูเซียสยังไงดี อันดับแรกคงต้องย้ายที่อยู่ กับเปลี่ยนสถานที่ทำมาหากินก่อนสินะ รู้สึกว่าทางนั้นจะสืบประวัติมาหมดแล้วว่าผมชอบไปสถิต ทำงานตกเหยื่อที่ไหนบ้าง
พอถึงห้องพัก นรกก็ถามหา เมื่อมีชายวัยกลางคนสวมเสื้อผ้ามอซอ หลังงอใบหน้ารกไปด้วยหนวดเคราไม่น่ามองกำลังยืนกอดอกอยู่หน้าห้องผม อย่างที่รู้ว่าห้องผมมันเป็นแบบราคาถูก ไม่มีหรอกคีย์กงคีย์การ์ดหรือยามใต้หอ ทำให้ชายน่ารังเกียจคนนี้บุกมาหาผมได้ถึงที่
ผมกำลังจะหมุนตัวเดินกลับไม่อยากเจอหน้า อีกฝ่ายดันตาไว รีบจ้ำอ้าวมาคว้าแขนผมไว้
“หันหลังหนีให้พ่อตัวเองแบบนี้หมายความว่าไงไอ้ลูกชาย” กลิ่นเหล้ามาจากลมหายใจ เปิดปากพูดแต่ละคำ ผมแทบอยากเอามีดแทงให้ตายคาที่ รอหาวิธีฆ่าแบบไม่เหลือร่องรอยก่อน จะลากไปเชือดหมกป่าเลยคอยดู
“เดี๋ยวนี้ฉลาดทำงานแล้วนี่หว่า ทีแรกทำเป็นเล่นตัว กูอุตส่าห์หาหนทางทำเงินให้ สุดท้ายเป็นไง ก็ต้องใช้วิธีนี้อยู่ดี รายได้ไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะ”
ผมกัดปากจนเลือดซิบ สูดลมหายใจลึกเก็บความรู้สึกของตัวเองให้มิด พ่อสารเลวที่จะจับลูกชายอายุสิบห้าขายให้ซ่องยังมีหน้ามาพูดอีกเหรอ ที่กูทำงานเหี้ยๆ อย่างทุกวันนี้ไม่ใช่เพราะมึงเลย มันเพราะตัวกูเองและใครอีกคนต่างหาก ผมสะบัดแขนออกจากการจับเห็นนาฬิกาคุ้นเคยโผล่มาจากกระเป๋าเสื้อของชายที่เรียกตัวเองว่าพ่อ ดวงตาหันขวับไปมองห้องตัวเองทันที กุญแจกองอยู่บนพื้น ตัวล็อกถูกงัดแบบเห็นได้ชัด เชี่ยเอ๊ย!
“นี่มึงงัดห้องกูเหรอ!”
“เออสิวะ! ถ้ากูไม่งัดจะรู้มั้ยว่าลูกกูมีเงินขนาดนี้ หัดสำนึกที่กูให้มึงเกิดมาบ้าง มีเงินสดอีกเท่าไหร่ เอาออกมาให้หมด”
“เรื่องสิวะ นี่มันค่าเทอมกู ทำไมต้องให้มึงเอาเป็นเล่นพนันแดกเหล้าด้วย”
ฝ่าเท้ายันผมจนเกือบหงายหลังกระแทกกับพื้น น้ำหนักเท้าลงแบบไม่เกรงใจ จุกจนตัวงอ มือสกปรกล้วงหยิบเอาเงินสดในตัวผมไปหน้าตาเฉย
“ให้ง่ายๆ ก็จบแล้ว หาเรื่องเจ็บตัว!! มึงต้องขอบคุณพ่ออย่างกูนะ ที่เว้นไม่ทำอะไรใบหน้าของมึง เห็นแก่ว่ามึงต้องใช้มันหากิน” เสียงหัวเราะน่าสะอิดสะเอียนเบาลงพร้อมกับชายที่เดินลงบันไดหายไป ผมยันตัวลุกขึ้น ร้าวระบมไปทั่วร่างหนักกว่าเดิมอีก ท้องผมต้องช้ำเป็นดวงแหง ผมใช้แทนเท้ากำแพงเพื่อพยุงตัวขึ้นกลับห้อง ทันทีที่เปิดออก ผมฟาดหมัดกับกำแพงเสียงดังทึบความเจ็บกับเลือดที่ไหลออกมาไม่ทำให้อารมณ์ขุ่นมัวดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย
ห้องของผมถูกรื้อกระจุยกระจาย ขนาดที่ว่าโจรย่องเบาเป็นอาชีพมันยังมีมารยาทมากกว่า คำนวณจากสายตาของมีค่าที่พอขายได้ทุกอย่างถูกเอาไปหมดเกลี้ยง โชคดีผมระวังตัวมากพอไม่เก็บเงินสดไว้ที่ห้องรวมถึงเงินที่ได้มาจากไนท์ด้วย
ผมเอาไปฝากธนาคารก่อนกลับ พกแค่เงินสดไม่กี่ร้อยติดตัว เห็นทีเรียนพรุ่งนี้ต้องขอยืมใครสักคนแล้วค่อยคืนที่หลัง เรื่องห้องพักอีก ผมรู้จักคนเยอะหาห้องใหม่ไม่ยากเท่าไหร่ หยิบมือถือโทรไปถามไม่ถึงสามคนก็ได้ที่อยู่แล้ว แต่คืนนี้ต้องทนนอนไปก่อน พรุ่งนี้แค่บอกปากเปล่าขนเสื้อผ้าแล้วชิ่งเป็นอันจบ ไม่ต้องจ่ายค่ากลอนประตูกับลูกบิด เรื่องเงินค่าเช่าค่าน้ำค่าไฟเดือนนี้ผมจ่ายไปเรียบร้อยแล้วด้วย
ผมพาร่างโทรมๆ นอนบนเตียงยับๆ เมื่อไหร่ชีวิตผมจะดีขึ้นสักที จะมีวันนั้นไหมนะหรือต้องรอจนกระทั่งตายกัน...
“เหี้ย!!” คำอุทานติดปากของเพื่อนควบตำแหน่งพ่อขี้บ่นประจำกลุ่มดังลั่นโรงอาหารทันที หลังเห็นผมเดินยิ้มยักคิ้วหลิ่วตาให้คนนู้นคนนี้จนมาถึงโต๊ะ
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมเจ้าพ่อแห่งความงามถึงปล่อยตัวเองโทรมได้” ริวพูดหน้าตื่นฉุดให้ผมนั่งลง มองสำรวจราวกับผมบาดเจ็บปางตาย แค่ใต้ตาคล้ำเป็นหมีแพนด้า หน้าซีดเล็กน้อย เดินตัวงอขาถ่างอีกนิดหน่อย ทรงผม เอ่อ...ผมเซตมาแล้วนะ แต่ระบมท้องยกแขนไม่สะดวกเลยจัดมาแบบเร่งรีบมาดเซอร์กันไป ข้อมือไม่มีนาฬิกาโลเลตเหมือนเคย ตัวไม่มีกลิ่นน้ำหอม คิดดูดิ ขนาดน้ำหอมที่เหลืออยู่ก้นขวดยังขโมยไปขายอะผู้ชายคนนั้น เพลียจิต
“กูว่ามึงไปห้องพยาบาลเถอะ ไม่สิ หาหมอเลยดีกว่า”
ซันมองสำรวจตัวผมขึ้นลง ถือวิสาสะถลกเสื้อนศ.ผมขึ้นจนเป็นรอยช้ำเขียวม่วงเป็นวงตรงท้อง
มันคงเห็นผมเดินตัวงอเป็นกุ้งเลยลองเปิดดู แล้วพากันทำหน้าเครียด จังหวะเดียวกับที่ริวจับมือผมที่พันผ้าพันแผลไว้ ผลจากการระบายอารมณ์กับกำแพงอย่างโง่เง่า นึกได้ตอนนี้รู้สึกไร้สาระมาก แต่อารมณ์ในตอนนั้นผมต้องหาที่ระบายความอัดอั้นจริงๆ ไม่งั้นได้บึ่งไปฆ่าพ่อตัวเองแน่
“ถามจริง เกิดอะไรขึ้นกับมึงกันแน่ ช่วงนี้ไม่ค่อยมามหา’ลัยด้วย ปกติต่อให้มึงชอบหายหัวแค่ไหนก็ไม่โดดเรียนนี่หว่า” ริวถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ เพราะผมชอบมีความลับกับมัน ยิ่งซันไม่ต้องพูดถึง แผ่รังสีทะมึนออกมาแล้ว ผมยกมือสองข้างแบบยอมแพ้ แล้วยอมเล่าเรื่องให้ฟังแบบเสริมเติมแต่งตามยถากรรม
“จำได้ใช่มะว่ากูทำงานเสิร์ฟเหล้าตอนกลางคืน พอดีลูกค้าเมาต่อยกันกูเข้าไปห้าม เลยเป็นอย่างที่เห็น พอกลับห้องก็ถูกโจรงัด ของมีค่ากูหายเรียบ เหลือแค่ตัวและหัวใจมาเรียนเนี่ย”
ริวทำหน้าแบบไม่เชื่อ ส่วนซันมันซื่อบื้อพยักหน้ารับทั้งที่ยังหงุดหงิด ผมชะงักเมื่อนึกอะไรบางอย่างออก เดี๋ยวนะ ผมจำไม่ได้ว่าตัวเองเคยเล่าให้ซันฟังนี่หว่าเรื่องทำงานร้านเหล้าทำไมมันรู้แล้วไม่ยักเดือดแบบที่ควรเป็น ผมหันขวับไปทางริวทันที ซันมองพวกเราสลับกันอย่างงงๆ
เพื่อนญี่ปุ่นตอนแรกยังไม่รู้ว่าผมต้องการจะสื่ออะไรผ่านทางสายตาร้อนแรง ไม่กี่วิต่อมามันนึกออกแทบยกมือไหว้ผมท่วมหัว
“ขอโทษว่ะมึง ไอ้ซันมันเค้นคอกูให้บอก” พูดถึงตรงนี้ ซันกระจ่างหันมาแยกเขี้ยวใส่ผม ไม่ติดว่าผมเจ็บตัวอยู่มันคงยกเท้าถีบตกเก้าอี้ระบายความโมโห
“มึงแม่งไม่ยอมบอกอะไรกูเลย กูรู้ว่าตัวเองอารมณ์ร้อน แต่ไอ้ริวกับวามันช่วยกันกล่อมกูจนยอมรับงานมึงได้แล้ว อยากทำงานหาเลี้ยงตัวเองก็ทำไป แต่ถ้าขาดเงินจริงๆ อย่าคิดอะไรโง่ๆ มายืมพวกกูนะจำไว้” ซันชี้หน้าผมนิ้วแทบจิ้มตา ผมยิ้มแห้งดันมือมันกลับไป ลอบผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกที่มันเข้าใจข้ออ้างลวงๆ ของผม นี่ถ้าพวกมันรู้ความจริงว่าผมทำงานอะไรกันแน่ มันคงรวมหัวกันสามตัวบีบให้ผมยอมรับการช่วยเหลือจากพวกมันชัวร์
“โอเคครับพ่อ ตกลงครับท่านซัน ข้าน้อยจะทำตามที่ท่านสั่ง” ผมยิ้มยอมรับปากง่ายๆ ในใจไม่คิดจะทำตามเด็ดขาด นี่แหละโฉมหน้าที่แท้จริงของผม ผมสามารถปรับตัวไปตามสภาพแวดล้อม เข้าหาทุกคนได้อย่างง่ายดายเพราะผมมองคนออกว่าแต่ละคนนิสัยยังไง แบบไหนถึงจะโอเค จะบอกว่าหาความจริงใจไม่ได้ ผมไม่ปฏิเสธ แต่ผมเห็นพวกมันเป็นเพื่อนจริงๆ เลยไม่อยากดึงเข้ามาอยู่ในวังวนอันเน่าเฟะของผม
ยิ่งล่าสุดมีเหตุกับมาเฟีย พวกมันวัยเรียน ต่อให้ที่บ้านมีอิทธิพลแค่ไหนก็สู้ลูกตะกั่วจากกระบอกปืนไม่ได้หรอก
“แล้วไมมึงโทรมงี้วะ ปกติไม่เคยปล่อยตัวเองนี่” เพื่อนริวถามด้วยความเป็นห่วง พวกมันลืมเรื่องที่จะพาผมไปโรงบาลแล้วสินะ ดีแล้ว ถ้าเกิดไปหมอตรวจรู้ว่าผมทำงานอะไรเดี๋ยวซวยกันทั้งบาง
“ช่วงนี้คนทำงานมันขาด กูเลยรับบทหนักแถมยังเจ็บตัวโดนโจรขึ้นห้องอีก ไม่เหลืออะไรให้กูแต่งหล่อเลย เซ็งมาก เรตติ้งกูตก กูจะสาปแช่งให้ไอ้โจรมันไม่ได้ผุดได้เกิดตลอดกาล” คำพูดทีเล่นทีจริงโกหกทุกประโยค มีเพียงประโยคสุดท้ายที่มาจากใจ อยากให้เกิดขึ้นใจจะขาด จะได้หมดทุกข์หมดโศก พ้นกันสักทีเวรกรรมชาตินี้
“ปากดี มึงแน่ใจนะว่าไม่ได้มีปัญหาหรือกำลังหนีใครอยู่ถึงไม่มาเรียน” ซันจี้ต่อไม่ปล่อยให้ผมหนี สองหน่อเล่นขยับมานั่งประกบซ้ายขวา
“ไอ้ปัญหามันก็มี เรื่องหนีก็ใช่ หนีหลบอริที่เผลอไปมีเรื่องด้วยตอนทำงานน่ะ”
สองสหายพากันถอนหายใจเฮือกใหญ่ ปอดแทบหลุดออกมากองบนโต๊ะ ผมกอดคอพวกมันด้วยรอยยิ้มเบิกบานราวกับว่าโลกทั้งโลกกูไม่มีความทุกข์เลยแม้แต่เศษเสี้ยว
“อย่าห่วงเลยพวกมึง กูจัดการได้ นี่ย้ายห้องแล้วด้วย” ผมบอกที่อยู่ใหม่ให้พวกมันไป มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าริวกับซันไม่เอาที่อยู่ของผมให้ใครสุ่มสี่สุ่มห้าแน่
หลังไขข้อข้องใจจบก็แยกย้ายกันไปเรียน ผมกลับมาใช้ชีวิตตามปกติที่ไม่ปกติเลยสักนิด เวลามีเรียนผมเข้าไม่เคยขาด ขยันจีบอาจารย์ จีบหนุ่มสาวเรียนเก่งเพื่อฝากฝังตัวเองเวลาทำงานกลุ่ม งานเดี่ยวไม่สะดวกทำที่ห้องผมก็ไปขลุกทำบ้านไอ้ริว ริวมันไม่ได้อยู่หอแบบพวกผม บ้านมันใกล้เลยไปกลับเอา
ตกกลางคืนกลายร่างเป็นผีเสื้อราตรีออกหากิน พอเล่าเรื่องที่ตัวเองโดนโจรขึ้นห้องนิดหน่อย เหล่าคู่นอนแข่งกันซื้อของเอาใจจนตอนนี้ผมมีของทุกอย่างพร้อมใช้ยิ่งกว่าก่อนที่จะโดนขโมยซะอีก
โล่งอกได้ไม่นาน ผ่านไปสองอาทิตย์กว่า เจ้ากรรมนายเวรของผมเริ่มแสดงอภินิหารอีกครั้ง...
ไม่ว่าผมจะไปร้านไหนก็ถูกพนักงานไม่ก็เจ้าของร้านปฏิเสธเรื่องการหาแขกหมด ถ้ามานั่งเล่นนั่งดื่มละก็ได้ ขนาดไปหาเอานอกสถานที่ก็เหมือนมีมือดีอุ้มเอาแขกหายเกลี้ยงไปจากผม ผมไม่มีรายได้มาหลายวันแล้ว เงินที่ได้มาโอนไปให้คนสำคัญ เหลือเพียงส่วนน้อยสำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวันซึ่งมันร่อยหรอลงทุกที
หนักกว่านั้นคือ มีพวกที่คิดว่าน่าจะเป็นคนของลูเซียสคอยจับตาดูผมตลอด พยายามหาจังหวะจับตัวผมให้ได้ ผมต้องคอยหลอกล่อสลัดหนีหลายต่อหลายครั้ง เนียนไปค้างบ้านเพื่อนทั้งเพื่อนสนิทอย่างริว จนไปถึงเพื่อนเที่ยวกลางคืนหลายคนเพื่อไม่ให้พวกนั้นรู้ว่าที่พักจริงๆ ของผมอยู่ไหน
ผมทั้งเหนื่อย ทั้งเพลีย เริ่มเครียดหนักกับแรงกดดัน ลูเซียสส่งข้อความเข้าโทรศัพท์ทุกครั้ง รวมถึงโทรมากวนเป็นประจำเรื่องที่จะให้ผมเป็นเด็กของเขา ยังดีที่อย่างน้อยแถวมหา’ลัยไม่มีคนของลูเซียสมากวน น่าจะเป็นผลงานของไนท์ ไม่รู้ว่าจะโดนอะไรรึเปล่าตอนปล่อยผมออกมาคราวก่อน ช่างมันแล้วกัน ชีวิตตัวเองยังเอาไม่รอด
ร่างสูงเพรียวกำลังนั่งถอนหายใจทิ้งตรงข้างถังขยะในซอกตึกสถานเริงรมย์ เห็นชายหลายคนวิ่งผ่านไป คงต้องหลบอยู่ตรงนี้สักหนึ่งชั่วโมง รอพวกนั้นไปก่อนค่อยกลับห้องไปพัก
เสียงกรอบแกรบจากการเหยียบถุงขยะแบบจงใจให้ได้ยิน ดึงดูดความสนใจผมได้ชะงัก หันไปมองเห็นรองเท้าหนังอย่างดีที่ไม่ควรมาอยู่แถวนี้ กางเกงยี่ห้อดัง เลื่อนขึ้นจนถึงเสื้อสูทเนี้ยบคุ้นตา ถัดจากคอไปเป็นใบหน้าที่คุ้นเคย ให้ตาย...ผมอยากเอาหัวโขกถังขยะตาย
“สนใจเก็บสัตว์โลกตัวน้อยไปเอ็นดูสักคืนมั้ย คิดไม่แพง คนกันเอง” หยอกเย้าทั้งที่น้ำเสียงเบื่อหน่าย และแล้วรองบอสก็มา หวังว่าลาสบอสจะไม่ออกมาด้วยนะ
“ลูกจิ้งจอกจรจัดแบบนี้ฉันไม่สนใจหรอก...ฝีมือใช้ได้นี่ สลัดเจ้าพวกนั้นหลุดเป็นว่าเล่น”
“แต่สลัดนายไม่ได้มันก็ไร้ประโยชน์ มาทำไม ไหนบอกจะช่วยไง” ดวงตาคมสวยตวัดมองแบบเอาเรื่อง มือขวามาเฟียหัวเราะในลำคอ ท่าทีอ่อนลงจากที่เจอกันครั้งล่าสุด สายตาทอดมองเด็กหนุ่มยันตัวลุกขึ้นปัดเนื้อปัดตัวประจันหน้า
“เพราะนายร้ายถึงขนาดที่ลูเซียสต้องสั่งฉันให้มาล่าด้วยตัวเอง” พูดอย่างกับมาไล่จับหมาแมวสักตัว “เรื่องช่วยคิดว่าเราตกลงกันไปแล้วนะ ฉันช่วยนายแค่ครั้งเดียว หลังจากนั้นต้องทำตามคำสั่งเจ้านายไม่น่าเคารพ”
“ไม่น่าเคารพขนาดนั้น สนใจมาเคารพผมแทนมั้ย” ผมประชด
“นายจ่ายไม่ไหวหรอก” หนุ่มต่างชาติเหยียดรอยยิ้มปรายตามองจนผมเซ็ง เงินติดตัวผมมีอยู่ยี่สิบ คิดจะให้จ้างมาเฟียระดับรองหัวหน้าเรอะ
“ฉันสืบเรื่องของนายทุกอย่างแล้ว ความจริงนายก็ไม่ใช่เด็กแย่อะไร ออกจะเป็นเด็กดีด้วยซ้ำ”
ประโยคชวนคุยราวกับพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ หากความหมายมันทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าผมเลือนหายไปช้าๆ จนเหลือเพียงสีหน้าเรียบเฉย ดวงตาวาววับ กำมือแน่น
ไนท์ที่เฝ้ามองปฏิกิริยาเด็กหนุ่มมาตั้งแต่แรก ย่อมมองออกว่าตัวเองได้ไปสะกิดสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการฝังให้มิดที่สุดซะแล้ว
“ต้องการอะไร เซ็กส์?” เค้นเสียงในลำคอเย็นชา ผู้อาวุโสกว่าไม่ถือโทษโกรธกับท่าทางก้าวร้าว
“ฉันไม่มีรสนิยมแบบลูเซียส เห็นแบบนี้ฉันเป็นตำรวจมาก่อนนะ เห็นเด็กอย่างเธอมาก็เยอะ...” ไม่รอให้อีกฝ่ายพูดต่อ
ผมรีบพูดดักทันที “เดี๋ยว!” ดวงตาสอดส่องมองหาอะไรที่พอจะใช้เป็นอาวุธได้ ลองอีกฝ่ายพูดเรื่องนั้นออกมาแม้แต่คำเดียวสิ ต่อให้ลงมือฆ่าคนผมก็จะทำ
“อดีตแล้วไง ตอนนี้นายเป็นมาเฟียที่กำลังจะจับฉันไปเป็นสัตว์เลี้ยงของเจ้านายตัวเอง ทำไม นึกอิจฉาเหรอที่ลูเซียสไม่สนใจ เห็นนายเป็นเดือดเป็นร้อนแทนขนาดนั้น รักหมอนั้นล่ะสิ”
พริบตาเดียวหลังจบประโยค ไม่ทันหยิบอะไรมาเป็นอาวุธ ร่างสูงกำยำตรงหน้าโผล่มายืนระยะประชิด มือแกร่งล็อกคอผมกระแทกกับกำแพง เจ็บร้าวไปทั้งแผ่นหลัง ส่วนลำคอไม่เจ็บเลยแม้แต่น้อยมีเพียงความอึดอัดเท่านั้น นับว่าอีกฝ่ายออมมือให้พอสมควร ไม่งั้นคอคงหักในชั่วพริบตา
“อย่าปากดีไอ้หนู พวกฉันไม่ใช่นักเลงสวะอย่างที่นายเคยเจอ การฆ่าคนน่ะ มันง่ายยิ่งกว่าบี้มดซะอีก ในเมื่อพยศนักก็อยู่แบบนี้แล้วกางหูฟังเงียบๆ แล้วกัน”
ผมกลืนน้ำลายอย่าฝืนคอ กับน้ำเสียงเย็นเยือก สิ่งที่ไนท์พูดมาไม่ผิดเลยสักนิด จากที่ไม่เคยกลัวอะไร เมื่อถึงเวลาถูกคุกคามอย่างหนักย่อมต้องกลัวเป็นธรรมดา ผมพยายามข่มความรู้สึกนั้นไว้ สำหรับอีกฝ่ายที่มองออกทุกอย่างมันช่างไร้ประโยชน์
“นิ่งแล้วสิ เอาเถอะ ฉันก็ไม่อยากจะกดดันนายไปมากกว่านี้ แค่เรื่องที่เป็นอยู่คงมากพอจนแทบจะฆ่าตัวตาย” งั้นก็ปล่อยมือจากคอกูสิโว้ยบักห่านี่
ไนท์ไม่สนดวงตาที่จ้องเขม็ง เปิดปากเล่าประวัติอีกฝ่ายอย่างละเอียดตั้งแต่เล็กจนโต ยิ่งมันพร่ำพรูออกจากปากไนท์มากเท่าไหร่ ใบหน้าของคนฟังยิ่งบิดเบี้ยวจนดูไม่ได้ ประวัติเด็กชายคนหนึ่งผู้โชคร้าย
ขายาวยกหมายจะยันคนล็อกคอให้ถอยออกไปและเลิกพล่ามอะไรบ้าๆ ออกมา อนิจจาประสบการณ์ชีวิตมันต่างกัน ไนท์สามารถกันได้อย่างง่ายได้ ออกแรงล็อกคอจนคนดิ้นขัดขืนนิ่งไปอีกรอบ
“แสดงอาการขนาดนี้ถือเป็นเครื่องพิสูจน์อย่างดีว่าทุกสิ่งที่ฉันพูดเป็นเรื่องจริง ว่ายังไง เด็กน้อยผู้น่าสงสาร ต้องขายตัวเองเพื่อส่งเงินให้แม่รักษาตัวที่บ้านเกิด…”
“บ้าเอ๊ย!! มึงต้องการอะไรจากกูกันแน่ฮะ” เครียดจนสมองแทบระเบิด ปวดหัว อยากร้องไห้ อยาก...
“อย่าคิดจะฆ่าตัวตาย บอกแล้วไง ฉันเคยเป็นตำรวจมาก่อน เจอเด็กแบบเธอมาเยอะ ฉันมีข้อเสนอให้เธอ”
“ขอล่ะ...” คนยื่นข้อเสนอเลิกคิ้วมองกับเสียงแหบแห้งที่เอ่ยออกมา “ได้โปรด อย่าทำอะไรคนคนนั้น จะให้ผมทำอะไรก็ได้...ยอมทุกอย่างแล้ว ขอแค่...อึก ขอแค่อย่าแตะต้อง...” สรรพนามสุดท้ายไม่ทันออกจากปาก ไนท์ก็ขัดขึ้นซะก่อน
“ชู่ว...ไม่ต้องกังวลเด็กน้อย ฉันไม่สกปรกขนาดนั้น ฟังข้อเสนอฉันก่อนแล้วค่อยทำหน้าเหมือนตายทั้งเป็น”
แม้ระยะเวลาในการทำอาชีพตำรวจจะผ่านมานานแค่ไหน ลึกๆ ในใจของไนท์ยังคงอดไม่ได้ที่จะเห็นใจเด็กแบบนี้ ไม่ได้ทำอะไรผิดสักอย่าง มันพลาดที่พ่อแม่แล้วเด็กต้องมารับกรรมแทน สังคมมันเน่าเฟะซะจนน่าถอนใจ
เขารอจนกระทั่งคนตรงหน้าปรับอารมณ์กลับมาสงบดังเดิม มือใหญ่ช่วยลูบหลังเรียกเสียงตาแปลกใจจากผู้ถูกคุกคาม
“อย่ามองฉันเหมือนเป็นปีศาจร้ายแบบนั้นสิ เห็นแบบนี้ชื่อฉันแปลว่า ‘Knight’ ไม่ใช่ ‘Night’ ” ผมเบ้ปากใส่ ไนท์ยักไหล่ ถอยออกไปให้ผมมีช่องว่างหายใจหายคอ ลดความรู้สึกน่ากลัวลงจนเหมือนชาวต่างชาติหลงมาอยู่ผิดที่ผิดทางธรรมดาๆ คนหนึ่ง
“ข้อเสนอของฉันคือ นายยอมมาเป็นเด็กลูเซียสซะ” เห็นผมชักสีหน้า ไนท์รีบอธิบายต่อ “ตอนนี้บอสเอาแต่สนเรื่องนายจนน่าปวดหัว ขอแค่นายยอมนิดยอมหน่อยทุกอย่างจะได้กลับมาสงบสุขตามเดิม เรื่องของแม่นายฉันมั่นใจว่าลูเซียสต้องยอมช่วยเหลือแน่ๆ หมอนั้นเองก็นิสัยคล้ายกับฉัน เอ็นดูเด็กมีปัญหาแบบนายมากเป็นพิเศษ ส่วนสาเหตุไม่รู้หรอกนะ ไปหลอกถามเอาเอง”
ประโยคยืดยาวไม่สามารถดึงความสนใจผมได้เท่าคำว่า จะเอาเรื่องคนสำคัญของผมไปบอกกับไอ้หัวหน้ามาเฟียนั่น
“ไม่ ผมไม่อยากให้ใครรู้เรื่องแม่มากไปกว่านี้” มาเฟียน่ะไว้ใจไม่ได้ ผมกลัวว่าแม่จะเป็นอันตรายเพราะผม
“ตามใจ ไม่บอกก็ไม่บอก งั้นนายจะเอายังไงเจ้าหนู เรื่องผลประโยชน์ของตัวเองน่ะ”
เฉพาะที่เห็นอยู่ตรงหน้า ก็นับได้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ใหญ่ที่แฟร์ดีเหมือนกัน ไว้สนิทรู้จักตื้นลึกหนาบางมากกว่านี้ค่อยสรุปอีกที
“ตอนนี้ยังคิดไม่ออก ขอเวลาหน่อย”
“หนึ่งอาทิตย์... ในระหว่างนั้นพวกฉันจะตามล่านายเหมือนเดิม ส่วนเรื่องเงินใช้ในชีวิตประจำวันฉันให้ยืมก่อนก็ได้ ไว้เป็นเด็กลูเซียสเมื่อไหร่ ค่อยตอดเงินหมอนั้นมาคืนฉัน”
ผมขมวดคิ้วแน่น คิดคำนวณส่วนได้ส่วนเสียในหัว ก่อนจะโดนคำว่า ‘ไม่มีทางเลือก’ กระแทกเข้าเต็มสมอง ผลก็คือต้องจำยอมตกลง รับเงินสดจากอีกฝ่ายมาใช้หมุนชั่วคราว ไนท์ขยี้หัวผมจนยุ่งเหยิงแล้วเดินจากไปทิ้งให้ผมยืนเคว้งอยู่คนเดียว
เอาวะ อะไรจะเกิดมันต้องเกิด!
1 อาทิตย์… 1 อาทิตย์สำหรับการตัดสินใจเลือกเส้นทางชีวิตของตัวเอง ไม่ใช่สิ มันไม่ใช่การเลือกมันคือระยะเวลาในการทำใจก่อนเข้าไปเป็นสัตว์เลี้ยงอยู่ในกรงมากกว่า เงินที่ไนท์ให้มานับว่าเยอะพอสมควร ผมใช้ชีวิตสบายๆ ในช่วงหนึ่งอาทิตย์นี้โดยไม่ต้องดิ้นรนหาเงิน ผมไปเรียนตามปกติ ออกจากมหา’ลัยก็เล่นซ่อนแอบกับคนของลูเซียส ไม่มีวี่แววของไนท์ คงจะโผล่มาตอนจบเหมือนบอสในเกม อีกอย่างพ่อผมหายเฮดซะจนน่าแปลก ถ้าเป็นทุกทีได้เงินได้ของขนาดนั้นไม่กี่วันต้องตามมารังควานผมแน่ อันนี้เงียบกริบ เห็นเพียงแค่กลุ่มคนในชุดสูทด่อมๆ มองๆ อยู่แถวที่พักผม ไนท์รู้ตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับผมมากกว่าเพื่อนผมอีก คงจะเป็นฝีมือเขานั่นแหละ นิสัยแบบที่ไม่น่าจะเป็นมาเฟียจริงๆ เอ๊ะ ไม่สิ บางทีอาจจะไม่ต่างกันก็ได้มั้ง อาชีพเก่า อาชีพใหม่ แค่ใช้คนจำกัดความคนละอย่างเท่านั้นเอง “กูอาจจะหายตัวไปช่วงหนึ่งนะ ไม่มึงไม่ต้องห่วง” ผมพูดขึ้นกลางวง ระหว่างนั่งทานมื้อเที่ยงกันที่ร้านข้าวแถวมหา’ลัย ร้านอาหารตามสั่งทั่วไป สภาพเก่าหน่อย ร้านไม่สะอาดนักแต่มีเด็กนักศึกษามากินเพ
ผมทำหน้าที่ ‘เด็กป๋า’ มาได้สองอาทิตย์แล้ว มีสิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจคือ ไม่มีอีหนูคนไหนทำงานหนักเท่าผมอีก... ปัง! “ไอ้บอสเวร!!” ไนท์เปลี่ยนร่างเป็นยักษ์ใช้เท้าถีบประตูอย่างแรงตวาดเรียกบอสเป็นภาษารัสเซียด้วยความหัวเสีย ภาพที่เห็นตรงหน้ายิ่งทำให้ความโกรธพุ่งทะลุปรอท บนเตียงขนาดคิงไซส์ปรากฏร่างชายสองคนกำลังนอนหลับอุตุหลัง หลังเล่นกีฬาในร่มมาอย่างยาวนาน คนตัวใหญ่กอดคนที่แทบตัวแห้งหมดแรงตายจนเห็นเพียงหัวยุ่งๆ โผล่พ้นจากอ้อมแขนใต้ผ้าห่มผืนหนา เพราะอุณหภูมิในห้องที่เย็นจัดราวกับจะเปิดไว้เลี้ยงนกแพนกวิ้น “มีอะไร” เจ้าของห้องส่งเสียงถามปรือตามองอย่างหัวเสียเพราะถูกขัดจังหวะฝันหวาน “นี่แกเป็นได้ถึงขนาดนี้เลยหรือไง? โดนเด็กมันป้าย...อะไรนะ น้ำมัน...น้ำมันอะไรวะอาคม” คนด่าหาแนวร่วมเป็นบอดี้การ์ดที่เดินตามเข้ามาตามคำสั่งรองหัวหน้า เขาเป็นหนุ่มไทยร่างหนาผิวแทน ใบหน้าคมเข้มแบบคนไทย “น้ำมันพรายครับคุณไนท์” หนุ่มใหญ่ตอบเสียงนอบน้อม “เออ นั่นแหละ! น้ำมันพรายหรือไงหา?” ยังจะอุตส่าห
นับตั้งแต่วันที่อาคมมาเป็นการ์ดส่วนตัว อีหนูก็ดูจะสงบเสงี่ยมมากขึ้นจนน่าสงสัย ตื่นเช้าไปเรียน แวะเที่ยวกับเพื่อนบ้างแต่ก็เป็นแค่การกินข้าวธรรมดาแล้วตรงกลับตึกมาให้ป๋าเอ็นดู เหล่าผู้มากวัยรู้ได้ทันทีว่าเจ้าตัวดีต้องวางแผนป่วนเอาไว้ แต่เลือกที่จะนิ่งเฉยเพื่อรอดูท่าที แล้วมันก็เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด พอการ์ดสองคนนอกจากอาคมเริ่มชะล่าใจ อาทิตย์ต่อมาปัญหาเกิด มิทรี่ไปเรียนตามปกติพอถึงเวลากลับดันหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย การหลบหนีของเด็กคนนี้นับว่าสูงจนน่าทึ่ง หากเป็นพวกวัยรุ่น แก๊งอันธพาล พวกผู้ดี(พอ)มีเงินจับไม่ได้ไล่ไม่ทันแน่นอน แต่มันไม่ใช่กับมืออาชีพอย่างพวกเขา “วันนี้คุณหนูสลัดการ์ดอีกแล้วครับ แต่ยังอยู่ในเขตของเรา ช่วงค่ำๆ น่าจะกลับมาที่ตึก” หนุ่มไทยร่างสูงใหญ่ ยืนรายงานเจ้านายหลังโต๊ะทำงานอย่างนอบน้อม เสียงพลิกเอกสารกับแอร์เย็นฉ่ำ ชวนให้รู้สึกกดดัน ยิ่งเวลาทำงานผิดพลาดความน่ากลัวเพิ่มขึ้นเท่าทวี การ์ดสองคนก้มหน้าตัวหดเหลือสองนิ้ว ในขณะที่อาคมยังคงนิ่งขรึมเช่นเดิม “ครั้งที่หกแล้วใช่มั้ย” ไนท์ที่ยืนเป็นเลข
ความจุกเริ่มบรรเทาลงช่วยให้ผมฟื้นสติในการสำรวจรอบข้างว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ขอทวนเล็กน้อย ผมสลัดการ์ดมาเดินเล่นคนเดียวเหมือนทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ต่างออกไป ผมจงใจสลัดการ์ดแล้วออกห่างมาไม่ไกลนัก ด้วยรู้ดีว่าพักหลังตัวเองกำลังถูกมือที่สามจับตามองอยู่ จนเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น! ทั้งที่การ์ดน่าจะตามตัวผมเจอภายในไม่กี่นาที แต่ผมกลับต้องวิ่งหนีคนที่โผล่ออกมาตามล่าไม่ต่างจากสัตว์จรจัดที่โดนไล่ทำร้าย บางครั้งผมก็ไม่ชอบไหวพริบของตัวเอง หลังฟื้นแล้วแอบฟังบทสนทนาของเจ้าตัวหัวหน้าที่โทรคุยกับเจ้านายมัน ในประโยคเหล่านั้นกล่าวถึงชื่อของลูเซียส ทำให้ผมรู้ว่าเหตุการณ์ลักพาตัวในครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากเจ้าหนี้ของพ่อ แต่เป็นคู่อริของลูเซียส นั่นเท่ากับว่าลูเซียสเป็นคนจงใจสั่งให้การ์ดลดความระวังภัยในตัวผมลงไม่ใช่เหรอ มันไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยงที่โดนทอดทิ้งยามเจ้าของเบื่อหน่ายเลยแม้แต่น้อย ที่เจ็บใจกว่านั้นคือ ผมเป็นคนทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น หากว่าผมไม่ซนคิดประท้วงด้วยการพยศแบบนี้ ผมคงไม่ถูกเขี่ยทิ้งในระยะเวลาอันสั้น ยังคงเสวยสุขไ
ไม่ต้องรอให้ลูเซียสสั่ง ไนท์รับหน้าที่ขับรถด้วยตัวเอง เหยียบคันเร่งเพื่อพาบอสไปโรงพยาบาลให้ไวที่สุด น่าเห็นใจก็แต่เหล่าลูกน้องที่ตามหลัง ทั้งสามคันต้องเร่งเครื่องกันสุดชีวิต ด้วยระดับฝีเท้าของมือขวาน่ากลัวว่าไปแข่งรถชิงที่หนึ่งได้สบายๆ โรงพยาบาลที่ไมค์เลือกพามิทรี่มารักษา เป็นโรงพยาบาลเอกชนใกล้สถานที่เกิดเหตุมากที่สุด อีกทั้งลูเซียสยังเป็นหุ้นส่วนโรงพยาบาลแห่งนี้ด้วย นับว่าไมค์เลือกได้อย่างถูกต้อง หากเป็นโรงพยาบาลอื่น เรื่องที่มิทรี่โดนยาเสพติดเช่นนี้ จะกลายเป็นเรื่องใหญ่เสียเปล่าๆ ทันทีที่รถดำเงาวับมาจอดเทียบหน้าอาคารหลัก ยามรีบกุลีกุจอเข้ามาหมายจะเปิดประตูให้ ไม่ทันจะถึงรถดีประตูก็เปิดออกพร้อมเจ้าของร่างสูงใหญ่ที่ก้าวออกมาปรายตามอง เขาโบกมือไล่ยามไปไกลๆ เวลานี้เขาไม่ใจเย็นพอจะนั่งรอเยี่ยงราชาให้ใครมาปูพรมหรือเปิดประตูให้ กลิ่นเลือดเจือจางที่ติดมากับตัวเหล่าชายชุดดำทำให้ยามอกสั่นขวัญผวา ก้มหน้าลงต่ำ พาลนึกในใจว่าตัวเองช่างซวยเหลือเกิน ตอนเขามาทำงานมีรุ่นพี่กับหัวหน้าเล่าให้ฟังว่าหุ้นส่วนของโรงพยาบาลเราไม่ใช่บุคคลธรรมดา ห
อาการบาดเจ็บทำให้ผมนอนเป็นง่อยอยู่บนเตียงฟังเสียงลูเซียสคุยงานกับไนท์ มีพี่อาคมเข้าๆ ออกๆ มารายงานเป็นระยะ ทำไมนะผมรู้สึกว่ามันไม่ต่างจากตอนผมอยู่ที่ตึกลูเซียสเลย จะไม่เหมือนก็แค่ตอนนั้นผมนอนเปื่อยเพราะทำหน้าที่หนักเกินไป คงเห็นผมนอนมองตาปริบๆ มานาน ในที่สุดลูเซียสก็วางงานในมือลุกขึ้นมาหาผมข้างเตียง “เบื่อเหรอ แขนแบบนี้จะอ่านหนังสือก็ไม่ได้ อยากออกไปสูดอากาศข้างนอกไหม” ปกติผมอยู่ห้องลูเซียสถ้าไม่มีอะไรทำผมจะนั่งอ่านหนังสือ แขนผมยังไม่หายร้อยเปอร์เซ็นต์ คุณป๋ากับพี่เลี้ยงคนอื่นเลยพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอย่าเพิ่งให้ผมใช้แขนจะดีกว่า เป็นคนอื่นอาจจะดื้อเพราะความเบื่อหน่าย แต่กับผมที่น้อยนักจะได้รับความเป็นห่วงแบบนี้ อย่างมากก็ได้แค่กับเพื่อนซึ่งมันต่างกัน พวกนั้นวัยเรียน คนตรงหน้าผมคือผู้ใหญ่ที่ผมสามารถพึ่งได้ ผมเลยยอมทำตามอย่างเต็มใจ เจอเรื่องนี้เข้าไปถึงกับหงอ เข็ด ไม่อยากดื้อหาเรื่องใส่ตัวอีก “ไม่ดีกว่า ผมยังไม่อยากโดนไนท์แหกอก” ผมไม่ได้โกหกนะ ดูสายตาร้อนแรงที่ไนท์จ้องมาสิ ไม่ได้หึงหวงลูเซีย
“เบื่ออะ” บ่นเป็นรอบที่ร้อยของวันในห้องพักรวมของเหล่าการ์ด มองพวกเขาเตะต่อยกันแบบขำๆ ถามว่าทำไมผมไม่อยู่ในห้องลูเซียส? พอดีผมประท้วงน่ะเลยหนีออกมา... จริงก็บ้าแล้ว! อย่างลูเซียสไม่สนหรอกกับการประท้วงไร้สาระแบบนี้ เห็นลูเซียสคุยงานกับไนท์และพี่อาคมผมเลยปลีกตัวออกมา เพราะอยู่ห้องนั่นก็ไม่รู้จะทำอะไร หนังสือก็เบื่อที่จะอ่าน มือถือมีแต่แบบเดิมๆ มาป่วนการ์ดดีกว่า เห็นพวกนี้ทำหน้าปูเลี่ยนๆ สนุกดี หน้าออกจะโหดซะเปล่า หมดกันๆ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ผมเพิ่งค้นพบหลังกลับมาจากโรงพยาบาลใหม่ๆ เพราะหลงนึกสนุก พาผมบุกถิ่นเหล่าการ์ดที่อยู่ชั้นล่างลับหลังลูเซียส ก่อนจะทิ้งผมไว้แบบนั้นเนื่องจากเจ้าตัวงานเข้ากะทันหัน พวกการ์ดก็นิ่งอย่างคนทำอะไรไม่ถูก ผมเลยลองใช้ความสามารถในการเข้าหาคนอื่น ทำความรู้จักกับพวกเขาดู ยังไงซะชะตากรรมของผมคงคลุกคลีอยู่ที่นี่ไปอีกนาน ทำให้ผมรู้ว่าพวกเขาไม่ได้แย่เหมือนที่คิด ก็แค่คนธรรมดาที่ผ่านโลกมามากเลยไว้ใจคนยาก พอรู้เรื่องราวของผมจากที่ไหนสักที่ ท่าทีเลยอ่อนลงกลายเป็นเห็นอกเห็นใจแกมเอ็นดู พร้อมกับบอกว่าพวกเขามีอดี
คล้อยหลังอีหนูไป เหล่าหนุ่มใหญ่นั่งประจันหน้ากันในห้อง แข่งกันสร้างบรรยากาศอึมครึม จนกระทั่งลูเซียสเป็นฝ่ายถอนหายใจทำลายความเงียบก่อน ร่างใหญ่เอนหลังบนเก้าอี้อย่างผ่อนคลาย ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นเพื่อนสนิทควบตำแหน่งน้องเขย ก็ไม่จำเป็นต้องรักษามาด พวกการ์ดจากทั้งสองฝั่งเองก็รู้จักกันดี เคยร่วมงานกันมาแล้วด้วยซ้ำ ถึงได้ส่งสายตาทักทายกันลับหลังนาย “มีเรื่องอะไรก็พูดมา” หนุ่มอังกฤษเป็นคนแสดงท่าทีเองนะว่ามีเรื่องอยากจะพูดด้วย ลูเซียสถึงให้อีหนูออกไปทั้งที่ไม่อยากปล่อยให้ห่างสายตา “ก็อย่างที่บอกไปตอนแรก ฉันแวะมาหานายกะทันหัน คนของฉันเลยไม่พอ...” “ไม่พอแล้วยังไง” คิ้วเข้มขมวด เพื่อนเขาไม่ใช่พวกหัวหดในกระดองหลบหลังการ์ดตลอดเวลา อเล็กเซย์เข้าใจสิ่งที่ลูเซียสคิดเลยยิ้มกว้าง “พอดีมีคนตามฉันมาตั้งแต่คุยธุรกิจ ตอนนี้ก็ยังหาจังหวะจัดการฉันอยู่ ที่สำคัญ น่าจะอยู่บนเรือลำนี้แล้วด้วย” เกิดความเงียบปกคลุมชั่วขณะ คนโดนหมายหัวยังคงยิ้มหน้าระรื่น ส่วนบอสใหญ่ยกมือกุมขมับพลางปรายตามองอาคมที่โค้งรับอย่า
‘ดาวิดอฟ เฟรคดริก คอลลินส์’ หรือ ‘เดฟ’ คือชื่อของผม ผมเกิดที่รัสเซีย เป็นลูกคนเล็กมีพี่ชายพี่สาวอย่างละคน จบปริญญาตรีมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งด้านโภชนาการที่มอสโก เรื่องรูปร่างหน้าตาก็ปกติธรรมดา(?) ไม่มีส่วนไหนขาดเกิน เส้นผมสีทองเหลือบเงิน ดวงตาสีฟ้าอมเขียว ผิวขาวจัดแม้ตอนนี้จะเริ่มคล้ำจากแดดในเมืองไทยก็ตาม ส่วนสูงก็...193 cm. สิ่งที่ชอบคืออาหารอร่อย ดอกไม้และคนฉลาด ผมเกลียดพวกไม่รู้คุณค่าของอาหาร กินทิ้งกินขว้างกับคนโง่มากที่สุด อาหารที่ถนัดคือ ซุปโบร์ช (Borshch) , โปลฟ (Pilaf) , ไก่เคียฟ (Chicken Kiev) อาหารรัสเซียและอาหารฝรั่ง ตอนนี้มีความสนใจอาหารไทย ปัจจุบันอายุ 25 ปี ทำงานให้กับบอสลูเซียส มิไรฮอฟ ตระกูลเก่าแก่ที่มีอำนาจมากมายจนน่าตกใจ ถามว่ามาทำงานให้บอสได้ยังไงเหรอ? เรื่องมันเป็นแบบนี้ หลังเรียนจบได้ผลการเรียนที่น่าพอใจ ผมถูกจองตัวจากหลายโรงแรมมีชื่อในมอสโก แต่ผมชอบทำอาหารให้คนที่รักการกินมากกว่าทำเพื่อเอาหน้าตาเลยปฏิเสธงานเหล่านั้นไป แล้วเลือกมาทำงานในร้านอาหารแห่งหนึ่งแทน ร้านนี้มีความเข้มงวดสูงมาก ไม่
ภายใต้ความหอมหวานของอำนาจ คือความเน่าเฟะที่น่ารังเกียจ... เมื่อพ่อให้ความสำคัญกับธุรกิจเป็นอันดับหนึ่ง จึงไม่แปลกที่พ่อจะแต่งงานกับแม่เพื่อผลประโยชน์ ทั้งที่ตัวเองมีคนรักอยู่แล้ว ก่อนจะพาคนรักเข้ามาหลังจากที่แม่ตรอมใจตาย ฟังดูเหมือนพล็อตของบทละครน้ำเน่า แต่เชื่อเถอะว่า สิ่งเหล่านั้นล้วนอิงมาจากชีวิตจริง เขาเกลียดชังพ่อ รังเกียจผู้หญิงคนนั้น และขยะแขยงครอบครัวของตัวเอง เลยตัดสินใจเข้าโรงเรียนประจำ พอปิดเทอมหากไม่เที่ยวก็หางานพิเศษทำ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องกลับบ้าน ระหว่างนั้นก็ใช้ทรัพย์สินจากพินัยกรรมของแม่ผ่านทางผู้ดูแลที่แม่เลือกมาด้วยตัวเอง ต่อมา เขาสอบเข้าโรงเรียนตำรวจ ติดอันดับหนึ่งของรุ่นจนเรียนจบแล้วเริ่มทำงานจากตำแหน่งระดับล่าง กระทั่งบรรจุเข้าหน่วยปราบปรามและพบลูเซียสระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ลูเซียสในตอนนั้นยังอยู่ในช่วงเริ่มก่อตั้งแก๊ง มีคนติดตามอยู่ไม่กี่คนและเกิดสนใจฝีมือของเขาขึ้นมา เลยยื่นข้อเสนอให้มาทำงานด้วยกัน แน่นอนว่าเขาปฏิเสธ ไม่ใช่ว่ารักในอาชีพของตัวเอง แต่เขาไม่เคยมีความคิดที
ชีวิตของลูกผู้ชายคนหนึ่ง มีเรื่องที่เสียใจหนักๆ อยู่ไม่กี่อย่าง เรื่องแรกคือการจากไปของพ่อแม่ด้วยวัยชรา เรื่องที่สองคือความล้มเหลวในฐานะหัวหน้าครอบครัว ระหว่างที่ผมเป็นทหารทำตามความตั้งใจของตัวเองก็ทิ้งลูกเมียไว้ด้านหลังโดยไม่นึกถึงใจของคนเฝ้ารอ กระทั่งวันหนึ่ง ภรรยาที่แต่งงานกันมาหลายปีเป็นฝ่ายขอหย่า เธอร้องไห้ พร่ำบอกว่าขอโทษที่อดทนรอต่อไปไม่ได้ เธอเข้าใจความต้องการของผม แต่เธอที่มีลูกอ่อนก็ต้องการได้รับการดูแลเอาใจใส่เช่นกัน ผมไม่เคยโทษเธอเลยที่เริ่มมองหาผู้ชายที่ดีกว่า ดังนั้นผมเลยดึงเธอเข้ามากอด ลูบผมเบาๆ พร้อมกระซิบปลอบโยนเธอว่าไม่เป็นไร ทุกอย่างเป็นความผิดของผมเอง ‘ชนิศา’ เป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง การที่เธอเลือกทางนี้แสดงว่าทุกอย่างมันถึงที่สุดแล้วจริงๆ พอเป็นแบบนี้ก็ไม่อาจฝืนอยู่ด้วยกันอีกต่อไป ผมเลยยอมรับการตัดสินใจของเธอ และมอบสิทธิ์การเลี้ยงดูให้เธอไป หลังจากนั้นไม่กี่ปีผมก็ลาออกจากราชการทหารเพื่อหางานที่มีรายได้มากกว่าส่งเสียให้ลูกชายได้เรียนโรงเรียนดีๆ ระหว่างนั้นก็ติดต่อกันบ้างเป็นครั้งคราว วันไหนผมมีวันหยุดก็จ
ผมเกิดในซ่อง เติบโตในสลัม มีแม่เป็นโสเภนีที่หลังจากคลอดผมเสร็จก็เอาผมไปทิ้งแถวถังขยะ ก่อนที่คนจรจัดเก็บไปเลี้ยงดูด้วยหวังว่าจะให้ผมดูแลเขาต่ออีกที แต่เขาไม่ได้มอบความรักความเอาใจใส่อย่างที่คนใจบุญพึงกระทำ เพราะเขาเลี้ยงผมเหมือนสุนัขตัวหนึ่ง ถ้ามีอาหารเหลือพอก็จะโยนให้ผมกิน พอแค่ผมไม่ตายไปก่อนที่จะได้ใช้งานเท่านั้น จนบางทีผมก็สงสัยว่าความตายอาจจะดีกว่ารึเปล่า ไม่ต้องทนอดอยากหิวโหย โดนทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ ผมเคยคิดที่จะตายอยู่หลายครั้ง หากไม่ติดว่าคนจรจัดที่เก็บผมมาเลี้ยงจะช่วยผมไว้ทันตลอด แล้วจัดการลงโทษอย่างหนักเมื่อผมพ้นขีดอันตราย ให้อดข้าวบ้าง จับขังบ้างหรือบางทีก็โดนซ้อมเป็นเครื่องระบายอารมณ์ แน่นอนว่าการรักษาแต่ละครั้งไม่ได้ไปหาหมอในโรงพยาบาล แต่เป็นหมอเถื่อนที่ไม่มีใบรับรองแถวสลัม ไม่ก็รักษาเอาตามมีตามเกิด และผมดันดวงแข็งจนรอดมาได้เสียทุกครั้ง จะตายก็ตายไม่ได้ จะอยู่ก็แสนลำบาก สุดท้ายได้แต่ฝืนทนกับสิ่งที่เป็น กระทั่งอายุหกปี ชายแก่ที่เลี้ยงดูผมดันไปขัดขานักเลงวัยรุ่นเข้า เลยถูกพวกนั้นซ้อมอย่างคึกคะนอง เสียงตาแก่โหยหวนด้วยความเจ็บปวด ผสมเสียงตุบต
เรื่องราวต่อจากนี้เป็นเรื่องหลังจากที่ผมเรียนจบมหา’ลัย กรุณาอย่าถามถึงเกียรตินิยม แค่ผมเรียนจบได้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว ส่วนเพื่อนๆ ก็แยกย้ายกันไปตามหน้าที่การงานของตัวเอง ตัวผมเองก็เช่นกัน เพราะผมตัดสินใจแล้วว่าจะเดินไปบนเส้นทางเดียวกับลูเซียส แต่ดูเจ้าตัวจะไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไหร่ สำหรับคนที่คลุกคลีอยู่ในวงการนี้มาตั้งแต่เกิด ย่อมเห็นตื้นลึกหนาบางจนหมดสิ้น เลยอยากให้ผมที่มีโอกาสเลือกเส้นทางของตัวเองหลีกหนีให้ไกลจากมันที่สุด แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ นับตั้งแต่วันที่ผมเลือกทำงานไซด์ไลน์และกลายเป็นเด็กเลี้ยงของลูเซียส ตัวผมก็ก้าวเข้ามาอยู่ในวงการนี้ครึ่งตัวแล้ว ในเมื่อไม่มีทางเลือก ลูเซียสเลยสั่งให้ผมเรียนต่อปริญญาโทด้านการบริหารเพื่อมาช่วยดูแลธุรกิจที่ไทยแทน ซึ่งงานนี้ลูเซียสให้ผมเรียนต่อที่รัสเซีย ทุกคนเลยถือโอกาสนี้กลับรัสเซียกันยกทีม เหลือแค่พวกการ์ดอยู่เฝ้าตึกจำนวนหนึ่งเท่านั้น เรื่องพ่ออย่าไปพูดถึง ล่าสุดเห็นว่าออกจากคุกแล้ว แต่จะไปทำอะไรที่ไหนอยู่ยังไงผมไม่สนเพราะอยู่กันคนละประเทศ ส่วนแม่ผมไม่ต้องเป็นห่วง ปัจจุบันร่างกาย
คุณคิดว่าคนคนหนึ่งจะทำเรื่องราวซ้ำๆ กันทุกวันโดยไม่เบื่อได้รึเปล่า ผมคิดว่าได้แต่ยาก เพราะต่อให้กินข้าวอาบน้ำ ทำกิจวัตรประจำวันเหมือนเดิม ระหว่างนั้นก็ยังต้องมีอะไรแปลกใหม่เข้ามาในชีวิตบ้าง อย่างการเปลี่ยนเมนูอาหาร ลองเปลี่ยนกลิ่นสบู่หรือแชมพูใหม่ ดังนั้นไม่แปลกที่มนุษย์จะสรรหาความแปลกใหม่แม้มันจะไม่มีสาระอะไรเลยก็ตาม อย่างในโซเชียลตอนนี้ ไม่รู้เริ่มฮิตวันป๊อกกี้เดย์ตามประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้อีกทีผมก็เห็นของพวกนี้ตามมาหลอกหลอนแล้ว แต่บังเอิญว่าผมไม่สนใจ ความคึกคักของเทศกาลนี้เลยถูกผมลืมเลือนไปซะสนิท เพิ่งจะนึกขึ้นได้ตอนเห็นภาพย้อนหลังวันนี้นี่แหละ มิน่าล่ะทำไมเมื่อวานพี่โทริถึงซื้อป๊อกกี้มาให้ หนึ่งในนั้นมีรสมะพร้าวของโปรดผมที่กินหมดไปตั้งแต่เมื่อวาน จะเหลือก็แค่ป๊อกกี้รสดาร์คช็อกที่คาดว่าอยากจะให้ใครบางคนแต่ไม่กล้าเลยต้องส่งผ่านผม ไหนๆ ก็ไหนๆ ป๋าทำงานเครียดๆ ผมควรทำหน้าที่อีหนูที่ดี เป็นลูกชายชั้นยอดด้วยการเข้าไปป่วน แฮ่ม! เข้าไปผ่อนคลายอารมณ์ป๋าดีกว่า “พี่อาคม ป๋าไม่ได้ทำงานสำคัญอยู่ใช่มั้ย” ผมกระซิบถามพี่อาคมท
วันนี้วันลอยกระทง แถมยังเป็นวันซูเปอร์มูน พระจันทร์เต็มดวงและเข้าใกล้โลกมากที่สุด สิ่งที่ผู้คนควรทำคือเตรียมตัวไปลอยกระทงกันตั้งแต่หัวค่ำ แล้วเดินเที่ยวเล่นชมความงามของพระจันทร์กับเพื่อนฝูง ครอบครัวไม่ก็คนรัก ตัวผมน่ะเหรอ? นั่งไถมือถือด้วยความเบื่อหน่าย... ไม่ใช่ว่าเพื่อนไม่คบ แต่เพื่อนมันดันไปลอยกับแฟนกันหมดเท่านั้นยังไม่พอ ยังมีหน้าถ่ายรูปมาเยาะเย้ยอีกต่างหาก เฮียเฟย์ถ่ายรูปปอนด์ถือกระทงยืนคู่กับแม่ โดยมีฉากหลังเป็นผู้คนกับผืนน้ำที่มีกระทงลอยอยู่เต็มไปหมด เกิดเป็นดวงไฟสีส้มระยิบระยับ ซันโป้ ไอ้คู่ผัวเมียฮาร์ดคอ โป้มันถ่ายรูปเท้าตัวเองทำท่าจะยันก้นซันลงน้ำ ขณะที่ซันกำลังนั่งอธิษฐาน ริวถ่ายภาพกระทงสองอัน เห็นชายเสื้อชอปประจำสาขามันแวบๆ แสดงว่ามันไปลอยกับพี่ธันชัวร์ ภาพของวาเล่นับว่าเด็ดสุด เล่เซลฟี่ระหว่างหอมแก้มวาที่ทำหน้าเซ็งถือกระทง ด้านหลังสองคนนั้นเป็นท้องฟ้าสีดำที่มีโคมลอยมากมาย ดูบรรยากาศคึกคักสมเป็นภาคเหนือ พูดถึงลอยกับครอบครัวยิ่งหดหู่ พ่อผมไม่รู้เป็นตายร้ายดียังไงขี
ปากเก่งไปแบบนั้นแต่ผมก็ยังหนีความจริงเรื่องที่ตัวเองยังอยู่ในวัยเรียนไม่พ้น ดังนั้นผมเลยทำตัวให้สมวัยด้วยการอยู่ดูแลแม่ในระหว่างที่ลูเซียสเคลียร์งานที่รัสเซียตามคำแนะนำของอดีตพาคาน ทำให้ช่วงนั้นผมกับลูเซียสห่างกันอีกรอบ ด้วยตัวตนของลูเซียสไม่สะดวกมาที่โรงพยาบาลบ่อยอยู่แล้ว เลยได้แต่ส่งบรรดาการ์ดมาเฝ้า “แน่ใจนะว่าไม่มีอะไรจริงๆ” ป้านาเดียร่างท้วมมีเค้าโครงของแม่เอ่ยถามเป็นรอบที่ห้าของวัน เมื่อเข้ามาเจอผมนั่งเล่นไพ่กับไมค์ระหว่างแม่พักผ่อนหลังทานยา อันที่จริงไมค์เองก็ไม่ได้ตัวหนาหุ่นบึกเท่ากับการ์ดคนอื่นๆ แต่เทียบกับคนธรรมดาแล้วก็ยังดูตัวสูงใหญ่กว่าอยู่ดี น่าจะตัวหนากว่าหลงไม่เท่าไหร่ แถมยังเป็นหมอบรรยากาศรอบตัวเลยไม่เยือกเย็นเท่าหลง ถึงแบบนั้นป้านาเดียก็ยังแสดงทีท่าระแวงชัดเจน ในขณะที่ผมสุดแสนจะชิลหรือเป็นเพราะผมเจอแต่พวกหุ่นหมีจนชินแล้วก็ไม่ทราบ “อย่าห่วงเลยป้านาเดีย พี่ไมค์เป็นคนที่พ่อบุญธรรมส่งมาเพื่อดูแลผม เห็นแบบนี้เขาเป็นหมอนะ” ผมตบมือป้าที่วางบนแขนเบาๆ เป็นเชิงปลอบ หลังป้ารีบถลาเข้ามาคว้าตัวผมไปหลบทั้งที่ตัวเองก็กลัว
หลังจากการแนะนำตัวกันแบบง่ายๆ ก็เกิดความเงียบเข้าปกคลุมชั่วขณะ กระทั่งเสียงหายใจแฮ่กๆ ของเจ้าหมาก็ไม่อาจทำลายความเงียบนี้ลงได้ ผมยืนตัวเกร็งจนตะคริวแทบกิน นอกจากลูเซียสจะไม่ช่วยแล้วยังจะร่วมด้วยช่วยกันจ้อง แม้ภายนอกสองอาหลานจะไม่เหมือนกันเลย แต่แววตาเหมือนถอดพิมพ์กันมา ผมเลยเกร็งคูณสอง พอเหลือบสายตามองด้านหลังไม่เห็นเงาพี่อาคม คาดว่าน่าจะรออยู่ในรถไม่ได้ลงมาด้วย ยิ่งบ่งบอกความสำคัญของผู้ที่อยู่บนรถเข็น สถานการณ์แบบนี้ผมควรทำยังไงดี... “เด็กเลี้ยง?” อาคนงามแม้อายุจะล่วงเลยถึงเลขห้าเงยหน้าถามหลานชายตัวเอง ในขณะที่คนฟังแทบจะโห่ร้อง ในที่สุดก็ไม่เงียบแล้ว แม้จะเป็นประเด็นอ่อนไหวก็ตาม! ลูเซียสก้มตอบด้วยรอยยิ้มจาง “ครับ ทั้งเลี้ยงและเอ็นดู” ดวงตาสีน้ำเงินสวยสองคู่ สัญลักษณ์ของสายเลือดมิไรฮอฟมองสบตากันสื่อความนัย “ติดใจลีลาบนเตียง?” “ครับ” “สมกับเป็นหลานฉันจริงๆ” ผมอึ้ง นี่มันบทสนทนาอะไรกัน บรรยากาศที่กดดันตอนแรกก็แปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เหมือนเป็นเพียงแค่หลานชายมาพบญาติผู้ใหญ่ของตั