1 อาทิตย์…
1 อาทิตย์สำหรับการตัดสินใจเลือกเส้นทางชีวิตของตัวเอง ไม่ใช่สิ มันไม่ใช่การเลือกมันคือระยะเวลาในการทำใจก่อนเข้าไปเป็นสัตว์เลี้ยงอยู่ในกรงมากกว่า เงินที่ไนท์ให้มานับว่าเยอะพอสมควร ผมใช้ชีวิตสบายๆ ในช่วงหนึ่งอาทิตย์นี้โดยไม่ต้องดิ้นรนหาเงิน
ผมไปเรียนตามปกติ ออกจากมหา’ลัยก็เล่นซ่อนแอบกับคนของลูเซียส ไม่มีวี่แววของไนท์ คงจะโผล่มาตอนจบเหมือนบอสในเกม อีกอย่างพ่อผมหายเฮดซะจนน่าแปลก ถ้าเป็นทุกทีได้เงินได้ของขนาดนั้นไม่กี่วันต้องตามมารังควานผมแน่ อันนี้เงียบกริบ เห็นเพียงแค่กลุ่มคนในชุดสูทด่อมๆ มองๆ อยู่แถวที่พักผม
ไนท์รู้ตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับผมมากกว่าเพื่อนผมอีก คงจะเป็นฝีมือเขานั่นแหละ นิสัยแบบที่ไม่น่าจะเป็นมาเฟียจริงๆ เอ๊ะ ไม่สิ บางทีอาจจะไม่ต่างกันก็ได้มั้ง อาชีพเก่า อาชีพใหม่ แค่ใช้คนจำกัดความคนละอย่างเท่านั้นเอง
“กูอาจจะหายตัวไปช่วงหนึ่งนะ ไม่มึงไม่ต้องห่วง” ผมพูดขึ้นกลางวง ระหว่างนั่งทานมื้อเที่ยงกันที่ร้านข้าวแถวมหา’ลัย ร้านอาหารตามสั่งทั่วไป สภาพเก่าหน่อย ร้านไม่สะอาดนักแต่มีเด็กนักศึกษามากินเพียบ ด้วยความที่มันราคาถูกแถมได้เยอะ คนทำก็ป้าร่างท้วมหน้ามันเยิ้ม เหงื่อซกเพราะความร้อน
“อะไรวะ เพิ่งจะกลับมามึงจะหายหัวไปไหนอีก” ซันบ่นอุบพุ้ยข้าวเข้าปากความเร็วไม่ลด ขนาดมันกินจานที่สองแล้วนะ ตัวแม่งถึกกินจุ ริวนี่มันกินแบบเรื่อยๆ ข้าวแค่จานเดียวแต่ของกินเล่นหลังมื้ออาหารจะมีกี่อย่างอันนี้ไม่อาจทราบได้
“มีเหตุนิดหน่อย”
“มีเหตุๆ แม่งก็มีตลอด พวกกูถามจนขี้เกียจถามแล้วเนี่ยว่าตกลงอะไรของมึงกันแน่ ทำตัวลึกลับฉิบหาย”
“เอาน่า โลกของมันกับเราอยู่คนละโลก บางทีมันอาจจะไปติดต่อยานแม่ก็ได้” ริวมึงเมากะเพรา? ผมหัวเราะกับคำพูดมัน ไอ้ซันทำหน้าเซ็ง คนอื่นมองมีแอบผวา ภายนอกมันดูท่าจะโหด เอาเรื่อง ซึ่งความจริงไปคนละทาง มันคุณชายผู้ร่ำรวยชอบทำตัวยาจก อารมณ์ร้อนแต่มีเหตุผล ออกจะใจดีมีเมตตาต่อสตรี เด็กและคนชรา ส่วนผู้ชายกวนตีนมากๆ มันซัดไม่เลี้ยงเหมือนกัน
ที่ริวพูดมันน่าคิดนะ บางทีผมกับพวกมันอาจจะอยู่คนละโลกจริงๆ ก็ได้ แน่นอนว่าผมไม่คิดดึงพวกมันมาฝั่งนี้หรอก ปล่อยมันเป็นเด็กเรียนในคราบเด็กเหี้ยต่อไป
“กูหายไปไม่นานหรอก ถ้ากลัวกูกลับดาวมึงจะโทรตามหรือให้กูอัปสเตตัสตัวเองลงโซเชียลก็ยังได้ แบบคนดังเลยเป็นไง ขี้ไม่ออก ตดเหม็นแค่ไหนก็อัป” ผมกางมือสองข้างยักไหล่แบบกูดัง พวกมันพร้อมใจกันชูนิ้วกลางให้ผมอย่างพร้อมเพรียง
“เออๆ จะกลับดาวไปกู้โลกที่ไหนก็เรื่องของมึง อย่าหายหัวเป็นพอ ต่อให้ตายกลายเป็นผีก็ต้องมาเข้าฝันกู จะได้ตามไปเก็บซากถูก”
“ครับพ่อ” ผมแสร้งทำท่าสงบเสงี่ยมให้ไอ้ซัน ริวมันหัวเราะจนเกือบสำลักข้าวตาย ซันมันแทบปาช้อนใส่ ติดที่มันยังกินไม่อิ่มผมเลยรอดตัวไป
ปากบอกไปแบบนั้นเอาเข้าจริงผมไม่รู้ว่าตัวเองจะถูกลูเซียสกักตัวนานเท่าไหร่ บางทีอาจจะไม่ได้โผล่หัวออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันอีกเลยก็ได้ แบบตายแล้วถ่วงอ่าวจบประเด็น นี่ผมหวังเอากับไนท์ล้วนๆ เลย หมอนั้นน่าจะช่วยพูดให้ผมกลับมาเรียนตามปกติในเร็ววัน รวมถึงเรื่องมือถือไม่รู้จะโดนยึดรึเปล่า
“เหม่ออะไรวะ” ริวถามโบกมือไปมาตรงหน้าผม ผมกดมือมันลงแล้วส่ายหัว มันอ้าปากอยากพูดอะไรบางอย่าง พอเห็นซันจ้องอยู่เลยหุบปากนั่งสงบตามเดิม ซันเหล่มองพวกเราสองคนสลับไปมา สีหน้ามันเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง
“มึงเป็นห่วงกันก็แสดงออกตรงๆ เลยก็ได้ ไม่ต้องเกรงใจกู” เพื่อนผิวเข้มเปรยเรื่อยๆ ผมกับริวมองหน้ามันร้องฮะ
“คือมึงรักกันคบกันกูไม่ว่า ต่อให้พวกมึงเป็นเกย์กูก็ไม่มีปัญหา เพราะพี่กูเองก็เป็น ดังนั้นไม่ต้องทำตัวมีลับลมคมใน” มันประสานมือทำสีหน้าจริงจัง บรรยากาศเกือบให้ ถ้าไม่มีแบ็คกราวเป็นร้านอาหารตามสั่งที่คนปล่อยสัตว์วิ่งพล่านทั่วร้าน ผมหลุดขำพรืด ไอ้ริวสีหน้ามันเหมือนถูกบังคับให้กลืนขี้ควาย
“ทำไมมึงคิดงั้น” ผมถามตาวาว นึกสนุกเต็มกำลัง
“กูเห็นมีอะไรเกี่ยวกับมึง ริวก็รู้คนแรกตลอด ชอบปิดเป็นความลับ มีอะไรก็รู้กันแค่สองคน กูรู้ทีหลังทุกที” เดี๋ยวๆ ประโยคนี้มันพูดเหมือนน้อยใจหรือใจจริงมันอยากจะสามพี? “ริวมันดูจะรักมึงมาก พอกูโมโหไม่พอใจอยากจะตามไปเค้นคอมึง มันห้ามกูสารพัด เข้าข้างมึงสุดๆ”
ไอ้ริวทนซันพูดต่อไปไม่ไหว มันยกมือปางห้ามญาติ
“กูว่ามึงเข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว กูรู้ว่ามึงมันบื้อ แต่ไม่คิดว่าจะควายขนาดนี้”
“เข้าใจผิดตรงไหน ดูพวกมึงดิ้ กูอุตส่าห์พูดไม่ให้อึดอัดมาด่ากูอีก เรื่องแบบนี้มีแต่คนต้องการคนยอมรับ กูใจกว้างสุดๆ แล้วนะเนี่ย”
“เข้าใจบ้าอะไรวะ กูกับมันไม่ได้...” ยกมือปิดปากริวไม่ยอมปล่อยให้มันพูดจบประโยค ทำตีหน้าซึ้งเนียนกอดซบไหล่ริว ซันมันหนังตากระตุกแบบพยายามจะทำใจยอมรับให้ได้ ผมเกือบจะหลุดขำแล้วเนี่ย โอ๊ยยย มึงแม่งแสนดีสุดๆ ใครได้เป็นผัวโคตรโชคดีเลย
“ขอบคุณที่มึงเข้าใจพวกกูนะซัน แต่บังเอิญกูรักข้างเดียวว่ะ ริวมันยอมดูแลกูในฐานะเพื่อน” ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ ตาคมดุจสัตว์ร้ายตวัดมองริวแทน คนถูกจ้องสะดุ้งสบถยาวเหยียด
“โอ๊ย! ไอ้เหี้ย เลิกเล่นกูขนลุก” ริวผลักผมออกทำท่าแขยง “มึงอย่าไปเชื่อมันซัน ดูตาแม่งก่อน พวกกูไม่ได้เป็นอะไรกันจริงๆ ที่กูชอบมีลับลมคมในกับมัน เพราะมันไม่อยากให้มึงเป็นห่วงเลยให้กูช่วยปิดเรื่องงานที่มันทำ ซึ่งกูก็เล่าให้มึงฟังหมดแล้ว”
เป้าหมายเปลี่ยนมาทางผมแทน ไม่กลั้นขำแล้วครับ หลุดหัวเราะดังลั่นแบบไม่เกรงใจใคร ซันมันชักสีหน้า ยกเท้าถีบผมใต้โต๊ะเกือบหงายหลัง ดีที่คว้าขอบโต๊ะไว้ทัน หัวเราะจนปวดท้องอะคุณ เห็นอาการผมขนาดนี้ ซันเริ่มกระจ่างว่าถูกผมปั่นหัว ช้อนบินมาของจริง โยกหัวหลบแทบไม่ทัน
ก่อนสายตาพวกเราสามคนจะมองตามช้อนร่วงตกบนโต๊ะด้านหลังผม ซันลุกพรึบ ไม่ใช่จะมีเรื่องนะ มันจะไปขอโทษเขา คนอื่นในร้านเข้าใจผิดมองมันหวาดๆ กระทั่งเจ้าของโต๊ะหันมาคราวนี้กลายเป็นไอ้ริวที่เงิบหนัก
“พี่ธัน...”
มันเพ้อออกมา อ่อ คนนี้รุ่นพี่ปีสาม ลุงรหัสไอ้ริวนี่หว่า นอกจากพี่ธันที่ดูเป็นหนุ่มไทยธรรมดาแต่ชวนมอง ที่เหลือก็หน้าตาดีกันทั้งกลุ่ม ซันรีบยกมือไหว้ขอโทษ พวกพี่เขาไม่ว่าอะไรหันกลับไปกินข้าวกันต่อ ผมอยากจะเนียนไปทำความรู้จักอยู่นะ แต่อยากเสือกมากกว่าเลยนั่งอยู่กับที่มองริวกับลุงรหัสมันพูดคุยเสียงเบา
“พี่ธัน ผมกับหมามิทไม่ได้เป็นอะไรกันจริงๆ นะ ผมยังโสด ยัง...เอ่อ ซิงอาจไม่ แต่ผมโสดสนิทไม่มีใครจริงๆ”
อือหือชัด น้ำเสียง คำพูดที่ริวมันแสดงออกมาชัดเจนว่าชอบรุ่นพี่ตรงหน้า มิน่าล่ะพักหลังมันไม่ตามติดชีวิตผมเหมือนอย่างเก่า ดูท่าการหนีมาเฟียที่ตามอย่างกับขี้ปลาทองทำให้ผมพลาดอะไรดีๆ ไปหลายอย่าง
“เรื่องของมึง มาบอกกูไม” เสียงพี่ท่านดีมาก มันไม่ได้นุ่มหรือทุ้มแหบ บอกไม่ถูก รู้แต่ว่าฟังแล้วรู้สึกดีสบายใจ สำหรับริวตอนนี้คงไม่โออย่างแรง พี่ธันขมวดคิ้วมองมันแบบไม่เข้าใจจริงๆ ว่ามันจะสื่ออะไร จะบอกทำไม คือไม่มีความรู้สึกอื่นใดเจือปนนอกจากงง ริวนั่งหางตกหูลู่เลย
“ครับ พี่ธันกินข้าวต่อเถอะ เดี๋ยวต้องไปเรียนอีก” มันบอกเสียงอ่อย เจ้าของชื่อพยักหน้าหันไปกินต่อไม่ได้สนใจมันอีก ผมก็ได้แต่ตบหัวแล้วลูบหลังริวเพื่อปลอบใจในฐานะเพื่อน
หลังมื้ออาหารซันตามพวกพี่ธันขึ้นตึกเรียนไปเพราะมันมีเรียนบ่าย ผมกับริวไม่มีและยังไม่อยากกลับ เลยนั่งเล่นกันอยู่ใต้คณะ
“ยังไงๆ บอกกูมาให้หมด” ทางสะดวก สบโอกาสถาม ผมกอดคอล็อกไว้ ไม่บอกผมไม่ปล่อย มันรู้ดีถึงยอมเปิดปากเล่าง่ายๆ ส่วนหนึ่งมันคงอยากให้ผมช่วยมันคิดด้วยว่าจะเอายังไงดี ในสายตาทุกคนมองผมเป็นผู้ตื่น ผู้รู้ ผู้เบิกบานซะงั้น ผมแค่รู้มากหน่อยเดียวเอง
“ก็เรื่องปกติธรรมดา” ริวพยายามบ่ายเบี่ยง เข้าใจความรู้สึกของผมที่ถูกเค้นคอแล้วสินะ! แต่ผมไม่ปล่อยไปง่ายๆ หรอก
“พูดมา ไม่งั้นกูจะไปใส่ไฟรุ่นพี่คนนั้นว่ามึงมันทำผู้หญิงท้องแล้วทิ้ง” ขู่แบบขำๆ ไอ้ริวเสือกหน้าซีด เฮ้ยๆ อย่าบอกนะว่ามันทำจริง แต่พอได้ยินคำแก้ตัวค่อยโล่งใจ
“อย่านะเว้ย! ต่อให้ไม่ใช่เรื่องจริงแต่พี่ธันเป็นพวก...จะว่ายังไงดี เหมือนจะซื่อ ไม่สิทื่อๆ ขืนมึงบอกไปแบบนั้นพี่ธันได้จับกูไปนั่งฟังเทศน์ กว่าจะเคลียร์กันรู้เรื่องกูคงหูดับ” สีหน้าริวดูหวาดกลัวมาก แสดงว่าเคยเจอมาแล้ว อันที่จริงรุ่นพี่ชื่อธันนี่คุ้นๆ ว่ามีอยู่คนหนึ่งเป็นรุ่นดีแสนดีประจำคณะ ไม่ได้อ่อนโยนปานเจ้าหญิงในนิทานที่วันๆ เอาแต่ร้องเพลงกับสัตว์โลก แต่เป็นผู้ชายจริงใจและที่สำคัญเป็นคนจริงจังมาก ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นคนเดียวกัน ริวถึงออกอาการขนาดนี้
“ไม่อยากให้พูดก็รีบบอกมา เผื่อมีอะไรกูจะได้ช่วยได้” รู้สึกดีจริงๆ ที่ได้พูดคำนี้กับคนอื่นบ้าง ริวนั่งลังเลไปชั่วครู่ สุดท้ายก็ยอมเปิดปากบอกแบบจำใจ
“อันที่จริง มันก็ไม่มีอะไรมาก แค่ตอนกูไปกินเลี้ยงสายรหัสแล้วรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้แหละที่ใช่ รักแรกพบอะมึง หลังจากนั้นกูเลยพยายามเนียนเข้าหาตลอด โดยเอาเรื่องเรียนมาอ้าง เพิ่งจะสนิทกับพี่เขาได้ระดับหนึ่งเอง” ริวทำหน้าเหมือนหมาหูตกเพราะเจ้านายไม่พาไปเดินเล่น ผมตบบ่ามันเบาๆ เข้าใจความคิดหนักของริวเหมือนกัน ก็พี่ธันคนนั้นผมมั่นใจว่าเป็นชายแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์
“พี่ธันเป็นคนจริงจังมาก กูเลยไม่กล้า กลัวไปหมดเลยว่ะ”
เพื่อนผมอาการหนัก ไม่ถึงขั้นเพ้อไร้สติแต่ก็เกือบๆ ดูมันจะชอบมากจริงๆ พูดยากนะครับ บางคนอาจบอกว่ารักแรกพบมันไร้สาระ ยังไม่ทันรู้จักกันดี ผมเห็นว่าไอ้พวกที่ดูใจกันคบเป็นปี สุดท้ายต่างคนต่างไป มันไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ ของงี้มันขึ้นอยู่ที่ใจกับความรู้สึกของทั้งคู่ ปัจจัยอื่นเป็นแค่ส่วนเล็กเท่านั้น
“ยิ่งกูได้คุย กูยิ่งชอบ ทำไงดีวะ”
ดวงตามันหลุกหลิกไปมาแบบคนว้าวุ่น ถอนหายใจเฮือกๆ ระบายความอัดอั้น
“ทำแบบที่มึงทำนี่แหละ ค่อยๆ ขยับความสัมพันธ์ไปทีละนิด อนาคตข้างหน้าจะเป็นยังไงไม่รู้ แต่ทำไปดีกว่ามานั่งเสียใจภายหลัง ต่อให้ไม่สมหวัง อย่างน้อยๆ มึงก็ได้ทำอะไรลงไปบ้างล่ะวะ”
ริวนิ่งคิดตาม “มันก็จริง...เรื่องกูไว้ก่อนเถอะ ตกลงมึงจะหายหัวไปไหนวะ” จบเรื่องตัวเองซักผมต่อเลย หนีตอนนี้ทันมั้ย ดูทรงแล้ว คิดว่าไม่ทันเพราะมันเล่นเปลี่ยนมาล็อกคอผมแทน
“ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ แต่สักวันกูจะบอกมึงเอง บอกแน่ๆ กูสัญญา” ผมไม่อยากโกหกมันอีก มันเป็นห่วง หวังดีกับผมมาตลอด
“เอาเถอะ ไม่รู้ว่าเรื่องมันหนักหนาใหญ่โตแค่ไหน กูเคารพการตัดสินใจของมึง อย่าทำอะไรเสี่ยงเกินตัวแล้วกัน มีไรให้โทรบอก อย่าหายไปเงียบๆ เป็นพอ” ริวปลงไม่คิดซักไซ้ เข้าใจว่าถ้าผมไม่คิดจะบอก ให้ตายยังไงไม่มีหลุดปากเด็ดขาด ผมพยักหน้ารับ ส่งเสียงอือในคอก่อนเปลี่ยนเรื่องคุยไม่ให้บรรยากาศมันอึมครึม
พอเรื่องเพื่อนผ่านไป ถัดมาเป็นเรื่องของตัวเอง ผมต้องเตรียมตัวเตรียมใจเผชิญหน้ากับลาสบอส
“ถึงเวลาเข้ากรงแล้วเจ้าหนู”
ถึงวันนัด คำทักทายแรกหลังจากไม่เจอหน้ากันร่วมอาทิตย์ช่างรื่นหูยิ่งนัก ผมอยากจะหยิบระเบิดมาขว้างใส่ให้มันรู้แล้วรู้รอด
หนุ่มร่างสูงเพรียวดูปราดเปรียวยืนจับสายสะพายเป้หรี่ตามองชายต่างชาติในชุดสูทตัวหนาถึกพร้อมลูกน้องและรถคันงามสีดำเงาวับ คนอื่นอาจมองว่ามันช่างหรูหราไฮโซ ในสายตาผม มันไม่ต่างจากมัจจุราชในชุดสูทเชื้อเชิญให้ผมเข้าสู่ลานประหารระดับห้าดาว ที่มีบริการทุกอย่างพร้อมแลกกับอิสรภาพและการถูกทรมานด้วยกามอารมณ์
แย่ชะมัด...
“ยังทำใจไม่ได้ ขอเวลาตลอดชีวิตเลยได้มั้ย” ผมถามด้วยสีหน้าจริงจังสุดๆ ไนท์คิ้วกระตุกยกมือให้ลูกสมุนมาล้อมผมอยู่ในซอยระหว่างมหา’ลัยกับหอพักที่ไม่ค่อยมีคนผ่าน มันเป็นทางลัดของผมเอง
“อย่ามาเล่นลิ้นกับฉัน อยากจะไปดีๆ หรือให้เจ้านั่นมาลากด้วยตัวเอง ฉันขอเตือนก่อนเลยนะ ถ้าบอสเฮงซวยมันขยับตัวเมื่อไหร่ นายจะไม่ได้อะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว ทำได้แค่นอนอยู่บนเตียงเท่านั้น…” มีการเว้นช่วงให้ลุ้น ไนท์ทำหน้าเหมือนนึกอะไรออก “คิดอีกที อาจจะไม่ใช่แค่บนเตียง คงทัวร์ทุกจุดในห้อง บอสมักมากนั่นมันไม่เลือกที่”
ผมกลืนน้ำลายอึก มันเป็นคำขู่ที่เกิดขึ้นจริงผมเคยประสบมาด้วยตัวเองแล้ว ได้แต่จำยอมเดินทำหน้าปานโลกถล่มขึ้นรถไปนั่งข้างคนขับ โดยมีไนท์เป็นโชเฟอร์ เบาะหลังไม่มีคนแต่มีรถขับตามสองคัน ด้วยความตีนผีของไนท์ ขับนุ่มแต่เหยียบคันเร่ง ปาดซ้ายปาดขวา แซงชาวบ้านอย่างกับเล่นเกมรถแข่ง ใช้เวลาเพียงไม่นานก็มาถึงที่หมาย ขอบคุณสวรรค์ ผมยังอยู่ครบ32
ตึกสูงที่ผมพยายามไม่เฉียดใกล้ในรัศมีหนึ่งกิโลเมตร ดูภายนอกเหมือนตึกออฟฟิศกลางเมืองที่ให้เช่าเหมาชั้นทำบริษัท เนื้อในเป็นรังมาเฟียขนานแท้ ไนท์ขับรถเข้าจอดในตำแหน่งที่ถูกเว้นไว้ให้เขาโดยเฉพาะ ก่อนพาผมเข้าตึกขึ้นลิฟต์ส่วนตัวไปถึงชั้นบนสุด
ดวงตาสีอ่อนตามสายเลือดอีกครึ่งในตัวเหม่อมองตัวเลขดิจิตอลบอกชั้นในลิฟต์ ตัวเลขเพิ่มขึ้นพอๆ กับความรู้สึกกดดัน คนประสาทไวอย่างไนท์รู้ได้ทันทีว่าเด็กที่พามากำลังเกร็งขนาดไหน เขาทำเพียงแค่ปรายตามองพยักหน้าให้ผมเดินตาม
ขายาวเต็มไปด้วยพละกำลังยกถีบประตูให้เปิดออกอย่างมีมารยาท(?) เสียงดังปังสนั่นทั่วชั้น คนก่อเหตุเดินเข้าไปประจันหน้าเจ้าของห้องแบบไม่เกรงกลัว ลูเซียสคล้ายจะชินกับวิธีเปิดประตูของคนสนิท แค่ละสายตาจากกองงานเลิกคิ้วมองก่อนก้มกลับไปใหม่
“ตอนนี้ฉันยังไม่ว่าง มีอะไรค่อยคุยทีหลัง”
เสียงพลิกหน้าเอกสารดังในห้องกว้าง มือขวามาเฟียถือวิสาสะเดินเข้าไปนั่งบนโต๊ะทำงานของบอส จนผมชักสงสัย ความจริงสองคนนี้ไม่ใช่นายบ่าวแต่เป็นหุ้นส่วนที่มีฐานะเทียบเท่ากันรึเปล่า
“แน่ใจนะที่พูดแบบนั้นออกมา นายเป็นคงเร่งให้ฉันหิ้วว่าที่อีหนูมาให้ไม่ใช่รึไง ให้ตายสิ ทำไมคนระดับฉันต้องตามจับลูกจิ้งจอกมาให้นายด้วยนะ” น้ำเสียงยียวนไม่ทำให้บอสใหญ่สนใจเท่าคำว่า ‘อีหนู’ ดวงตาคมดุจพญาราชสีห์ตวัดฉับมองมาทางผมทันที ตอนแรกผมยืนอยู่ด้านหลังไนท์เขาเลยไม่เห็น มุมปากยกยิ้มถูกใจ
“ขอบใจ ออกไปได้”
ไนท์ยักไหล่กับการโดนไล่
“เพลาๆ มือหน่อยแล้วกันเดี๋ยวจะเฉามือตายซะก่อน” มือหยาบโบกลาออกจากห้องไปแถมยังช่วยปิดประตูล็อกอย่างรู้งานจนน่าตกรางวัลให้ด้วยฝ่าเท้า ผมไม่ขยับจากหน้าประตูแม้แต่ก้าวเดียว ดวงตาจ้องเขม็งระแวงระวังเต็มที่ ทั้งที่รู้ว่ามันไร้ประโยชน์ แค่ขนาดตัวก็กินขาด ไม่ต้องนับฝีมือกับประสบการณ์ชีวิตเลย
“เธอตอนนี้อย่างกับลูกจิ้งจอกที่กำลังพองขนใส่ราชสีห์” ลูเซียสเปรยเรียบๆ ละความสนใจจากเอกสารบนโต๊ะโดยสิ้นเชิง มาถึงขั้นนี้แล้วผมไม่คิดหนีอีก เพราะลูเซียสไม่ปล่อยตัวผมไปแน่ๆ สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้คือข้อตกลง
“ผมต้องทำอะไรบ้าง” ผมเป็นฝ่ายถามก่อน บอสมาเฟียมีสีหน้าพึงพอใจเมื่อเห็นว่าผมยอมรับตำแหน่งที่ถูกยัดเยียดให้
“ทำหน้าที่ของอีหนูที่ดี” เสียงหัวเราะในคอทำให้ผมขนลุกซู่ “เธอคงรู้อยู่แล้ว อีกโฉมหน้าหนึ่งของฉันคือนักธุรกิจ เรามาทำสัญญากันดีกว่า ฉันจะส่งเสียเธอเรียนจนจบพร้อมมอบเงินให้เธอใช้ในแต่ละเดือน”
“เท่าไหร่” เรื่องเงินๆ ทองๆ ผมต้องละเอียดเป็นพิเศษ
“หนึ่งหมื่น”
“น้อยเกินไป” สำหรับใช้จ่ายของตัวเองและส่งเงินให้แม่ ผมต่อประโยคหลังในใจ “ผมต้องการสี่หมื่น” เกือบครึ่งแสน ถือว่าเยอะมาก แต่ผมยอมเอาตัวเข้าแลกขนาดนี้ ขอโกยผลประโยชน์ให้เต็มที่หน่อยเถอะ ยิ่งได้เงินเยอะมากเท่าไหร่ การรักษาแม่ผมยิ่งมีโอกาสหายเร็วขึ้นมากเท่านั้น
ร่างสูงใหญ่ดูจะไม่เห็นด้วย คิ้วเข้มเริ่มขมวด
“อายุอย่างเธอมีอะไรต้องใช้เงินเยอะขนาดนั้น สองหมื่น พูดมากก็ไม่ต้องเอา” ลูเซียสทำจริง ผมเม้มปากผ่อนลมหายใจระบายความกดดัน
“ได้ แล้วจะให้ผมเริ่มทำหน้าที่อีหนูเมื่อไหร่” ประชดด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะต้องเป็นฝ่ายอ้าปากค้างซะเองกับคำตอบคนตรงหน้า
“ตอนนี้ เธอต้องอยู่กับฉันที่นี่ ข้าวของจำเป็นฉันให้คนขนมาหมดแล้ว เวลาไปเรียนจะมีคนของฉันขับรถรับส่ง พร้อมการ์ดสามคนห้ามสลัดทิ้งเด็ดขาด ระยะเวลาการทำสัญญา จนกว่าฉันจะเบื่อเธอ” รวดเดียวบอกทุกอย่าง เขามีแต่วัยรุ่นใจร้อน ทำไมตาลุงตรงหน้าถึงใจร้อนแบบนี้ฮะ! เตรียมการตั้งแต่เนิ่นๆ ให้คนไปขนของผมมาก่อนตัวเจ้าของอีก ให้ตายสิ ที่คิดไว้ไม่มีผิด ลูเซียสไม่คิดปล่อยผมจริงๆ
“เข้าใจแล้วครับป๋า” กัดฟันพูดถลึงตาจ้อง ลูเซียสยกยิ้มชอบใจ ตาแก่หื่นกาม ตัณหากลับเอ๊ย
“ปรับตัวไวดีนี่ ว่าง่ายๆ ซะตั้งแต่แรกก็จบ ไปอาบน้ำแล้วมาหาฉัน” สั่งเสร็จก้มลงไปทำงานต่อ สาธุ ขอให้เหล็กแฟ้มหนีบเป็นบาดทะยักตายไปได้ยิ่งดี
ผมหมุนตัวออกจากห้องทำงานเข้าห้องนอนเพื่ออาบน้ำตามคำสั่ง ถอดชุดนศ.ออกโยนลงตะกร้าเดินโทงๆ เข้าไปในห้องน้ำ ด้านในหรูเหมือนโรงแรมห้าดาวมีผ้าขนหนูกับเสื้อคลุมอาบน้ำเตรียมไว้ให้อยู่แล้ว แบ่งเป็นโซนแห้งเปียกชัดเจน ผมแช่น้ำนานเป็นชั่วโมงค่อยเสด็จสวมเสื้อคลุมหมายหาชุดใส่
เปิดตู้เสื้อผ้าแบบบิวท์อินในห้องเปลี่ยนชุดไร้วี่แววของชุดตัวเองแม้แต่เส้นด้าย ทั้งหมดทั้งมวลมีแต่เสื้อของตัวใหญ่ของลูเซียสที่ไม่มีชุดนอนแม้แต่ตัวเดียว เพราะเจ้าตัวแก้ผ้านอนนุ่งลมห่มฟ้าเป็นเรื่องปกติ
“ป๋า! ไหนบอกว่าเอาของผมมาแล้วไง ไม่เห็นมีสักตัว” หาไม่เจอต้องถามเอากับเจ้าของห้องพร้อมเปลี่ยนสรรพนามตามสถานะ ซึ่งดูอีกฝ่ายจะถูกใจซะด้วย ใบหน้าหล่อเข้มเงยมองสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่ใช่แววตาประเมินดูถูก มันคือการลวนลามทางสายตาต่างหาก ต่อให้หน้าหนาโบกปูนเสริมเหล็กราดยางมะตอยมาจากไหน เจอแววตางี้เข้าไปรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
“ฉันให้คนเอามาแค่ชีทกับหนังสือเรียน อยู่ในบนชั้นนู่น” ชี้ไปบนชั้นบริเวณหนึ่งจากชั้นหนังสือทั้งหมดในห้องทำงานเจ้าตัว หนังสือลูเซียสมีแต่ภาษาต่างประเทศดูเรียบๆ ดังนั้นปึกชีทกับหนังสือหลากสีภาษาไทยของผมโดดเด่นชัดเจนจนหาได้ไม่ยาก
“พวกเสื้อผ้าของผมล่ะ ป๋าไม่เอามาสักตัวกระทั่งชุดนักศึกษา จะให้ผมใส่ชุดคลุมอาบน้ำไปมหา’ลัยรึไง” ย้ำเท้าเข้าไปหาให้อีกฝ่ายมองหน้าไม่ใช่สะโพกกับขาอ่อน! ผมกำลังซีเรียสนะ แม้เป็นลูกครึ่งแต่ผมโตมาแบบคนไทย ไอ้เรื่องแก้ผ้าแบบเขาผมไม่ทำเด็ดขาด ยกเว้นเวลาจำเป็น...
“ทิ้งไปหมดแล้ว ฉันไม่ชอบให้คนของฉันใช้ของที่คนอื่นให้” ลูเซียสย้ำเสียงหนัก ขนาดแค่เริ่มวันแรกตาลุงออกอาการเอาแต่ใจ ของพวกนั้นใช่ว่ามีคนซื้อให้อย่างเดียวซะเมื่อไหร่ หลายอย่างผมก็ซื้อเอง พูดไปลูเซียสก็ไม่ฟังช่างแม่งแล้วกัน วัยรุ่นเซ็ง!
“อย่าเพิ่งหงุดหงิดไป เดี๋ยวฉันพาไปซื้อใหม่ เอาให้แพงกว่าเดิมก็ยังได้ ไม่ว่าจะเสื้อผ้า น้ำหอม มือถือ นาฬิกา...ทุกอย่าง ถ้าเธอต้องการ” เสียงทุ้มต่ำติดแหบกับภาษาไทยชัดแจ๋วกระซิบข้างหู
สะโพกถูกลูบผ่านเสื้อคลุมทั้งที่ตัวเองยังนั่งเป็นเจ้าพ่อบนเก้าอี้ จู่ๆ วงแขนแกร่งตวัดรวบเอวดึงจนผมเซทิ้งตัวอยู่บนตัก มือหนาคว้าขาจัดท่าให้นั่งคร่อมหันหน้าเข้าหาอย่างชำนาญภายในเวลาไม่กี่วินาที ใบหน้าทั้งคู่อยู่ในระยะประชิดจนปลายจมูกแตะกัน
“ยินดีต้อนรับสู่โลกของฉัน มิทรี่”
จบคำด้วยรสจูบร้อนฤทธิ์แรงเหมือนแอลกอฮอล์ที่อีกฝ่ายชอบดื่ม ริมฝีปากบดเบียดตักตวงจนฝ่ายรับหอบหายใจเริ่มทำหน้าที่เด็กป๋าอย่างเต็มภาคภูมิ
ผมทำหน้าที่ ‘เด็กป๋า’ มาได้สองอาทิตย์แล้ว มีสิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจคือ ไม่มีอีหนูคนไหนทำงานหนักเท่าผมอีก... ปัง! “ไอ้บอสเวร!!” ไนท์เปลี่ยนร่างเป็นยักษ์ใช้เท้าถีบประตูอย่างแรงตวาดเรียกบอสเป็นภาษารัสเซียด้วยความหัวเสีย ภาพที่เห็นตรงหน้ายิ่งทำให้ความโกรธพุ่งทะลุปรอท บนเตียงขนาดคิงไซส์ปรากฏร่างชายสองคนกำลังนอนหลับอุตุหลัง หลังเล่นกีฬาในร่มมาอย่างยาวนาน คนตัวใหญ่กอดคนที่แทบตัวแห้งหมดแรงตายจนเห็นเพียงหัวยุ่งๆ โผล่พ้นจากอ้อมแขนใต้ผ้าห่มผืนหนา เพราะอุณหภูมิในห้องที่เย็นจัดราวกับจะเปิดไว้เลี้ยงนกแพนกวิ้น “มีอะไร” เจ้าของห้องส่งเสียงถามปรือตามองอย่างหัวเสียเพราะถูกขัดจังหวะฝันหวาน “นี่แกเป็นได้ถึงขนาดนี้เลยหรือไง? โดนเด็กมันป้าย...อะไรนะ น้ำมัน...น้ำมันอะไรวะอาคม” คนด่าหาแนวร่วมเป็นบอดี้การ์ดที่เดินตามเข้ามาตามคำสั่งรองหัวหน้า เขาเป็นหนุ่มไทยร่างหนาผิวแทน ใบหน้าคมเข้มแบบคนไทย “น้ำมันพรายครับคุณไนท์” หนุ่มใหญ่ตอบเสียงนอบน้อม “เออ นั่นแหละ! น้ำมันพรายหรือไงหา?” ยังจะอุตส่าห
นับตั้งแต่วันที่อาคมมาเป็นการ์ดส่วนตัว อีหนูก็ดูจะสงบเสงี่ยมมากขึ้นจนน่าสงสัย ตื่นเช้าไปเรียน แวะเที่ยวกับเพื่อนบ้างแต่ก็เป็นแค่การกินข้าวธรรมดาแล้วตรงกลับตึกมาให้ป๋าเอ็นดู เหล่าผู้มากวัยรู้ได้ทันทีว่าเจ้าตัวดีต้องวางแผนป่วนเอาไว้ แต่เลือกที่จะนิ่งเฉยเพื่อรอดูท่าที แล้วมันก็เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด พอการ์ดสองคนนอกจากอาคมเริ่มชะล่าใจ อาทิตย์ต่อมาปัญหาเกิด มิทรี่ไปเรียนตามปกติพอถึงเวลากลับดันหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย การหลบหนีของเด็กคนนี้นับว่าสูงจนน่าทึ่ง หากเป็นพวกวัยรุ่น แก๊งอันธพาล พวกผู้ดี(พอ)มีเงินจับไม่ได้ไล่ไม่ทันแน่นอน แต่มันไม่ใช่กับมืออาชีพอย่างพวกเขา “วันนี้คุณหนูสลัดการ์ดอีกแล้วครับ แต่ยังอยู่ในเขตของเรา ช่วงค่ำๆ น่าจะกลับมาที่ตึก” หนุ่มไทยร่างสูงใหญ่ ยืนรายงานเจ้านายหลังโต๊ะทำงานอย่างนอบน้อม เสียงพลิกเอกสารกับแอร์เย็นฉ่ำ ชวนให้รู้สึกกดดัน ยิ่งเวลาทำงานผิดพลาดความน่ากลัวเพิ่มขึ้นเท่าทวี การ์ดสองคนก้มหน้าตัวหดเหลือสองนิ้ว ในขณะที่อาคมยังคงนิ่งขรึมเช่นเดิม “ครั้งที่หกแล้วใช่มั้ย” ไนท์ที่ยืนเป็นเลข
ความจุกเริ่มบรรเทาลงช่วยให้ผมฟื้นสติในการสำรวจรอบข้างว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ขอทวนเล็กน้อย ผมสลัดการ์ดมาเดินเล่นคนเดียวเหมือนทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ต่างออกไป ผมจงใจสลัดการ์ดแล้วออกห่างมาไม่ไกลนัก ด้วยรู้ดีว่าพักหลังตัวเองกำลังถูกมือที่สามจับตามองอยู่ จนเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น! ทั้งที่การ์ดน่าจะตามตัวผมเจอภายในไม่กี่นาที แต่ผมกลับต้องวิ่งหนีคนที่โผล่ออกมาตามล่าไม่ต่างจากสัตว์จรจัดที่โดนไล่ทำร้าย บางครั้งผมก็ไม่ชอบไหวพริบของตัวเอง หลังฟื้นแล้วแอบฟังบทสนทนาของเจ้าตัวหัวหน้าที่โทรคุยกับเจ้านายมัน ในประโยคเหล่านั้นกล่าวถึงชื่อของลูเซียส ทำให้ผมรู้ว่าเหตุการณ์ลักพาตัวในครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากเจ้าหนี้ของพ่อ แต่เป็นคู่อริของลูเซียส นั่นเท่ากับว่าลูเซียสเป็นคนจงใจสั่งให้การ์ดลดความระวังภัยในตัวผมลงไม่ใช่เหรอ มันไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยงที่โดนทอดทิ้งยามเจ้าของเบื่อหน่ายเลยแม้แต่น้อย ที่เจ็บใจกว่านั้นคือ ผมเป็นคนทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น หากว่าผมไม่ซนคิดประท้วงด้วยการพยศแบบนี้ ผมคงไม่ถูกเขี่ยทิ้งในระยะเวลาอันสั้น ยังคงเสวยสุขไ
ไม่ต้องรอให้ลูเซียสสั่ง ไนท์รับหน้าที่ขับรถด้วยตัวเอง เหยียบคันเร่งเพื่อพาบอสไปโรงพยาบาลให้ไวที่สุด น่าเห็นใจก็แต่เหล่าลูกน้องที่ตามหลัง ทั้งสามคันต้องเร่งเครื่องกันสุดชีวิต ด้วยระดับฝีเท้าของมือขวาน่ากลัวว่าไปแข่งรถชิงที่หนึ่งได้สบายๆ โรงพยาบาลที่ไมค์เลือกพามิทรี่มารักษา เป็นโรงพยาบาลเอกชนใกล้สถานที่เกิดเหตุมากที่สุด อีกทั้งลูเซียสยังเป็นหุ้นส่วนโรงพยาบาลแห่งนี้ด้วย นับว่าไมค์เลือกได้อย่างถูกต้อง หากเป็นโรงพยาบาลอื่น เรื่องที่มิทรี่โดนยาเสพติดเช่นนี้ จะกลายเป็นเรื่องใหญ่เสียเปล่าๆ ทันทีที่รถดำเงาวับมาจอดเทียบหน้าอาคารหลัก ยามรีบกุลีกุจอเข้ามาหมายจะเปิดประตูให้ ไม่ทันจะถึงรถดีประตูก็เปิดออกพร้อมเจ้าของร่างสูงใหญ่ที่ก้าวออกมาปรายตามอง เขาโบกมือไล่ยามไปไกลๆ เวลานี้เขาไม่ใจเย็นพอจะนั่งรอเยี่ยงราชาให้ใครมาปูพรมหรือเปิดประตูให้ กลิ่นเลือดเจือจางที่ติดมากับตัวเหล่าชายชุดดำทำให้ยามอกสั่นขวัญผวา ก้มหน้าลงต่ำ พาลนึกในใจว่าตัวเองช่างซวยเหลือเกิน ตอนเขามาทำงานมีรุ่นพี่กับหัวหน้าเล่าให้ฟังว่าหุ้นส่วนของโรงพยาบาลเราไม่ใช่บุคคลธรรมดา ห
อาการบาดเจ็บทำให้ผมนอนเป็นง่อยอยู่บนเตียงฟังเสียงลูเซียสคุยงานกับไนท์ มีพี่อาคมเข้าๆ ออกๆ มารายงานเป็นระยะ ทำไมนะผมรู้สึกว่ามันไม่ต่างจากตอนผมอยู่ที่ตึกลูเซียสเลย จะไม่เหมือนก็แค่ตอนนั้นผมนอนเปื่อยเพราะทำหน้าที่หนักเกินไป คงเห็นผมนอนมองตาปริบๆ มานาน ในที่สุดลูเซียสก็วางงานในมือลุกขึ้นมาหาผมข้างเตียง “เบื่อเหรอ แขนแบบนี้จะอ่านหนังสือก็ไม่ได้ อยากออกไปสูดอากาศข้างนอกไหม” ปกติผมอยู่ห้องลูเซียสถ้าไม่มีอะไรทำผมจะนั่งอ่านหนังสือ แขนผมยังไม่หายร้อยเปอร์เซ็นต์ คุณป๋ากับพี่เลี้ยงคนอื่นเลยพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอย่าเพิ่งให้ผมใช้แขนจะดีกว่า เป็นคนอื่นอาจจะดื้อเพราะความเบื่อหน่าย แต่กับผมที่น้อยนักจะได้รับความเป็นห่วงแบบนี้ อย่างมากก็ได้แค่กับเพื่อนซึ่งมันต่างกัน พวกนั้นวัยเรียน คนตรงหน้าผมคือผู้ใหญ่ที่ผมสามารถพึ่งได้ ผมเลยยอมทำตามอย่างเต็มใจ เจอเรื่องนี้เข้าไปถึงกับหงอ เข็ด ไม่อยากดื้อหาเรื่องใส่ตัวอีก “ไม่ดีกว่า ผมยังไม่อยากโดนไนท์แหกอก” ผมไม่ได้โกหกนะ ดูสายตาร้อนแรงที่ไนท์จ้องมาสิ ไม่ได้หึงหวงลูเซีย
“เบื่ออะ” บ่นเป็นรอบที่ร้อยของวันในห้องพักรวมของเหล่าการ์ด มองพวกเขาเตะต่อยกันแบบขำๆ ถามว่าทำไมผมไม่อยู่ในห้องลูเซียส? พอดีผมประท้วงน่ะเลยหนีออกมา... จริงก็บ้าแล้ว! อย่างลูเซียสไม่สนหรอกกับการประท้วงไร้สาระแบบนี้ เห็นลูเซียสคุยงานกับไนท์และพี่อาคมผมเลยปลีกตัวออกมา เพราะอยู่ห้องนั่นก็ไม่รู้จะทำอะไร หนังสือก็เบื่อที่จะอ่าน มือถือมีแต่แบบเดิมๆ มาป่วนการ์ดดีกว่า เห็นพวกนี้ทำหน้าปูเลี่ยนๆ สนุกดี หน้าออกจะโหดซะเปล่า หมดกันๆ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ผมเพิ่งค้นพบหลังกลับมาจากโรงพยาบาลใหม่ๆ เพราะหลงนึกสนุก พาผมบุกถิ่นเหล่าการ์ดที่อยู่ชั้นล่างลับหลังลูเซียส ก่อนจะทิ้งผมไว้แบบนั้นเนื่องจากเจ้าตัวงานเข้ากะทันหัน พวกการ์ดก็นิ่งอย่างคนทำอะไรไม่ถูก ผมเลยลองใช้ความสามารถในการเข้าหาคนอื่น ทำความรู้จักกับพวกเขาดู ยังไงซะชะตากรรมของผมคงคลุกคลีอยู่ที่นี่ไปอีกนาน ทำให้ผมรู้ว่าพวกเขาไม่ได้แย่เหมือนที่คิด ก็แค่คนธรรมดาที่ผ่านโลกมามากเลยไว้ใจคนยาก พอรู้เรื่องราวของผมจากที่ไหนสักที่ ท่าทีเลยอ่อนลงกลายเป็นเห็นอกเห็นใจแกมเอ็นดู พร้อมกับบอกว่าพวกเขามีอดี
คล้อยหลังอีหนูไป เหล่าหนุ่มใหญ่นั่งประจันหน้ากันในห้อง แข่งกันสร้างบรรยากาศอึมครึม จนกระทั่งลูเซียสเป็นฝ่ายถอนหายใจทำลายความเงียบก่อน ร่างใหญ่เอนหลังบนเก้าอี้อย่างผ่อนคลาย ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นเพื่อนสนิทควบตำแหน่งน้องเขย ก็ไม่จำเป็นต้องรักษามาด พวกการ์ดจากทั้งสองฝั่งเองก็รู้จักกันดี เคยร่วมงานกันมาแล้วด้วยซ้ำ ถึงได้ส่งสายตาทักทายกันลับหลังนาย “มีเรื่องอะไรก็พูดมา” หนุ่มอังกฤษเป็นคนแสดงท่าทีเองนะว่ามีเรื่องอยากจะพูดด้วย ลูเซียสถึงให้อีหนูออกไปทั้งที่ไม่อยากปล่อยให้ห่างสายตา “ก็อย่างที่บอกไปตอนแรก ฉันแวะมาหานายกะทันหัน คนของฉันเลยไม่พอ...” “ไม่พอแล้วยังไง” คิ้วเข้มขมวด เพื่อนเขาไม่ใช่พวกหัวหดในกระดองหลบหลังการ์ดตลอดเวลา อเล็กเซย์เข้าใจสิ่งที่ลูเซียสคิดเลยยิ้มกว้าง “พอดีมีคนตามฉันมาตั้งแต่คุยธุรกิจ ตอนนี้ก็ยังหาจังหวะจัดการฉันอยู่ ที่สำคัญ น่าจะอยู่บนเรือลำนี้แล้วด้วย” เกิดความเงียบปกคลุมชั่วขณะ คนโดนหมายหัวยังคงยิ้มหน้าระรื่น ส่วนบอสใหญ่ยกมือกุมขมับพลางปรายตามองอาคมที่โค้งรับอย่า
บางทีผมก็ไม่ค่อยเข้าใจลูเซียส ไม่สิ ผมไม่เคยเข้าใจเขาเลยมากกว่า... ก่อนหน้านี้ผมถูกพาไปกินมื้อค่ำแบบฟูลคอร์สกะทันหัน มาคราวนี้ผมกำลังอยู่ท่ามกลางความไฮโซอันน่าเบื่อหน่าย เด็กหนุ่มในชุดสูทสีเทาพอดีตัวเผยสัดส่วนน่าดึงดูด เรือนผมถูกเสยไปด้านหลังเหลือปอยเล็กน้อยขับใบหน้าชวนมองต้องตาใครต่อใคร มือหนึ่งถือแก้วทรงสูงแต่ภายในบรรจุน้ำผลไม้แท้100% มีฉากประกอบเป็นงานราตรีหรูหรา โคมไฟระย้างดงามเข้ากับการตกแต่งสไตล์ตะวันตก บนผนังประดับรูปวาดราคาแพง อาหารบนโต๊ะทุกอย่างดูสวยงามไม่ต่างจากผลงานศิลปะ มูลค่าและรสชาติยิ่งไม่ต้องพูดถึง มิทรี่คงจะมีคนมาสานไมตรีไม่ขาดแน่ หากเจ้าตัวไม่ได้นั่งอยู่บนรถเข็น รายล้อมด้วยการ์ดตัวสูงใหญ่แผ่ออร่าน่าถอยหนี สายตาสนใจของคนรอบข้างเลยกลายเป็นความสงสัยใคร่รู้มากกว่า ว่าเด็กหนุ่มผู้พิการคนนี้เหตุใดจึงมาร่วมงานพร้อมกับเหล่าการ์ดมือดีราวกับเป็นบุคคลสำคัญ “ผมดื่มแอลกอฮอล์ไม่ได้จริงๆ เหรอพี่ไมค์” ส่งเสียงอ้อนใส่หมอควบตำแหน่งการ์ดส่วนตัวไม่อาจเรียกความเห็นใจได้ “อาหารเครื่องดื่มนอกจาก
‘ดาวิดอฟ เฟรคดริก คอลลินส์’ หรือ ‘เดฟ’ คือชื่อของผม ผมเกิดที่รัสเซีย เป็นลูกคนเล็กมีพี่ชายพี่สาวอย่างละคน จบปริญญาตรีมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งด้านโภชนาการที่มอสโก เรื่องรูปร่างหน้าตาก็ปกติธรรมดา(?) ไม่มีส่วนไหนขาดเกิน เส้นผมสีทองเหลือบเงิน ดวงตาสีฟ้าอมเขียว ผิวขาวจัดแม้ตอนนี้จะเริ่มคล้ำจากแดดในเมืองไทยก็ตาม ส่วนสูงก็...193 cm. สิ่งที่ชอบคืออาหารอร่อย ดอกไม้และคนฉลาด ผมเกลียดพวกไม่รู้คุณค่าของอาหาร กินทิ้งกินขว้างกับคนโง่มากที่สุด อาหารที่ถนัดคือ ซุปโบร์ช (Borshch) , โปลฟ (Pilaf) , ไก่เคียฟ (Chicken Kiev) อาหารรัสเซียและอาหารฝรั่ง ตอนนี้มีความสนใจอาหารไทย ปัจจุบันอายุ 25 ปี ทำงานให้กับบอสลูเซียส มิไรฮอฟ ตระกูลเก่าแก่ที่มีอำนาจมากมายจนน่าตกใจ ถามว่ามาทำงานให้บอสได้ยังไงเหรอ? เรื่องมันเป็นแบบนี้ หลังเรียนจบได้ผลการเรียนที่น่าพอใจ ผมถูกจองตัวจากหลายโรงแรมมีชื่อในมอสโก แต่ผมชอบทำอาหารให้คนที่รักการกินมากกว่าทำเพื่อเอาหน้าตาเลยปฏิเสธงานเหล่านั้นไป แล้วเลือกมาทำงานในร้านอาหารแห่งหนึ่งแทน ร้านนี้มีความเข้มงวดสูงมาก ไม่
ภายใต้ความหอมหวานของอำนาจ คือความเน่าเฟะที่น่ารังเกียจ... เมื่อพ่อให้ความสำคัญกับธุรกิจเป็นอันดับหนึ่ง จึงไม่แปลกที่พ่อจะแต่งงานกับแม่เพื่อผลประโยชน์ ทั้งที่ตัวเองมีคนรักอยู่แล้ว ก่อนจะพาคนรักเข้ามาหลังจากที่แม่ตรอมใจตาย ฟังดูเหมือนพล็อตของบทละครน้ำเน่า แต่เชื่อเถอะว่า สิ่งเหล่านั้นล้วนอิงมาจากชีวิตจริง เขาเกลียดชังพ่อ รังเกียจผู้หญิงคนนั้น และขยะแขยงครอบครัวของตัวเอง เลยตัดสินใจเข้าโรงเรียนประจำ พอปิดเทอมหากไม่เที่ยวก็หางานพิเศษทำ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องกลับบ้าน ระหว่างนั้นก็ใช้ทรัพย์สินจากพินัยกรรมของแม่ผ่านทางผู้ดูแลที่แม่เลือกมาด้วยตัวเอง ต่อมา เขาสอบเข้าโรงเรียนตำรวจ ติดอันดับหนึ่งของรุ่นจนเรียนจบแล้วเริ่มทำงานจากตำแหน่งระดับล่าง กระทั่งบรรจุเข้าหน่วยปราบปรามและพบลูเซียสระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ลูเซียสในตอนนั้นยังอยู่ในช่วงเริ่มก่อตั้งแก๊ง มีคนติดตามอยู่ไม่กี่คนและเกิดสนใจฝีมือของเขาขึ้นมา เลยยื่นข้อเสนอให้มาทำงานด้วยกัน แน่นอนว่าเขาปฏิเสธ ไม่ใช่ว่ารักในอาชีพของตัวเอง แต่เขาไม่เคยมีความคิดที
ชีวิตของลูกผู้ชายคนหนึ่ง มีเรื่องที่เสียใจหนักๆ อยู่ไม่กี่อย่าง เรื่องแรกคือการจากไปของพ่อแม่ด้วยวัยชรา เรื่องที่สองคือความล้มเหลวในฐานะหัวหน้าครอบครัว ระหว่างที่ผมเป็นทหารทำตามความตั้งใจของตัวเองก็ทิ้งลูกเมียไว้ด้านหลังโดยไม่นึกถึงใจของคนเฝ้ารอ กระทั่งวันหนึ่ง ภรรยาที่แต่งงานกันมาหลายปีเป็นฝ่ายขอหย่า เธอร้องไห้ พร่ำบอกว่าขอโทษที่อดทนรอต่อไปไม่ได้ เธอเข้าใจความต้องการของผม แต่เธอที่มีลูกอ่อนก็ต้องการได้รับการดูแลเอาใจใส่เช่นกัน ผมไม่เคยโทษเธอเลยที่เริ่มมองหาผู้ชายที่ดีกว่า ดังนั้นผมเลยดึงเธอเข้ามากอด ลูบผมเบาๆ พร้อมกระซิบปลอบโยนเธอว่าไม่เป็นไร ทุกอย่างเป็นความผิดของผมเอง ‘ชนิศา’ เป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง การที่เธอเลือกทางนี้แสดงว่าทุกอย่างมันถึงที่สุดแล้วจริงๆ พอเป็นแบบนี้ก็ไม่อาจฝืนอยู่ด้วยกันอีกต่อไป ผมเลยยอมรับการตัดสินใจของเธอ และมอบสิทธิ์การเลี้ยงดูให้เธอไป หลังจากนั้นไม่กี่ปีผมก็ลาออกจากราชการทหารเพื่อหางานที่มีรายได้มากกว่าส่งเสียให้ลูกชายได้เรียนโรงเรียนดีๆ ระหว่างนั้นก็ติดต่อกันบ้างเป็นครั้งคราว วันไหนผมมีวันหยุดก็จ
ลูเซียสทานมื้อเช้าพร้อมกับลูกชายบุญธรรมที่มีความสัมพันธ์อันแสนครุมเครือ พออิ่มบอสใหญ่ปล่อยให้อีหนูได้พักโดยมีไมค์คอยดูแล ส่วนตัวเองปลีกตัวออกมาจัดการงานส่วนที่เหลือ จากวันที่ลูเซียสลั่นวาจาให้กวาดล้างคนทรยศในแก๊งก็ผ่านมาหลายวันแล้ว เพียงแต่เรื่องราวไม่จบแค่นั้น เนื่องจากข่าวการกลับมาของบอสใหญ่ไม่ได้หลุดออกไปจากเหล่าคนทรยศ แต่มีบุคคลที่สามเป็นผู้ปล่อยข่าว นั่นคือเรื่องที่ต้องจัดการกันต่อไป ลูเซียสนั่งประจำในห้องเดิมที่เคยคุยวิดีโอคอลกับหยางซิ่ว แต่เปลี่ยนคู่สนทนาเป็นแฝดผู้กุมอำนาจในอิตาลี แฝดคนพี่ชื่อ ‘ซิริอัส’ บุคลิกมาดขรึมจริงจัง ใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ดูเยือกเย็นต่างจากแฝดน้อง ‘สกอร์เปียส’ ที่ดูร้อนเหมือนเปลวเพลิงและมีรอยยิ้มติดมุมปากอันเป็นเอกลักษณ์ ช่างเป็นแฝดที่ไม่มีอะไรเหมือนกันสักอย่าง นอกจากเพศ คนรักคนเดียวกันและนิสัยอันแปลกประหลาดยากจะคาดเดา /หายากนะที่นายจะติดต่อมาเอง ลูเซียส/ สกอร์เปียสเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา ทั้งคู่ติดต่อสื่อสารกับลูเซียสผ่านทางคอมพิวเตอร์ในห้องทำงานของซิริอัส ด้วยพื้นที่มีจำกัด แ
ปากเก่งไปแบบนั้นแต่ผมก็ยังหนีความจริงเรื่องที่ตัวเองยังอยู่ในวัยเรียนไม่พ้น ดังนั้นผมเลยทำตัวให้สมวัยด้วยการอยู่ดูแลแม่ในระหว่างที่ลูเซียสเคลียร์งานที่รัสเซียตามคำแนะนำของอดีตพาคาน ทำให้ช่วงนั้นผมกับลูเซียสห่างกันอีกรอบ ด้วยตัวตนของลูเซียสไม่สะดวกมาที่โรงพยาบาลบ่อยอยู่แล้ว เลยได้แต่ส่งบรรดาการ์ดมาเฝ้า “แน่ใจนะว่าไม่มีอะไรจริงๆ” ป้านาเดียร่างท้วมมีเค้าโครงของแม่เอ่ยถามเป็นรอบที่ห้าของวัน เมื่อเข้ามาเจอผมนั่งเล่นไพ่กับไมค์ระหว่างแม่พักผ่อนหลังทานยา อันที่จริงไมค์เองก็ไม่ได้ตัวหนาหุ่นบึกเท่ากับการ์ดคนอื่นๆ แต่เทียบกับคนธรรมดาแล้วก็ยังดูตัวสูงใหญ่กว่าอยู่ดี น่าจะตัวหนากว่าหลงไม่เท่าไหร่ แถมยังเป็นหมอบรรยากาศรอบตัวเลยไม่เยือกเย็นเท่าหลง ถึงแบบนั้นป้านาเดียก็ยังแสดงทีท่าระแวงชัดเจน ในขณะที่ผมสุดแสนจะชิลหรือเป็นเพราะผมเจอแต่พวกหุ่นหมีจนชินแล้วก็ไม่ทราบ “อย่าห่วงเลยป้านาเดีย พี่ไมค์เป็นคนที่พ่อบุญธรรมส่งมาเพื่อดูแลผม เห็นแบบนี้เขาเป็นหมอนะ” ผมตบมือป้าที่วางบนแขนเบาๆ เป็นเชิงปลอบ หลังป้ารีบถลาเข้ามาคว้าตัวผมไปหลบทั
ผมเกิดในซ่อง เติบโตในสลัม มีแม่เป็นโสเภนีที่หลังจากคลอดผมเสร็จก็เอาผมไปทิ้งแถวถังขยะ ก่อนที่คนจรจัดเก็บไปเลี้ยงดูด้วยหวังว่าจะให้ผมดูแลเขาต่ออีกที แต่เขาไม่ได้มอบความรักความเอาใจใส่อย่างที่คนใจบุญพึงกระทำ เพราะเขาเลี้ยงผมเหมือนสุนัขตัวหนึ่ง ถ้ามีอาหารเหลือพอก็จะโยนให้ผมกิน พอแค่ผมไม่ตายไปก่อนที่จะได้ใช้งานเท่านั้น จนบางทีผมก็สงสัยว่าความตายอาจจะดีกว่ารึเปล่า ไม่ต้องทนอดอยากหิวโหย โดนทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ ผมเคยคิดที่จะตายอยู่หลายครั้ง หากไม่ติดว่าคนจรจัดที่เก็บผมมาเลี้ยงจะช่วยผมไว้ทันตลอด แล้วจัดการลงโทษอย่างหนักเมื่อผมพ้นขีดอันตราย ให้อดข้าวบ้าง จับขังบ้างหรือบางทีก็โดนซ้อมเป็นเครื่องระบายอารมณ์ แน่นอนว่าการรักษาแต่ละครั้งไม่ได้ไปหาหมอในโรงพยาบาล แต่เป็นหมอเถื่อนที่ไม่มีใบรับรองแถวสลัม ไม่ก็รักษาเอาตามมีตามเกิด และผมดันดวงแข็งจนรอดมาได้เสียทุกครั้ง จะตายก็ตายไม่ได้ จะอยู่ก็แสนลำบาก สุดท้ายได้แต่ฝืนทนกับสิ่งที่เป็น กระทั่งอายุหกปี ชายแก่ที่เลี้ยงดูผมดันไปขัดขานักเลงวัยรุ่นเข้า เลยถูกพวกนั้นซ้อมอย่างคึกคะนอง เสียงตาแก่โหยหวนด้วยความเจ็
เรื่องราวต่อจากนี้เป็นเรื่องหลังจากที่ผมเรียนจบมหา’ลัย กรุณาอย่าถามถึงเกียรตินิยม แค่ผมเรียนจบได้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว ส่วนเพื่อนๆ ก็แยกย้ายกันไปตามหน้าที่การงานของตัวเอง ตัวผมเองก็เช่นกัน เพราะผมตัดสินใจแล้วว่าจะเดินไปบนเส้นทางเดียวกับลูเซียส แต่ดูเจ้าตัวจะไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไหร่ สำหรับคนที่คลุกคลีอยู่ในวงการนี้มาตั้งแต่เกิด ย่อมเห็นตื้นลึกหนาบางจนหมดสิ้น เลยอยากให้ผมที่มีโอกาสเลือกเส้นทางของตัวเองหลีกหนีให้ไกลจากมันที่สุด แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ นับตั้งแต่วันที่ผมเลือกทำงานไซด์ไลน์และกลายเป็นเด็กเลี้ยงของลูเซียส ตัวผมก็ก้าวเข้ามาอยู่ในวงการนี้ครึ่งตัวแล้ว ในเมื่อไม่มีทางเลือก ลูเซียสเลยสั่งให้ผมเรียนต่อปริญญาโทด้านการบริหารเพื่อมาช่วยดูแลธุรกิจที่ไทยแทน ซึ่งงานนี้ลูเซียสให้ผมเรียนต่อที่รัสเซีย ทุกคนเลยถือโอกาสนี้กลับรัสเซียกันยกทีม เหลือแค่พวกการ์ดอยู่เฝ้าตึกจำนวนหนึ่งเท่านั้น เรื่องพ่ออย่าไปพูดถึง ล่าสุดเห็นว่าออกจากคุกแล้ว แต่จะไปทำอะไรที่ไหนอยู่ยังไงผมไม่สนเพราะอยู่กันคนละประเทศ ส่วนแม่ผมไม่ต้องเป็นห่ว
วันนี้วันลอยกระทง แถมยังเป็นวันซูเปอร์มูน พระจันทร์เต็มดวงและเข้าใกล้โลกมากที่สุด สิ่งที่ผู้คนควรทำคือเตรียมตัวไปลอยกระทงกันตั้งแต่หัวค่ำ แล้วเดินเที่ยวเล่นชมความงามของพระจันทร์กับเพื่อนฝูง ครอบครัวไม่ก็คนรัก ตัวผมน่ะเหรอ? นั่งไถมือถือด้วยความเบื่อหน่าย... ไม่ใช่ว่าเพื่อนไม่คบ แต่เพื่อนมันดันไปลอยกับแฟนกันหมดเท่านั้นยังไม่พอ ยังมีหน้าถ่ายรูปมาเยาะเย้ยอีกต่างหาก เฮียเฟย์ถ่ายรูปปอนด์ถือกระทงยืนคู่กับแม่ โดยมีฉากหลังเป็นผู้คนกับผืนน้ำที่มีกระทงลอยอยู่เต็มไปหมด เกิดเป็นดวงไฟสีส้มระยิบระยับ ซันโป้ ไอ้คู่ผัวเมียฮาร์ดคอ โป้มันถ่ายรูปเท้าตัวเองทำท่าจะยันก้นซันลงน้ำ ขณะที่ซันกำลังนั่งอธิษฐาน ริวถ่ายภาพกระทงสองอัน เห็นชายเสื้อชอปประจำสาขามันแวบๆ แสดงว่ามันไปลอยกับพี่ธันชัวร์ ภาพของวาเล่นับว่าเด็ดสุด เล่เซลฟี่ระหว่างหอมแก้มวาที่ทำหน้าเซ็งถือกระทง ด้านหลังสองคนนั้นเป็นท้องฟ้าสีดำที่มีโคมลอยมากมาย ดูบรรยากาศคึกคักสมเป็นภาคเหนือ พูดถึงลอยกับครอบครัวยิ่งหดหู่ พ่อผมไม่รู้เป็
คุณคิดว่าคนคนหนึ่งจะทำเรื่องราวซ้ำๆ กันทุกวันโดยไม่เบื่อได้รึเปล่า ผมคิดว่าได้แต่ยาก เพราะต่อให้กินข้าวอาบน้ำ ทำกิจวัตรประจำวันเหมือนเดิม ระหว่างนั้นก็ยังต้องมีอะไรแปลกใหม่เข้ามาในชีวิตบ้าง อย่างการเปลี่ยนเมนูอาหาร ลองเปลี่ยนกลิ่นสบู่หรือแชมพูใหม่ ดังนั้นไม่แปลกที่มนุษย์จะสรรหาความแปลกใหม่แม้มันจะไม่มีสาระอะไรเลยก็ตาม อย่างในโซเชียลตอนนี้ ไม่รู้เริ่มฮิตวันป๊อกกี้เดย์ตามประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้อีกทีผมก็เห็นของพวกนี้ตามมาหลอกหลอนแล้ว แต่บังเอิญว่าผมไม่สนใจ ความคึกคักของเทศกาลนี้เลยถูกผมลืมเลือนไปซะสนิท เพิ่งจะนึกขึ้นได้ตอนเห็นภาพย้อนหลังวันนี้นี่แหละ มิน่าล่ะทำไมเมื่อวานพี่โทริถึงซื้อป๊อกกี้มาให้ หนึ่งในนั้นมีรสมะพร้าวของโปรดผมที่กินหมดไปตั้งแต่เมื่อวาน จะเหลือก็แค่ป๊อกกี้รสดาร์คช็อกที่คาดว่าอยากจะให้ใครบางคนแต่ไม่กล้าเลยต้องส่งผ่านผม ไหนๆ ก็ไหนๆ ป๋าทำงานเครียดๆ ผมควรทำหน้าที่อีหนูที่ดี เป็นลูกชายชั้นยอดด้วยการเข้าไปป่วน แฮ่ม! เข้าไปผ่อนคลายอารมณ์ป๋าดีกว่า “พี่อาคม ป๋าไม่ได้ทำงานสำคัญอยู่ใช่มั้ย” ผม